PDA

View Full Version : โอวาทงานบวชเนกขัมมะ ตักบาตรเทโวฯและกฐิน วันที่ ๘-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗


เถรี
31-10-2014, 10:53
เมื่อ ๒ วันก่อน มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ถามว่า “หลวงพ่อเจ้าขา..อาการกรรมฐานแตกเป็นอย่างไรเจ้าคะ ?” ก็บอกไปว่า “อ๋อ..ปฏิบัติอยู่ดี ๆ แล้วอยากมีผัวน่ะ” ตอบแบบนี้ชัดดี แต่ความจริงแล้วอาการกรรมฐานแตก ก็คือ สมาธิที่ทรงตัวอยู่ ซึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ อยู่ ๆ สมาธินั้นเสียไป พังไป หายไป รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะกำเริบขึ้นมา แล้วคราวนี้ก็มาแบบฟ้าถล่มดินทลายเลย เพราะว่าเราเก็บกดไว้นาน เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าไปเผลอสติ ปล่อยให้การปฏิบัติขาดช่วงลง

การปฏิบัติของเรา ส่วนใหญ่เราทำเสร็จก็มักจะทิ้ง ทำให้ได้ประโยชน์น้อย เนื่องจากว่าพอเราทิ้ง กำลังใจก็จะเสีย รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาแทน คราวนี้ก็อย่างว่าแหละ คนถามเป็นเด็กวัยรุ่นก็เลยตอบให้ชัด เพราะว่าส่วนใหญ่เวลา รัก โลภ โกรธ หลง กลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร นักปฏิบัติที่เคยจิตใจสะอาด ผ่องใส สงบมานาน ๆ พอกำลังใจเสียไป จะทุกข์ทรมานมาก

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านพลาดอย่างไร ท่านทรงสมาบัติแปดได้คล่องตัวมากแล้ว ท่านบอกว่าเผลอหน่อยเดียวเหลือแค่อุปจารสมาธิ เสาแปดต้นเหลือแค่ครึ่งต้น อาคารทั้งหลังจะถล่มลงมาทับตาย ท่านบอกว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาท่านเข็ด จะไม่ยอมเผลอให้สติขาดอีกเป็นอันขาด

เถรี
31-10-2014, 11:00
ส่วนใหญ่พวกเราจะปฏิบัติกันเฉพาะเวลา อย่างเช่นว่าเช้าหรือเย็นหรือว่าเช้าเย็น เวลาที่เหลือบางทีก็ปล่อยให้กำลังใจของเรา ไหลตามกระแสกิเลสไป การปฏิบัติของเราเป็นการว่ายทวนน้ำ พอเราปล่อยให้ไหลตามน้ำไป ถึงเวลาก็ต้องใช้ความพยายามในการว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ แล้วก็ปล่อยให้ไหลไปอีก ลักษณะอย่างนี้ก็จะทำให้เราเหนื่อยมาก ทำงานทุกวันแต่ว่าผลงานไม่มี เพราะว่าถึงเวลาก็ไหลกลับไปที่เดิม

ถ้าการปฏิบัติของเราอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ก็จะกลายเป็นทำแล้วขาดทุน ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ถึงเวลาแล้วค่อยมาปฏิบัติกัน แต่ว่าให้รักษากำลังใจเอาไว้ทุกเวลา ทุกสถานที่ แรก ๆ ก็ไม่ค่อยได้เรื่องหรอก ใหม่ ๆ ถึงเวลาภาวนาเสร็จ สามารถประคองอารมณ์ได้นาทีสองนาทีก็หล่นหายหมดแล้ว

โดยเฉพาะตอนปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ไปเที่ยวคุยกันเรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้นบ้าง นักปฏิบัติจริง ๆ ถ้าหากจะตั้งใจรักษาอารมณ์ตัวเอง ระยะแรกเริ่มจะไม่ค่อยคุยกับใคร เอากำลังใจของตัวเองเป็นหลัก อาตมาเองสมัยที่ปฏิบัติอยู่ก็เหมือนกัน ใหม่ ๆ ก็ต้องรักษาอารมณ์ ประคองอารมณ์ตัวเองไว้ ก็จะมีพวกคนรอบข้างนั่นแหละ “เป็นอะไรหรือ ? วันนี้เครียดมากหรือ ? ทำไมเงียบ..ไม่คุยกับใครเลย ? ” แหย่ซ้ายแหย่ขวาไปเรื่อย ท้ายสุดเผลอไปคุยก็หลุดอีก

บางวันกำลังใจก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ตกแล้วตั้งขึ้นมาได้ ตั้งขึ้นมาแล้วก็หล่นหายไป เป็นร้อยเป็นพันครั้ง เป็นประสบการณ์โหดของนักปฏิบัติทุกคนที่จะต้องมี จะต้องเจอ ดังนั้น..ในส่วนนี้เป็นบทเรียนที่โดนมาจนเข็ด จึงไม่อยากให้พวกเราเป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วทำเท่าไรก็ไม่ได้ผล

เถรี
31-10-2014, 11:03
มีอย่างเดียว ก็คือ ฝึกประคับประคองอารมณ์ ใหม่ ๆ ไม่ต้องเกรงใจใคร เงียบไว้ก่อน ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ปฏิสัมพันธ์กับเขาด้วยความระมัดระวังสุดขีด อย่าให้กำลังใจตก จบเรื่องเมื่อไรรีบดึงกลับเข้าหาการภาวนาของเราต่อ ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ ก็จะรักษากำลังใจของตัวเองให้นานขึ้นได้ จากลุกขึ้นก็หลุดหายแล้ว ก็อาจจะได้มากขึ้น เป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง เพิ่มเป็น ๓ ชั่วโมง ครึ่งวัน ๑ วัน ๓ วัน ๗ วัน ครึ่งเดือน ๑ เดือน ไล่ไปเรื่อย

ถ้าเราสามารถทรงอารมณ์ต่อเนื่องกันได้นาน ๆ ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน บางทีเป็นปีติดต่อกัน จะมีความสุขอย่าบอกใคร รัก โลภ โกรธ หลง กินเราไม่ได้ มีความสุขเบากายเบาใจไปหมด ช่วงนั้นจะใช้สติใช้ปัญญาพิจารณาอะไร ก็เกิดความคล่องตัว รู้เห็นชัดเจนไปหมด เรื่องพวกนี้สำคัญอยู่ตรงที่ว่าอย่าเผลอ อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ท่านถึงขนาดจะทรงฌานเมื่อไรในขั้นไหน ก็สามารถกำหนดใจได้ทันที ท่านยังพลาดมาแล้ว เราที่เป็นลูกเป็นหลานอย่าให้พลาดอย่างนั้น

