PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙


เถรี
31-01-2016, 20:06
ถาม : การฝึกเตโชกสิณ หากเราใช้คาถาเงินล้านเป็นคำภาวนาแทนคำว่า "เตโชกสิณัง" เมื่อถึงฌานสี่ เราสามารถใช้ผลของเตโชกสิณได้ตามปกติ เหมือนคำภาวนาว่า "เตโชกสิณัง" ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีของเก่าแต่ชาติก่อน ๆ ก็ฝันไปเถอะว่าจะได้..! เหมือนอย่างกับเรียนวิชาวิทยาศาสตร์แล้วเอาคำตอบวิชาสังคมมาตอบ

การปฏิบัติกรรมฐานจำเป็นต้องใช้คำภาวนาให้ตรงกับกองกรรมฐานด้วย ถ้าเราปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยทำให้จริง ๆ จัง ๆ ก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ทั้งหมด ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งของเรายังไม่ได้ผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์จริง ๆ ก็อย่าเพิ่งโลภมากไปเอาอย่างอื่นมาปฏิบัติ

เถรี
31-01-2016, 20:11
ถาม : อยากให้ท่านเล่าเกี่ยวกับองค์พระกษิติครรภโพธิสัตว์ครับผม
ตอบ : ไปเสิร์ชเอาใน Google มีเยอะเลย พระกษิติครรภโพธิสัตว์เป็นพระโพธิสัตว์สายมหายาน ท่านตั้งปณิธานเอาไว้ว่า ตราบใดที่วัฏสงสารยังมีสัตว์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ ท่านจะไม่เข้าพระนิพพาน ท่านไม่ได้ขอเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย แต่ถ้ายังมีสัตว์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ท่านก็ไม่ไป

ถ้าเป็นความคิดของอาตมา ท่านไม่ได้ไปหรอก เพราะคนสุดท้ายก็คือท่านนั่นแหละ ถ้ายังมีตัวเองอยู่ก็ไม่ต้องไปกันสักที..!

เถรี
31-01-2016, 20:19
ถาม : จะลองมาทำธุรกิจค้าขายเครื่องดนตรีครับ อยากทราบว่าเป็นบาปไหมครับ ? เพราะผมคิดว่าเครื่องดนตรีทำให้คนลุ่มหลงครับ กลัวเป็นบาป เลยลังเลอยู่ครับ
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นชาตินี้คุณไม่ต้องทำมาหากินอะไรหรอก เพราะทุกอย่างเป็นสมมติให้คนยึดติดและหลงทั้งนั้น..!

ถาม : สรุปว่าบาปไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าพยายามคิดก็บาป เรื่องการทำมาหากินที่เป็นสัมมาอาชีวะ ถ้าไม่ได้ผิดศีล ไม่ได้ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ทำไป ไม่ใช่เรื่องไม่เป็นเรื่องก็พยายามคิดจนใจเศร้าหมอง หาเรื่องลงนรกให้ตัวเองได้ก็นับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง..!

เถรี
31-01-2016, 20:20
ถาม : สมัยที่ผมฝึกสมาธิแล้วมีอุปกิเลสเข้ามา ตอนนั้นผมได้เห็นแสงสว่างสีขาวจ้าอย่างกับดวงอาทิตย์มาอยู่ตรงหน้า พระพุทธเจ้าท่านบอกหรือเปล่าครับว่า แสงสว่างเหล่านี้มีเหตุปัจจัยอะไรถึงเกิดขึ้น ?
ตอบ : เหตุเพราะจิตเริ่มสงบจึงเกิดขึ้นได้

เถรี
31-01-2016, 20:29
ถาม : ตัวผมได้สร้างกลุ่มในเฟซบุ๊ก ซึ่งผมและเพื่อนสหายธรรมอีกคนหนึ่งช่วยแชร์คำสั่งสอนของหลวงพ่อฤๅษี, หลวงพ่อเล็ก และพระขีณาสพหลาย ๆ ท่าน หรือพระพุทธวจนะบ้าง อยากทราบอานิสงส์ในชาตินี้ว่าบุญเหล่านี้จะส่งผลในชาติปัจจุบันอย่างไรครับ ? หรือต้องไปรอชาติหน้าอย่างเดียว ?
ตอบ : ถ้าแชร์คำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง อานิสงส์อาจจะติดคุกชาตินี้ เพราะเขามีลิขสิทธิ์อยู่...! ถ้าของอาตมาหรือท่านอื่น ๆ ที่ไม่มีลิขสิทธิ์ก็ไม่เป็นไร

ส่วนใหญ่การกระทำทุกอย่างมักจะสัมฤทธิ์ผลในชาติถัด ๆ ไป ยกเว้นว่าเรากระทำได้ต่อเนื่องยาวนานพอก็อาจจะเห็นผลในชาตินี้

เถรี
31-01-2016, 20:32
ถาม : ตัวผมอายุ ๑๙ ปี ก็เป็นวัยรุ่น มีอารมณ์รักหญิง อยากมีแฟนเป็นธรรมดา แต่ผมอยากเป็นแบบขุนแผน ต่อให้มีเมียมากแค่ไหน แต่พอเวลาจะทำสมาธิ นึกเข้าฌานนั้นฌานนี้ได้เลย ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : หัดมีเมียก่อน..! พอมีเมียและทำสมาธิได้แล้ว ค่อยซักซ้อมสมาธิให้คล่องตัว แต่มีปัญหานะ...ถ้าเข้าสมาธิก็จะไร้อารมณ์ โปรดระวังเมียถีบตกเตียง...!

เถรี
31-01-2016, 20:36
ถาม : ตัวผมไม่มีความรู้ด้านพระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่าง ๆ เลย ไม่ทราบว่ามีวัตถุมงคลหรือพระเครื่องใดที่สามารถทำให้ผมทำสมาธิดียิ่งขึ้น ทรงฌานสมาบัติดียิ่งขึ้นครับ ? ถ้าจะดีขอให้หลวงพ่อเมตตาช่วยเก็บไว้เหลือให้ผมสักองค์ก็ดีครับ (ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก)
ตอบ : ใช่...ถ้าผู้นั้นเอาเงินมาให้ตอบจะยิ่งเป็นที่รัก...! วัตถุมงคลทุกชนิด ถ้าเป็นรูปพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราตั้งใจระลึกถึงในลักษณะของอนุสติ ย่อมส่งผลให้การปฏิบัติของเราดีขึ้นอยู่แล้ว เพียงแต่จะทำจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง...!

เถรี
31-01-2016, 20:41
ถาม : ผมสงสัยว่า ถ้าทำกสิณสีเหลืองจนเป็นฌานสี่ได้ จะเสกสิ่งของให้เป็นทองได้ใช่ไหมครับ ? ถ้าผมจะเสกพวกก้อนหินให้เป็นทองแล้วเอาไปขาย จะผิดหรือไม่ครับ ? แล้วทองนั้นจะกลับมาเป็นหินหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราทำได้คล่องตัวเท่าไร ทรงฌานสี่อย่างเดียวถ้าอธิษฐานใช้งานไม่เป็น ก็ไม่สามารถที่จะเสกอะไรได้ ถ้าทำปีตกสิณจนคล่องตัวใช้งานได้ สามารถเสกวัตถุต่าง ๆ เป็นทองได้ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะหินหรือดิน แต่มีข้อแม้ว่าต้องจำกัดเวลาไว้ ถ้าภายในระยะเวลาที่กำหนด ท่านที่ครอบครองก็ยังครอบครองทองอยู่ แต่ถ้าหมดระยะเวลาเมื่อไร ก็จะกลายเป็นวัตถุเดิม ก็แปลว่าคุณกำลังจะสร้างความลำบากให้แก่คนอื่นแล้ว

ส่วนใหญ่ท่านที่ทำได้ มักจะเสกสิ่งของเป็นทอง เพื่อสร้างวัตถุสำคัญไว้ในพระศาสนา ไม่ได้ทำเพื่อความร่ำรวยส่วนตัว

เถรี
31-01-2016, 20:44
ถาม : คนที่เกิดมาได้ตำแหน่ง ยศฐาบรรดาศักดิ์ หรือตำแหน่งที่มีเกียรติ เป็นเพราะทำกรรมอะไรเอาไว้ครับ หรือถวายของสิ่งใดครับจึงได้อานิสงส์นี้ ?
ตอบ : อันดับแรก...เคยสร้างพระพุทธรูปไว้ อันดับสอง...เคยสร้างธรรมาสน์เทศน์ ตาลปัตร หรืออาสนะพระไว้ อันดับที่สาม...เป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ตกลงว่าเคยทำสักอย่างไหมนี่ ? ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ แต่ถ้าต้องการให้ได้จริง ๆ ก็ทำให้ครบทุกอย่างไปเลย

เถรี
31-01-2016, 20:47
ถาม : คืนหนึ่งฝันว่ามีพระร่างใหญ่ ๆ มาบอกคาถา โดยเขียนฝ่าอากาศไปที่แผ่นไม้ ดูดำ ๆ มัว ๆ เพ่งดูดี ๆ ได้คำว่า สมติงสบารมี เลยนำมาภาวนาดู อารมณ์นิ่งดีมากครับ กามก็ไม่กำเริบ กระผมควรใช้เป็นคำภาวนาต่อไปไหม ? และคำภาวนานี้เมื่อถึงที่สุดจะให้ผลทางไหน ?
ตอบ : ท่านบอกให้สร้างบารมี ๑๐ ให้เต็ม ไม่ใช่ให้ไปนั่งภาวนา สมติงสบารมี คือ บารมี ๓๐ ทัศน์ ก็คือบารมี ๑๐ หยาบ กลาง ละเอียด สามคูณสิบก็ได้สามสิบแล้ว ยังดีนะ...อย่างน้อยก็ได้ประโยชน์ เอาไปภาวนาได้

เถรี
31-01-2016, 20:49
ถาม : ถ้าคน ๆ หนึ่งทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำโดยไม่คำนึงถึงว่าตนเองจะเดือดร้อน และไม่ได้ไปประกาศบอกถึงความดีของตนให้ผู้อื่นรับรู้ ทำไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต จำเป็นหรือไม่ว่าคนนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ ? อย่างเช่น ปอ ทฤษฎี นักแสดงที่เพิ่งเสียชีวิตไป ก็กระทำความดีแบบไม่ป่าวประกาศ จนความดีมาชัดเจนเอาตอนที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว
ตอบ : ใช่หรือไม่ใช่ คุณก็ขึ้นรถขบวนนั้นแล้ว ถึงเวลาก็ถึงจุดหมายนั้นเหมือนกัน

เถรี
31-01-2016, 20:53
ถาม : คนที่จะตัดราคะกิเลสได้ จะต้องไม่ติดในรสของอาหารด้วย ใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ทุกอย่าง ก็ไม่ติดด้วย ไม่ใช่ไม่ติดในรสอาหารอย่างเดียว

ถาม : บุคคลที่เป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ท่านเห็นอาหารเสมือนเป็นปฏิกูลหรือธาตุใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : เปล่า...เห็นเป็นเครื่องยังชีพอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เวลาที่ไปพิจารณาเป็นปฏิกูลจะไปเห็นอะไร เพียงแต่สติปัญญาของท่านว่องไวมาก แค่เห็นก็รู้แจ้งตลอดแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาไปพิจารณาแบบเรา

เถรี
31-01-2016, 20:57
ถาม : บุคคลที่มีวิสัยมาทางธรรม ชอบเข้าวัดปฏิบัติ มักไม่ค่อยมีคู่ครอง ต่อให้พยายามที่จะมีคู่แต่ก็หาไม่ได้เสียที เกี่ยวกันหรือไม่ว่าโดนบังคับให้บำเพ็ญเนกขัมมบารมี ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก อาตมาเจอหนุ่มอยู่คนหนึ่ง ทั้งหล่อ ทั้งรวย แต่ไม่มีคู่เสียที เพราะเขาไม่รู้กาลเทศะ ประเภทเจอสาวคนไหนที่ชอบก็จอดรถเทียบ "ขึ้นมา..จะไปส่ง...!" แล้วใครจะกล้าไปด้วย ?

ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับเนกขัมมะ ?
ตอบ : อาจจะมีเกี่ยวบ้าง แต่ต้องดูส่วนอื่นประกอบด้วย

เถรี
31-01-2016, 21:00
ถาม : ถ้าเรามีอคติกับคนอื่น โดยคิดกับเขาในแง่ลบ เห็นเขาทำอะไร ๆ ก็มองในแง่ไม่ดีไปหมด ตรงจุดนี้เป็นเพราะโทสะ เป็นเพราะการปรุงแต่งของเรา หรือเป็นเพราะวาระกรรมครับ ?
และต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : อาจเป็นวาระกรรมที่เนื่องกันมาว่าเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากการปรุงแต่งของโทสะ วิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุด คือ หมั่นแผ่เมตตาให้เขาบ่อย ๆ จนกระทั่งจิตใจเราอ่อนโยนลง และยอมรับว่า เขาคือเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน

เถรี
31-01-2016, 21:05
ถาม : มีคำพูดว่า "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของที่พูดได้ยังไม่จริง" ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นครับ ? ต้องเป็นอย่างนี้เสมอไปหรือครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุคคลมีสี่ประเภท

ประเภทที่หนึ่ง เหมือนหม้อเปล่าเปิด ก็คือ ไม่มีความรู้ความสามารถอะไร โม้สะบั้นหั่นแหลกอย่างเดียว
ประเภทที่สอง เหมือนหม้อเปล่าแต่ปิด ไม่มีความสามารถแต่ก็ไม่คุยโม้หลอกใคร
ประเภทที่สาม เหมือนหม้อเต็มที่เปิด มีความสามารถจริง แสดงออกให้คนอื่นเห็นเป็นปกติ
ประเภทที่สี่ เหมือนหม้อเต็มที่ปิด มีความสามารถก็ปกปิดตัวเอง ไม่บอกกล่าวให้ใครรู้

เพราะฉะนั้น...ท่านที่พูดวาจาแบบนั้น ก็แปลว่าเก็บของพระพุทธเจ้ามาแค่ครึ่งเดียว

เถรี
31-01-2016, 21:07
ถาม : หนูยังไม่เคยได้ขึ้นมโนมยิทธิ แต่ว่าลองฝึกแบบฝึกหัดสำหรับฝึกเลื่อนฌานขึ้น ๆ ลง ๆ ตามที่หลวงพ่อได้เคยบอกไว้ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ แล้วเวลาคิดถึงหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษี และพระพุทธเจ้าได้ พอนึกแล้วก็เห็นท่านเลย รู้สึกได้ว่าท่านมาหา และหนูสามารถไปหาท่านได้ รู้สึกได้ถึงจิตกับกายที่แยกจากกัน แล้วก็เห็นตัวเองเป็นพระสงฆ์ไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่กับหลวงพ่อ หนูควรทำอย่างไรต่อไปคะ ?
ตอบ : ต่อไปถ้าต้องการรู้เรื่องอะไรก็ถามพระ หรือถามหลวงปู่หลวงพ่อท่านโดยตรง

เถรี
31-01-2016, 21:09
ถาม : มีผ้ายันต์พิชัยสงคราม แต่ผ้ายันต์มีบางจุดที่เป็นรู อานุภาพยังเท่าเดิมไหมครับ ?
ตอบ : ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่เศษผ้าของผ้ายันต์พิชัยสงครามก็มีอานุภาพเหมือนกับของจริงทั้งผืน

เถรี
31-01-2016, 21:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาติดสอบพระอุปัชฌาย์ตั้งแต่วันที่ ๓-๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ดังนั้น...การรับสังฆทานและสอนกรรมฐานในเดือนกุมภาพันธ์ จึงต้องเลื่อนมาเป็นปลายเดือนมกราคมนี้ ส่วนของเดือนมีนาคมก็ยังมีตามปกติ คือ วันที่ ๔-๕-๖ มีนาคม ๒๕๕๙

แต่ถ้ามีคำสั่งด่วนมาให้พระอุปัชฌาย์ใหม่ไปปฏิบัติธรรม ก็ต้องเปลี่ยนแปลงกำหนดการที่ได้กำหนดเอาไว้ จนกว่าจะพ้นการปฏิบัติธรรมของพระอุปัชฌาย์ใหม่ไปแล้ว จึงสามารถกำหนดการรับสังฆทานและสอนกรรมฐาน ให้เป็นไปตามกรอบที่เคยทำอยู่ ระยะนี้อาจจะทำให้บางท่านกำหนดวันลาลำบากหน่อย ก็เลือกเอาวันที่พวกเรามาทำบุญได้ ถ้ามาไม่ได้ก็ฝากคนอื่นมาทำบุญก็แล้วกัน"

เถรี
31-01-2016, 21:26
"ถ้าอาตมาเป็นพระอุปัชฌาย์แล้ว ก็อาจจะบวชพระปีละครั้งเดียว โดยปีนี้ก็จะบวชหมู่ถวายหลวงพ่อฤๅษีครบ ๑๐๐ ปี ประมาณเดือนมิถุนายน บรรดานาคทั้งหลายถ้าจะบวชก็ให้เข้าวัดตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ อยู่ปฏิบัติเป็นนาคประมาณ ๑ อาทิตย์

การบวชคาดว่าจะเป็นวันที่ ๑๕ และ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ และบวชอยู่อีกประมาณ ๑๐ วัน ไปสึกเอาวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือใครจะอยู่จำพรรษาเลยก็เท่ากับบวชนานขึ้นอีกนิด ที่ต้องบวช ๒ วันเพราะว่าบวชเป็นร้อยรูป แล้วมีพระอุปัชฌาย์อยู่รูปเดียว วันเดียวย่อมไม่เสร็จแน่นอน ยกเว้นว่าท่านใดยอมไปบวชที่วัดอื่น ถ้าใครจะบวชก็วางแผนลายาว ๆ หน่อย หรือถ้าเจ้านายไล่ออก เราก็ฝืนบวชต่อจนเป็นพระอรหันต์ไปเลย..!

เหตุที่ไม่บวชเองทั้งสี่ครั้ง เพราะพระอุปัชฌาย์ท่านอื่นของทองผาภูมิจะไม่มีผลงานไปรายงาน ถ้าไม่มีผลงานเดี๋ยวเจอข้อหาละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่ โดนปลดออกก็ซวยอีก จึงแบ่งให้ท่านอื่นได้บวชบ้าง

แต่จะมีอีกครั้งหนึ่งที่บวช คือ บวชสามเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งจะเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคมของทุกปี น่าจะประมาณ ๑๐ วัน แต่สามเณรชุดนั้นจะระบุชัดเจนว่าเป็นของโรงเรียนไหน เพราะวันสึกจะได้รับทุนการศึกษาด้วย เป็นทุนพิเศษที่ทางวัดท่าขนุนมอบให้ โทษฐานที่ยอมมาบวชโดยไม่กลัวโดนฟาดตูด..!"

เถรี
02-02-2016, 19:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องการเลี้ยงสัตว์ ถ้าเราไม่ได้รักจริง ๆ อย่าไปเลี้ยงเขา เพราะเราจะเลี้ยงเฉพาะตอนที่เขาตัวเล็ก ๆ น่ารักเท่านั้น พอโตขึ้นมาหน่อย เราเห็นว่าเขาหมดความน่ารัก เราก็ไม่ต้องการอีกแล้ว แต่เวลาสัตว์เขารักเรานั้นเขารักจริง และจดจำไปตลอดชีวิต เคยดูคลิปที่เขาเอาสิงโตมาเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ๆ พอโตขึ้นเจ้าของเลี้ยงไม่ไหว ก็เลยเอาไปปล่อยที่อุทยาน ผ่านไปปีกว่าย้อนกลับไปเยี่ยม สิงโตกระโดดกอดเลย ทั้ง ๆ ที่สิงโตล่าสัตว์กินเองมาตั้งนานแล้วนะ เขายังจำคนที่เลี้ยงเขาได้"

เถรี
02-02-2016, 19:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่ได้ปรารภว่า คนเรารักตัวเองจริง ๆ อาตมาแค่โดนกาวติดมือนิดเดียว ก็เกิดความรู้สึกว่า "ไอ้นี่ไม่ใช่ของกู" ต้องเอาออกให้ได้ แล้วถ้าเผลอเมื่อไรก็จะกลายเป็น "มือนี่เป็นของกู กาวมาติดมือกู" ฉะนั้น...โปรดระมัดระวังให้ดี สติสัมปชัญญะไม่ทันเมื่อไร จะเสร็จกิเลสทุกครั้ง"

เถรี
02-02-2016, 19:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครสิ้นสติไปซื้อลูกเทพมาบ้าง ? หรือมีใครไปซื้อ Adidas มาแล้ว ? จะได้โดนเขาเหยียบตาย รองเท้าทั้งร้านมี ๕๑ คู่ ไปกันเกือบพันคน รองเท้าคู่หนึ่งก็ ๖,๙๙๐ บาท คนที่ไปซื้อแต่ละคนหน้าตาก็ยังขอเงินพ่อแม่ใช้ทั้งนั้น

ทำอย่างไรจะให้บ้านเราเลี้ยงลูกแบบฝรั่งบ้าง ครอบครัวฝรั่งที่มีฐานะหน่อย จะกำหนดเงินค่าขนมรายอาทิตย์ให้ลูก ซึ่งไม่ได้มากเลย ถ้าต้องการอะไรพิเศษมากกว่านี้ก็ให้หาเงินเอง เช่น ทำขนมขาย ทำน้ำขาย รับจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็ก รับจ้างตัดหญ้า รับจ้างทาสีรั้ว ของบ้านเรานี่แบมือขออย่างเดียว ถ้าไม่ได้ก็ลงไปนอนดิ้นที่สี่แยกอีกต่างหาก ถ้าเป็นอาตมาจะปล่อยให้สิบล้อทับไปเลย..!