ขอยืนยันว่าถ้าพลาดแล้วโกยคืนยากมาก เพราะว่ากิเลสรู้ว่าตัวเองจะตาย ก็พยายามต่อสู้สุดชีวิต เราจะสังเกตว่าในช่วงระยะเวลาที่เกิดอาการจิตตก สมาธิตก กรรมฐานตก มักจะเป็นเวลาที่เราทำได้ดีที่สุด ประเภทแทบจะเห็นหน้าเห็นหลังกัน จะได้ได้มรรคได้ผลกันเดี๋ยวนั้นเลย แต่อยู่ ๆ ก็พังครืนลงไปเฉย ๆ เหมือนอย่างกับเราเดินไปจะถึงประตูอยู่แล้ว อีก ๒-๓ ก้าวจะถึงประตู เปิดประตูไปเมื่อไรก็พ้นจากโลกนี้ไปทันที ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากอีก แล้วอยู่ ๆ ก็โดนหลอกให้มาผิดทาง เลี้ยวห่างประตูไปเรื่อย กว่าจะย้อนกลับมาอีกทีก็ต้องรอจนครบรอบ ซึ่งบางคนก็หลายปี

เถรี
31-10-2014, 11:10
เมื่อเดือนที่แล้วมีโยมอยู่คนหนึ่ง รู้กันจักกันมาตั้งแต่สมัยฆราวาส หายไปหลายปีเพิ่งจะมาปรากฏตัว บอกว่า “หลวงพี่..๒ ปีนี้กำลังใจผมแย่มากเลย” จึงบอกว่า “รู้ตัวแล้วทำไมไม่เอาคืนล่ะ ?” เขาบอกว่า “ลุ้นไม่ค่อยจะขึ้น” นั่นคือลักษณะของการทิ้งกำลังใจให้เสีย ปฏิบัติดีมานาน ๆ ถ้าทิ้งให้เสียเมื่อไร กิเลสก็ต่อต้านสุดชีวิต โอกาสที่เราจะโกยคืนมาให้ดีได้จะเป็นเรื่องยาก

พวกเราทุกคนถ้ามีโอกาสให้เร่งทำให้มากไว้ เรื่องของการพูดการคุย การปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น หรือว่าในเรื่องของโซเชียลมีเดีย จะต้องเข้าเฟซบุ๊ค จะต้องเข้าไปอัพรูป ไปลงสเตตัส ไปกดไลค์ใคร ให้เลิกไปชั่วคราว ตีเสียว่าใน ๕ วันนี้ เราจะตัดตัวเองจากโลกภายนอก ดูซิ..ว่าจะขาดใจตายไหม ? เราจะเห็นได้ชัด ๆ ว่ากิเลสหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง ถึงเวลาก็จะดึงเรากลับไปทำแบบนั้นให้ได้ ถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นใจจะขาดรอน ๆ แล้วเราจะรู้ว่า นั่นเป็นแค่สิ่งที่เราผูกสัมพันธ์ แค่เราสร้างขึ้นมาเท่านั้น ยังตัดได้ยากขนาดนี้ แล้วร่างกายของเราซึ่งเป็นสิ่งที่รัก เป็นสิ่งที่หวงแหนมานับชาตินับภพไม่ถ้วน ถึงเวลาแล้วจะตัดยากขนาดไหน ?

ลองดูซิว่า..ไม่ใช้โทรศัพท์สัก ๕ วันจะถึงตายไหม ? กำลังของเราพอที่จะสู้กิเลสได้ไหม ? ถ้าพอสู้ได้เราต้องไม่แตะเลย ไม่เข้าเฟซบุ๊คสัก ๕ วันจะลงแดงไหม ? ถ้ามีการทดสอบลักษณะนี้ เราก็จะรู้ว่ากำลังของเราพอสู้กิเลสหรือเปล่า ? แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว พวกเรานอกจากจะไม่รู้วิธีต่อสู้กิเลสแล้ว ยังถนัดในการพอกพูนกิเลสอีกด้วย

เถรี
31-10-2014, 11:19
อาตมาเองเวลาขึ้นรถก็มักจะภาวนาไปเรื่อย วันดีคืนดีก็มีพรรคพวกเพื่อนฝูงโผล่มานั่งชวนคุยไปเรื่อย วันนั้นกำลังเพลิน ๆ อยู่ เพื่อนรักก็โผล่มา บอกว่า “สงสารท่านจริง ๆ เลย” ถามว่า"ทำไมวะ ?" เขาบอกว่า “ไอ้ที่ท่านสอนไปนั้นไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่าผมครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว” เลยถามว่า "ครอบอย่างไร ?"

เขาบอกว่า “นี่..มือข้างหนึ่ง ซึ่งก็คือสิ่งสมมติ ประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นธาตุ ๔ นี่คือมือ ด้านนี้หน้ามือ ด้านนี้หลังมือ มีฝ่ามือ มีนิ้วมือ ประกอบด้วยนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วก้อย กี่สมมติเข้าไปแล้ว ? นิ้วโป้งข้อที่ ๑ นิ้วโป้งข้อที่ ๒ เล็บนิ้วโป้ง นิ้วชี้ข้อที่ ๑ นิ้วชี้ข้อที่ ๒ นิ้วชี้ข้อที่ ๓ เล็บนิ้วชี้ ไล่ไปเรื่อย” แค่มืออย่างเดียวครอบไว้เกือบ ๕๐ ชั้นในเรื่องของสมมติ ก็คือสมมติเรียกว่าอย่างนั้น สมมติเรียกว่าอย่างนี้ แล้วถ้ารวมหมดร่างกายของเรานี่สมมติจะครอบอยู่กี่ชั้น ?

เขาบอกว่า “ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง แหลมคมจริง ๆ แล้ว ไม่มีทางที่จะเจาะทะลุสมมติเหล่านี้ได้” ปัจจุบันนี้เขายังแยกชิ้นส่วนไปอีก ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร สร้างกายสมมติขึ้นมา กายนี้คือสไกป์ กายนี้คือเฟซบุ๊ค กายนี้คืออีเมล์ ไล่ไปเรื่อย ๑ Username ก็คือ ๑ กาย ก็คือตัวเรานี่แหละ ถามว่าเป็นกายเราได้อย่างไร ? สมมติว่าเวลาขึ้นสเตตัส ถ้าเขาไม่มากดไลค์เราก็โกรธเขาแล้ว เหมือนกับเขาทำอะไรให้เราไม่พอใจ แล้วเราโกรธนั่นแหละ นั่นเขาทำในโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นโลกสมมติแท้ ๆ

พอจะนึกออกไหมว่ากิเลสนั้นโหดขนาดไหน ? ปัจจุบันนี้เขาทำให้เราสร้างกายสมมติของเราขึ้นมาอีก เยอะแยะไปหมด ไอ้ตัวนี้ยังตัดไม่ได้เลย ไอ้นั่นอีกตั้งเท่าไรที่ไปสร้างเพิ่มขึ้นมา เขาก็เลยบอกว่าสงสารอาตมา สอนไปก็เสียเวลา สอนให้ไปหนึ่ง โน่น..เขาไป ๒๐ แล้ว ฉะนั้น..ในเรื่องทั้งหลายนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาพูดเล่น แต่ว่าเขาบอกจริง ๆ บอกแบบประเภทไม่กลัวข้อสอบรั่วด้วย เขาดูถูกเรามาก ว่าไม่มีปัญญาเอาชนะเขาได้หรอก โยมได้ยินแล้วรู้สึกอย่างไร ? ไอ้แสบนี่สุดยอดจริง ๆ วันดีคืนดีก็โผล่มากวนตี..!

เถรี
04-11-2014, 05:54
มีอยู่วันหนึ่งอาตมากำลังป่วย เขามาร้องเพลงขอนไม้กับเรือให้ฟัง แล้วบอกว่า “ไอ้ท่านก็เป็นแค่ขอนไม้ผุ ๆ เท่านั้นแหละ จะไปส่งคนขึ้นเรือขึ้นฝั่งได้อย่างไร ? ตัวเองยังจะไปไม่รอดเลย จะไปส่งใครได้” ร้องเพลงเพราะด้วยนะ สำเนียงปักษ์ใต้แท้เลย เรื่องพวกนี้อยากจะบอกกับพวกเราว่า กิเลสต่าง ๆ ที่ร้อยรัดเราติดอยู่กับโลกนี้ มีแต่จะหนักขึ้นทุกที ๆ ถ้าเราไม่ตั้งใจเด็ดขาดจริงจังสู้กับกิเลส โอกาสที่จะรอดก็ยาก

อาตมามีลูกศิษย์คนหนึ่ง ส่งไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านห้วยน้ำขาว บอกว่าจะสึกมา ๒๐ กว่าครั้ง จนป่านนี้ยังไม่ได้สึกเสียที เมื่อวานก่อนมาถึงก็บอกว่า “หลวงพ่อครับ...ผมขออนุญาตอยู่ไปก่อนเรื่อย ๆ นะครับ” เลยบอกไปว่า “เออ..ถ้าไม่เด็ดขาดอย่างนี้ ชาตินี้ก็เอาดีไม่ได้หรอก” จะสึกก็สึก จะอยู่ก็อยู่สิวะ ชักเข้าชักออกอยู่นั่นแหละ อาตมาจะทำงานทำการอะไรก็วางแผนไม่ได้ เพราะเดี๋ยวก็จะอยู่เดี๋ยวก็จะไม่อยู่

ลักษณะเดียวกันกับการปฏิบัติของเรา ถ้าเราไม่มีความเด็ดขาด ตัดบัวเมื่อไรก็เหลือใย ดึงเท่าไรใยก็ยืดติดอยู่นั่นแหละ แบบนั้นไปไหนไม่รอด ตัดก็คือตัด ไม่ก็คือไม่ ได้ก็คือได้ ให้รู้เรื่องกันไปเลย นักปฏิบัติอย่างเรามีแต่ต่ำสุดกับสูงสุด ตรงกลางไม่มี..ขอยืนยัน ถ้าไปพระนิพพานไม่ได้ก็ให้ลงอเวจีมหานรกไปเลย..! หมดเรื่องหมดราวไป ถ้าสามารถรักษากำลังใจในลักษณะอย่างนี้ ทำอะไรก็พอจะได้ประโยชน์เห็นหน้าเห็นหลังบ้าง

เถรี
04-11-2014, 05:58
แต่ถ้าประเภทถึงเวลาแล้วกลัวกิเลสจะเศร้าหมอง จะฆ่ากิเลสก็สงสาร ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ไม่ต้องหวังที่จะเอาดีกัน เพราะว่ากิเลสเขาไม่เคยปล่อยปละละเว้นเรา แต่เราเองก็มักจะไปปล่อยปละละเว้นกิเลส กิเลสอาศัยร่างกายนี้เป็นที่เกิด เป็นที่อยู่ ถึงเวลาถูกเราทรมานมาก ๆ เข้า อย่างเช่นว่า เดี๋ยวถึงเวลากรรมฐานของเรา เดินจงกรมหน่อยกิเลสก็หงุดหงิด “เดินไปทำไมวะ ยก ๆ ย่าง ๆ เหยียบ ๆ ค่อย ๆ ย่องอยู่นั้นแหละ ไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหนเลย” พยายามที่จะบอกเราให้เลิก เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปทำลายกำลังของเขา

การปฏิบัติธรรม เมื่อทำไปแล้วจะเกิดตบะ คือความร้อนในการเผากิเลส เผามาก ๆ แล้วกิเลสจะตาย เขาก็หลอกให้เราหยุดทุกครั้ง ถึงเวลาถ้าหลอกให้เราหยุดไม่ได้ ท้ายสุดก็ทำท่าจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ แต่ตอนที่จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ เนื่องจากว่ากิเลสอยู่กับเรา เราก็เลยมักจะเข้าใจผิดว่า ไอ้ที่จะตายคือตัวเรา ในเมื่อเราเข้าใจผิดว่าที่จะตายคือตัวเรา เราก็หยุดทุกที กิเลสก็รอดไปทุกครั้งเหมือนกัน