บ้านเราเลี้ยงลูกเป็นไข่ในหิน เป็นการเลี้ยงลูกผิดทาง ลืมไปว่าตัวเราเองจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าลูกทำอะไรไม่เป็นด้วยตนเอง ถึงเวลาเราตายแล้วลูกจะลำบากมาก ฝรั่งนี่พอลูกเริ่มเดินได้ จะไม่มีการอุ้มแล้ว ปล่อยให้เดินตามอย่างเดียวเลย เด็กยืนร้องไห้ก็ปล่อยให้ยืนร้องอยู่ตรงนั้นแหละ พ่อแม่เดินไปเรื่อย พอเด็กเห็นไปไกลก็ต้องวิ่งตามเอง

เวลาเด็กหยิบช้อนเล่นก็ส่งจานให้ตักใส่ปากเอง จะละเลงเละเทะอย่างไรก็ไม่ว่า พอเก็บล้างเรียบร้อย ถ้าไม่ถึงมื้ออาหารก็ไม่มีให้กินอีก เด็กเจอไปสองมื้อก็รู้แล้วว่าถ้าไม่กินก็คือหิว จึงต้องตักใส่ปากเอง ส่วนบ้านเราจะสิบขวบแล้วยังต้องไล่ป้อนอยู่เลย แล้วก็มานั่งโอดโอยว่าลูกไม่ยอมกินข้าว ปล่อยให้อดสักสองวันดูสิจะกินไหม ? รักลูกให้ถูกทางด้วย ไม่อย่างนั้นจะเป็นพ่อแม่รังแกลูก"

เถรี
02-02-2016, 19:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านใครไม่มีโอ่ง ไม่มีแท็งค์ ให้เตรียมไว้เพื่อตุนน้ำบ้าง เผื่อเอาไว้ ถ้าน้ำประปาขาดแคลนจะได้มีใช้ ได้แต่หวังว่าเทวดาจะสงเคราะห์ให้ฝนตกที่กาญจนบุรี โดยเฉพาะทองผาภูมิแถวเหนือเขื่อนให้มากขึ้น

ตอนนี้กรุงเทพฯ ใช้น้ำจากเขื่อนวชิราลงกรณและเขื่อนศรีนครินทร์ มีคลองส่งน้ำวิ่งตรงเข้ามาโรงกรองน้ำธนบุรี โรงกรองน้ำสามเสนใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งปีนี้คุณภาพน้ำนอกจากจะแย่แล้ว ปริมาณน้ำยังน้อยอีกต่างหาก"

เถรี
02-02-2016, 20:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของลูกเทพเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ คนเราไม่รู้ว่าจะพึ่งอะไร ในเมื่อไม่รู้ว่าจะพึ่งอะไร พอเห็นเขามีก็เห่อตามกระแส อย่างที่สองก็คือ อุ้มไปไหนได้ไม่ต้องอายใคร ถ้าอยู่ ๆ เกิดเราจะอุ้มกุมารทอง คนเขาก็มองแปลก ๆ ว่าไอ้นี่เล่นของหรือเปล่า...ใช่ไหม ? คราวนี้พออุ้มลูกเทพไปก็กลายเป็นว่า สังคมเขาก็ยังเห็นว่าเป็นตุ๊กตา ไม่ต้องไปอับอายขายหน้าใคร

ประการต่อไปก็คือเป็นกระแส เราจะเห็นว่าบ้านเราอะไรที่มาเร็วก็ไปเร็ว คนที่ขยับตัวก่อนก็มักจะรวย คนที่เหลือก็ซวยไป ขยับไม่ทันใคร ตามกระแสไม่ทันก็ตกยุคไป

ความจริงรัฐบาลน่าจะสนับสนุน เพราะว่าถ้าทั้งประเทศซื้อลูกเทพไปคนละตัว เศรษฐกิจคงดีขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อย ๆ ตัวหนึ่งก็ ๓๐๐-๔๐๐ บาท ออกประกาศนียบัตรให้เลย ใครเลี้ยงลูกเทพได้ดีกว่ากัน แต่ส่วนที่น่าเสียดายก็คือ แทนที่จะพึ่งพระก็กลายเป็นพึ่งผี แม้ว่าจะเอาไปให้พระสงฆ์องค์เจ้าท่านลงคาถา ลงเลข ลงยันต์อะไรให้ก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยได้นึกถึงพระหรอก ไปคิดถึงลูกผีอยู่นั่นแหละ ในเมื่อเป็นดังนี้ ส่วนของกำลังใจที่จะเกาะความดีจะมีน้อยลง

อีกส่วนหนึ่งก็คือเป็นความงมงาย เชื่อถือกันไร้เหตุไร้ผล พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าใครอยากรวยต้องประกอบด้วยหัวใจเศรษฐี ก็คือ อุอากะสะ อุมาจากคำว่า อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร อา มาจาก อารักขสัมปทา รู้จักเก็บงำทรัพย์สิน รู้จักอดออม รู้จักประหยัด กะ มาจาก กัลยาณมิตตา คบแต่เพื่อนที่ดี ไม่คบพวกที่ชวนไปทางเสียหาย ไม่คบพวกที่ดื่มสุราติดยาเสพติด และ สะ ก็คือ สมชีวิตา ดำเนินชีวิตพอเหมาะพอสมควรฐานะ ไม่ฟุ้งเฟ้อจนเกินไป มีเงินเดือนนิดเดียวไปพกบัตรเครดิตเสีย ๔-๕ ใบก็เตรียมเจ๊ง หมุนเงินไม่ทันหรอก"

เถรี
02-02-2016, 20:21
"ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดแล้วว่า ถ้าอยากรวยต้องทำแบบนี้ แต่สมัยนี้เขาไปเปลี่ยนใหม่ กลายเป็นอยากรวยต้องบูชาลูกเทพ เล่นเอาคนอื่นประสาทหลอนไปตาม ๆ กัน อยู่ ๆ ก็นั่งคุยอยู่คนเดียว ถ้าใครอยากรู้ว่าสนุกแค่ไหน ไปหาคลิปลูกเทพคุยกับเท็ดดี้แบร์ เอามาดูหน่อยสิ จะได้รู้ว่าเขาแซวได้เจ็บแค่ไหน ลูกเทพบอกว่า “วันก่อนหม่ามี้พาไปกินอาหาร” เท็ดดี้แบร์ถามว่า “อร่อยไหม ?” “อร่อยกับผีอะไร ได้แต่นั่งดูเฉย ๆ”

แล้วในส่วนที่อันตราย ก็คือ บางคนอกุศลกรรมแทรก มีพวกกาลกัญจิกอสุรกาย หรือมหิทธิกาเปรต หรือสัมภเวสีมาแทรกมาสิงเข้า คราวนี้ก็เป็นเรื่องเลย ถ้าหากว่าบารมียังถึง เอาอยู่ก็แล้วไป ถ้าไม่อยู่คราวนี้ให้ร้าย ได้บ้านแตกสาแหรกขาดกันบ้าง

แต่บ้านเรากระแสพวกนี้มาเร็วไปเร็ว ใครขายไวก็รวย ใครขายช้าก็เตรียมเจ๊งได้ ไม่นานก็กระแสตก เห็นมีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านประกาศ วิชานี้ไม่ห้ามลูกเทพ เพราะอาจารย์เปิดกว้าง แต่ถ้าลูกเทพมาเข้าชั้นเรียนก็ต้องเรียนด้วย ต้องทำงานวิจัยส่งด้วย ถึงเวลาอาจารย์สั่งให้แก้งาน ก็ต้องแก้ด้วย อาจารย์เปิดกว้างจริง ๆ เลย เท่ากับบอกว่าอย่าเอามานั่นเอง"

เถรี
02-02-2016, 20:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อพระวัดท่าขนุน ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อาตมาเองแทบจะไม่มีเวลาไปดูไปแล ได้แต่สั่งงานพระทางวัดเอาไว้ เพราะว่าวันที่ ๓-๑๙ กุมภาพันธ์ ต้องสอบพระอุปัชฌาย์ ๔ รอบด้วยกัน ไม่มีโอกาสไปไหนเลย

งานนี้เจ้าภาพใหญ่ คือ พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม หรือหลวงพี่มหาเอของพวกเรา ท่านถวายปัจจัยมาแล้วล้านกว่าบาท พวกเราที่ทำมาก็ร่วมบุญกับท่านไปแล้วกัน เป็นเจ้าภาพร่วมกัน อาตมาเอาลงกองกลางหมด ตอนนี้ส่งฎีกานิมนต์พระไปหลายรูปแล้ว แต่บางท่านก็ติดงาน โทรแจ้งมาแล้วเหมือนกันว่ามาไม่ได้"

เถรี
02-02-2016, 20:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีอาตมาก็คิดว่าตัวเองเพี้ยนหรือเปล่า ? ของที่คนอื่นเห็นว่าสวย ก็ไม่ได้รู้สึกอยากได้ใคร่ดีอะไร แม้กระทั่งอาหารการกิน ญาติโยมเอานั่นมาถวาย เอานี่มาถวาย อย่างนั้นก็อร่อย อย่างนี้ก็อร่อย ฉันเข้าไปแล้วไม่เคยนึกอยากฉันซ้ำเลย สงสัยว่าจะตายด้านแล้ว..!

โยมหลายคนจะสังเกตว่าอาตมาฉันอาหารเร็ว ที่ฉันเร็วเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือ โดนฝึกมาจากสมัยที่เรียนทหาร ทุกอย่างต้องเสร็จภายใน ๓ นาที จึงติดเป็นความเร็วมา อีกประการหนึ่งคือ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรอร่อยพอให้ไปนั่งละเลียด ก็เลยกลายเป็นฉันเร็ว"

เถรี
02-02-2016, 21:04
ถาม : (เป็นนิ่ว)
ตอบ : อย่าไปผ่า แค่เสียค่าสับปะรดไม่กี่สตางค์ หมอเขาบอกว่าให้กินสับปะรดสักอาทิตย์ละครั้ง จะได้ละลายนิ่วได้ ส่วนใหญ่พวกนิ่วเกิดจากกินน้ำน้อย พอกินน้ำน้อยก็เลยตกตะกอนง่าย เอาสับปะรดลูกใหญ่ ๆ เลย นางแลลูกเล็กไป...ไม่สะใจ

เถรี
02-02-2016, 21:06
ถาม : หลานเขาบอกว่า อยากได้ลูก แต่ลูกเขาแท้งไป ?
ตอบ : บอกเขาว่า พอรู้ตัวว่าท้องให้เลิกเล่นอะไรที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เพราะนั่นแหละ..ตัวทำให้แท้ง เท่ากับเขายืนอยู่หน้าจอที่แผ่รังสีอยู่ตลอด ไปบอกเขาว่ายังสาวอยู่ ผลิตใหม่ได้ เพียงแต่รู้ตัวว่าท้องก็ให้เลิกเล่นคอมพิวเตอร์ทุกประเภท จะจอใหญ่จอเล็กให้เลิกเล่นไปเลย

เถรี
02-02-2016, 22:35
ถาม : ท่านเคยบอกว่ากิเลสเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าเราไม่ไปปรุงแต่งต่อกิเลสก็ไม่เกิด ทีนี้พอเรามีสติว่ามีกิเลส กิเลสก็หายไปแล้ว ตอนนั้นเราไปนั่งมองไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีสติพอ กิเลสจะเกิดไม่ได้เลย แต่คราวนี้สติไม่พอ เราก็เลยทำให้กิเลสเกิด อย่างนี่คือปากกา ถ้าคิดว่า...วันนั้นคนข้างบ้านไม่ดีกับเรา เขียนไปด่าเขาหน่อย โทสะก็เกิด หนุ่มคนนั้นหล่อดี เขียนไปขอเบอร์เขาหน่อย ราคะก็เกิด ฉะนั้น...อยู่ที่ใจเราไปปรุงแต่งต่อ ถ้าสติของเราเพียงพอ เราไม่ไปสร้างเหตุ กิเลสเกิดไม่ได้เลย แล้วเราจะไปดูอะไรเล่า ?

ถาม : การพิจารณานี่ลงที่อารมณ์ร่างกายเท่านั้นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ท้ายสุดเราไม่เอาอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกิเลส จะเป็นร่างกาย จะเป็นอะไรก็ตาม เราไม่เอาแล้ว ปล่อยวางภาระทั้งหมด ยังอยู่ก็สักแต่ทำหน้าที่ไป พ้นเมื่อไรก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว ทำตามหน้าที่ของเราให้ดี ทำแบบคนที่มีวันนี้วันเดียว ในเมื่อมีวันนี้วันเดียวก็ทำหน้าที่ให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ถ้าขี้เกียจแปลว่าไปผิดทาง

ถาม : เรามองเห็นว่าชีวิตเหมือนเป็นแค่ความฝัน แล้วก็วูบไป ก็ไม่รู้สึกอะไรกับการที่จะต้องทำทางโลกให้เจริญขึ้น ?
ตอบ : แสดงว่าไปผิดทางแล้ว ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ในเมื่อเรามีวันนี้วันเดียว ยิ่งเวลามีน้อยเท่าไรก็ยิ่งต้องทำให้ดีเท่านั้น

ถาม : พอเราคิดว่าดีแค่ไหนเดี๋ยวก็สลาย ไม่เหลืออยู่ดี ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ คนอื่นเขาเห็น ทำเพื่อตัวอยู่ได้แค่ชั่วสิ้นลม ถ้าทำเพื่อสังคมอยู่ได้นิจนิรันดร์

เถรี
03-02-2016, 12:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเลี้ยงลูกเทพบ้าง ? เห็นวันก่อนมีคนรับจ้างฆ่าลูกเทพพร้อมทำลายซาก..! สังคมเราไปไกลนะ ส่วนใหญ่บ้านเราจะเป็นไปตามกระแส วูบ ๆ วาบ ๆ ต้องบอกว่าเป็นสีสันของชีวิต แต่อย่าถึงขนาดสิ้นสติ ไหลตามเขาไปมากนักก็แล้วกัน

ถ้าพวกเราเคยสวดมนต์ไหว้พระ ซึ่งจะมีคำสวดว่า
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง

แปลว่า ที่พึ่งอื่นใดของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุดของข้าพเจ้า ไม่ใช่เอาลูกเทพเป็นที่พึ่ง ต้องเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นหลัก อย่างอื่นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น"

เถรี
03-02-2016, 12:20
"ถ้าจะเลี้ยงลูกเทพเพื่อช่วยให้รวย อาตมายืนยันว่าภาวนาพระคาถาเงินล้านดีกว่า เพราะว่าการเลี้ยงลูกเทพยังไม่แน่ว่าเราจะได้ทำอะไรที่เป็นเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่การภาวนาพระคาถาเงินล้าน อย่างไรเสียเราก็ได้อานิสงส์ของการภาวนาแน่ ในเมื่อได้ในส่วนของการภาวนาแน่ ในส่วนความดีที่เราได้ทำ จึงเป็นความดีที่สูงมากด้วย เพราะเป็นส่วนของสมาธิภาวนา พอถึงเวลาผลตอบแทนพิเศษมีขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ หรือไม่ก็ภาวนาตั้งใจทำมาหากิน ถึงเหนื่อยหน่อยก็ยอม

คนภาวนาพระคาถาเงินล้าน ถ้าทำงานนี่เหนื่อยปางตายเลยนะ งานจะไหลมาเทมา ทุกวันนี้อาตมายุพี่ชายตัวเองไม่ขึ้น เพราะว่าพี่ก้องเกียรติภาวนาแค่วันละ ๙ จบ ถามว่าทำไมไม่เอาให้เยอะหน่อย ? “โอ๊ย...แค่นี้ก็จะเหนื่อยตายแล้ว งานไหลมาจนกระทั่งรับไม่ไหว” แต่ละคนเขาทำบุญมาไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ต่างกันไป

อาตมาเองอาจจะนั่งอยู่ตรงนี้แล้วเงินทองไหลมาเทมา แต่ญาติโยมอาจจะงานเพิ่มเยอะขึ้น วันก่อนมีโยมท่านหนึ่งมารายงานว่า มาร่วมงานสวดพระคาถาเงินล้าน เสร็จแล้วกลับไปปรากฏว่า งานที่เงียบ ๆ มา ๕-๖ เดือน ไหลพรวดพราดมา เซ็นสัญญากันแทบไม่ทัน อาจจะเป็นเพราะคนเขามัวแต่ศึกษาอยู่ว่าจะจ้างบริษัทไหนก็ได้ แล้วบังเอิญพอดีสวดพระคาถาเสร็จ เขาตัดสินใจว่าจะเอาบริษัทนี้ ก็พอดีได้งานเลย"

เถรี
03-02-2016, 12:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ทางด้านเจ้าคณะภาค ๑๔ ออกมติคณะสงฆ์มา มีอยู่ข้อหนึ่งก็คือ ต้องบวชสามเณรภาคฤดูร้อนทุกตำบล เพราะฉะนั้น...ถ้าอาตมาสอบพระอุปัชฌาย์ได้ ก็จะบวชปีละ ๒ รอบแล้วกัน รอบหนึ่งบวชเณร รอบหนึ่งบวชพระ ส่วนบวชฟรีปีละ ๔ ครั้งก็ยังบวชเหมือนเดิม แต่อาจจะเหลือ ๓ ครั้ง ก็คือให้ท่านอื่นช่วยบวชให้ ช่วงมาฆบูชา วิสาขบูชา และลอยกระทง ส่วนบวชเข้าพรรษาอาตมาจะบวชเองตั้งแต่มิถุนายน หรือจะเอาตั้งแต่พฤษภาคม ? คงตายกันพอดี...!"

เถรี
03-02-2016, 12:37
"อาตมาไปเป็นนาคอยู่ที่วัดตั้งแต่เดือนเมษายน จำได้ว่าลากลับไปเยี่ยมบ้านครั้งแรกประมาณหลังกฐิน (เดือนพฤศจิกายน) ก็ราว ๆ ๘ เดือน ปรากฏว่ากลับบ้านไปอยู่ได้ไม่ถึง ๑๕ นาที ความรู้สึกบอกชัด ๆ เลยว่า “บ้านนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว” อยู่บ้านไม่ได้ รู้สึกว่าบ้านร้อน ก็เลยต้องหนีไปอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทราวาส แล้วจากวันนั้นจนวันนี้ ก็ไม่คิดที่จะไปบ้านอีกเลย ๓๐ ปีพอดี

มีใครคิดถึงบ้านบ้างไหม ? พอรู้สึกว่าบ้านไม่ใช่ของเราแล้ว อาตมาก็ตัดใจเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปอีก มีทางพี่ชายใหญ่ที่อยู่ต่างจังหวัด นิมนต์ไปงานตรุษจีนรวมญาติ ไปให้เขา ๒ ปี ปีที่ ๓ ก็ไม่ไปอีก เพราะว่าไปแล้วเขามักจะถวายเงินแต๊ะเอียมา ดูเหมือนอย่างกับอาตมาตั้งใจไปเอาเงิน ในเมื่อรู้สึกว่าถ้าไปอย่างนั้นแล้ว อาจจะมีบางคนคิดในแง่ไม่ดี ทำให้เป็นโทษแก่เขาเอง ก็เลยไม่ไปอีก เป็นอันว่าตัดญาติขาดมิตร ใครอยากเจอให้ไปวัดเอง ไปวัดแล้วก็ไม่ค่อยจะเจอเสียด้วย

ทุกวันนี้เวลาญาติโยมบางท่านมาปรึกษา ว่าอยากจะย้ายงานกลับไปทำงานที่บ้านตัวเอง หมายความว่าย้ายกลับบ้านเกิด จะเป็นในจังหวัด ในอำเภอ ในตำบล หรือในหมู่บ้านยิ่งดี อาตมาจะรู้สึกว่าแล้วจะไปให้ยุ่งยากทำไมวะ ? ในความรู้สึกของพระจะรู้สึกว่าการที่ญาติเยอะเป็นภาระ แต่ญาติโยมหลายท่านก็มักจะมาขอปรึกษาบ้าง บ่นเลยบ้าง เรื่องขอย้ายกลับบ้าน สงสัยว่าอาตมาจะเป็นคนที่คบไม่ได้ ขนาดญาติยังไม่เอาเลย..!"

เถรี
03-02-2016, 12:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้แม่ชีกุลภรณ์ แก้ววิลัยของวัดท่าขนุนจบปริญญาเอกแล้ว เป็นอันว่าทองผาภูมิมีด็อกเตอร์เพิ่มขึ้นมาอีก ๑ คน กว่าจะจบได้ก็น้ำตาเล็ดเหมือนกัน จริง ๆ แล้วการเรียนระดับนี้เราต้องมีเวลาเต็มเลย ถ้ามีเวลาไม่พอ ทำงานอื่นไปเรียนไปนี่จะสาหัสมาก ดังนั้น...อย่างที่ท่านหนึ่ง (พระจิตศิลป์ เหมรํสี) เรียนอยู่ก็ถือว่าคิดถูก คือยังเป็นพระใหม่อยู่ก็ขอเรียนเลย อาตมาส่งไปเรียนผ่านไปหนึ่งเทอม น้ำหนักท่านหายไปเกิน ๒๐ กิโลกรัม ครั้นจะบอกว่าเรียนยาก อาตมาก็จบมาแล้ว จะกลายเป็นว่า "อวย" ว่าตัวเองเก่ง ก็เลยบอกให้ไปลองดูแล้วกัน เพราะฉะนั้น...เสี่ยตือควรที่จะไปเรียนบ้าง เทอมละ ๒๐ กิโลกรัมโดยไม่ต้องเสียเงินไปลดเลย

ท่านอธิการบดีของ มจร. จบปริญญาเอกมาโดยเกรด O (Outstanding) ก็คือเกินกว่าที่มหาวิทยาลัยจะให้เกรดได้ ท่านก็เลยอยากจะให้พวกเราได้อย่างนั้นบ้าง เล่นเอานิสิตปริญญาเอกนี่ปางตายเลย"

เถรี
03-02-2016, 20:42
ถาม : วันก่อนผมกับน้องผมเจอเวมาณิกเปรต ที่เป็นเปรตครึ่งหนึ่งกับเทวดาครับ ที่ผมเห็นด้วยตาเห็น เขาหน้าตา.....เป็นไปได้ด้วยหรือครับ เหมือนว่าเขาอยากได้อีก ?
ตอบ : ใครที่อยู่ที่ลำบากก็อยากได้มาก เป็นเรื่องปกติ

ถาม : ตอนที่เป็นเทวดายังมีกลิ่นสาป ๆ เหมือนเปรต ?
ตอบ : ตอนที่เป็นเทวดาก็ยังคงเป็นสภาพเปรตอยู่ครึ่งหนึ่ง

ถาม : ก็คือกลายเป็นเทวดาแต่กลิ่นสาปก็ยังเหมือนเปรตหรือครับ ?
ตอบ : เรื่องปกติ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะแยกออกได้อย่างไร ว่าใครเป็นเทวดาแท้ ใครเป็นเวมาณิกเปรต ?