ดังนั้นเราทำความดีทุกครั้งที่ผ่านมา พอใกล้จะดีแล้วมักจะพัง เพราะรู้ไม่เท่าทันมายาของกิเลสที่หลอกลวงเรา สิ่งที่เราจะรู้เท่าทันคือต้องมีปัญญา ปัญญาจะมีได้สมาธิต้องทรงตัว สมาธิจะทรงตัวได้ศีลต้องบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น..เรามีหน้าที่รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ตั้งใจปฏิบัติสมาธิภาวนาไป

เถรี
04-11-2014, 06:00
ถ้าจิตใจของเรามีการตั้งสติระมัดระวัง รักษาศีลเป็นปกติ สมาธิก็จะทรงตัวได้ง่าย ถ้าสมาธิทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลง ที่บังหน้าเราก็โดนกวาดทิ้งไป โดนกดทับเอาไว้ สภาพจิตก็กลับมาผ่องใสชั่วคราว เราก็ต้องรีบใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า สภาพตัวเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี วัตถุทั้งหมดก็ดี มีแต่การเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้

ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรหลงเหลือเป็นเรา เป็นของเรา เสื่อมสลายตายพัง กลายเป็นสมบัติโลกคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปหมด ในเมื่อไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเลย อยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ แบกแต่ความทุกข์ แล้วเรายังจะต้องการร่างกายนี้ไปทำไม ?

ถ้าสามารถถอนจิตจากตรงจุดนี้ได้ ถ้าร่างกายของเรายังไม่ต้องการแล้ว ร่างกายของใคร ๆ เราก็ไม่ต้องการ ถึงเวลานั้นเหมือนอย่างกับว่าเราพลิกโลกตีลังกากลับข้าง สิ่งที่เคยเห็นว่าดีก็กลายเป็นไม่ดี สิ่งที่เห็นว่าไม่ดีก็กลายเป็นดี จะตรงกันข้ามกันไปหมด แล้วท้ายที่สุดสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ของคนอื่น เราก็ไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นจะยินดีอยากได้ใคร่มีกับใคร ก็สามารถที่ถอนจิตตัวเองให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ ก้าวเข้าสู่พระนิพพานได้

การปฏิบัติธรรมจึงต้องอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลควบคุมกาย วาจา ใจของเราให้อยู่ในกรอบ ทำให้สมาธิทรงตัวตั้งมั่น เมื่อสมาธิทรงตัวตั้งมั่นสร้างปัญญาให้เกิด ปัญญาเกิดก็ไปคุมศีล คุมสมาธิอีกที ไล่ไปอย่างนี้เรื่อยเหมือนกับไขน็อต ถึงเวลาไขไปน็อตก็ถึงที่สุดเอง ทุกท่านเมื่อเข้ามาปฏิบัติแล้วควรจะทุ่มเทให้เต็มที่ โดยเฉพาะรุ่นนี้ถือว่าตั้งแต่จัดปฏิบัติมา มีคนน้อยที่สุดเท่าที่เคยเจอ เพราะเป็นเวลาทำงานไป ๓ วัน แต่ว่าพวกเราอุตส่าห์สละเวลามาแล้ว ก็ควรที่จะทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ให้สมกับที่สละเวลาที่มีค่าของเรามา

เถรี
04-11-2014, 08:46
(ไม่ชัด) ก็คือกาย วาจา ใจของเรายังเป็นโทษให้กับคนอื่นเขาอยู่หรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่าถึงเวลาคนโน้นถากมา คนนี้ก็แทงไป การกระทบกระทั่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ชีวิตก็หาความสงบสุขไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เสียทีที่มาปฏิบัติธรรม อย่างวันนี้พวกเราออกไปช่วยกันตามเก็บอาหารบิณฑบาต แค่ ๖ คนเดินเต็มถนนจนรถไปไม่ได้ ไม่รู้สึกเลยหรือว่าตัวเองกำลังทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ? แสดงว่าขาดสติเป็นอย่างมาก ฉะนั้น..ต้องอยู่วัดสัก ๗-๘ พรรษา จะได้ฝึกตัวเองให้ดีกว่านั้น

หลายต่อหลายอย่างไม่ใช่ต้องรอให้ครูบาอาจารย์มาจ้ำจี้จ้ำไช มาแนะนำสั่งสอน เราไม่ใช่เด็กหัดใหม่ ที่ต้องจับมือเขียน ก.ไก่ ทีละตัว ต้องรู้จักสังเกตแล้วก็จำ หลังจากนั้นก็นำไปปฏิบัติ ถ้าพวกเราเคยฟังเสียงของหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่แสดงธรรมเทศนาเอาไว้ในวาระต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการสอนธรรมนำปฏิบัติ ท่านจะบอกอยู่เสมอว่า “ฟังแล้วจำ จำแล้วคิด คิดแล้วนำไปปฏิบัติด้วย”

ฉะนั้น..สิ่งที่เราทำอยู่ทั้งหมด ถ้าเรายังมีสติไม่สมบูรณ์ การกระทำของเราด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็ยังก่อทุกข์ก่อโทษแก่คนอื่นเขาอยู่ การก่อทุกข์ก่อโทษให้แก่ผู้อื่นหรือตัวเองก็ตาม เท่ากับว่าสร้างแดนเกิดให้กับตัวเอง เพราะว่าไปสร้างกรรมคือการกระทำเกิดขึ้นแล้ว กรรมนั้นย่อมผูกมัดเราอยู่ การผูกมัดเราอยู่ก็ต้องมีที่ผูกเราไว้ สถานที่ ๆ ผูกเราไว้ภาษาบาลีเรียกว่า ภวะ หรือ ภพ หรือว่าแดนเกิดของเรานั่นเอง ทำให้ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นไปได้

เถรี
04-11-2014, 09:02
ดังนั้น...ทุกอย่างที่เราทำ ต้องคิดก่อนเสมอ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อาตมาก็อยากเดินกลางถนนเหมือนกัน เดินสบายจะตาย แล้วทำไมต้องไปเดินข้างถนนที่มีแต่ก้อนกรวดให้เจ็บตีนด้วย เราก็ต้องดูว่าการเดินกลางถนนของเรา ไปสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับคนอื่นเท่าไร ถ้ารู้จักเหลียวมองข้างหลังจะเห็นว่า แค่พระ ๒๐ กว่ารูปเดินบิณฑบาตนี่รถก็ติดเป็นทางแล้ว เพราะว่าหลายคนก็เคารพพระมากจนเกินไป ถึงเวลาแถวพระยังไม่หมด ก็ไม่กล้าที่จะตัดแถวพระไป ในเมื่อตัวเองจอด คันหลังก็ไปไม่ได้

ส่วนอีกหลายคนก็ถือโชคถือลางว่า ถ้าไปตัดแถวพระบิณฑบาต จะสร้างอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิตตัวเอง ยิ่งไม่กล้าทำไปใหญ่ แล้วมีบางช่วงก็ซ้ายใส่บ้านหนึ่งขวาใส่บ้านหนึ่งแล้วซ้ายใส่อีกบ้านหนึ่ง แค่นั้นรถก็ติดหมดทั้งตลาดแล้ว เราก็ยังไปซ้ำเติมด้วยการลงไปเดินกลางถนนอีก ถ้ารู้จักใช้หัวแม่ตีนข้างขวาคิดสักหน่อย ก็จะรู้ว่ากำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นเขา

ต่อไปให้รู้จักพิจารณาใจของตัวเองให้ละเอียดมากกว่านั้นนิดหนึ่ง อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง ต้องคิดอยู่เสมอว่า กาย วาจา ใจ ของเราที่ทำไปนั้น จะก่อทุกข์ก่อโทษให้กับคนอื่นหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นแล้วจะกลายเป็นว่าเราปล่อยวางแล้ว แต่วางใส่กบาลคนอื่นเป็นประจำเลย อาตมาเองไม่ได้มีความสุขที่จะต้องมาด่าว่าตักเตือนพวกเรา ถ้าไม่อยู่ในหน้าที่ของครูบาอาจารย์แล้ว อาตมามักจะปล่อยเลยตามเลย อยากจะทำอะไรก็ช่างแม่ง... สร้างกรรมของมึงเองไม่ได้เกี่ยวกับกูสักหน่อย..!

เถรี
05-11-2014, 08:21
ในส่วนนี้ พวกเรายิ่งทำไปใจต้องยิ่งละเอียดขึ้น ต้องยิ่งเห็นว่า กาย วาจา ใจ ของเรา ก่อทุกข์ก่อโทษให้เขาเท่าไร จะได้หยุดสร้างเหตุนั้นเสีย ถ้ากรรมใหม่ของเราไม่ได้สร้าง กรรมเก่าเราค่อย ๆ ชดใช้ไป เดี๋ยวก็หมดกรรม สามารถหลุดพ้นไปได้ แต่ถ้ากรรมเก่าก็ยังใช้ไม่หมด กรรมใหม่ก็สร้างเพิ่มไปเรื่อย ๆ แล้วอีกกี่ชาติกว่าจะมีปัญญาหลุดพ้นกับเขาบ้าง ?

บางท่านก็เมตตาเหลือเกิน พระเดินถนนอยู่ก็พระของกู หลวงพ่อของกู พระวัดกู เพราะฉะนั้น..คนอื่นว่ากันทีหลัง กูยืนกั้นถนนเลย ให้พระของกูไปก่อน เป็นการกระทำที่เมตตาเกินประมาณ แล้วก็สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นเขา อย่าได้ทำอย่างนั้นอีก

ทุกวันนี้พระวัดท่าขนุนก็ไม่ได้เป็นที่ชอบพอของญาติโยมนัก เพราะว่าไม่ยอมตามใจโยม เอาเรื่องพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ เรื่องที่จะไปประจบเอาใจโยมไม่มี แล้วอะไรที่เราไปทำสร้างความเดือดร้อนให้กับเขา แม้จะเล็กน้อย แต่เขาเอาไปพูดไม่เลิก ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เราไม่ได้กลัวเดือดร้อนจากสิ่งที่เขาพูด ว่าเป็นสิ่งที่ไม่จริงแล้วเราจะต้องไปเดือดร้อนรำคาญ แต่เรากลัวว่าสิ่งที่เขาทำนั้น จะก่อทุกข์ให้กับตัวเขาเอง แล้วเกิดโทษหนัก พาให้เขาลงต่ำไปเรื่อย

ฉะนั้น..พรุ่งนี้ถ้ามีใครจะเมตตาไปช่วยตามพระอีก ก็โปรดทำตัวลีบ ๆ หน่อย ไม่ใช่เดินกร่างเต็มถนน ความจริงเรื่องนี้อาตมาเลิกพูดมา ๒-๓ งานแล้ว เห็นว่าดีขึ้น ปรากฏว่ามีอีก สรุปแล้วก็คือต้องลงปฏักกันอยู่บ่อย ๆ ถ้าอยากรู้ว่าปฏักมีไว้ทำอะไร ให้ไปหาดูในกูเกิ้ลก็แล้วกัน..!

เถรี
05-11-2014, 08:24
เมื่อครู่นี้อาตมาหลงวัน คิดว่าวันนี้เป็นวันเสาร์แล้ว ด้วยความที่ไม่ค่อยได้พักได้ผ่อนกับใคร เลยรู้สึกว่าแต่ละวันกว่าจะผ่านไปนั้นช้ามาก น่าจะหลายวันแล้ว คิดว่าถ้าเป็นวันอาทิตย์ อาตมาก็ต้องเตรียมตัวไปสอนหนังสืออีกแล้ว สรุปว่างานการแย่งเอาเวลาส่วนตัวไปหมด แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่เหลือเวลาให้ฟุ้งซ่าน ถ้าในส่วนของญาติโยม เวลาเราปฏิบัติแล้วฟุ้งซ่านมาก ก็ให้พิจารณาดูว่า เป็นเพราะเรามีเวลาว่างมากเกินไปหรือเปล่า ?