เถรี
04-02-2016, 19:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางด้านสมศ. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ไปตรวจมาตรฐานการศึกษาโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ ที่อาตมาเป็นคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่ เขาก็ไปตำหนิว่าภาษาอังกฤษได้แค่ ๖ จะต้องแก้ไข วิชานั้นได้เท่านี้ วิชานี้ได้เท่านี้ ใช้ไม่ได้

อาตมาก็เลยบอกว่า "ขออนุญาตถามคณะกรรมการหน่อยว่า มาตรฐานที่เอามาตรวจสอบนี่เป็นมาตรฐานของใคร ?" เขาบอกว่ามาตรฐานของสมศ. “สมศ.เอามาตรฐานของเด็กกรุงเทพฯ มาวัดเด็กทองผาภูมิใช่ไหม ? สมศ.ยอมรับหรือเปล่าว่ามาตรฐานที่กำหนดมาก็มาจากตำราฝรั่ง ลอกเขามา ลองเอาเด็กกรุงเทพฯ มาพูดภาษามอญแข่งกับเด็กทองผาภูมิดูสิ..! ทำไมต้องให้พูดภาษาอังกฤษ ? ในเมื่อที่นี่เขาถนัดภาษามอญ เอาเด็กกรุงเทพฯ โรงเรียนไหนก็ได้ จะเป็นสวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ หรือเซนต์โยเซฟฯ อะไรก็ได้ เอามาโยนเข้าป่าไปพร้อม ๆ กัน ดูว่าเด็กใครจะอดตายก่อน..! ตกลงว่าคุณเอามาตรฐานอะไรมาวัดเด็กของอาตมา ? ได้ดูบริบทสิ่งแวดล้อมหรือสภาพพื้นฐานความเป็นจริงของเขาหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าคุณต้องการเข้าสู่ AEC ต้องการความเป็นนานาชาติ ของอาตมามีเด็กมอญ มีเด็กทวาย มีเด็กพม่า มีเด็กกะเหรี่ยง เด็กในกรุงเทพฯ ของคุณพูดได้กี่ภาษา ?” เล่นเอากรรมการนั่งเซ็งไปตาม ๆ กัน

"จำไว้ว่าอย่าเอามาตรฐานโง่ ๆ ของพวกคุณมาวัด แต่ว่าควรที่จะทำอย่างไรในการยกมาตรฐานของเด็กให้ดีขึ้น โดยที่เขาสามารถเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่ใช่ว่ามาตรฐานเกณฑ์วิชาสายวิทยาศาสตร์สูงลิบเลย แต่พอให้เด็กไปหุงข้าว เด็กหุงข้าวไม่เป็น คณิตศาสตร์ทำได้เกรด ๔ ทุกคนเลย แต่ถึงเวลาปล่อยเข้าป่าไป หากินไม่เป็น..อดตาย แล้ววิชาพวกนี้ช่วยอะไรเราได้ ?" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนอาตมาด่าไปแล้ว หูตาจะสว่างขึ้นบ้างหรือเปล่า ?"

เถรี
04-02-2016, 19:29
"การสอนเด็กของบ้านเรา มีแค่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ครูสามารถปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเขาได้ ทางด้านแม่สอด จังหวัดตาก ครูพาเด็กไปเดินท่อม ๆ ในป่า เก็บผักที่กินได้ เก็บผลไม้ที่กินได้ เก็บข้าวของอะไรที่กินได้ใช้ได้มา เสร็จแล้วก็เอามานับกันว่าของเธอได้กี่ชิ้น ? ของฉันได้กี่ชิ้น ? เธอได้มากกว่าเท่าไร ? เธอได้น้อยกว่าเท่าไร ? ก็เท่ากับสอนเด็กให้บวกลบคูณหารนั่นเอง เสร็จแล้วเด็ก ๆ ๘ คนนี้รวมกันได้เท่าไร ? กลุ่มนี้ได้เท่าไร ? กลุ่มนี้มากกว่าหรือน้อยกว่า ? เท่ากับสอนคณิตศาสตร์ในชีวิตจริง

ข้าวของที่เก็บมาเด็กก็กินได้ เข้าป่าอย่างไรก็ไม่อดตาย เพราะหากินเป็น ถ้าลักษณะนั้นถึงคำนึงถึงบริบทในการดำเนินชีวิตของเด็ก ๆ ถึงเวลาพาไปลงนา ไปดำนา ไปหาปลา ไปขุดปู คราวนี้ก็สอนไปสิ จะเสริมสร้างลักษณะนิสัย หรือว่าศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอะไรก็ว่าไป"

เถรี
04-02-2016, 19:31
"ต้องให้เด็กเขามีภูมิคุ้มกัน ก็คือหัดขัดใจเขาบ้าง อย่าให้เขาคิดว่าอาละวาดแล้วจะได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็จะแขวนคอตายอย่างที่มีข่าว เพราะว่าท่านที่แขวนคอตายไปนั้น ในชีวิตอยากได้อะไรก็ได้หมด ราบรื่นมาทุกอย่าง อยู่ ๆ ชีวิตพลิกผันจากฟ้าเป็นเหว รับไม่ได้...เพราะภูมิคุ้มกันไม่มี คราวนี้ภูมิคุ้มกันไม่มีไม่ว่า ยังไม่เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมอีก ก็ได้แต่คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็คิดไม่ตก

เพราะฉะนั้น...หัดขัดใจเด็กเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าอาละวาดก็แจกไม้เรียวให้บ้าง จำไว้ว่าไม้เรียวศักดิ์สิทธิ์เสมอ รุ่นนี้ไม่ได้เรียนกระมัง ? ‘ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย ไม้เรียวเจียวเหวย กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว ฯลฯ’ คงไม่เคยโดนหรอก เพราะตำราไม่ได้บอกไว้ ตำราของอาตมาบอกไว้ เลยโดนครูตี...!"

เถรี
04-02-2016, 20:47
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมคนหนึ่งชื่อป้าปราณี ศุภภักดี รู้จักกันตั้งแต่ตอนก่อนอาตมาจะบวช ตอนนั้นอาตมาเรียกแกเป็นป้า เมื่อ ๒-๓ วันก่อนแกมาหา อายุ ๙๒ ปีแล้ว แข็งแรงมากเลย แกตามไปที่วัด บอกว่ารู้ว่าอยู่แถว ๆ นี้ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ก็ตามหาจนเจอ ที่ขำก็คือคนขับรถอายุ ๗๐ กว่าปี ส่วนตัวของป้าเอง ๙๐ กว่าปี ตามไปจนเจอ เขาบอกว่าอย่างไรรู้ไหม ? “ลาแล้วลาเลยนะ ไม่รู้จะได้เจอกันอีกหรือเปล่า ?” อายุ ๙๐ กว่าแล้ว แต่แข็งแรงนะ เดินไปเดินมาคนเดียวตัวปลิวเลย ประเภทสร้างบาปมาน้อย บุญก็รักษา ส่วนอาตมาประเภทสร้างบาปมาทุกชาติ พอถึงเวลากรรมจึงตามเล่นงาน

สำคัญที่ว่าเราต้องยอมรับว่าเราทำไว้ เราถึงได้รับ ในเมื่อเราทำไว้ เราถึงเป็นอย่างนี้ เขาเปิดโอกาสให้เราได้สร้างบุญต่อก็ถือว่าดีแล้ว ถึงแม้จะสร้างยากหน่อยก็ช่างเถอะ"

เถรี
04-02-2016, 20:52
ถาม : มีคนโพสต์ว่า ผู้ทรงฌาน มารจะมองไม่เห็น จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง...แต่อย่าให้หลุดนะ ถ้าหลุดเมื่อไรก็เห็น ที่มารมองไม่เห็นเพราะว่าเสนามารไม่สามารถที่จะรุกรานได้ บุคคลที่ทรงฌาน รัก โลภ โกรธ หลง นิ่งสนิทหมด กิเลสไม่เกิดแล้วมารจะหาเจอได้อย่างไร ? ประโยคนี้เป็นพุทธพจน์เลยนะ พระพุทธเจ้าตรัสเองเลย

ถาม : เดี๋ยวนี้โพสต์กันง่ายครับ ?
ตอบ : โพสต์กันง่าย แต่คราวนี้ต้องเข้าใจด้วยว่ามีที่มาอย่างไร คนที่ทรงฌานกิเลสเกิดไม่ได้อยู่แล้ว พอกิเลสเกิดไม่ได้มารก็หาไม่เจอ แต่อย่าหลุดเชียวนะ ถ้าหลุดเมื่อไรมารเขาก็หาเจอเมื่อนั้นแหละ..!

เถรี
04-02-2016, 20:55
ถาม : พระโสดาบันทรงฌานตลอดเวลาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ตลอดจะตัดกิเลสไม่ได้ ฌานเท่ากับเป็นสมบัติเฉพาะตัวของท่านไปแล้ว

ถาม : ถึงว่าทำไมกรรมเก่าตามไม่ทัน ?
ตอบ : ตามทัน เพียงแต่ว่าเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าไม่ใช่กรรมที่หนักจริง ๆ ไม่ได้กินท่านหรอก

ถาม : ของผมกำลังใจได้อยู่แค่ช่วงเช้า แป๊บ ๆ ก็ไปแล้ว ?
ตอบ : ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำให้มากหน่อย ไม่ใช่ถึงเวลาแป๊บ ๆ แล้วเราก็ปล่อยแป๊บต่อไป

เถรี
04-02-2016, 20:57
ถาม : ผมตั้งใจว่า ผมจะรักษาศีลแปดตลอดชีวิต คิดได้แป๊บหนึ่ง เอ๊ะ..เดี๋ยวจะหนักไป พระโสดาบันยังศีลห้า เราเอาแค่ศีลห้าดีกว่า อย่างนี้เราตั้งกำลังใจผิดไหม ?
ตอบ : จะเรียกว่าผิดไหม ? ก็ไม่ผิด แต่ถ้าถามว่าถูกไหม..? ก็ไม่ถูก เป็นเฉพาะในเหตุการณ์ช่วงนั้น เราก็ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน แต่ถ้าเข้าพระนิพพานชาตินี้ได้ก็จะเอาเลย หมดเรื่องไป

ถาม : ไม่ต้องไปตั้งใจว่าศีลอะไรหรือครับ ?
ตอบ : จะศีลอะไรก็ช่าง อย่างน้อยก็ต้องศีล ๕ บริสุทธิ์อยู่แล้ว ศีลจะเป็นศีลหรือไม่อยู่ที่การลงมือทำ มีโอกาสละเมิดก็ตัดใจงดเว้น ไม่ใช่เสียเวลาไปว่าทีละข้อ

เถรี
04-02-2016, 21:00
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่สุขภาพไม่ค่อยดีว่า "เขายังให้เราไปไหนได้ก็เอาเถอะ เขาให้แค่ไหนเราก็เอาแค่นั้น เขาขวางการสร้างบุญของเราไม่ได้หรอก ถ้าไปไหนไม่ได้เลยก็นั่งภาวนาเอา อย่างน้อยก็ได้บุญเหมือนกัน"

เถรี
04-02-2016, 21:05
ถาม : ผมเปิดเทปที่ท่านสอนกรรมฐาน ฟังแล้วก็ชอบ ทำเลย ฟังแล้วฟังอีก ก็มีความรู้สึกว่าทำไมเราไม่ฟังทั้งวัน คือเราควรจะฟังจากวันนี้ไปเลย ?
ตอบ : ถ้ายังเหมาะกับกำลังใจเราก็ใช้ไปเรื่อยก่อน จนกระทั่งรู้สึกว่าหาประโยชน์อะไรเพิ่มเติมไม่ได้นอกจากอนุสติ แล้วค่อยขยับไปเนื้อหาเรื่องอื่น เพราะว่าถ้าตรงกับกำลังใจของเราตอนนั้น เราก็จะรู้สึกชอบ

เถรี
04-02-2016, 21:29
ถาม : ผมว่าพวกเดินข้ามแม่น้ำเอง เป็นนักมายากลประหลาด ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้เขาทำกันได้เป็นปกติแล้ว เพียงแต่ถ้าใช้คำว่ามายากล คนเขาจะได้ไม่สงสัย

ถาม : เขาเดินข้ามระหว่างตึกได้ ?
ตอบ : ให้สังเกตด้วยว่าก่อนที่เขาจะทำอย่างนั้น เขาต้องรวบรวมสมาธิอยู่พักหนึ่ง เคยสังเกตไหม ? นั่นเขาไม่ใช่ทำท่านะ เขาตั้งสมาธิจริง ๆ เขาไม่ได้ทำท่าหลอกชาวบ้าน คือเขาเองไม่มีความเข้าใจที่จะเข้าออกสมาธิให้คล่องตัวถึงขนาดแค่นึกก็เป็น จึงต้องรวบรวมกำลังใจให้ได้ว่า ถ้าระดับนี้แหละ...กูจะทำได้ พอกำลังใจทรงตัวระดับนั้นเขาถึงจะทำ

ถาม : แต่เขาก็เก่งกว่าเรานะ ?
ตอบ : เขาเก่งกว่าคุณ ...(หัวเราะ)...

ถาม : ทำไมเราทำแบบนั้นไม่ได้ ที่จริงพื้นฐานของเรามีมากกว่าตั้งเยอะ ?
ตอบ : เพราะเราเองไม่ยอมรับกฎของกรรม ฝรั่งเขาไม่รู้คำว่ากฎของกรรมก็จริง แต่ จะเห็นว่าการเล่นของเขาเล่นกันในขอบเขต คำว่าเล่นในขอบเขตก็คืออยู่ในลักษณะของมายากล ส่วนเราถ้าทำได้ เดี๋ยวคอยดู เราจะไปยุ่งเรื่องของกฎของกรรมให้ยุ่งไปหมด กูจะแก้ไขตรงนั้น กูจะเปลี่ยนแปลงตรงนี้ ก็บรรลัยสิครับ เพราะฉะนั้น...ตราบใดที่เรายังยอมรับกฎของกรรมไม่ได้ ต่อให้คุณทำอภิญญาได้ ก็ขึ้นไม่เต็มที่หรอก เพราะจะไปทำให้กฎของกรรมเขาบรรลัยหมด

ถาม : ผมอ่านดูคำสอนของหลวงพ่อ คนที่ยอมรับกฎแห่งกรรมมีแต่พระอรหันต์นะครับ ?
ตอบ : นั่นท่านยอมรับทั้งหมด อย่างน้อย ๆ ให้ยอมรับสักบางส่วน เช่น เราจะไม่ไปยุ่งกับกฎของกรรมอะไรอย่างนี้

ถาม : ยากนะครับ ?
ตอบ : เพราะยาก เราถึงทำไม่ได้สักที ทำกำลังใจแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปเอาอภิญญา..!

ถาม : เห็นเขาร้องไห้แค่นี้ก็อยากช่วยเขาแล้ว ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่าสมัยก่อนถึงเขาไม่ได้ขอร้อง อาตมาก็วิ่งไปช่วยเขา ตอนนี้ถ้าไม่ล้มทับตีนอยู่ หนีไม่ได้แล้วละก็ ไม่มีทางช่วยหรอก ตัวใครตัวมันเถอะ..!

ต้นเดือนที่ผ่านมามีผู้หญิงคนหนึ่ง บอกว่าโดนไสยศาสตร์ทำมา ก็ช่วยบรรเทาให้เขาไปแค่นั้น สามีก็ถามว่าจะไม่ช่วยให้มากกว่านี้หรือ ? เขาบอกว่าถ้ารองานเป่ายันต์ฯ ผู้หญิงจะตายเสียก่อน อาตมาบอกไปว่า “นั่นเป็นปัญหาของคุณ” ต้องทำใจให้ได้อย่างนั้น คือเราจะไม่ไปยุ่งเรื่องกฎของกรรมมากจนเกินไป บรรเทาได้ก็บรรเทาไป ถ้าไม่ถึงตายคุณก็ทนเอาบ้างสิวะ..!

ถาม : ถ้าเขามาขอช่วยให้ท่านช่วยต่อหน้า ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าไม่ได้ล้มทับตีนอยู่ เดินได้ก็เดินหนีไปก่อน

ถาม : พรหมวิหารสี่ไม่ขาดหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ขาด...อยู่พรหมวิหารสี่เป๊ะเลย แต่เป็นอุเบกขา แหม...จะเอาแต่เมตตาอย่างเดียว โง่ตายห่าเลย..!

ถาม : เขาไม่สมควรโดนหรือเปล่าครับ อยู่ ๆ ก็มีคนทำคุณไสยใส่ให้ ?
ตอบ : ถ้าหากไม่มีวาระกรรม เขาจะใส่มาได้อย่างไร ? คุณต้องสร้างเหตุไว้ ผลถึงได้มาอย่างนั้น

เถรี
05-02-2016, 15:12
ถาม : เวลาเราพิจารณาธาตุสี่ ธาตุสี่ในตัวเราและธาตุสี่ที่ไม่ใช่ในตัวเรา จะสามารถมีปฏิกิริยารวมกันหรือนำมาใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ตอนแรกนี่คุณพูดถึงการพิจารณานะ แต่ตอนหลังที่คุณพูดถึงนั่นคือการใช้งาน

ธาตุภายในกับธาตุภายนอกจะใช้งานร่วมกัน ขึ้นอยู่กับคุณว่ามีความสามารถพอไหม ? ถ้ามีความสามารถพอก็ดึงเอามาใช้งานร่วมกันได้ แต่ถ้าการพิจารณา เขาพิจารณาให้เห็นว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ให้ใจของเรายอมรับ แล้วก็ไม่ไปฝืน ก็คือเห็นว่าเป็นธรรมดาเช่นนั้น อะไรที่เกิดขึ้นเราก็ต้องยอมรับว่า ในเมื่อมีสภาพร่างกายที่เป็นธาตุ ๔ เช่นนี้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา จิตใจของเราจะไม่ไปหวั่นไหว ไม่ไปดิ้นรน เป็นคนละเรื่องกันเลยนะ

ถาม : ถ้าทำถึงที่สุดแล้วก็ทำได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณทำถึงที่สุดได้ ก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปคิดใช้อะไรรวมกันแล้ว เพราะมีแต่โทษ ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ตกลงญาติโยมด้านหลังตามกันทันไหม ? ออกนอกทางไกลไปหน่อย

เถรี
05-02-2016, 15:15
ถาม : ถ้าเรานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเรา เราติดหนี้บุญคุณท่านไหมครับ เราต้องทดแทนคุณท่านไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเหตุที่รองรับไม่พอ ท่านก็ไม่สามารถที่จะช่วยเราได้ หมายความว่าเราต้องสร้างเหตุก็คือความดี หรือบารมีที่เพียงพอ ท่านถึงจะช่วยสงเคราะห์เราได้

การสงเคราะห์เราจะด้วยเหตุที่เราทำมาพอหรือไม่พอก็ตาม การสงเคราะห์นั้นจะมากหรือน้อยก็ตาม ก็ถือว่าท่านมีบุญคุณที่ช่วยเราอยู่ เพราะฉะนั้น..ถ้ามีโอกาสก็ระลึกถึงบุญคุณของท่าน สร้างบุญสร้างกุศลอะไร ก็อุทิศไปให้กับท่านบ้าง อย่างน้อย ๆ จะได้รู้สึกว่ามีการตอบแทนให้กับท่านไปบ้าง ให้สมกับที่ท่านช่วยเรามา

เถรี
05-02-2016, 15:20
ถาม : ทำไมพระคาถา เขาสวดกันหลายจบ ?
ตอบ : สมาธิทรงตัวมากเท่าไรพระคาถาก็มีผลมากเท่านั้น คุณคิดว่าสวดจบเดียวกับ ๑๐๘ จบ อย่างไหนสมาธิจะทรงตัวมากกว่ากัน ?

ถาม : แต่ว่าบางทีสวดมากไปก็ไม่มีสมาธิ หรือถ้าสวดจบเดียวแล้วมีสมาธิ สวดจบเดียวดีกว่า ?
ตอบ : ถ้าคุณมั่นใจว่าสมาธิคุณดี คุณก็สวดไปจบเดียว

เถรี
05-02-2016, 15:24
ถาม : การสวดพระคาถาเงินล้านเพื่อฝึกทิพจักขุญาณ เวลาเราจะภาวนา นึกคาถาโดยนึกถึงภาพก็จะเกิดเสียงและภาพพร้อมกัน ต้องเกิดเสียงและภาพพร้อมกัน หรือต้องเกิดภาพอย่างเดียว เกิดเสียงอย่างเดียว ?
ตอบ : ต้องเกิดพร้อมกันอยู่แล้ว เพียงแต่คุณเพิ่มในส่วนของภาพให้ได้เท่ากับเสียง หรือให้ได้มากกว่าเสียงได้ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นถ้าคุณไปเน้นที่เสียงมากกว่า ผลของภาพก็น้อยกว่า ทิพจักขุญาณก็จะไม่ชัดเจน

เถรี
05-02-2016, 15:39
ถาม : เขาได้ยินว่าเรานั่งสมาธิหรือสวดพระคาถาเงินล้าน ถ้าเขาโมทนา เขาก็ได้บุญร่วมกับเราได้ แต่ถ้าเราภาวนาแล้วใจไม่ได้เป็นสมาธิตาม คนอื่นก็จะไม่ได้บุญตาม ?
ตอบ : ถ้าเขาโง่เกินไป เขาก็ไม่ได้ ถ้าฉลาดหน่อย เขาเห็นเรานั่งสมาธิก็โมทนาตาม เรานั่งได้เท่าไรเขาก็ได้เท่านั้นแหละ

การโมทนา คือการยินดีในความดีของคนอื่น เมื่อเราทำบุญแล้วเขายินดีด้วย ส่วนของเราก็ได้อยู่แล้ว คนส่วนใหญ่เห็นเขาดีมักจะอิจฉา โอกาสที่จะเห็นเขาดีแล้วเรายินดีด้วยมีน้อย การที่เราสามารถละทิ้งความอิจฉาริษยา นำเอาความมุทิตาเข้ามาแทน ในส่วนที่รักษากำลังใจของเราให้ผ่องใสอย่างนี้แหละ ที่เป็นบุญเป็นกุศลกับตัวเราเอง

เถรี
05-02-2016, 16:07
ถาม : ผมนึกถึงภาพ ถ้ามีคนหนึ่งกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล กำลังเกาะท่อนไม้อยู่ โดยเกาะด้วยสองมือ มีทางเลือกสองทาง คือ ปล่อยท่อนไม้ไปด้วยสองมือ แล้วพยายามว่ายไป แต่ก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง กับเราตื๊อเกาะท่อนไม้ด้วยสองมือไปเรื่อย ๆ แต่เรารู้ว่าแบบนี้ช้ามากกว่าจะถึงฝั่ง ผมกำลังเปรียบว่าเรากำลังเคว้งคว้างอยู่ในวิบาก ท่อนไม้เป็นกรรมที่เราแต่ง การที่ว่ายน้ำออกไป ปล่อยท่อนไม้ออกไป แปลว่าเราห่างจากกรรม แล้วไปเริ่มต้นใหม่ ผมไม่รู้ว่า...?
ตอบ : คุณเปรียบเทียบผิด

ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : ทันทีที่คุณนั่งสมาธิ แปลว่าคุณวางทุกอย่าง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ถ้าจิตไม่มีคุณภาพ คุณก็วางกายกรรม วจีกรรมได้ เหลือแต่มโนกรรมอย่างเดียว เพราะยังคิดชั่วอยู่ คุณก็ได้กำไรไป ๒ ส่วนแล้ว แต่ถ้าคุณสามารถวางมโนกรรมด้วย ก็คือสมาธิทรงตัวตั้งมั่น แปลว่าตอนนั้นกรรมใหม่ไม่สามารถที่จะเกิดได้ ในเมื่อกรรมใหม่ไม่สามารถที่จะเกิดได้ แล้วคุณสร้างความดีไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนกับเติมน้ำจืดลงในน้ำเค็ม ถ้าคุณเติมได้มากพอ น้ำเค็มไม่ได้หายไปไหน แต่รสเค็มไม่มี แปลว่ากรรมนั้นไม่สามารถที่จะให้ผลแก่เราได้

การที่คุณไปสร้างภาพเปรียบเทียบลักษณะนั้น ผิดตั้งแต่เปรียบแล้ว เพราะคุณไม่เข้าใจว่าการทำสมาธิจะมีอะไรเกิดขึ้น แปลว่าคำถามทั้งหมดที่คุณถามมา คุณยังไม่ได้ทำเลย แต่คุณไปฟุ้งซ่าน คิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน

ถาม : ผมยอมรับครับ ว่ายังไม่ได้ปฏิบัติเลย แต่ก็อยากถามครับ

เถรี
06-02-2016, 20:19
ถาม : ถ้าคนที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ถือว่าเป็นการผิดศีล ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระก็โดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว..!