อาตมาเองตั้งแต่ฆราวาสก็ตื่นตี ๓ ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งไปนอนเอา ๒ ทุ่ม ระหว่างวันก็ทำงานไปด้วย ภาวนาไปด้วย เวลาที่จะฟุ้งซ่านก็ไม่มี มีอยู่อย่างเดียวคือเวลาไม่พอให้ปฏิบัติ ไม่พอให้ปฏิบัติก็คือรู้สึกว่า น่าจะมีเวลาให้เราภาวนาได้มากกว่านี้ ตอนช่วงที่ภาวนาได้อย่างเป็นล่ำเป็นสันที่สุด ก็คือตอนช่วงเป็นนักเรียนทหาร เพราะว่าตื่นตั้งแต่ตี ๕ แล้วครูฝึกก็พาวิ่งไปเรื่อยไม่ครบ ๑๒ กิโลเมตรก็ไม่เลิก จึงใช้วิธีวิ่งไปภาวนาไป ในเมื่อวิ่งไปภาวนาไป อาตมาก็เลยเคยชินกับการทำกรรมฐานขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

ดังนั้น..เรื่องของการเดินจงกรมภาวนาจึงกลายเป็นเรื่องเล็กมาก เพราะว่าเคยวิ่งภาวนามาก่อน แล้วเวลาออกกำลังกาย จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไร ก็พยายามกำหนดการภาวนา จึงยืนยันได้ว่า การภาวนาจริง ๆ แล้วทำได้ทุกอิริยาบถ บางคนกลัวว่าเข้าห้องน้ำห้องส้วมแล้วภาวนาไม่ได้ เดี๋ยวจะบาปเพราะอยู่ในที่สกปรก เป็นต้น ขอบอกว่าเข้าใจผิด ยิ่งอยู่ในห้องน้ำห้องส้วมยิ่งต้องภาวนาให้มากไว้ เพราะคนมีโรคประจำตัวอาจจะตายตอนกำลังเข้าห้องน้ำก็ได้ ถ้ากำลังใจไม่มีที่ยึดเกาะ เดี๋ยวพวกเราก็จะกลายเป็นลงอบายภูมิแทน เพราะสภาพจิตเคยชินกับสิ่งที่ไม่ดีไว้มาก

เถรี
05-11-2014, 08:25
ช่วงที่บวชพระอยู่วัดท่าซุง แต่ละวันมีเวลานอนประมาณ ๒ ชั่วโมง ที่เหลือ ถ้าไม่ใช่ทำงานประจำในลักษณะทำไปภาวนาไป ก็จะอยู่ในลักษณะการทุ่มเทให้กับการปฏิบัติแบบจริง ๆ จัง ๆ ในเมื่อเป็นดังนั้น เมื่อสิ้นหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาจึงกลายเป็นหลักของวัด เพราะว่าพระผู้ใหญ่ส่วนใหญ่รวนเรไปหมด กำลังใจไม่เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับงานมหึมาขนาดนั้นได้ จนกระทั่งพระผู้ใหญ่หลายต่อหลายรูปในกรุงเทพฯ ถามว่า “คุณเป็นเจ้าอาวาสองค์ใหม่ใช่ไหม ?” ต้องกราบเรียนท่านไปว่า “กระผมเป็นพระใหม่ครับ” คาดว่าทำให้เขาตีราคาพระเก่าวัดท่าซุงสูงสุดฟ้าไปเลย ขนาดพระใหม่ยังสู้งานได้ขนาดนี้

ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราจะเห็นว่า ส่วนของสมาธิภาวนานั้นมีทั้งประโยชน์ปัจจุบัน ถ้าเราทำได้เกิดความสงบในใจขึ้น ปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็สามารถที่จะแก้ไขจัดการให้เรียบร้อยลงไปได้ทุกอย่าง เพราะว่ามีสติรู้จักแยกแยะความ ก่อน หลัง เร็ว ช้า ของแต่ละปัญหา ปัญหาไหนมาเร็ว มาก่อน เร่งด่วน ให้แก้ไขปัญหานั้นก่อน ปัญหาอื่นก็วางกองเอาไว้ เราจะมีปัญหาอยู่แค่ปัญหาเดียวตลอดเวลา ซึ่งไม่เกินกำลังที่เราจะแก้ไขได้

แต่ว่าส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ มักจะเอาหลาย ๆ ปัญหามาหมกรวมกัน แล้วก็หลงประเด็น เห็นว่ามากมายมหาศาลจนเกินกำลังที่จะแก้ไขได้ ก็เพราะว่าขาดสติ จึงทำให้ขาดปัญญา

เถรี
05-11-2014, 12:42
ประการที่ ๒ ก็คือประโยชน์สุขในอนาคต ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจให้ทรงตัวอยู่ได้ เราย่อมมีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นมนุษย์ชั้นดี ถ้าหากเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ก็มีศักดานุภาพใหญ่ ด้วยอำนาจบุญกุศลจากกรรมฐานที่เราได้กระทำเอาไว้

ข้อสุดท้ายคือประโยชน์สูงสุด ได้แก่ การล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน บุคคลแค่หวังประโยชน์ในอนาคต ก็ต้องทุ่มเทกันชนิดสุดชีวิตอยู่แล้ว ถ้าเราหวังประโยชน์สูงสุดแล้วไปเหยาะแหยะ ทำ ๆ ทิ้ง ๆ ทำเป็นเล่นไป โอกาสที่จะได้นั้นย่อมไม่มีเลย

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระองค์ท่านแสดงธรรมในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญขนาดไหนก็ตาม เป็นชุมชนที่มีบุคคลสำคัญขนาดไหนก็ตาม หรือว่าเป็นสถานที่กระจอกงอกง่อย แสดงธรรมกับบุคคลคนเดียวแถมเป็นวรรณะต่ำ ลำบากยากจน บางทีก็เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นโรค พระองค์ท่านตรัสว่าทรงใช้กำลังในการแสดงธรรมเท่ากัน เปรียบเหมือนกับราชสีห์จับเหยื่อ เหยื่อนั้นจะตัวใหญ่ตัวเล็กขนาดไหน ราชสีห์ก็ทุ่มเทกำลังในการจับเหยื่อเท่ากัน จึงไม่ค่อยจะพลาดในการล่าเหยื่อ