ถาม : ถ้าเป็นฆราวาสละครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นฆราวาสก็ต้องดูว่าโทษเขามีเท่าไร แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ผิดทั้งทางโลกทางธรรม ผิดทางโลกก็คือเรารู้ว่าเราไม่ตรงไปตรงมา ต้องละอายต่อมโนธรรมของตนเอง โดนมโนธรรมติเตียนอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นว่าเป็นพวกใจด้าน หน้าด้าน รู้อยู่ว่าเราทำอย่างนี้ แล้วเกิดผลดีผลสุขแก่เราเพียงชั่วคราวเฉพาะหน้า แล้วเราก็ไปทำ อีกส่วนหนึ่งก็คือโทษทางโลก เขาระบุเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ก็แปลว่าผิดทั้งทางโลกทางธรรม ผิดครบ ๒ ด้าน ไม่มีทางให้เลี่ยงได้เลย

ถาม : สมมติว่าเราขายก๋วยเตี๋ยวได้วันละสามร้อยชาม แต่เฉลี่ยแล้วได้ไม่เท่านี้ทุกวัน เราจะเฉลี่ยให้ขายได้น้อยลงเพื่อเสียภาษี อย่างนี้บาปไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณประเมินการขั้นต่ำสุดได้ ก็ควรที่จะใช้การประเมินการขั้นต่ำสุด ก็คืออยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยว่าได้ประมาณวันละเท่าไร ไม่ใช่เฉลี่ยเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณก็ยังไปทำให้ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอีก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาษี อันนี้ก็มีโทษอยู่แล้ว เพราะเรารู้อยู่ว่าไม่ถูกต้องแต่ก็ยังทำ สำคัญอยู่ตรงที่รู้แล้วยังขืนทำ

เถรี
06-02-2016, 20:26
ถาม : การที่เราดูหนังฟรี ฟังเพลงฟรี บาปไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเราสามารถที่จะทำได้แค่ไหน ถ้าคนเขาเอามา และเราเองก็สามารถที่จะเข้าถึงได้โดยที่ไม่มีการหวงห้าม ไม่มีการที่ให้เราโอนเงินก่อน ไม่มีการที่ต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกก่อน อะไรลักษณะนั้น ก็เท่ากับเป็นของสาธารณะ ก็จะเกิดแค่โทษทางธรรมเท่านั้น ก็คือไปหลงยึดติดอยู่กับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้

ถาม : แต่ถ้าเราตั้งใจจะดาวน์โหลดเพลงฟรี ไปหาตามแหล่งที่เขาให้โหลดไว้ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเรารู้ว่ามีลิขสิทธิ์ แม้กระทั่งทางโลกก็ผิด ทางธรรมจึงผิดแน่ ๆ อยู่แล้ว

เถรี
06-02-2016, 20:36
ถาม : การที่เราลักขโมย กับสิ่งที่เขาไม่ได้ให้เรา แต่เราไปหยิบฉวยมาเอง ความหนักขึ้นอยู่กับ...?
ตอบ : เอาอย่างนี้นะ ลัก ฉ้อโกง ปล้น วิ่งราว กฎหมายจะบอกอาการแต่ละอย่างเอาไว้ ว่าแต่ละอย่างมีลักษณะอย่างไร ? มีโทษเป็นอย่างไร ?

มีการให้คำจำกัดความในการตัดสินของกฎหมายว่า การวิ่งราวก็คือการที่บุคคลหนึ่ง นำเอาทรัพย์สินของอีกบุคคลหนึ่ง เคลื่อนที่ออกจากจุดนั้นไป เรียกว่าวิ่งราว แต่เขาตั้งโจทย์ขึ้นมาว่า รถไฟ ๒ ขบวนวิ่งสวนกัน บุคคลที่อยู่รถไฟขบวนหนึ่ง เอื้อมมือไปดึงปากกาจากบุคคลที่อยู่บนรถไฟอีกขบวนหนึ่ง โดยที่ตัวเขาไม่ได้ไปไหน เขาก็ยืนอยู่กับที่ แต่รถไฟนำเขาเคลื่อนจากไปเอง อันนั้นถือว่าเป็นคดีวิ่งราวหรือเปล่า ?

ศาลตัดสินว่าเป็นการวิ่งราว เพราะว่าสมบัติก็ไปอยู่กับอีกคนหนึ่งเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูตรงจุดที่ว่า คุณวิ่งหรือคุณยืนเฉย ๆ แล้วพาหนะพาวิ่ง แต่ว่าเขาดูเจตนาว่าคุณตั้งใจเอาของเขาหรือเปล่า ? เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ก็อยู่แค่ว่า เราแค่มาใช้คำพูดเพื่อที่จะให้ดูหนักหรือเบา ต้องถามว่าผิดหรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่าโทษนั้นหนักหรือเบา

การที่เราทำสิ่งที่เป็นโทษเบาหลาย ๆ ครั้ง โดยที่คิดว่าโทษไม่หนัก แต่จริง ๆ แล้วกำลังเป็นการตอกย้ำกรรมของตัวเอง คนที่ทำกรรมเบา ๆ หลาย ๆ ครั้งรวมกัน เดี๋ยวท้ายสุดก็จะทำกรรมหนักจนได้

เถรี
06-02-2016, 20:50
ถาม : การที่เราไม่ได้ใช้ธาตุสี่ในการละกิเลส ใช้เพื่ออย่างอื่น เป็นโทษหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าคุณคิดว่าการมีชีวิตอยู่ในกองทุกข์นี้ไม่มีโทษ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่บุคคลที่เห็นว่าการมีชีวิตอยู่นี้แม้แต่วันเดียวก็เต็มไปด้วยโทษ เพราะอาจจะพาเราลงอบายภูมิลึกกว่านี้ ลงต่ำไปมากกว่านี้ก็ได้ ฉะนั้น...ในเรื่องของธรรมะท่านก็จะปล่อยวาง ยอมรับ เพื่อปลดสภาพจิตของตนเองจากบ่วงที่ร้อยรัดอยู่นี้ แต่ถ้าหากว่าคุณไม่เห็นว่าตรงนี้เป็นโทษ ก็ต้องทนอยู่ต่อไป

ถาม : เขาพูดถึงเรื่องอวิชชา ?
ตอบ : ทำให้ถึงก็รู้ ถ้าทำไม่ถึง อธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า เอาเต่าไปเล่าเรื่องบนบกให้ปลาในน้ำฟัง เล่าให้ตายปลาที่ไม่เคยขึ้นบก ก็นึกไม่ออกว่าบนบกเป็นอย่างไร ได้แต่เดาผิดเดาถูกไปเรื่อย จนกว่าจะได้ขึ้นบกไปแบบเต่า จึงจะรู้จริง ๆ ว่าที่เต่าบอกมานั้นเป็นอย่างไร

เถรี
06-02-2016, 20:55
ถาม : จริง ๆ แล้วการที่เราละกิเลสได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือกิเลสไม่เกิดขึ้นเลย หรือกิเลสเกิดขึ้นไม่ได้เพราะเราเข้าใจทุกอย่างแล้ว จึงไม่เกิด ?
ตอบ : จิตเราไม่ไปข้องแวะ ในเมื่อจิตไม่ไปข้องแวะ โอกาสที่กิเลสจะเกิดก็ไม่มี ท่านทั้งหลายเหล่านี้เมื่อทำไปจนถึงจุดนั้นแล้ว ความว่องไวของ สติ สมาธิ ปัญญา จะมีมากกว่ากิเลส ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ท่านจะเห็นว่าการนึกคิดปรุงแต่งลักษณะไหนเป็นคุณ การนึกคิดปรุงแต่งลักษณะไหนเป็นโทษ แล้วก็ละเว้นในสิ่งที่เป็นโทษเสีย ในเมื่อเราไม่ไปสร้างเหตุที่ไม่ดี ผลกรรมก็ไม่เกิด ก็เท่ากับว่าในสายตาของท่านคือกิเลสไม่มี แต่ถ้าพูดกันจริง ๆ แล้วก็คือว่า กิเลสนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าท่านไม่ไปยุ่งด้วย กิเลสก็เลยทำอะไรท่านไม่ได้ เหมือนกับมีฟืน มีถ่าน มีน้ำมัน แต่ไม่มีเชื้อไฟ แล้วเปลวไฟที่ไหนจะมาติดได้

ถาม : อย่างนี้หลายคนที่สั่งสมบุญ... ?
ตอบ : ของท่านอยู่ในระดับน้ำเต็มแก้วแล้ว สิ่งที่ท่านทำไปไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร นอกจากเติมไปแล้วก็ล้นเปล่า ๆ แต่ส่วนที่ท่านทำนั้นคือเป็นเนติ คือเป็นแบบอย่างให้ผู้คนเขาได้เห็นว่า สิ่งนี้เป็นความดี ถึงเวลาจะได้ยึดถือและปฏิบัติตามเพื่อความพ้นทุกข์ของตนเอง ท่านจึงยังคงทำบุญกุศลเป็นปกติ

เถรี
06-02-2016, 21:07
ถาม : ผลบุญเวลาเราใช้ก็หมด ต้องเติมใหม่อีก ใช้ก็หมด เติมใหม่อีก บุญหมดอย่างไรครับ ?
ตอบ : บุญไม่ได้หมด แต่ความต้องการของคุณมากขึ้น จำเป็นต้องหามาให้มากขึ้น ตอนแรกคุณขึ้นรถเมล์มีเงิน ๘.๕๐ บาท คุณก็ขึ้นได้ พอคุณขยับมาขึ้นรถไฟฟ้าก็ต้องมี ๒๕ บาทเป็นอย่างต่ำ พอขยับมาขึ้นแท็กซี่ก็ต้อง ๓๕ บาทขึ้นไป ครั้นมาซื้อรถส่วนตัวก็ต้องดาวน์ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าซื้อรถญี่ปุ่นราคาประมาณ ๗-๘ แสน ไม่เกินล้านเศษ ๆ ไปซื้อรถเยอรมันก็ ๓ ล้านกว่า ในเมื่อสิ่งที่เราต้องการประณีต ละเอียดมากขึ้น กำลังที่ต้องการใช้นั้นสูงกว่า ก็ต้องสั่งสมบารมีให้ได้ใกล้เคียงกัน

ถาม : ก็คือบุญยังไม่หมด ?
ตอบ : บุญไม่หมด แต่ไม่เพียงพอกับสิ่งที่คุณต้องการ เพราะฉะนั้น...สิ่งที่เราทำไม่ได้ไปไหน ยังสั่งสมตัวอยู่ ขังตัวอยู่ ถ้าหากว่าคุณสร้างเหตุจนเพียงพอต่อระดับบุญของตนเอง ผลก็จะเกิด

ถาม : อย่างนี้กรรมก็ไม่หมด กรรมอยู่ด้วย เราก็รับกรรมไป ?
ตอบ : ก็รับกรรมไป ในส่วนของกรรม ถ้าเราชดใช้ไปจนเป็นที่พออกพอใจของเขา เขาก็อโหสิกรรมให้ แต่ถ้าหากไม่ใช่ในส่วนที่เขาพออกพอใจ เพราะว่าตัวเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผลกรรมที่ตอบแทนอยู่นั้น ก็เพราะการกระทำของเราตอบแทนเราเอง เหมือนอย่างกับเตะฟุตบอลใส่ผนัง ก็เด้งกลับมาใส่เราเอง แต่ถ้าหากว่าคุณสามารถที่จะเอาตัวของคุณออกพ้นไปจากตรงจุดนั้น ลูกบอลก็ไม่รู้ว่าจะไปเด้งใส่ใคร ก็เท่ากับหมดเรื่องกันไป ฉะนั้น...สำคัญอยู่ตรงที่คุณปลดใจของคุณออกจากกรรมนั้น หรือเจ้ากรรมนายเวรเขาอโหสิกรรมให้ เรื่องก็จบ

ฟังให้ดี ๆ นะ...เจ้ากรรมนายเวรมีทั้งที่เขาตามจองเวร เพราะเขายังไม่ได้ไปไหน กับที่เขาไปเกิดตามบุญตามกรรมของเขาแล้ว แต่การกระทำของเราเองเป็นโทษแก่ตัวเราเอง ถ้าแยกตรงนี้ไม่ออกเดี๋ยวก็มั่วอีก เพราะฉะนั้น...ในส่วนที่เจ้ากรรมนายเวรยังไม่ไปเกิด เขายังจองเวรอยู่ ถ้าเราชดเชยให้จนเป็นที่พอใจ เขาอโหสิกรรมให้ แค่นี้ก็จบ แต่ถ้าหากว่าเป็นแรงกรรมที่เราทำเอง ส่งผลต่อเราเอง เราสามารถปลดตัวเราเองออกจากตรงจุดนั้นได้ ก็จบ

คราวนี้การปลดตัวเราเองจากจุดนั้นได้ ส่วนใหญ่ก็คือสร้างความดีและอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรไป ถ้าเจ้ากรรมนายเวรไม่มีตัวตน เราอุทิศไปเขาเองก็ไม่รู้จะรับอย่างไร แต่ตัวเราเองต่างหาก ที่เรารู้สึกว่าเราได้ทำความดีให้แก่เขาแล้ว ใจเรารู้สึกว่าเราได้ชดเชยแล้ว เราก็ไม่ไปยึดไปเกาะตรงนั้น กลายเป็นว่าเรายกตัวเราเองออกมาจากตรงจุดนั้น แรงกรรมที่จะสนองเราก็หมดไป

ฟังแล้วเครียดไหม ? เดี๋ยวก็ได้บ้ากันบ้าง ต้องมาทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรามองไม่เห็นนี่ยุ่งนะ

เถรี
06-02-2016, 21:17
ถาม : อย่างพระกริ่งเนปาลเนื้อเงิน ผมเห็นเขียนในเว็บว่า เป็นรุ่นพระโพธิสัตว์มาช่วย หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีบุคคลประเภทหนึ่ง ที่ท่านมาสร้างบุญสร้างบารมี เห็นว่าการช่วยเหลือคนอื่นเป็นความสุขของตัวเอง แม้ตัวเองจะต้องรับเคราะห์รับกรรมแทนเท่าไรท่านก็ยินดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่าพระโพธิสัตว์

ส่วนบุคคลอีกประเภทหนึ่งเป็นพระอริยเจ้า ยอมรับกฎของกรรม เพื่อปลดตัวเองออกจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลายเหล่านี้ ในเมื่อท่านยอมรับกฎของกรรม ท่านก็ไม่ไปยุ่งไปเกี่ยวด้วย

สมมติว่าเราโดนลงโทษอยู่ แล้วบุคคลที่แสดงตัวเข้าไปห้ามปราม โดยที่ไม่ได้กลัวว่าสังคมจะรังเกียจเขา นั่นก็คือพระกริ่งนี้ แต่ถ้าหากบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ก็คือท่านที่เห็นว่า การที่เราโดนลงโทษนั้นเหมาะสม สมควรแล้ว สังคมส่วนใหญ่เห็นว่าสิ่งนั้นผิด ท่านก็ไม่ไปยุ่งไปเกี่ยว จึงไม่ได้มาช่วยเราแบบนั้น นั่นก็คือส่วนของความเป็นพระอริยเจ้า

ถาม : สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาจะช่วยเราตามสัญญาไหมครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าคุณต้องสร้างเหตุให้พอ ถ้าสร้างเหตุไม่พอ ต่อให้สัญญาขนาดไหนท่านก็ช่วยไม่ได้ เขาจะพาไปซื้อรถ เขารู้จักกับบริษัท สามารถอำนวยความสะดวกบางส่วนให้ คราวนี้เราจะเอารถเบนซ์ แต่ดันมีเงินแค่แสนเดียว ยังไม่พอวางดาวน์หรอก อย่าว่าแต่ซื้อเลย แล้วเขาจะช่วยได้อย่างไร ?

เถรี
06-02-2016, 21:24
ถาม : ถ้าคน ๆ หนึ่ง เขาเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดมาเป็นทุกข์ เขาภาวนาและสามารถลดความทุกข์ลงได้ระดับหนึ่ง แล้วเป็นกำลังใจอยู่ต่อไปเพื่อคนอื่น อย่างนี้จะเป็นมิจฉาทิฐิไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจเกิดเพื่อช่วยคนอื่นก็เป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์ แต่คราวนี้คำว่าทุกข์ที่คุณว่ามา คุณต้องเข้าใจว่าทุกข์มีหลายอย่าง ทุกข์โดยสภาพก็คือเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ทุกข์เนืองนิตย์ อย่างเช่น เจ็บป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย ทุกข์ที่เป็นไปตามสภาวะของร่างกาย หรือว่าทุกข์ที่มาบีบคั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นคนละอย่างคนละสภาพกัน

ที่คุณบอกว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมสามารถลดความทุกข์ได้ ส่วนใหญ่ก็คือความทุกข์ทางใจ เพราะว่าตนเองสามารถปล่อยวางได้ ส่วนความทุกข์ทางกาย ทุกข์ตามสภาพ ทุกข์เนืองนิตย์ ท่านก็ไม่ไปดิ้นรนกับทุกข์นั้น คนที่อยู่ในกรงขังถ้าไม่ดิ้นรนมาก ก็ไม่ถลอกปอกเปิกเหมือนกับไปคนที่ดิ้นมากหรอก ทั้งที่ดิ้นไปก็ไม่พ้น ในเมื่อเห็นอยู่แล้วว่าต้องรอจนประตูกรงเปิดให้ถึงจะพ้น ก็ไม่ไปเสียเวลาดิ้นหรอก นั่งรอเวลาไป ก็คือตายพ้นไปเมื่อไร ตูก็ไม่ไปยุ่งกับเรื่องแบบนี้อีก

เถรี
06-02-2016, 21:30
ถาม : ถ้าเราทอนกรรมไปสักชาติสองชาติ เพื่อกระจายกรรม ในแต่ละชาติไม่เท่ากัน เพื่อให้เรามีกำลังได้มากขึ้น นับเป็นวิสัยที่ดีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำได้ก็ทำไป เพราะว่าบุคคลที่ไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส จะเรียกว่ามิจฉาทิฐิก็ใช่ แต่ละคนมีความตั้งใจที่ไม่เหมือนกัน เขาเห็นว่าสิ่งนั้นดีเขาก็ทำ โจรก็เห็นว่าการปล้นเขากินนั้นง่ายดี ในขณะที่พวกเราเห็นว่าการทำมาหากินโดยสุจริตจึงจะเป็นความดี ในเมื่อเขาเห็นว่าเป็นความดี เราจะไปว่ากล่าวคนอื่นอะไรได้ นอกจากยอมรับไปว่ามุมมองเขาเป็นอย่างนั้น

เถรี
07-02-2016, 19:28
ถาม : พอ ๒,๕๐๐ ปีหลัง พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมลง ผมเข้าใจว่าต้องสูงสุดก่อนแล้วค่อยเสื่อมลง คือเสื่อมลงตามสภาพ ขึ้นไปสูงสุดแล้วค่อย ๆ ลงมาหรือครับ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าคนเสื่อมลง ส่วนหลักธรรมยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เพราะฉะนั้น...คำว่าเสื่อมของคุณอย่าไปเข้าใจว่าหลักธรรมเสื่อมลง หลักธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ แต่คนแทนที่จะปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ดันไปอุ้มลูกเทพแทน..! แล้วจะไปกล่าวว่าอะไรเสื่อม ? ก็ต้องคนเสื่อมลง ศาสนายังคงปกติไปจน ๕,๐๐๐ ปี

ถาม : ไม่มีเจริญไปกว่านี้แล้ว คือ เสื่อมไปแล้วก็เสื่อมอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป ?
ตอบ : ความเจริญนั้นมีความเจริญทางด้านจิตใจ กับความเจริญทางด้านวัตถุ ปัจจุบันนี้คนเราส่วนใหญ่ทิ้งความเจริญทางจิตใจ มาพัฒนาความเจริญทางด้านวัตถุ และแทบจะเป็นการพัฒนาโดยส่วนเดียว ถ้าเรากล่าวถึงตรงจุดนี้ ต้องมาวัดกันว่า ความเจริญด้านไหนที่มีมากกว่า

ถ้ากล่าวว่าเสื่อมลง ก็คือบุคคลเสื่อมจากการปฏิบัติธรรม หลักธรรมไม่ได้เสื่อม แล้วบุคคลก็มาพัฒนาด้านวัตถุ ท้ายสุดวัตถุพอเสื่อมลง ก็ไม่รู้ว่าคนจะเลี้ยวมาหาหลักธรรมหรือเปล่า ? ก็ต้องรอเวลาเท่านั้น

เอาละ...ที่ถาม ๆ มาก็ฟุ้งซ่านพอแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ไปนั่งภาวนาเถอะ

เถรี
07-02-2016, 19:31
ถาม : การที่เราอโหสิกรรมให้เขา หรือเขาอโหสิกรรมให้เรา กรรมไม่ได้หายไปหรือกรรมหายครับ ?
ตอบ : คนสองคนผูกโซ่ติดกันอยู่ ถ้าต่างคนต่างปลดโซ่ในฝั่งตัวเองออก ก็แปลว่าจบ ความผูกพันไม่มี ถ้าเขาไม่ยอมปลด แต่เราปลดเสียฝ่ายเดียว ก็ปล่อยให้เขาตามโซ่ไปคนเดียวก็แล้วกัน

เถรี
07-02-2016, 19:34
ถาม : คนที่เกิดมาหูหนวก ตาบอด เขาได้ทำอะไรไว้คะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็เห็นผู้คนปฏิบัติธรรมแล้วทำเป็นไม่เห็น ได้ฟังเสียงธรรมก็ทำเป็นไม่ได้ยิน พอถึงเวลาเขาชักชวนในการปฏิบัติในศีลในธรรมก็แกล้งโง่บ้าง ลองทำดูก็ได้...รับประกันว่าได้เป็นอย่างนั้นแน่..!

เถรี
07-02-2016, 19:41
ถาม : จำเป็นต้องสอนเขา บางคนสอนยากมาก ?
ตอบ : อยู่ในฐานะอะไรที่จะไปสอนเขา ?

ถาม : เป็นครูค่ะ ?
ตอบ : ยึดหลักการสงเคราะห์ตามหน้าที่ให้เต็มกำลัง ส่วนเขาจะรับได้แค่ไหนนั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่อย่างนั้นเรามีแต่เมตตา กรุณา ไม่มีอุเบกขา ท้ายสุดอย่างต่ำก็เครียด อย่างหนักก็บ้าไปเลย

ถาม : ถ้าเราสอนเขาให้ทำบุญไปวัด จะเป็นกรรมไหมคะ ?
ตอบ : อาจจะสร้างกรรมหนักให้กับบางคนด้วย เพราะนอกจากเขาจะไม่เห็นด้วยแล้ว อาจจะแสดงการต่อต้านออกมาเลย ฉะนั้น...การชักชวนคนทำความดี ต้องดูบริบท ดูกำลังใจของเขาตอนนั้นด้วย ไม่อย่างนั้นแทนที่จะให้เขาได้ความดี จะกลายเป็นว่าสร้างโทษหนักให้เกิดกับเขาได้

ถาม : เขาเป็นเด็กเล็ก ๆ ค่ะ ?
ตอบ : เด็กเล็ก ๆ ก็ยังมีกตัตตากรรม ก็คือกรรมที่ทำโดยไม่เจตนา เราเองควรทำตัวให้เขาดู ถึงเวลาครูกราบพระ ถึงเวลาครูสวดมนต์ เดี๋ยวเขาก็เลียนแบบเอง

เถรี
07-02-2016, 19:48
สอนคนอื่นนั้นสอนได้ แต่สอนตัวเองสอนยากอย่าบอกใคร พระพุทธเจ้ายังกล่าวไว้ว่า อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ชื่อว่าการฝึกตนนั้นช่างยากจริงหนอ ฝึกตนก็คือสอนตนเองนั่นแหละ ส่วนใหญ่ไม่เชื่อพระ เสือกไปเชื่อกิเลส..!

วันก่อนเด็ก ๆ ที่วัดหนีไปเที่ยวกับแฟน ถ้าเจอเหตุการณ์นั้นให้จำไว้เลยว่า สิ่งแรกที่เราต้องทำเลยไม่ใช่ดุด่าว่ากล่าว แต่ควรจะบอกให้เขารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องของอารมณ์ อะไรเป็นเรื่องของเหตุผล คือสังคมยอมรับเฉพาะในเรื่องของเหตุผล ในเรื่องของอารมณ์ต้องดูกระแสสังคมก่อนว่าในช่วงนั้นยอมรับไหม เพราะฉะนั้น...เรื่องความรักระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาวเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วน ๆ

เราลองมาคิดดูว่า ถ้าแม่เราเลี้ยงเรามา ๑๕-๑๖ ปี เราเองยังไม่รักเท่ากับไอ้บ้าที่เพิ่งเจอหน้ากัน ๓ วัน แบบนั้นถูกต้องไหม ? ต้องชี้แจงให้เขาฟังได้ แต่ถึงจะชี้แจงแล้วก็ตาม เขาก็ยังไหลตามอารมณ์ไปอีก เพราะฉะนั้น...คนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ปกครอง ก็เลยต้องปากเปียกปากแฉะ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า อนุสาสนี ก็คือจ้ำจี้จ้ำไช ไม่อย่างนั้นก็เป็น โอวาทกถา ก็คือให้โอวาท ธรรมมีกถา สอนธรรม อนุสาสนีกถา จ้ำจี้จ้ำไช ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอกหัวตะปูอยู่นั่นแหละ

เพราะบุคคลอย่างน้อยแบ่งเป็น ๔ ประเภท อุคคฏิตัญญู ฟังหัวข้อก็รู้ เข้าใจ ปฏิบัติได้เลย วิปจิตัญญู ต้องขยายเนื้อความหน่อยถึงจะเข้าใจ เนยยะ ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ย้ำหัวตะปูอยู่นั่นแหละ ตอกจนกระทั่งคนตอกเหนื่อย บางทียังตอกไม่ค่อยจะลงเลย

เหลือแต่ปทปรมะ พวกนั้นเก่งเกิน สอนไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเราไปเข้าใจว่าปทปรมะเป็นคนโง่ ไม่ใช่โง่ แต่ฉลาดเกินจนไม่ยอมรับความเห็นคนอื่น ทำตัวเป็นน้ำล้นถ้วย พอถึงเวลาเราเทไปก็ล้นหมด รับอะไรไม่ได้ ปทปรมะนี่ถ้าไม่ได้ประโยชน์เฉย ๆ ก็ยังพอทำเนา แต่ถ้ามาคัดค้านหลักธรรมด้วย ก็กลายเป็นสร้างกรรมหนักให้กับตัวเองไปเลย

เถรี
07-02-2016, 20:55
เอาเรื่องที่ดังในขณะนี้ ก็คือ การตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ กฎหมายระบุเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ถ้าสิ้นสมเด็จพระสังฆราชองค์เก่า ให้มหาเถรสมาคมนำเสนอชื่อพระสังฆราชองค์ใหม่ที่อาวุโสด้วยสมณศักดิ์ ก่อนหน้านี้เขาเอาอาวุโสพรรษาซึ่งถูกต้องตามพระธรรมวินัย แต่เนื่องจากว่าเขาต้องการเอาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ขึ้นเป็นพระสังฆราช แล้วท่านอาวุโสพรรษาน้อยกว่า ก็เลยมีการแก้กฎหมายว่าให้อาวุโสด้วยสมณศักดิ์ เพราะท่านได้รับการแต่งตั้งก่อน ท่านก็เป็นมา ๒๔ ปี

คราวนี้ส่วนที่แก้นั้น ปัจจุบันมาเอื้อประโยชน์ให้กับมหานิกายที่อาวุโสด้วยสมณศักดิ์ ก็คือหลวงพ่อสมเด็จมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ก็ในเมื่อกฎหมายระบุเอาไว้อย่างนี้ ต่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าคุณไม่ทำก็คือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะว่าไปฝืนกฎหมาย ไม่สามารถที่จะเป็นอื่นได้ ดังนั้น...คนไหนก็ตามที่อยู่ ๆ มากำหนดว่า สมเด็จพระสังฆราชจะต้องเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้สะอาด เป็นผู้สว่าง เป็นผู้สงบ ไอ้นั่นมันบ้า..! กติกาสังคมมีอยู่ ระบุไว้เป็นตัวอักษรชัดเจน ดันไม่เอา แต่จะเอากติกู ลักษณะนี้ปัจจุบันนี้มีเยอะ ก็เลยทำให้สังคมวุ่นวายฉิบหายวายป่วงไปหมด

กฎเกณฑ์กติกาเขามีขึ้นมา เพื่อทำให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม อยู่ภายใต้การปกครองที่ใกล้เคียงกัน ถึงคุณจะไม่ยอมรับทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ต้องยอมรับ ไม่ใช่เอาแค่คนสองคนที่เขาเรียกว่า ๓ พ. ในเมื่อ ๓ พ.ไม่เอา คนทั้งประเทศจะต้องไม่เอาด้วย หรือคณะสงฆ์ทั้งประเทศจะต้องไม่เอาด้วย ถ้าเป็นนิสัยอาตมาสมัยฆราวาสก็คือ กระทืบแม่...ให้ได้สติ..! เสียดายเป็นพระแล้ว

เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ เราต้องยึดถือกฎเกณฑ์กติกาเป็นใหญ่ แบบเดียวกับเรื่องของพระเรา ถึงเวลาทำผิดทำพลาดขึ้นมาต้องรอให้ศาลตัดสินก่อน บ้าไหม ? เรื่องของพระธรรมวินัยก็คือ คุณทำพลาดเดี๋ยวนั้น คุณก็ต้องอาบัติเดี๋ยวนั้น ก็คือศีลขาดลงตรงนั้น ไม่ใช่ศาลตัดสินว่าคุณศีลขาด คุณถึงไปยอมรับ ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะเอาพระธรรมวินัยไปทำซากอะไร ?

ส่วนใหญ่แล้วในปัจจุบัน สังคมของเราหลงประเด็น เรื่องของพระต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ถัดไปคือกฎหมายบ้านเมือง ถัดไปคือจารีตประเพณี บางคนก็ต้องบอกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ หรือไม่ก็มืดบอดจนเกินไป ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาก็ต้องบอกว่าเป็นพวกโปรดไม่ขึ้น เป็นพวกที่อยู่ใต้เถนเทวทัต ท่านว่าเสียหมาไปเลย..!

เถรี
08-02-2016, 14:16
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "จำไว้ว่าถ้าใจอยู่กับตัวจะไม่ตกใจ ถ้าเผลอคิดเรื่องอื่นแล้วจะตกใจ ถ้าเราส่งจิตไปที่อื่น ถึงเวลาประสาทสัมผัสรับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น สภาพจิตวูบกลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อรับรู้ อาการที่จิตกลับเข้าสู่ร่างเร็วเกินไป เขาเรียกว่าตกใจ

บางคนก็สงสัย ฟ้าถล่มดินทลาย อาจารย์เล็กเฉยมาก แรก ๆ ก็ตกใจเหมือนกับพวกเรา ไปเฉยเอาตอนนั้น ไม่ทราบว่าพรรษาที่เท่าไร ไปปฏิบัติภาวนากันที่บึงลับแล มีเพื่อนพระไปด้วย ๔-๕ รูป ต่างคนก็ต่างหามุมเหมาะสมของตัวเอง ทำแคร่นอนกัน อาตมาถนัดนอนภาวนาจึงนอนว่าไปเรื่อย ประมาณ ๔ - ๕ ทุ่ม แคร่พังโครม เพราะทำไม่แข็งแรง พังด้านหัว พังโครมลงไป เออ...ใจเรายังนิ่งดี ก็ภาวนาไปเรื่อย อยากพังก็พังไป คราวนี้หัวก็ไหลไปเรื่อยจนกระทั่งทิ่มพื้น พื้นเป็นหินขรุขระก็รู้สึกว่าเจ็บ เลยขยับลุกขึ้น กะว่าจะซ่อมแคร่ ตอนนั้นกำลังใจนิ่งมาก แคร่พังก็ไม่ตกใจ

พอลุกขึ้น ตอนนั้นสมุห์กอล์ฟบวชใหม่ ๆ เห็นว่าแคร่พังดังลั่นเลย ทำไมอาจารย์เงียบ ๆ ก็เลยส่องไฟมา อาตมาลุกขึ้นพอดี ทางด้านหัวนอนมีก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งสูงท่วมหัวเลย พอท่านส่องไฟมา อาตมาก็เห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งยืนมองหน้ากันอยู่ ห่มผ้าสีกรักออกเข้ม ๆ กว่านี้ ก็สงสัย เอ๊ะ...พระธุดงค์แปลกหน้า ท่านมาจากไหน ? สงสัยมาตอนเราหลับกระมัง ? เดี๋ยวจะชวนท่านคุยเสียหน่อยว่ามาจากไหน ? มาอย่างไร ?

ทางท่านกอล์ฟส่องไฟมา เห็นว่าเงียบ ๆ ท่านก็เขย่าไฟแกว่ง ๆ อาตมาเลยเห็นพระธุดงค์เต้นระบำได้ มองไปมองมา อ้าว...เงาของอาตมาเองนี่นา แล้วทำไมถึงเห็นเป็นองค์พระอย่างชัดเจนเลย หน้าตาก็เห็น เห็นชัด ๆ ลักษณะการครองจีวรอย่างไร จีวรสีอย่างไรก็เห็น ก็นึกขึ้นมาว่า ผีหลอกกูซึ่ง ๆ หน้าเลยนี่หว่า..! แต่ใจก็นิ่ง ไม่ได้กลัว ซ่อมแคร่เสร็จสรรพเรียบร้อยก็นอนภาวนาต่อ

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ อาตมาไม่รู้จักคำว่าตกใจว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แสดงว่าคงได้ที่ตั้งแต่ตอนนั้น เพราะฉะนั้น...ถ้าเอาใจอยู่กับตัว ก็ทุกข์น้อยหน่อย ถ้าเอาใจไปฝากไว้กับหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ทุกข์เยอะหน่อย"

เถรี
08-02-2016, 14:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราปีนี้ดินฟ้าอากาศแย่มาก เหนือหนาวจัด ใต้ฝนหนัก กลางกับอีสานแล้งไม่มีน้ำจะกิน ที่อาตมาปรารภครั้งก่อนว่า อาตมาอยู่ในยุคที่คนกรุงเทพฯ ต้องรองน้ำตั้งแต่ ๒ ทุ่ม ไปพอใช้เอาตอนตี ๒ ปีนี้ก็ให้ระวังเอาไว้บ้างนะ"

เถรี
08-02-2016, 14:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเพิ่งจะเซ็นสัญญาซื้อเตาเผาปลอดมลพิษไปติดตั้งที่วัดท่าขนุนแล้ว ปีหน้าน่าจะได้ใช้งานเต็มที่ เผาได้วันละ ๖ ศพ คงไม่ตายเยอะขนาดนั้นหรอก

ทองผาภูมิเป็นเมืองท่องเที่ยว คนใหญ่คนโตไปเป็นประจำ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จทุกปี สมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังมีพระวรกายแข็งแรง ก็เสด็จทุกปี พระองค์ไปตรวจงานที่ทรงทำไว้ ปรากฏว่าหาเมรุที่เป็นหน้าเป็นตากับอำเภอไม่ได้สักหลัง ถึงเวลาก็ รมต.ท่านนั้น สส.ท่านนี้เป็นประธาน แต่เมรุโทรมดูไม่ได้เลย

ท้ายสุดอาตมาก็ตัดใจ...ทำเองก็ได้ แต่อาตมาบอกกับโยมหลายท่านแล้วว่า ไม่ใช่เห็นว่าเมรุสวยแล้วไม่กล้าเข้าวัด กลัวว่าจะแพง ขอยืนยันว่าเผาฟรี ปกติที่ผ่าน ๆ มาก็ไม่เคยเก็บสตางค์ใคร"

เถรี
09-02-2016, 13:59
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่มาถวายสังฆทานว่า “ไปยกพระพุทธรูปมาด้วย ชอบใจองค์ไหนก็ยกมาเลย ถวายสังฆทานอย่าให้ขาดพระพุทธรูป เพราะเป็นของสำคัญที่สุด”

เถรี
09-02-2016, 14:11
มีคนมาปรารภเรื่องจะสร้างวัตถุมงคล พระอาจารย์กล่าวว่า “จะทำรูปพระรูปอะไรก็ทำไป แต่อย่าทำรูปของอาตมา เพราะอาตมายังมีความดีไม่พอที่จะไปขึ้นคอชาวบ้านเขา”

เถรี
09-02-2016, 14:22
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีใครไปซื้อรองเท้าให้เขาเหยียบบ้างไหม ? ดูแล้ววัยรุ่นบ้านเราสมัยนี้ขาดสติขนาดหนัก ซื้อรองเท้าคู่หนึ่งต้องถึงขนาดเหยียบกันปางตาย ราคาคู่ละ ๖,๙๙๐ บาท คนที่ซื้อไม่ได้ไปประมูลกัน ขึ้นราคาไปถึง ๑๕,๐๐๐ บาท อาตมาว่าไปเอาอีแตะที่เขาแกะสลักลายสวย ๆ มาใส่ยังจะดีกว่าอีก คู่ละ ๖๐ บาทเอง มีคนรับแกะสลักรองเท้า เคยเห็นบ้างหรือเปล่า ? จะเอาลายอะไรบอกได้เลย เขารับแกะให้

สังคมบ้านเราเห่อตามแฟชั่นโดยขาดสติ โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี อาตมานี่ซาบซึ้งที่สุด เคยซื้อแฟล็ชไดรฟ์ตัวหนึ่งความจุ ๒ กิ๊ก ราคา ๑,๗๒๐ บาท จำมาจนทุกวันนี้ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนลดลงไปเหลือ ๒๙๙ บาท ปัจจุบันนี้แถมฟรีก็ไม่มีใครเอา โทรศัพท์เครื่องหนึ่งออกมา ๔,๐๐๐ บาท หลังจากนั้น ๖ เดือนเหลือไม่ถึง ๒,๐๐๐ บาท ใช้ช้ากว่าเขานิดหนึ่งก็ได้ แล้วรองเท้าคู่หนึ่งหกพันกว่าบาท แต่ละคนที่ไปรุมกันซื้อก็ขอสตางค์พ่อแม่มาทั้งนั้น อะไรจะสิ้นสติกันได้ปานนั้น

เด็กนักเรียน นักศึกษาไปเรียนหนังสือ อาตมาก็สงสัยว่าเอาสมองไปไว้ที่ไหน บางคนนี่หัวถึงเท้าราคาเกือบล้าน กระเป๋าก็ต้องแบรนด์เนม เสื้อผ้าก็ต้องแบรนด์เนม รองเท้าก็ต้องแบรนด์เนม ต้องเข้าสีเข้าชุดกัน ได้แต่คิดว่าถ้าไม่ล้างผลาญพ่อแม่แล้ว คุณจะมีปัญญาหาเงินอย่างไรให้ได้ขนาดนั้น

คนที่ไม่มีก็ตะเกียกตะกายหามาให้ได้ พอไม่มีเทียมหน้าเทียมตาชาวบ้านเขาก็ต้องหาเงินด้วยวิธีพิเศษ อย่างเมื่อเดือนก่อนมีการซ้อมกันจนหูตาปูด เพราะเพื่อนพาไปขายตัวแล้วก็ไปด่าเพื่อนอีท่าไหนก็ไม่รู้ เพื่อนก็ถือว่าตัวเองมีบุญคุณ อุตส่าห์หางานให้ยังจะมาด่าอีก จึงมีการลงไม้ลงมือกัน อาตมาก็เลยอนาถใจว่าสมัยนี้บุญคุณเป็นอย่างนี้กันหรือ ?

อยากดูไหม...อาตมาใช้โทรศัพท์มือถือราคาแพงมากเลย ๗๙๐ บาท ก็ใช้อยู่ทุกวันนี้ โยมโทรมาจะบริจาคเงินล้านก็เครื่องนี้แหละ ไม่เห็นต้องไปใช้ไอโฟน ๖ ไม่เห็นต้องไปใช้ซัมซุงกาแล็กซี่ ต้องบอกอเนจอนาถบ้านเรา คนขาดสติไหลตามกระแสมาก ฟุ้งเฟ้อ ไม่คิดจะร่ำเรียนเขียนอ่านให้มีความรู้จริง ๆ เพื่อที่จะไปทำมาหากิน แล้วบุคคลากรประเภทนี้อยู่ต่อไป ประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ?

จะว่าไปอาตมาก็มีส่วนด้วยที่สอนเขาแล้วไม่ได้ดี วันก่อนเพิ่งจะอบรมเด็กวัดไป คือถ้าเด็กในวัดเราเอาดีไม่ได้ ก็ไปสอนคนอื่นเขาไม่ได้หรอก จึงต้องเคี่ยวเข็ญกันหน่อย”

เถรี
09-02-2016, 14:38
ถาม : เผาศพวันศุกร์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเผาได้ ที่วันศุกร์เขาไม่ให้เผาศพเพราะพ้องกับคำว่าสุข เขาถือเคล็ดว่า ในเมื่อสุขก็ไม่ควรที่จะทำอะไรให้ครอบครัวเขาทุกข์ใจ

เถรี
09-02-2016, 14:44
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมาเป็นเด็กอยู่บ้านนอกเคยเกิดข้าวยากหมากแพงอยู่ ๒-๓ ครั้ง ใหม่ ๆ พ่อแม่ต้องเอาเผือกบ้าง มันบ้าง ฟักทองบ้าง ผสมกับข้าวให้พอกิน ไป ๆ มา ๆ ไม่มีข้าวจะกิน ต้องเอาข้าวโพดที่เก็บไว้ทำพันธุ์มากิน

ข้าวโพดสมัยก่อนเรียกว่าข้าวโพดเทียนหรือข้าวโพดม้า เอาไว้เลี้ยงสัตว์ ในเมื่อแก่และตากแห้งมาเป็นปี เอามานึ่งกินก็เหมือนกับเคี้ยวกระดาษดี ๆ นี่เอง ไม่มีรสชาติอะไรเลย แต่ก็ต้องกินให้อิ่ม

หน้าหนาวผ้าห่มก็มีผืนเดียว พี่ ๆ น้อง ๆ ก็แย่งกันซุกเข้าไป พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็เป็นห่วง กลางดึกมาถึงก็พับ ๆ ให้เป็นแถวยาว ๆ แล้วเอาพาดแค่หน้าอก กลัวเด็กจะเป็นโรคปอดบวมเพราะหนาว พวกเราก็ต้องแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ พอพ่อแม่ลับตาไปก็รีบคลี่ออกมาห่มใหม่ หนาวทั้งตัวแล้วเอามาพาดแค่หน้าอก ตอนนั้นพื้นบ้านยังเป็นดินอยู่ เพราะว่าไม่มีซีเมนต์ ข้างฝาเป็นไม้ไผ่ขัด กันลมไม่ได้ หนาวมาก ต้องก่อกองไฟกลางบ้าน แล้วก็เอาผ้าห่มมากางล้อมกันอยู่รอบกองไฟ ผิงไฟจนผิวแตกเป็นริ้ว ๆ ถึงเวลาเผลอ..ง่วงสัปหงกทีหนึ่งก็ผมไหม้เป็นแถบ

เดี๋ยวนี้อากาศย่ำแย่มาก ๆ เด็กบ้านนอกอย่างอาตมาทนได้ แต่คนกรุงเทพฯ จะแย่ ได้ข่าวว่าหนาวตายที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง รวม ๆ กันแล้วหลายศพ"

เถรี
09-02-2016, 15:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการยกพระ สมัยก่อนบวชอาตมาเคยอธิษฐานยกพระที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง องค์พระหน้าตักประมาณ ๙ นิ้ว หรือ ๑๒ นิ้ว ลักษณะเหมือนหล่อด้วยโลหะ ด้วยความดื้อก็คิดว่า "องค์แค่นี้ ต่อให้อธิษฐานไม่สำเร็จเราก็จะยกขึ้น" ว่าแล้วก็ตั้งท่างัด วูบเดียวเกือบหงายท้อง องค์พระลอยขึ้นมาเหมือนไม่มีน้ำหนักเลย อย่างกับหยิบกระดาษแผ่นเดียว สรุปว่าเรื่องนั้นคงจะสำเร็จแน่ ๆ

อีกทีหนึ่งไปยกช้างเสี่ยงทายที่พระพุทธบาทสระบุรี ยังไม่ทันจะอธิษฐาน เห็นรูปหลวงปู่นวม (สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม) ก็เกิดปีติ เอานิ้วก้อยเกี่ยวช้างขึ้นมาได้ทั้งองค์ แต่ตอนวางลงไม่ตรงที่ เขาวางบนพรมแล้วมีรอยยุบเป็นฐานช้าง ก็เลยใช้สองมือผลักให้เข้าที่ ปรากฏว่าผลักไม่ไป แต่ตอนเกี่ยวขึ้นมานี่ใช้นิ้วก้อยนิ้วเดียว"

ถาม : ช้างเสี่ยงทายเป็นโลหะตัน ?
ตอบ : โลหะตันทั้งตัว แล้วบังคับด้วยว่าถ้าผู้ชายให้ให้นั่งราบทับน่องใช้นิ้วก้อยยก ผู้หญิงใช้นิ้วชี้ ถ้าอธิษฐานแล้วสำเร็จจะยกขึ้น

เถรี
09-02-2016, 15:44
ถาม : พื้นฐานคำว่า "ป่าช้า" เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : ป่าช้าเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือสมัยก่อนป่าช้าคือป่าช้า ไม่มีใครอยากไปยุ่งด้วย เพราะรกมาก สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่วัดบางนมโค ท่านไปฝึกปฏิบัติธรรม ท่านบอกว่ามีชะมด มีเสือป่า มีกระต่าย เยอะแยะไปหมด ป่ารกขนาดนั้น คราวนี้ป่าก็รก หนามก็เยอะ ไปเร็วไม่ได้ก็เลยเรียกป่าช้า แต่ว่าทางด้านเหนือไม่เรียกป่าช้า เขาเรียกป่าเฮ่ว

คนโบราณมักจะรู้ดีกว่าเรา เวลาไปทำอะไรจะมีการเซ่นนายป่าช้าก่อน นายป่าช้าบางที่ก็เป็นเวมาณิกเปรต ก็คือเป็นเทวดาอยู่ครึ่งหนึ่งและเป็นเปรตอยู่ครึ่งหนึ่ง บางที่ดุหน่อยก็เป็นมหิทธิกาเปรต หรือเป็นกาลกัญจิกอสุรกาย ไปทำอะไรแถวนั้นถ้านายป่าช้าไม่อนุญาตก็โดนอัด ต้องเซ่นสรวงนายป่าช้าก่อน

หลวงพ่อท่านอยู่วัดบางนมโค มีวันหนึ่งจะไปเจริญกรรมฐานในป่าช้า ปรากฏว่าได้ยินผีคุยกัน นายป่าช้าถามลูกน้องว่า "บ้านไอ้นั่นเขาทำบุญกัน มีใครไปโมทนาบ้างไหม ?" ลูกน้องเป็นร้อย ๆ บอกว่า "ไม่มีใครไปหรอกครับเจ้านาย" ถามว่าทำไม ? "โอ้โห..ทั้งฆ่าวัวฆ่าหมูฆ่าไก่ ขืนไปโมทนาพวกผมจะซวยไปด้วย" เขาทำบุญก็จริงแต่เขาเริ่มต้นด้วยบาป ไปฆ่าสัตว์เลี้ยงคน เลี้ยงพระ ผีเขาไม่โมทนาด้วยหรอก ถ้าโมทนาด้วยก็แปลว่า นอกจากรับส่วนบุญแล้วส่วนบาปก็รับด้วย กลายเป็นซ้ำเขาให้หนัก

อาตมาเพิ่งเข้าใจเหมือนกันว่า บุญของเราถ้าไม่บริสุทธิ์ ผีเขาไม่โมทนาด้วยหรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงเลยแนะนำว่า ถ้าจะเลี้ยงพระให้ทำ ๒ วิธี วิธีแรกถ้าทำอาหารเองก็ทำอาหารเจไปเลย ไข่สักใบก็อย่าไปทุบ อีกวิธีหนึ่งคือจ้างคนอื่นเป็นแม่ครัว อย่างเช่นว่าจ้างร้านอาหารให้เขาทำแล้วยกมาตักถวายพระไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วทำบุญผสมบาปกันอยู่เรื่อย

แต่ถ้าเราไปซื้อเนื้อในตลาดที่เป็นปวัตตะมังสะ ที่เขาฆ่าแล้วขายเป็นปกติก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปสั่งเขาฆ่า อย่าไปสั่งว่าพรุ่งนี้ฉันจะทำบุญเลี้ยงพระ ๙ รูป ช่วยเชือดไก่ให้ ๒ ตัว ถ้าอย่างนี้ก็โดนจนได้ ไม่น่าเชื่อว่าทำบุญแล้วผีเมิน ไม่มีใครมาโมทนาด้วยเลย

เถรี
09-02-2016, 20:31
ถาม : ที่วัดท่าขนุนมีที่พักไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไปไม่เกิน ๑๐๐ คน ก็ยังพอมีที่ให้นอน แต่นอนแบบรวม ๆ กัน แบบเป็นส่วนตัวจริง ๆ ยังไม่มี ที่วัดพยายามจะรักษาพื้นที่ป่าไว้ สิ่งก่อสร้างก็เลยมีน้อย

ส่วนใหญ่เวลาวัดมีงาน เขามักไปเช่ารีสอร์ทกัน คืนละ ๕๐๐ บาท นอนกันเพลิดเพลินเจริญใจ นอนจนลืมงานวัดไปเลย เพราะบรรยากาศดี..!

เถรี
09-02-2016, 20:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักความแก่กับความตายเป็นอย่างดี แต่จะเรียกว่ารู้จักเป็นอย่างดีก็คงไม่ได้ ความแก่กับความตายมีทั้งที่ปรากฏชัด และมีทั้งที่โดนปิดบังเอาไว้

ความแก่ที่ปิดบังเอาไว้ เราไม่ได้เรียกว่าแก่ แต่เราไปเรียกว่าโต อย่างเช่น เป็นเด็กเล็ก ๆ ค่อย ๆ โตขึ้น ๆ แต่ความจริงก็คือแก่ เหมือนอย่างกับรวงข้าว รวงข้าวพอเกิดขึ้นมา เมล็ดข้าวค่อย ๆ โตขึ้น ๆ จนกระทั่งกลายเป็นเมล็ดแก่ ก็คือแก่ไปเรื่อย ส่วนเราโดนปิดบังอยู่ จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่ เราไปคิดว่าเป็นการเจริญเติบโต แต่ความจริงเป็นการแก่ไปเรื่อย ๆ ภาษาบาลีเรียกว่า ปฏิจฉันนะชรา คือความแก่ที่โดนปกปิดเอาไว้ ส่วนอัปปฏิจฉันนะชรา คือความแก่ที่ไม่โดนปกปิด ได้แก่ การแก่แบบคนแก่ทั่ว ๆ ไปที่เราเห็นกันอยู่

เรื่องของความตายก็เหมือนกัน ปฏิจฉันนะมรณะ ความตายที่โดนปิดบังอยู่ จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เด็กเล็กก็ตายไปแล้ว แต่สันตติคือความสืบเนื่องด้วยอาหารต่าง ๆ ส่งผลให้กลายเป็นเด็กโต พอเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เด็กโตก็ตายไปแล้ว พอเป็นหนุ่มเป็นสาว เด็กหนุ่มเด็กสาวก็ตายไปอีก หรือไม่ก็ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย เขาเรียกว่า ปฏิจฉันนะมรณะ ก็คือ ความตายที่โดนปกปิดเอาไว้ มองไม่เห็น ที่ไม่โดนปกปิดไปตายเอาตอนสุดท้าย เรียกว่า อัปปฏิจฉันนะมรณะ

บางอย่างถ้าเราปัญญาไม่ถึง ก็มองไม่เห็น เกิดความเมาขึ้นมา เกิดความเมาในวัย คือเรายังไม่แก่ เกิดความเมาในความไม่มีโรค คือเราไม่ป่วย เกิดความเมาในชีวิต มีแต่ความประมาท ไม่สร้างความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าความเมาใน ๓ อย่างนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้เราเป็นมิจฉาทิฐิ ประมาท ไม่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม บางท่านถึงได้บอกว่า การเข้าวัดให้เดินเข้าไปเองดีกว่า ถ้ารอให้คนอื่นหามเข้าไปก็มักจะเอาไปเผาแล้ว

บางคนเข้าวัดแต่เล็ก ๆ จนเพื่อนว่า "จะบ้าไปไหน ? เข้าวัดเข้าวาตั้งแต่ตอนนี้" เพื่อนไม่ค่อยว่าหรอก พ่อแม่พี่น้องตัวเองนั่นแหละที่มักว่า เคยชวนโยมบางคนว่า เมื่อไรจะเข้าวัดทำบุญ "โอ๊ย...ลูกยังเล็กอยู่เจ้าค่ะ" คราวนี้ลูกโตหมดแล้ว เมื่อไรจะเข้าวัดสักที "โอ๊ย...หลานยังเล็กอยู่เจ้าค่ะ" ไปของเขาได้เรื่อยเหมือนกัน ประเภทนี้ต้องรอเขาหามถึงจะได้เข้าวัด"

เถรี
10-02-2016, 21:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเป็นอาจารย์จะเหนื่อยไม่ได้ ทำไมเหนื่อยไม่ได้ ? เพราะต้องจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอน ตอกย้ำอยู่ตลอดเวลา บางทีการที่เราจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนตอกย้ำอยู่ตลอดเวลา ลูกศิษย์ก็ไม่ใช่ว่าจะทำตามได้ เพราะยังไม่ถึงวาระบุญของเขาที่จะส่งผล ท่านที่วาระบุญส่งผลก็ทำไปตามคำสั่งของครูบาอาจารย์ ทำไปตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ได้รับประโยชน์ของตนไป ฉะนั้น...คนที่วาระบุญยังไม่ส่งผล บางทีก็ปีแล้วปีเล่ายังไม่ได้อะไรเลย

ในสมัยพุทธกาล คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์ ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุมรรคผลพระนิพพานทุกรูปหรือไม่ ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ได้บรรลุทุกรูป คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์ถามว่า ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ธรรมที่พระองค์แสดงยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ทำไมภิกษุทั้งหลายจึงไม่สามารถไปพระนิพพานได้ทุกรูป ?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าหากว่ามีบุรุษผู้หนึ่งมาถามว่า ทางไปกรุงราชคฤห์ไปทางไหน ? แล้วท่านตอบว่าทางกรุงราชคฤห์ต้องไปทางด้านทิศนี้ เดินไปเป็นระยะทางเท่านี้จะเจอหมู่บ้าน เดินไปเป็นระยะทางเท่านี้จะเจอเมือง แต่ว่าชายคนนั้นกลับจำผิด เดินไปในทางตรงกันข้าม จะไปถึงกรุงราชคฤห์ได้หรือไม่ ? คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์ตอบว่า ย่อมไปไม่ถึง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เขาไปไม่ถึง แล้วท่านไม่ช่วยให้เขาไปถึง ? คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์บอกว่า เราเป็นเพียงคนบอกทางเท่านั้น เราไม่ใช่คนเดินทาง

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ในเมื่อเขาจดจำผิด ประพฤติปฏิบัติผิด ไม่สามารถไปถึงพระนิพพานได้ ตถาคตจะไปช่วยอะไรได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ชัดว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น

ใครที่เป็นอาจารย์ก็ต้องเคี่ยวเข็ญไปเรื่อย ตอกย้ำไปเรื่อย สอนกันจนตายไปข้างหนึ่ง ถ้าเขาไม่ตายก่อนอาจารย์ก็ตายก่อน เขาตายก่อนก็จบเรื่องของเขา อาจารย์ตายก่อนก็จบเรื่องของอาจารย์"

เถรี
10-02-2016, 21:36
ถาม : (ทำบุญให้แม่ที่เป็นโรคพาร์กินสัน)
ตอบ : ต้องบอกแม่ด้วย บอกให้แม่ได้โมทนา ทำแล้วแจ้งด้วย ไม่ใช่ทำเฉย ๆ

ถาม : เอาไปให้เขาโมทนาก่อนถวาย ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นได้แน่

ถาม : ถ้าของนั้นเป็นของเขา ?
ตอบ : ถ้าเป็นของแม่ได้จะดีมาก ถ้าเป็นของเราต้องให้แม่โมทนาด้วย

เถรี
10-02-2016, 22:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีประเด็นร้อนในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ที่อาจารย์สาวท่านหนึ่ง ได้ทุนของมหาวิทยาลัยมหิดล ไปเรียนต่อปริญญาเอกทางทันตแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วหนีทุน ทำให้เพื่อน ๆ ที่ลงชื่อค้ำประกัน ๓ คนต้องช่วยกันควักกระเป๋าใช้ทุนไปสิบกว่าล้านบาท

ขอให้จำเอาไว้ว่า อะไรที่โบราณกล่าวขึ้นมา เป็นภูมิปัญญาที่ตกผลึกสังเคราะห์แล้ว นำไปใช้งานจริงได้ ไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก ท่านบอกว่า “อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน” นั่นเพื่อนเซ็นค้ำประกันให้ ดันทิ้งไปเฉยเลย เพราะว่าพอไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแล้วได้งานดี ได้แต่งงานกับชาวต่างประเทศ ได้สัญชาติอเมริกัน เงินเดือนหลายแสนบาท ระดับหมอฟันปริญญาเอก เงินเดือนทางด้านโน้นอย่างน้อยก็ไม่หนีห้าแสนถึงหกแสนบาท ก็เลยไม่ยอมกลับมาใช้ทุน ปกติแล้วเขามีสัญญาชัดเจนว่า ถ้าหากว่าไม่กลับมาทำงานใช้ทุน ก็ต้องใช้หนี้ ๓ เท่าของทุน ในเมื่อเจ้าตัวไม่มา เขาก็ต้องไปกวดเอากับคนที่เซ็นค้ำประกันให้ เพื่อนทั้ง ๓ รายก็หน้ามืดสนิท

มีใครเป็นแฟนของกิดเดนส์บ้าง ? ที่เป็นนักเขียนของไต้หวัน กิดเดนส์เขาเขียนหนังสือเล่มล่าสุด น่าจะเป็นเรื่อง Killer มือสังหาร อันเกิดจากนักกีฬาทศกรีฑาดาวรุ่งคนหนึ่ง ไปเซ็นค้ำประกันให้กับโค้ช โค้ชไปกู้เงินนอกระบบ พอเซ็นค้ำประกันให้เสร็จ โค้ชหนี ตัวเองเลยโดนตามทวงหนี้ เช้า กลางวัน เย็น กลางคืน ท้ายสุดก็โดนจับไปซ้อม บังคับให้ขายอวัยวะเพื่อปลดหนี้ นั่นก็ลักษณะเดียวกัน ไว้ใจอาจารย์ตัวเอง เพราะว่าเป็นโค้ชคอยดูแลเรื่องการฝึกมาตลอด ก็เลยไปเซ็นค้ำประกันให้"

เถรี
10-02-2016, 22:17
"โบราณเขาว่าไว้อีกอย่างว่า “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง” อันนั้นก็ไว้ใจเพื่อน ภาษิตจีนก็บอกไว้ชัดว่า “จิตใจทำร้ายคนไม่ควรมี แต่จิตใจระวังคนไม่ควรละเลย” รู้สึกว่าโลกนี้หาความสุขไม่ได้เลย...ใช่ไหม ? ต้องคอยหวาดระแวงคนอื่นอยู่เสมอ ท้ายสุดก็ย้อนกลับมาในเรื่องการเกิดมาแล้วทุกข์ ไม่อยากจะทุกข์ก็ต้องหาทางไม่เกิด หนทางที่จะไม่เกิดก็มีอยู่ทางเดียวคือ ทางไปพระนิพพาน"

เถรี
11-02-2016, 15:02
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อกลางเดือนไปงานฉลองวิสุงคามสีมาวัดธรรมยานของหลวงพ่อวิรัช เจอพี่ ๆ น้อง ๆ อุ่นหนาฝาคั่งดี นาน ๆ เจอกันทีก็คุยโขมง สรุปว่าอาตมาเป็นคนประหลาด คือพยายามหนีไปให้ไกลบ้านที่สุด แต่ท่านอื่น ๆ มักจะไปให้ใกล้บ้านเข้าไว้ หลวงพ่อวิรัชท่านควักเงินมรดกที่ทางครอบครัวให้ ไปซื้อที่สร้างวัดเอง

สมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุง คนที่พวกเราอิจฉาที่สุดสองคนก็คือหลวงน้าอมรกับหลวงพ่อวิรัชนี่แหละ เพราะว่าพระคุณท่านทั้งสองเป็นอเมริกันซิติเซ่น พอครบเดือนก็มาเซ็นรับเบี้ยยังชีพของคนตกงานที่สถานทูตอเมริกา คนละ ๕๐๐ ดอลลาร์ โห..! ๕๐๐ ดอลลาร์เยอะนะ คิดเป็นเงินไทยก็ ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท ท่านจะทำบุญอะไรท่านก็ทำได้สบายใจ ส่วนพวกเราก็รับเงินจากหลวงพ่อวัดท่าซุงเดือนละ ๕๐ บาท..!"

เถรี
11-02-2016, 15:05
ถาม : ปัจจุบันขึ้นหรือยัง ? (พระถาม)
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ก็เดือนละ ๕๐ บาท ของผมมาขึ้นเป็น ๒๖๐ บาท ตอนที่เป็นฐานานุกรมของหลวงพ่อ ฐานานุกรมถ้าไม่ใช่พระครูปลัดชั้นธรรมขึ้นไป ปกติจะไม่มีนิตยภัต แต่หลวงพ่อท่านเห็นว่าพวกเราเหนื่อยมากก็เลยตั้งเงินเดือนให้ ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นเจ้าคุณพระสุธรรมยานเถระ รับนิตยภัตเดือนละ ๔๔๐ บาท ส่วนอาตมาเป็นฐานานุกรม รับเดือนหนึ่งตั้ง ๒๖๐ บาท ท่านให้เยอะ เกินครึ่งของท่านอีก

เถรี
11-02-2016, 15:17
ถาม : ถ้าเราจะสะเดาะเคราะห์ ใช้ผ้าขาวกี่เมตรคะ ?
ตอบ : เอาแค่คลุมตัวได้ มีอยู่คนหนึ่งเอามาทั้งไม้เลย ไม้หนึ่ง ๕๐ เมตร ผ้าสะเดาะเคราะห์เล่นยกมาทั้งไม้เลย งานนั้นก็เลยสนุกสนานเฮฮา เข้าไปได้ทั้งบ้าน ผ้าขาวก็ซื้อผ้าลินินธรรมดา จะเอาผ้าดิบก็ได้ บางท่านเล่นผ้าแพรมาเลย แพงไปเปล่า ๆ

เถรี
11-02-2016, 15:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเจอคนไม่โกรธแบบแกล้ง ๆ กับคนโกรธแบบแกล้ง ๆ บ้างไหม ? ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสถึงหญิงแม่เรือนคนหนึ่ง ชื่อนางเวเทหิกา ใคร ๆ ก็ร่ำลือว่าเป็นหญิงแม่บ้านแม่เรือนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่เคยแสดงความโกรธออกมาให้เห็น มีสาวใช้ชื่อว่านางกาฬี แปลว่าดำ ชื่อว่าน้องดำ น้องดำทำงานดีมากเลย การบ้านการเรือนทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีอะไรต้องเป็นที่ขัดใจนาย

คราวนี้คำร่ำลือว่านายเป็นคนใจเย็น เป็นคนไม่โกรธ นางกาฬีก็คิดว่า เป็นเพราะเราทำงานบ้านเรียบร้อย ไม่มีอะไรให้นายตำหนิได้ นายก็เลยไม่โกรธ หรือว่านายไม่โกรธจริง ๆ ? รุ่งขึ้นก็เลยแกล้งนอนตื่นสาย นางเวเทหิกาไม่เจอสาวใช้ก็ตะโกนเรียก “นางกาฬี...อยู่ที่ไหน ?” นางก็แกล้งทำเป็นเพิ่งตื่น “ทำไมวันนี้แกตื่นสายนัก ?” นางกาฬีก็ตอบว่า “ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ” นายก็ซักว่า “ไม่ทราบแล้วตื่นสายได้อย่างไร ?” นางกาฬีก็รีบไปทำงานบ้านงานเรือนให้เรียบร้อย ทำไปก็คิดว่านายเราไม่โกรธจริง หรือว่าไม่โกรธเพราะเราทำงานบ้านเรียบร้อย ?

รุ่งขึ้นก็แกล้งตื่นสายอีก แทนที่จะตื่น ๖ โมงเช้าก็ปาเข้าไป ๗ โมงเลย นางเวเทหิกาก็ตวาดเสียงเขียวปัดละคราวนี้ ถามนางกาฬีว่า “แกเป็นอะไรไป ? เจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่าถึงได้ตื่นสายขนาดนี้ ?” นางกาฬีก็ตอบว่า “ไม่ได้เป็นไรเจ้าค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปทำงานบ้านให้เรียบร้อย” นางกาฬีก็ไปทำงานบ้านพร้อมกับคิดว่า เอ๊ะ...นายเราที่ไม่แสดงความโกรธมากกว่านี้ เพราะว่าไม่โกรธหรือว่าเป็นเพราะเราทำงานบ้านเรียบร้อย ?"

เถรี
11-02-2016, 15:31
"รุ่งเช้าอีกวันนางก็แกล้งตื่นสายโด่งเลย คราวนี้สัก ๙ โมง ๑๐ โมงโน่น คราวนี้นางเวเทหิกาตวาดลั่นบ้านเลย ถามว่า “เป็นอะไร..? ทำไมถึงตื่นสายขนาดนี้ ?” “ไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ” “ไม่ได้เป็นอะไรแล้วตื่นสายได้อย่างไร ?” ว่าแล้วก็คว้าลิ่มประตูฟาดกบาลเปรี้ยงเข้าให้..!

รุ่นพวกเราเคยเห็นลิ่มประตูไหม ? เรือนไทยเวลาเขาปิดจะมี ๒ อย่าง มีดาลกับลิ่ม ถ้าดาลจะเป็นไม้ขัด ใช้กั้นประตูไว้ สองข้างก็จะมีตัวกั้น ขัดไว้ให้ประตูเปิดไม่ได้ อีกประเภทหนึ่งเป็นลิ่ม เสียบกั้นไว้ตรงกลางเพื่อไม่ให้ประตูสองบานเปิดออก ประเภทหลังนี่หยิบง่ายสิ ด้านหนึ่งเป็นปลายเล็ก ๆ ด้วย เพราะว่าเป็นลิ่มใช้สอดลงไปในร่อง

นางเวเทหิกาฟาดนางกาฬีหัวแตกเลือดอาบเลย นางกาฬีก็เลยเดินไปให้ชาวบ้านเขาดู ถามว่า "นี่ใครบอกว่านายหญิงเป็นคนเรียบร้อย เป็นคนไม่โกรธ เป็นคนเสงี่ยมเจียมตัว ? ดิฉันแกล้งนอนตื่นสายหน่อยเดียว โดนฟาดหัวแตกเลย"

ตั้งแต่นั้นชาวบ้านก็โพนทะนากันว่า นางเวเทหิกาเป็นหญิงแม่บ้านที่ดุร้าย หยาบคาย ทำร้ายคนใช้จนหัวแตก นั่นต้องเรียกว่าเป็นคนแกล้งไม่โกรธ"

เถรี
11-02-2016, 15:33
"ส่วนประเภทแกล้งโกรธนี่ อาตมาเจอมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะบางครั้งถ้าไม่แกล้งโกรธแล้ว คนเขาทำงานการไม่เรียบร้อย งานวัดจะเสียหาย

อาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ตอนนั้นท่านเป็นบรรณาธิการหนังสือมหาจักรกับคนพ้นโลก ท่านได้ทิพจักขุญาณ ไปเจอหลวงพ่อวัดท่าซุงครั้งแรก อาจารย์ปถัมภ์เอาไปเขียนเชียร์จนเลิศลอยเลย “ไม่เคยเจอพระที่ไหนบารมีขนาดนี้ รัศมีของท่านสว่างไป ๓ โลกเลย สภาพจิตสว่างใสเช่นนี้ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น” อาจารย์ปถัมภ์แกฟันธงเลย

ครั้งต่อไปเจอหลวงพ่อกำลังด่าคนงาน อาจารย์ปถัมภ์ก็ตั้งใจดูจิต ปรากฏว่าคราวนี้มืดสนิท อาจารย์ปถัมภ์กลับไปเขียนลงหนังสือว่า “สงสัยว่าหลวงพ่อจะไม่ใช่พระอรหันต์ น่าจะเป็นพระโสดาบันเท่านั้น เพราะว่ายังด่าคนอยู่ ยังโกรธอยู่” เสียมวยไปเลย นึกแล้วก็ขำดี ฉะนั้น...ไปเจอคนแกล้งโกรธก็ไปคิดว่าโกรธจริง กับไปเจอคนแกล้งไม่โกรธก็ไปคิดว่าหมดความโกรธแล้ว"

เถรี
11-02-2016, 15:35
"พระพุทธเจ้าทรงเปรียบว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีอาจาระคือความประพฤติอยู่ในร่องในรอย ไม่ได้หมายความว่าท่านเองจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อาจจะเป็นเพราะว่าสมบูรณ์ไปด้วยปัจจัย ๔ คือจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช ไม่เกิดแรงกระทบ ก็เลยไม่ได้แสดงออก แต่ถ้าผู้ใดก็ตาม อยู่ในสถานที่ที่ขาดแคลนด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัชแล้ว สามารถรักษาความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเอาไว้ได้ ภิกษุนั้นจึงน่าสรรเสริญ

เพราะฉะนั้น...อย่าไปไล่ตื้บกันหน้าร้านขายรองเท้า ทุเรศมาก ๆ เลย รองเท้าคู่เดียวจะเหยียบกันตาย ทุกวันนี้อาตมาก็ใส่แต่อีแตะ ใครซื้อรองเท้าหนังมาไม่ใส่หรอก รองเท้าหนังเหมาะสำหรับลูกวัด เจ้าอาวาสต้องใส่ที่ลุยน้ำได้ ขึ้นบกได้ รองเท้าหนังเคยใส่ออกธุดงค์ ไปได้หน่อยเดียวพังบรรลัยหมด เพราะลุยน้ำแล้วหลุดหมด"

เถรี
11-02-2016, 19:46
ถาม : มีคนเป็นมะเร็งแล้วหมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายเขาก็มีชีวิตอยู่ต่อ ตรงนี้เป็นเพราะกรรมหรือบุญคะ ?
ตอบ : มีทั้งบุญรักษาและมีทั้งกรรมรักษา บุญรักษาก็ได้อยู่สร้างบุญสร้างกุศลต่อไป กรรมรักษาก็ทนทรมานต่อไป

เถรี
11-02-2016, 20:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานใครดูคุณปู่มีชัยแถลงเรื่องร่างรัฐธรรมนูญบ้างไหม ? ประเภทถ้าไม่ยอมรับร่างนี้จะร่างใหม่ให้โหดกว่านี้ เป็นอาตมาจะไปเดือดร้อนอะไร ? ก็ร่างไปสิ ร่างมาก็คว่ำอีก เขาไปตั้งธงเอาไว้ ต้องโน่น...ระดับพระโสดาบันขึ้นไปถึงจะมาบริหารประเทศได้ตามรัฐธรรมนูญของเขา แล้วพระโสดาบันท่านก็ไม่มายุ่งกับเรื่องอย่างนี้หรอก

ดูจากรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ก็น่าจะรู้ว่าการที่เราไม่มีความไว้วางใจในเพื่อนมนุษย์ ทำให้ร่างธรรมนูญมาแล้วติดตรงโน้น ขัดตรงนี้ ทำให้ไม่สามารถจะบริหารงานได้ มีการฟ้องศาลปกครองไม่พอ มีการฟ้องศาลรัฐธรรมนูญอีก ยุ่งบรรลัยไปหมด กำหนดบทลงโทษให้ชัด ๆ ไปสิว่า ถ้าทำผิดแล้วจะลงโทษอย่างไร แล้วก็เชือดไก่ให้ลิงดูสักหน่อย ก็หมดเรื่องหมดราวไปแล้ว

ส่วนใหญ่รัฐธรรมนูญดีทั้งนั้นแหละ แต่อยู่ที่คนใช้ ในเมื่อคนใช้เขาไม่เห็นแก่ศีลแก่ธรรม ไม่เห็นแก่หน้าค่าชื่อ มีโอกาสกูจะโกง เพราะค่านิยมก็คือคนรวยคือคนดี...ก็บรรลัย

เรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่ว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญท่านไม่รู้ เพียงแต่ว่าเขามีการตั้งธงมาว่าต้องเป็นอย่างนี้ แต่เป็นเรื่องที่ประชาชนยอมรับกันไม่ได้"

เถรี
12-02-2016, 14:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเรามีหลวงพ่อบุญหลายรูปด้วยกัน หลวงพ่อบุญองค์แรก ๆ เลย...รู้จักไหมว่าเป็นใคร ? องค์แรก ๆ เลยคือ หลวงพ่อบุญแห่งสุนาปรันตปะ ...(หัวเราะ)... ชื่อบาลีท่านชื่อปุณณะ ชื่อไทยก็คือบุญ

หลวงพ่อบุญเป็นชาวทวารวดีหรือที่สมัยโน้นเขาเรียก สุนาปรันตปะ ไปบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วขอมาจำพรรษาที่บ้านตัวเอง บ้านท่านช่วงนั้นก็อยู่ระหว่างราชบุรีกับเพชรบุรี

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อน...ปุณณะ ชาวสุนาปรันตปะดุร้ายมาก ถ้าเขาด่าว่าเธอด้วยถ้อยคำหยาบคาย เธอจะว่าอย่างไร ?” หลวงพ่อบุญกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าคิดว่า เขาด่าว่าก็ดีแล้ว ดีกว่าเขาตีเราด้วยมือพระเจ้าข้า”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าหากเขาทั้งหลายเหล่านี้ตีเธอด้วยมือ ?” "ถ้าอย่างนั้นก็ดีกว่าขว้างด้วยก้อนหินก้อนดินพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “แล้วถ้าเขาขว้างด้วยก้อนหินก้อนดิน ?” "ก็ดีกว่าตีด้วยท่อนไม้พระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “แล้วถ้าหากว่าเขาตีด้วยท่อนไม้ ?” "ก็ดีกว่าเขาฟันแทงด้วยศาสตราวุธพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าเขาฟันแทงด้วยศาสตราวุธ ?” "ก็ดีกว่าเขาฆ่าเราพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “แล้วถ้าเกิดเขาฆ่าเธอจริง ๆ เล่า ?”
ท่านบอกว่า “ข้าพระพุทธเจ้าอึดอัดระอาในร่างกายนี้มาก ถ้าหากเขาเอาศาสตรามาฆ่าฟันจริง ๆ โดยที่ไม่ต้องแสวงเองก็ถือว่าเป็นความดีของเขาพระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าทรงโมทนาสาธุ ตรัสว่า “ปุณณะ...ถ้าเธอคิดอย่างนั้น ก็สามารถไปจำพรรษาที่สุนาปรันตปะได้”

พระปุณณะไปจำพรรษาที่นั่น สามารถยังความเลื่อมใสให้ชาวสุนาปรันตปะ ตามออกบวชมา ๕๐๐ รูป แล้วพรรษานั้นท่านก็บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยวิชชาสาม ฉะนั้น...หลวงพ่อบุญองค์แรกที่ดังที่สุดก็คือหลวงพ่อปุณณะ"

เถรี
12-02-2016, 15:21
"หลวงพ่อบุญถัดมาที่ดังจริง ๆ เลยก็คือ หลวงพ่อบุญ วัดกลางบางแก้ว จังหวัดนครปฐมบ้านเกิดของอาตมาเอง อาตมาไม่ทันท่านหรอก มาทันรุ่นหลวงปู่เพิ่ม จำได้ว่าตอนเรียน ป.๕-ป.๖ มีใบบอกสร้างพระของหลวงปู่เพิ่มไปที่โรงเรียน ให้ทำบุญองค์ละ ๒๐ บาท ตอนนั้นรู้สึกว่าแพงมากเลย เพราะก๋วยเตี๋ยวยังชามละบาทเดียวเอง แต่ว่าจริง ๆ แล้วอยากได้เบี้ยแก้ของท่าน มากกว่าที่จะอยากได้พระ

ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าพระดีอย่างไร ด้วยความที่วิสัยเด็กชอบเครื่องรางของขลัง ก็ไปสนใจเบี้ยแก้ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เป็นสหธรรมิกของสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทวมหาเถระ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ต้องบอกว่าเป็นรุ่นครูบาอาจารย์ สมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ให้ความเคารพหลวงปู่มากเป็นพิเศษ

หลวงพ่อบุญถัดมาก็เจ้าคุณพระธรรมปาหังสนาจารย์ วัดประยุรวงศาวาส อดีตเสือเก่ามาบวช มีความรู้ความสามารถติดตัวมาชนิดรักษาตัวได้เลย พอมาบวชเป็นพระจึงดังเลย แล้วท่านก็กลายเป็นนักเทศน์ชื่อดังด้วย สอนเทศน์ให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง

ปัจจุบันก็มีหลวงปู่บุญ วัดทุ่งเหียง ท่านเป็นเจ้าคุณแล้ว...ใช่ไหม ? ครั้งสุดท้ายที่พุทธาภิเษกร่วมกันท่านก็ออดแอด ๆ สุขภาพไม่ค่อยจะดีแล้ว"

เถรี
12-02-2016, 15:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อจำเนียร วัดต้นเลียบ จังหวัดสงขลา เวลาคนไปเมาในวัด ท่านถึงขนาดคว้าดาบคว้าขวานไล่ฟันเขาเลย คนก็ไปด่าไปว่าท่าน ที่ไหนได้...พอท่านมรณภาพแล้วสังขารไม่เน่ามาจนทุกวันนี้

คนไปทำชั่วในวัด ท่านไม่อยากให้เขาทำ ท่านก็ต้องดุอย่างนั้น คนเราจะมองกันแค่ภายนอกไม่ได้ อย่างเมื่อครู่เพิ่งจะพูดให้โยมเขาฟัง เรื่องประเภทคนแกล้งโกรธ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ลูกศิษย์ก็ไม่ยอมเอาดีสักที

อย่างตาหลวงจำเนียรมีใครเข้าวัดทำบุญที่ไหน เพราะพอเข้าไปก็ไปเมากัน ไปเล่นการพนันกัน ท่านก็คว้าดาบคว้าขวานไล่ฟันกระจายออกจากวัด คือให้เขาด่าท่าน ดีกว่าปล่อยให้เขาไปทำชั่วในวัด

ถ้าสังเกตดูว่าพระเหล่านี้ อาการป่วยทำอะไรท่านไม่ได้เลย ท่านไม่กระวนกระวาย ไม่อะไรกับใครทั้งนั้น เพราะท่านไม่เห็นความดีของร่างกายแล้ว อยากเป็นก็เป็นไป รักษาหายก็หาย ไม่หายก็ช่าง"

เถรี
12-02-2016, 21:17
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีใครอ่านข่าวที่เขาไปแย่งกันซื้อรองเท้าจะเหยียบกันตายบ้างไหม ? ราคาไม่ใช่ถูก ๆ นะ ไปนึกถึงตอนอาตมาเรียนปริญญาโทอยู่ มีนักศึกษาปี ๓ ของมหาวิทยาลัยเว้ ของเวียดนาม ๒๒ คนมาดูงาน นักศึกษาที่มาเป็นสาว ๆ ทั้งหมดเลย ปี ๓ อย่างเก่งก็อายุ ๒๐-๒๑ ปี แต่ไม่มีใครแต่งหน้าแม้แต่คนเดียว เขาตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันจริง ๆ ส่วนหนึ่งก็มาในชุดอ๋าวหย่ายซึ่งเป็นชุดประจำชาติของเขา ส่วนหนึ่งก็แต่งตัวตามวัยรุ่นปกติ นุ่งยีนส์บ้าง เสื้อยืดบ้าง แต่ไม่มีแบบเว่อร์วังอลังการแบบพวกเรา ต้องบอกว่าเด็กบ้านเราค่อนข้างจะไร้สาระ

เรื่องของการพัฒนาประเทศ ถ้าเด็ก ๆ ของเรายังเป็นแบบนี้ รับรองว่าบ้านเรารั้งท้ายอาเซียนแน่นอน ตามใครไม่ทัน ที่ตามเขาไม่ทันเป็นเพราะว่าบ้านเราเลี้ยงลูกผิด คือมักจะโอ๋ลูกจนเกินเหตุ เลี้ยงแบบไข่ในหิน เด็กลำบากไม่เป็น แล้วเขาต้องการอะไรก็ขวนขวายมาประเคนให้ลูก เพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ก็เลยทุ่มเทด้วยการให้เงินให้ทองแทน เด็ก ๆ จึงเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่

คราวหน้าลองเปลี่ยนให้รู้จักขัดใจเด็กบ้าง เขามีคลิปวีดิโอมาให้ดู ลูกขอซื้อไอโฟนแต่พ่อไม่ให้ ลูกลงไปนอนดิ้นกลางสี่แยก เด็กโตจนเป็นสาวแล้วลงไปดิ้นกลางสี่แยก ถ้าเป็นอาตมาก็อาจจะขับรถทับซ้ำไปเลย...! แต่ที่โลกโซเชียลเขาด่าคือพ่อใจไม่แข็งพอ ไปซื้อให้ เดี๋ยวคราวหน้าเขาก็ดิ้นใหม่อีก

ฉะนั้น...รองเท้าคู่หนึ่งราคาหกพันเจ็ดพันบาท ถ้าสมมติว่าพ่อแม่มีค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เดือนหนึ่ง ๙,๐๐๐ บาท ซื้อรองเท้า ๖,๙๙๐ บาท แล้วจะเหลืออะไรกิน ? เด็กบ้านเราฟุ้งเฟ้อ ไหลตามกระแสไม่ลืมหูลืมตา ไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นสาระแก่นสารในชีวิต

เรื่องของการเรียนการศึกษา ที่ต้องถือว่าเป็นพื้นฐานที่ตนเอง จะต้องเอาไปทำมาหากินตลอดชีวิต กลับไม่ได้ตั้งใจเรียน ไปตั้งหน้าตั้งตาเขี่ยไลน์ คบเพื่อนสนทนาไร้สาระ กินอาหารร้านแพง ๆ เพื่อที่จะได้ถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กอวดกัน บางคนกินอาหารมื้อหนึ่งบ้านคนจนกินได้ปีหนึ่งเลยก็มี”

เถรี
12-02-2016, 21:20
(สนทนากับพระที่เรียนบาลี) "คุณต้องทุ่มเททั้งปี ไม่ใช่มาเร่งเอาตอนท้ายไม่กี่วัน ไม่กี่วันเราเร่งไม่ขึ้นหรอก อย่างไรอย่าให้เสียท่ารุ่นน้องนะ พระที่ไปเรียนที่นครปฐมนี่กะเหมาสอบผ่านทั้งชุดเลย โดยเฉพาะท่านไบรท์ พระอาจารย์ชมแล้วชมอีก ไบรท์สมชื่อเลย

ต้องท่องจนแตกฉานจริง ๆ ชนิดว่าเอาศัพท์ไหนมาต้องแยกได้หมด ผมเองท่องตอนแรก ๆ ก็ไม่เข้าใจ ท่อง ๆ ไปอยู่ ๆ ก็แตกโป๊ะขึ้นมา เหมือนจะเข้าใจเอง แล้วรู้เลยว่าทั้งหมดต้องทำอย่างนี้ ชุดนี้ต้องทำอย่างนี้ ๆ แสดงว่าเรื่องของการอ่านหนังสือ จะอ่านรอบเดียวไม่ได้ ต้องซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำจนเข้าใจจริง ๆ

คนไปเรียนนี่เครียดหัวหงอกเลย ขนาดท่องหนีอาจารย์แล้วหนีอาจารย์อีก ก็หนีไม่พ้นสักที ผมถึงเคยแนะนำไว้ว่าให้ท่องหนีอาจารย์ไว้เยอะ ๆ เลย ถ้าปล่อยให้อาจารย์ไล่ทันนี่นรกแตกแน่"

เถรี
13-02-2016, 21:50
ถาม : ร่างกายก็เป็นแต่ธาตุสี่ เวลาแยกจากจิตแล้ว ทำไมต้องพัก ?
ตอบ : ต้อง...เมื่อเกิดความล้าก็แสดงให้เราเห็นว่าจะต้องพักแล้ว คราวนี้สภาพความอดทนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน บางคนพักผ่อนน้อยก็อยู่ได้ บางคนก็ต้องมากหน่อย

ถาม : จริง ๆ เกิดอะไรขึ้นกับ....
ตอบ : ความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อ อย่างที่เราเล่นกีฬาแล้วกรดแลคติกออกมาเยอะ ลักษณะการใช้แล้วสูญเสียก็เลยต้องมีการทดแทน พูดง่าย ๆ ก็คือว่าขณะที่ร่างกายทรุดโทรมลง ก็มีการซ่อมเสริมตัวเอง ช่วงพักก็คือเวลาซ่อม

ถาม : ถ้าเราทิ้งร่างกายที่แยกออกจากจิตไว้ได้ ร่างกายจะซ่อมเองไหมคะ ?
ตอบ : ซ่อม...อย่างไรเขาก็ทำหน้าที่ของเขา เพราะว่าเรามีกล้ามเนื้อที่นอกเหนือการควบคุม อย่างเช่นการเต้นของหัวใจ เราบังคับเขาไม่ได้หรอก เขาทำของเขาเอง

ถาม : จริง ๆ แล้ว ร่างกายก็พังของมันอยู่ ก็ซ่อมของมันอยู่ ตามสภาพการปรับสมดุลของธาตุสี่ เราแยกจิตทิ้งมันไปได้นานแค่ไหนคะจึงจะเน่า ?
ตอบ : อยู่ที่ว่ากำลังสมาธิพอที่จะรักษาได้ไหม ? ถ้าสมาธิรักษาได้ จะไปกี่ปีก็ไปเถอะ

ถาม : แสดงว่าร่างกายกับจิต มีอะไรผูกกันอยู่ ?
ตอบ : ยังผูกกันอยู่ ร่างกายจะมีปราณละเอียดหล่อเลี้ยงอยู่

เถรี
13-02-2016, 22:10
ถาม : พวกผักผลไม้ต่าง ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่ามีฤทธิ์ร้อน ฤทธิ์เย็น หรือเป็นกลางครับ ?
ตอบ : ก็ศึกษาหน่อยสิครับ พวกฟักแฟงแตงน้ำเต้านี่ฤทธิ์เย็นทั้งหมดแหละ

ถาม : อย่างลำไยสดก็ร้อน ถ้าตากแห้งก็เย็น ?
ตอบ : ศึกษาเอาสิวะ ตำราก็มี สมัยนี้น่าจะโหลดได้แล้ว

ถาม : ขออย่างคร่าว ๆ ครับ ?
ตอบ : ประเภทอวบน้ำส่วนใหญ่จะเย็น ต่อให้เป็นผักก็เถอะ อย่างเช่นผักกาดขาวเย็นแน่นอนเพราะอวบน้ำ ผักบุ้ง ผักกาดขาว

ถาม : แล้วพวกพืชมีหัวที่อยู่ในดินละครับ ?
ตอบ : พืชมีหัวถ้าไม่ใช่ธาตุกลางก็ธาตุร้อนไปเลย เพราะว่าพืชมีหัวอย่างขิง ข่า กระชายจะร้อน แต่ถ้าหากว่าพืชดินมีหัวอย่างพวกเผือก มัน จะเป็นธาตุกลาง

ถาม : มะม่วง ?
ตอบ : กลาง

ถาม : แล้วรสมีผลไหมครับว่าหวานมากหวานน้อย ?
ตอบ : หวานมากก็ร้อน

ถาม : องุ่นเย็นไหมครับ ?
ตอบ : ฤทธิ์ร้อน

ถาม : องุ่นอมน้ำนี่ครับ ?
ตอบ : จำคำว่าส่วนใหญ่ได้ไหม ? องุ่นลองกินไปสักพวงใหญ่ ๆ จะร้อนในขี้ตาแห้งไปเลย ค่อย ๆ จำเอาทีละอย่าง โดนแล้วก็เข็ดจนจำไปเอง

เถรี
14-02-2016, 19:39
ถาม : ป่วยอีกแล้ว ไปดูงานกลับมาก็ป่วย ?
ตอบ : จะไม่ให้ป่วยเลยก็ต้องเลิกเกิด แก่แล้วจะไม่ให้ป่วยบ้างก็เกินไป..!

เถรี
14-02-2016, 19:44
ถาม : กลับมาจากการทำบุญกับพระแล้วเรามีกำลังจิตมาก แสดงว่าอยู่ที่จิตของเรา หรืออยู่ที่องค์ท่านเป็นเนื้อนาบุญ ?
ตอบ : มีกำลังจิตมากหรือมีปีติมาก ?

ถาม : ประมาณนั้นเจ้าค่ะ ?
ตอบ : ปีติส่วนปีติ กำลังจิตส่วนกำลังจิต กำลังจิตเกิดจากการฝึกฝนในเรื่องของสมาธิ ฉะนั้น...ต้องแยกให้ออก ไม่อย่างนั้นอาตมาก็ตอบคำถามไม่ถูก

ถาม : ถ้าเป็นปีติมาก ?
ตอบ : ถ้าเป็นปีติมากก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเราอาจจะเคยสร้างบุญร่วมกับท่านมาก่อน ถึงเวลามีโอกาสได้ทำบุญร่วมกันใหม่ก็รู้สึกมีปีติมาก

เถรี
14-02-2016, 20:01
ถาม : จะตัดสินใจบวช ทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : อย่ามาจับพระเป็นตัวประกัน ไปตัดสินใจเอง ไม่มีที่ไหนที่ดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรอก อยู่ที่ความเพียรพยายามและความอดทนของเรา คนอยู่ที่ไหนก็เป็นคน สถานที่ต่อให้ดีแค่ไหน คนที่อยู่ในนั้นก็ไม่แน่ว่าจะดีหมดทุกคน อยู่ที่ไหนก็เจอปัญหา ฉะนั้น...ตัดสินใจดี ๆ ไม่กลัวเขาตามฆ่าทิ้งหรือ ? เพิ่งจะเริ่มงานให้เขาก็หนีแล้ว

ถาม : เจ้านายที่ทำงานก็ดี คนอื่นก็ดี ?
ตอบ : ใช่...เขาพยายามถ่วงเราไม่ให้ไป อย่างหลวงพ่อเองทำงานเงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท พอตั้งใจจะบวชเขาขึ้นให้ ๓๐,๐๐๐ ปี ๒๕๒๘-๒๕๒๙ เงินขนาดนั้นซื้อทองได้เป็น ๑๐ บาท อาตมาก็ว่า “อ๋อ...ตั้งนานเนกาเลมึงไม่ให้กู มาให้เอาตอนนี้นะ กูไม่สนหรอก” ว่าแล้วก็ไปโลด ท้ายสรุปได้ว่าอาตมาคิดถูก แต่คนอื่นไม่แน่ว่าจะคิดถูก

ถาม : มีการกระทบกระทั่งกันค่ะ ?
ตอบ : ตราบใดที่ยังกระทบกระทั่งกับโน่นนี่นั่นได้ง่าย ก็แปลว่า "อ่อน" เราจะไปหวังให้คนอื่นดีไม่ได้ ต้องอยู่ที่ตัวเรา ต้องดูที่ตัวเราแก้ที่ตัวเรา

ถาม : หนูทราบค่ะ ?
ตอบ : หนูทราบค่ะ แต่หนูก็ไปรับอารมณ์ข้างนอกมาอยู่เรื่อย

ถาม : หนูใจร้อน ?
ตอบ : ไปเถอะ ไปตัดสินใจเอาเอง ไม่ต้องมาจับพระเป็นตัวประกัน ตูไม่รับรองให้ใครหรอก..!

เถรี
14-02-2016, 20:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเห็นคนมีห่วงแล้วจิตใจสงบบ้างไหม ? ความจริงไม่ใช่ความสงบหรอกแต่ว่าเขาก็สงบลงได้

มีพระอยู่รูปหนึ่งไปบวชที่ท่าขนุน วันแรกก็กระวนกระวาย ทำโน่นทำนี่ก็ไม่ค่อยจะมีสมาธิ พอวันที่ ๒ อดีตแฟนมาอยู่วัดด้วย ตลอด ๗ วันนั้นท่านนิ่งมากเลย คงจะหมดห่วง แต่วิธีนี้ตำราจีนเขาเรียกว่า "ดื่มยาพิษแก้กระหาย" ท้ายสุดพิษก็กำเริบตายไปเอง เพียงแต่ว่าท่านสึกเสียก่อน อาจจะเป็นเพราะว่าที่ท่านไม่สงบเพราะห่วงแฟน พอแฟนมาอยู่วัด ๗ วัน แหม...นิ่งเปรี๊ยะเลย ตลกดีเหมือนกัน เจอคนมีห่วงแล้วจิตใจสงบ อย่าถามว่าใครนะ...ไม่บอกหรอก เดี๋ยวเขาเขิน"

เถรี
14-02-2016, 20:35
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนเดิมว่า "พัฒนา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีที่สุด ศีลควบคุมกายและวาจาของเรา สมาธิควบคุม กาย วาจาและใจ ในเบื้องต้น ปัญญาควบคุม กาย วาจาและใจ ในเบื้องปลาย ก็แปลว่าเราต้องพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญาของเราอยู่ตลอดเวลา

สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น พยายามหาประโยชน์จากสิ่งนั้นให้ได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบที่สุด เหมือนอย่างกับว่า เจอขี้ก็ต้องเอาไปเป็นปุ๋ยให้ได้ รับรองได้ว่าจะต้องเจอขี้ทุกวัน โดยเฉพาะขี้โมโห

บุคคลที่รับแรงกระทบง่าย ถ้ารู้จักพัฒนาตัวเอง จะเห็นความก้าวหน้าเร็ว เพราะว่ามีสิ่งทดสอบอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่แล้วหลายคนที่สงบนั้น สงบแบบนางเวเทหิกาที่พูดไปวันก่อน สงบเพราะไม่มีแรงกระทบ พอสาวใช้แกล้งนอนตื่นสายหน่อย ก็ฟาดหัวแตกเลย

อย่าแบกตัวกูของกูไปวัด ถ้าแบกไปจะอยู่ลำบาก เดี๋ยวก็จะกลายเป็นว่า “มึงไม่รู้ซะแล้วว่ากูเป็นใคร ?” แบบเดียวกับป้าแมว (วัตถา) แกไปทะเลาะกับนักการเมืองท้องถิ่น เจ้านั่นก็ขึ้นเสียง “มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร ?” ป้าแมวก็ตวาดกลับ “แล้วมึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร ?” เจ้านั่นก็เลยงง เพราะปกติไม่เคยมีใครกล้าขึ้นเสียงด้วย แล้วท้ายสุดก็ถอยไปแบบจ๋อย ๆ แต่โดยดี เพราะคิดว่าป้าแมวเส้นใหญ่กว่า ป้าแมวบอกว่า “ถ้ามันถามก็จะตอบว่า...กูอีแมวไง..!”

ถ้าแบกทิฐิไปจะกระทบเขาง่าย เราเคยอยู่ในสังคมระดับนี้มา เคยทำงานระดับนี้มา ระดับโปรเฟสชั่นแนล ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล แต่ปรากฏว่าของคนอื่นนี่ กระทั่งบ้านตัวเองยังไม่เคยออกพ้นเลย แต่ดันมางับเรา เราก็จะรู้สึกว่ากระทบแรง กระทบแรงเพราะแบกตัวกูของกูไว้เยอะ ดังนั้น...วิธีที่ปลอดภัยก็คือ ลดตัวกูของกูลงให้เร็วที่สุด

รับรองได้ว่าการกระทบมีทุกวันแหละ เพราะว่าผู้หญิงมีความสามารถพิเศษคือรับแรงกระทบง่าย ช่วง ๒ เดือนที่ผ่านมาแม่ชีที่วัดท่าขนุนสึกไป ๓ รูป เพราะกระทบกันอย่างนี้แหละ ถึงขนาดออกปากว่า ถ้ามีกุฏิส่วนตัวจะบวชตลอดชีวิตเลย พอได้กุฏิ...ไม่เกิน ๗ วันก็ไปแล้ว"

เถรี
14-02-2016, 20:45
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนเดิมว่า "พวกเราส่วนใหญ่ตัดสินใจไม่เด็ดขาด พอตัดสินใจไม่เด็ดขาดก็มักจะพลาดโอกาส โดยเฉพาะถ้าโอกาสนั้นเป็นมรรคเป็นผล ก็เสียโอกาสไปอีกหลายชาติเลย

หลวงพ่อวัดท่าซุงถามอาตมาว่า จะบวชให้ท่านได้ไหม ? ปกติของท่านได้คือได้ ไม่ได้คือไม่ได้ แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร กราบเรียนท่านว่า "ขอคิดดูก่อนครับ" ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอพ่อกลับจากนิวซีแลนด์ก่อนก็ได้" อาตมาก็ไปนั่งคิด ท้ายสุดก็บวช พอหลวงพ่อกลับจากนิวซีแลนด์ ก็ไปรับท่านที่สนามบินดอนเมือง กราบเรียนท่านว่า "เต็มใจที่จะบวชแล้วครับ หลวงพ่อจะให้ผมไปวัดวันไหนครับ" ท่านบอกว่า “ถ้าพร้อมก็ไปวันนี้เลยสิวะ” อาตมาก็โดดขึ้นรถตู้ของวัดท่าซุงไปวันนั้นเลย ไปอยู่วัดเสีย ๓๗ วัน คนอื่นมัวแต่ช้ากัน

ต้องบอกว่าที่รู้จริงก็คือแม่ของอาตมาเอง ปกติอาตมาไปวัดนี่ไม่เคยเกิน ๕ วัน เต็มที่ก็ ๔ วัน งวดนั้นพอวันที่ ๗ แม่ก็ไปถึงวัดพร้อมกับเครื่องบวชเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้บอกสักคำแต่แม่รู้ว่าเอาแน่ เพราะอยู่นานเกินไปแล้ว ไปถึงก็เอาเครื่องบวชไปหาหลวงพ่อ ไปกราบเรียนท่านว่า "อิฉันขอบวชลูกชายเจ้าค่ะ" หลวงพ่อบอกว่าให้ตั้งใจใหม่ สมัครบวชมาตั้ง ๓๐ กว่า ให้ขอเป็นเจ้าภาพทุกคนเลย สรุปแล้วแม่ก็เลยได้เป็นเจ้าภาพทั้งรุ่นเลย ๓๖ รูป เสียดายอยู่อย่างเดียวว่า เหลือแค่อาตมาโด่เด่อยู่รูปเดียวนี่แหละ

อาศัยเครดิตดี ไม่มีสตางค์ในกระเป๋าก็ไปวัดได้ ไม่มีเสื้อผ้าอยู่ก็ไปได้ แถมอยู่เป็นเดือน ๆ ด้วย ไปถึงคนโน้นก็ถาม “ทำไมมาตอนนี้ วัดยังไม่มีงาน” “อ๋อ...หลวงพ่อท่านขอให้บวชครับ ก็มาเลย” พอเล่าให้เขาฟังคนอื่นนี่เครียดแทน “แล้วจะอยู่อย่างไร ? แล้วจะกินอย่างไร ? เสื้อผ้าข้าวปลาเป็นอย่างไร ?” โอ๊ย...อยู่วัดจะกลัวอะไรกับอด ปรากฏว่าวันนั้นเสื้อผ้ามา ๓-๔ ชุด ใหม่ ๆ ด้วย มีผู้เสียสละไปซื้อให้ ใส่หลวมบ้าง คับบ้างก็ช่างเถอะ ค่อนข้างมั่นใจว่าทำบุญมาดี ไปไหนก็ไม่ตายหรอก ว่าแล้วก็ไปโลด"

เถรี
14-02-2016, 21:21
ถาม : กลัวว่าจะอยู่วัดไม่ได้ค่ะ
ตอบ : นั่นแหละความกลัว กลัวว่าอยู่ไม่ได้ ถึงเวลาออกมาหางานไม่ได้ เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านถึงอนาคต นัปปฏิกังเข อนาคะตัง เขาห้ามคิดถึง

ถาม : หนูเคยอยู่ที่...?
ตอบ : ที่ไหนก็เหมือนกัน กิเลสท่วมหัวพอกัน..!

ถาม : เราไม่ต้องการอย่างนั้น ไม่ต้องการจะเปลี่ยนใครบางคน ?
ตอบ : เราก็พัฒนาตัวเราเองสิ จะไปสนใจอะไรกับจริยาคนอื่น เขาจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวเขา กาย วาจา ใจ ของเราต่างหากที่สำคัญที่สุด

ถาม : หนูกลัวว่า...?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวหรอก ที่ไหนก็เหมือนกัน บอกแล้วว่าให้ไปตัดสินใจเอาเอง ไม่ต้องมาโอดครวญหรือเล่าเรื่องให้ฟัง

ถาม : หนูตัดสินใจไม่ถูกค่ะ ?
ตอบ : อาตมาแค่รับรู้เฉย ๆ ไม่ประกันอนาคตให้ใครหรอก แก่ ๆ อาจจะต้องตะเกียกตะกายกลับมาหากินเองก็ได้ แทนที่จะให้กำลังใจ ยิ่งซ้ำใหญ่เลย

ถาม : พี่น้องหนู...?
ตอบ : โอ๊ย...ยกให้เขาไปเถอะ ถ้าอาตมามัวไปคิดป่านนี้ไม่ได้บวชหรอก เขายืมสตางค์ไปเล่นแชร์แม่ชม้อยเป็น ๑๐ คันเลย ทุกวันนี้เสียดายอยู่อย่างเดียวว่า พวกนั้นไม่เข้าวัดเลยเพราะอาตมาอยู่ในวัด ไปคิดให้ดี ๆ ขึ้นหน้าก็ตาย ถอยหลังก็ตาย ขึ้นหน้าไปตายดีกว่า เขายังชมว่าเรากล้า หรือไม่ก็บ้าไปเลย..!

เถรี
16-02-2016, 21:15
หลังจากทำบังสุกุลให้โยม พระอาจารย์กล่าวว่า “ไม่ใช่นึกถึงว่าเราจะตายเฉย ๆ ต้องนึกด้วยว่า ถ้าเราตายลงไปตอนนี้มีความดีพอไหม ? ถ้ารู้ตัวว่ามีความดีไม่พอ ก็ให้เร่งทำให้มากเข้าไว้”

เถรี
16-02-2016, 21:57
ถาม : ลูกดอกบัวซนมากค่ะ ?
ตอบ : ลูกดอกบัวต้องซนทุกคน แต่ก็ดีตรงที่เรียนเก่งทุกคน นี่เป็นผลข้างเคียงที่ต้องรับ อาตมาเคยถามหลวงปู่มหาอำพันเจ้าของตำราว่าทำไมถึงซนขนาดนี้ ? ท่านบอกว่าต้องซนถึงจะฉลาด เมื่อต้องการเด็กฉลาดก็ต้องได้เด็กซนไปด้วย

เถรี
17-02-2016, 20:43
ถาม : ศาลพระภูมิต้องยกของใหม่ก่อนแล้วค่อยถอนของเก่า หรือถอนของเก่าก่อนครับ ?
ตอบ : ยกของใหม่ก่อน แล้วค่อยถอนของเก่า

เถรี
17-02-2016, 21:46
ถาม : อาการจิตเคลื่อนออกจากกาย โดยที่เราไม่ได้นั่งสมาธิ สามารถที่จะทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้...จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ได้ ถ้ากำลังถึงก็ไปได้แล้ว

ถาม : เมื่อวันพฤหัสหนูไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ พอท่านพูดออกไมค์หนูก็เลยลืมตาขึ้นมา แล้วก็มั่นใจมาก ๆ เลยว่าเหมือนกับอยู่ข้าง ๆ หลวงปู่ แต่กายก็ไม่มีค่ะ เหมือนกับเคลื่อนออก หนูก็คิดว่าคงสายตาไม่ดี สายตาฝ้าฟางค่ะ หนูก็สงสัยว่าอาการแบบนี้คืออะไร แล้วหลวงปู่ท่านก็พูดออกไมค์เลยว่า จิตเคลื่อน หนูก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นจิตเคลื่อน น่าจะเป็นเพราะสายตาฝ้าฟาง ?
ตอบ : แล้วจะมาถามทำไม ? ในเมื่อท่านตอบแล้วยังอุตส่าห์ไม่ฟัง

เมื่อสภาพจิตรวมตัวเพ่งเป้าหมายอย่างเดียว อย่างอื่นก็จะไม่รับรู้ด้วยเป็นเรื่องปกติ ทีนี้พอจิตรวมตัวได้ที่ก็พร้อมที่จะหลุดออกไป ถ้ารอต่อจากนั้นอีกนิดเดียว อาจจะไปเกาะหน้าแข้งหลวงปู่อยู่ก็ได้

น่าจะเกือบ ๓๐ ปีก่อน น้องจอย (วีระนุช นวลปลั่ง) เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ ถึงเวลาก็นั่งฟังครู เห็นแต่ครูคนเดียว รอบข้างเพื่อน ๆ เล่นกันตึงตังโครมคราม เขาไม่ได้ยินทั้งนั้น เพื่อนบางคนผลักกันไปผลักกันมา เก้าอี้หงายหลังฟาดพื้น เขาก็ไม่ได้ยิน ได้ยินแต่ครูคนเดียว แล้วจะไม่ให้เรียนเก่งได้อย่างไร ? ได้ยินขนาดนั้น สามารถตัดสิ่งรบกวนรอบข้างออกได้หมด สมาธิต้องเกินปฐมฌานแล้ว เพียงแต่คนที่มีอาการอย่างนี้ นอกจากได้สมาธิขั้นสูงแล้ว ยังต้องมีทิพจักขุญาณประกอบด้วย จึงจะเล็งเป้าได้ที่เดียว

พยายามไปปรับใช้ดู ถ้าหากว่าปรับได้จะเป็นประโยชน์กว่านี้มาก

เถรี
17-02-2016, 21:56
ถาม : ตอนนี้หนูทำงาน หนูรู้สึกว่าไม่มีความสุขเลยค่ะ ?
ตอบ : ถูกแล้ว...ถ้าทำงานแล้วมีความสุขก็ไม่ใช่งานสิ เกิดมาทุกข์จะตายชัก ถ้ารู้สึกว่าโลกนี้มีความสุข แปลว่าโดนมารหลอกไปเต็ม ๆ แล้ว ถ้ารู้สึกว่าทุกข์ก็ใช่เลย เพียงแต่อย่าไปแบกทุกข์เอาไว้

เราทำไปตามหน้าที่ของเราเท่านั้น พ้นจากวันนี้ไปแล้ว เราก็จะไปพระนิพพานแล้ว เราทำแบบคนมีวันนี้แค่วันเดียว ถ้าเอาละเอียดหน่อย ก็มีแค่ชั่วลมหายใจเดียว เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าเวลาน้อยแล้วไม่ทำอะไร เวลายิ่งน้อยยิ่งต้องทำให้มากเข้าไว้ เพราะไม่มีเวลาที่จะทำอีกแล้ว

เถรี
18-02-2016, 15:11
ถาม : หนูเห็นมะม่วงค่ะ มะม่วงมีเปลือกและก็มีเนื้อ...ใช่ไหมคะ พอหมดเนื้อก็เป็นเม็ดมะม่วง พอหมดเม็ดมะม่วงก็มีอะไรอยู่ข้างในอีกค่ะ รู้สึกว่าเป็นชั้น ๆ มีวันหนึ่งมาดูมะม่วงที่ยังไม่สุกค่ะ หนูรู้สึกว่า กว่าที่จะมาเป็นมะม่วงแก่นั้นทำไมถึงยากจริง ๆ เหมือนกับความทุกข์มากค่ะ กว่าจะมาเจอข้างใน พอต่อจากความรู้สึกนั้นคือ หนูไม่มีที่ยืนอยู่บนโลกนี้แล้ว ทุกอย่างหลอกหนูหมดเลย ?
ตอบ : รู้สึกว่าทุกอย่างไร้แก่นสารสิ้นดี พยายามทำบ่อย ๆ ถ้าเราเข้าถึงสภาพจิตที่แท้จริง จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ในเมื่อไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ความยินดีในร่างกายนี้จะหมดไป ความยินดีที่จะมาเกิดหมดไป ก็ตั้งเป้าไว้ว่าตายเมื่อไรจะขอไปพระนิพพานที่เดียว ต้องบอกว่าหายาก คนที่ทำไม่ได้อีกหลายล้าน รวมพวกเราทั้งหมดที่นี่ด้วย...ใช่ไหม ?

เถรี
18-02-2016, 15:25
ถาม : ตอนเช้าใส่บาตร อธิษฐานให้เป็นสังฆทาน ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...แล้วทำไมต้องไปอธิษฐานให้ยุ่งยาก ? ตั้งใจว่าพระหรือเณรรูปใดผ่านมาเราจะใส่ ก็เป็นสังฆทานแล้ว ต่อให้ใส่ชุดเดียวก็เป็น ถ้าเราไปเจาะจงว่าจะใส่รูปนั้นรูปนี้ นั่นไม่ใช่สังฆทาน

เถรี
18-02-2016, 15:34
ถาม : ทำสมาธิค่ะ...แล้วฟุ้งซ่าน ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วการภาวนาช่วยให้ไม่ฟุ้งซ่าน ที่เราฟุ้งซ่านแสดงว่าไม่ได้จับลมหายใจเข้าออก หรือจับแล้วแต่แล้วหลุด กลับไปภาวนาแบบเดิม แต่ให้ควบกับลมหายใจเข้าออกด้วย แรก ๆ จะดึงกลับมายากนิดหนึ่ง แต่พอไปสักพักกำลังของเราเริ่มสูงกว่า ก็จะเริ่มสงบลงไปเรื่อย ๆ อย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก ทิ้งเมื่อไรก็ฟุ้งเมื่อนั้น

ถาม : นั่งสมาธิแล้วโยก บางครั้งน้ำลายไหลออกจากปาก ทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอย่างไร ตัวโยกก็นั่งดู ถ้าหากว่าลักษณะของการปากอ้า น้ำลายไหล มีสองอย่าง อย่างแรกคือขาดสติ อย่างที่สองคือจิตเริ่มเป็นฌาน แต่สติหยาบไปหน่อยหนึ่ง เลยทำให้ไม่รับรู้ว่าอาการของร่างกายเป็นอย่างไร

ถาม : แก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ เราจะไปต่อแต่ไม่เอาลมหายใจเป็นหลัก แล้วจะไปอย่างไร ? อย่าทิ้งลมหายใจเป็นอันขาด ตัวโยกเป็นอาการของสมาธิเริ่มทรงตัวใกล้จะเป็นฌาน บางคนดิ้นตึงตังโครมครามเลยก็มี ไม่ต้องไปใส่ใจ ปล่อยให้เป็นเต็มที่เดี๋ยวเลิกเอง แต่คนที่ไม่เข้าใจเขาจะมองเราแปลก ๆ เหมือนกัน

เถรี
18-02-2016, 19:47
มีคนช่วยยกสังฆทานไปเก็บ พระอาจารย์จึงบอกว่า "ได้บุญสองต่อ ถวายสังฆทานแล้วยังได้บุญเวยยาวัจจมัย ในการช่วยเก็บเครื่องสังฆทานด้วย"

เถรี
18-02-2016, 19:48
:4672615:เก็บตกเดือนกุมภาพันธ์ ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