พวกเราเองต้องวิเคราะห์ตัวเองว่า เราได้ทุ่มเทในการปฏิบัติธรรมเต็มที่แล้วหรือยัง ? ศักยภาพของเราในการปฏิบัติธรรมมีมากกว่านี้ใช่ไหม ? เราใช้ไปได้ครึ่งหนึ่งหรือยัง ? เวลาในการปฏิบัติธรรมของเรามีน้อยเกินไปหรือไม่ ? ถ้านับเวลาเต็ม ๒๔ ชั่วโมง จิตใจเราอยู่กับการปฏิบัติธรรมวันละกี่ชั่วโมง ? ขนาดครึ่งต่อครึ่ง อย่างเช่นว่าลืมตาตื่นปฏิบัติอยู่ ๑๒ ชั่วโมง หลับตาลงนอน ๑๒ ชั่วโมง ยังเป็นเรื่องที่หากำไรไม่ได้เลย เพราะว่าเท่ากับเราทวนกระแสโลกมา ๑๒ ชั่วโมง ถึงเวลาก็ปล่อยไหลตามกระแสไป ๑๒ ชั่วโมง กลายเป็นทำงานเหนื่อยเปล่า

เถรี
05-11-2014, 17:32
อาตมาเองตอนช่วงที่เป็นนักเรียนทหาร เวลาพักผ่อนหาได้ยากมาก ตื่นตี ๕ ฝึกไปเรื่อยจนถึง ๖ โมงเย็น เคารพธงชาติแล้วปล่อยไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้า พอเสร็จสรรพเรียบร้อยก็มาเข้าห้องเรียนต่อ เรียนทฤษฎีจนถึง ๓ ทุ่ม ให้เวลาในการทำความสะอาด ขัดเครื่องหมาย - รองเท้าให้เงาวับภายใน ๑๕ นาที แล้วเสียงนกหวีดจะดังขึ้นให้ไปนอน ก็แปลว่าประมาณ ๓ ทุ่ม ๑๕ นาทีถึงจะได้พัก พอ ๔ ทุ่มตรง นกหวีดปลุกให้ไปฝึกยุทธวิธีการรบเวลากลางคืน กว่าจะเลิกก็ตีสองตีสาม ตีห้าโดนปลุกใหม่

กิจวัตรจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ ด้วยความที่รู้สึกว่าเวลาในการภาวนามีไม่พอ จึงต้องยอมอดนอนเพื่อจะได้มีเวลาภาวนา พอตีสองนอน ตีสามจะตื่นมาเพื่อภาวนา ถ้าเป็นพวกเราจะมีกำลังใจสู้ขนาดนั้นบ้างไหม ? ยอมแลกเวลาพักผ่อนเพื่อให้มีเวลาในการปฏิบัติมากขึ้นบ้างไหม ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่องบอกได้ชัดเลยว่า เราปฏิบัติแล้วสมควรที่จะได้มรรคผลหรือไม่ ? เพราะว่าถ้าเรายังเหยาะแหยะ อ่อนแอ เห็นแก่กิน เห็นแก่นอน ทนลำบากไม่ได้ โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลก็มีน้อยมาก

เรื่องของมรรคผลเป็นเรื่องใหญ่มหาศาล เหมือนกับขุดภูเขาพระสุเมรุด้วยจอบ ต้องค่อย ๆ พากเพียรขุดไปทีละจอบครึ่งจอบ จะต้องทำไปเรื่อย ถ้าอย่างนิทานโบราณเขากล่าวถึงเรื่องลุงโง่ย้ายภูเขา เพราะว่าทางออกจากหมู่บ้านไปเมืองมีภูเขาขวางอยู่ ต้องเดินข้ามเขาลำบากลำบน คุณลุงก็คว้าจอบไปค่อย ๆ ขุดทีละจอบสองจอบไล่ไปเรื่อย พอคนถามว่าทำอะไร ? ก็บอกว่าจะขุดภูเขาทิ้งไปเสีย มีแต่คนบอกว่า "ตาโง่เอ๋ย จะทำสำเร็จได้อย่างไร ? ภูเขาใหญ่ขนาดนั้น" ลุงโง่บอกว่า "ถ้าทำไม่สำเร็จ ก่อนตายก็จะมอบหมายให้ลูกทำต่อ ถ้าลูกทำไม่สำเร็จ ก่อนตายก็จะมอบหมายให้หลานทำต่อ ถ้าขุดแบบนี้ทุกวันเชื่อว่าจะต้องย้ายภูเขาได้สำเร็จสักวันหนึ่ง"

นั่นคือกำลังใจของลุงโง่ที่ทุกคนประณาม แต่ปรากฏว่าลุงทำได้สำเร็จ ในที่สุดสามารถย้ายภูเขาได้อย่างที่ตนเองต้องการ ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วเป็นเรื่องใหญ่เกินกำลังไปมาก

เถรี
06-11-2014, 09:28
แบบเดียวกับชนชาวปิ๊กมี่ที่แอฟริกา เป็นนิโกรผิวดำตัวเล็ก ๆ ถามว่าเล็กขนาดไหน โตที่สุดก็ประมาณเด็ก ๗-๘ ขวบ แต่มีนิสัยชอบกินช้างเป็นชีวิตจิตใจ จะแอบย่องเข้าไปใกล้ฝูงช้าง แล้วเอาหอกแทงเส้นเอ็นที่เท้าช้าง พอช้างโดนแทงไปไหนไม่ได้ก็ช่วยกันฆ่าให้ตาย ชาวปิ๊กมี่มีคติพจน์ประจำใจว่า “ต่อให้ช้างใหญ่เท่าใหญ่ ข้าก็จะกินไปทีละคำ”

เพราะฉะนั้น..พวกเราต้องทำหน้าที่เหมือนกับลุงโง่ย้ายภูเขา หรือไม่ก็ชาวปิ๊กมี่ที่กินช้าง ดูว่าเราสามารถที่จะย้ายภูเขาหรือกินช้างทั้งตัวลงไปได้สำเร็จไหม ? ถ้าสามารถทำได้อย่างนั้น ก็แปลว่าชีวิตนี้ของเราไม่เสียทีที่เกิดมา หลวงพ่อวัดท่าซุงกล่าวอยู่เสมอว่า ถ้าเกิดมามี ๑๐ นิ้วเท่ากันแล้ว อะไรที่เขาทำได้เราต้องทำได้ แล้วอะไรที่เขาทำได้ นอกจากเราทำได้ด้วยแล้ว เราต้องทำให้ดีกว่าเขาด้วย ท่านบอกว่ากำลังใจต้องเป็นอย่างนี้ ถึงจะนับว่าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง

ดังนั้น..พวกเราบางคนเคยปฏิบัติมา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี ถ้าหาความก้าวหน้าไม่ได้ ทำแล้วไม่ได้อย่างใจเสียที ต้องถามตัวเองว่าทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมมากพอแล้วยัง ? หรือเรายังให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากกว่า ? ยังให้ความสำคัญกับหน้าที่การงาน ให้ความสำคัญกับเพื่อนฝูง ให้ความสำคัญกับครอบครัว ให้ความสำคัญกับลูกหลาน หรือว่าต้องติดตามเสพข่าวสารอยู่ตลอดเวลา ต้องรับ SMS ส่งข่าวทุก ๓ นาที ๕ นาที จะต้องเข้าอินเตอร์เน็ต จะต้องเข้าไลน์ จะต้องเข้าเฟซบุ๊ก ซึ่งมีแต่แย่งเวลาเราไปจนหมด

เถรี
06-11-2014, 09:31
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าจะใช้..ให้ใช้ในขณะที่เราสามารถทรงอารมณ์ภาวนาในทุกอิริยาบถได้แล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะแย่งเวลาของเราไปหมด สร้างความฟุ้งซ่านให้เกิดขึ้นแก่เรา กลายเป็นตัวตนที่มากขึ้น ยากต่อการตัด การละ อย่างที่วันแรกได้บอกกับพวกเราว่า ลองดู ๕ วันนี้เราไม่เล่นเฟซบุ๊ก ไม่เล่นอินเตอร์เน็ต ไม่ใช้โทรศัพท์ ดูว่าจะตายไหม ? ปรากฏว่าตายหมดแล้ว ศพเกลื่อนวัดเลย ..!

โยมอาจจะไม่เชื่อว่า บางเดือนอาตมารับโทรศัพท์แค่ ๓-๔ ครั้ง เพราะว่าพระผู้ใหญ่โทรมา นอกนั้นใครจะโทรมาก็ช่างหัวมัน บางทีเวลาโทรศัพท์ดัง ดูแล้วไม่ใช่เบอร์ของพระผู้ใหญ่ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง อาตมาก็ปล่อยทิ้งไป จนท่านกอล์ฟถามว่า “อาจารย์ครับ ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ?” ก็บอกไปว่า "ผมไม่ได้มีธุระอะไรกับเขานี่หว่า.." ท่านก็บอกว่า “บางทีเขาอาจจะมีธุระ” "นั่นธุระของเขา ไม่ใช่ธุระของผม..!"

ฟังดูเหมือนกับใจดำมากเลย แต่ความจริงถ้าเป็นบุคคลที่ต้องระมัดระวังรักษากำลังใจของตน การปฏิสัมพันธ์ทุกอย่างจะสร้างความรุงรัง สร้างภาระให้เราแบก ให้เราหาม ทำให้เราก้าวไปสู่เส้นทางธรรมได้ช้า หรือว่าถึงก้าวขึ้นไปแล้ว ก็เดินไปสู่จุดหมายปลายทางได้ช้า

ดังที่อาตมาเคยเทศน์ไปหลายต่อหลายครั้งว่า มโนมยิทธินั้น จริง ๆ แล้วเป็นของที่วิเศษที่สุด เพราะทำให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง แต่ส่วนใหญ่เท่าที่พบมา ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ เอาไปใช้ผิดหมด ญาติโยมหลายคนว่าอาตมาเป็นลูกศิษย์สายวัดท่าซุง ทำไมไม่สอนมโนมยิทธิ ? อาตมาวัดจากตัวเองว่า เคยไปหลงติดอยู่ ๓ ปีเต็ม คนโน้นขอให้ดูเรื่องโน้น คนนี้ขอให้ดูเรื่องนี้ พอถึงเวลาเขาก็ชื่นชมมา “โอ๊ย..รู้ได้ชัดเจนเหลือเกิน" "ทำไมมโนฯ ถึงแจ่มใสขนาดนี้" ก็ยืดเสื้อแทบขาด ตอนนั้นยังใส่เสื้อ เป็นฆราวาสอยู่ ปรากฏว่าโดนหลอกเป็นขี้ข้าเขาชัด ๆ ไม่มีเวลาในการในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเลย นอกจากหลงเป็นทาสให้คนอื่นเขาใช้

เถรี
07-11-2014, 08:46
จนกระทั่งวันหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเทศน์เหมือนกระแทกลงกลางใจว่า บุคคลที่ทรงวิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ถ้าไม่ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ยังห่างจากขอบนรกแค่นิ้วกั้น นิ้วกั้นตามยาวด้วยนะ ไม่ใช่กั้นตามขวาง อาตมาได้ยินนี่เหงื่อหยดติ๋งเลย ที่แท้เราอยู่ห่างขอบนรกแค่นี้เอง ตั้งหลายปีก็ไม่ได้คิดที่จะไปไหนเลย แถมยังสนุกสนานกับการไต่ขอบนรกอีกด้วย..!

แล้วหลวงพ่อท่านก็เทศน์ต่อว่า บุคคลที่จะพ้นนรกได้ ต้องเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า อย่างน้อยก็ต้องพระโสดาบันขึ้นไป การจะเป็นพระโสดาบันได้นั้น ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยวาจา ด้วยกาย ด้วยใจ ต้องเป็นผู้รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ต้องมีปัญญาที่รู้เห็นอย่างชัดเจนว่า ชีวิตนี้ต้องตายแน่นอน ขึ้นชื่อว่าการตายแล้วมาเกิดใหม่ในร่างกายนี้ การมาเกิดใหม่ในโลกนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก เราปรารถนาที่เดียวคือพระนิพพาน

ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา อาตมาวางมโนมยิทธิกองไว้ที่ตรงนั้นแหละ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามเส้นทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาชี้ให้ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับนักโทษประหาร จะโดนเขาลากไปสู่ตะแลงแกงอยู่แล้ว อยู่ ๆ ก็มีคนมาเปิดประตูคุกให้ ก็ต้องหนีกันสุดชีวิต จึงได้เห็นว่ามโนมยิทธินั้น จริง ๆ แล้ว ถ้าคนใช้ไม่เป็นก็มีโทษมากกว่าประโยชน์ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ท่านฉลาดพอ รู้จักเลือกหนทางที่ถูกต้อง ถึงได้สอนให้ แต่อาตมาที่เป็นอาจารย์ของพวกเรายังโง่อยู่ตั้งหลายปี ก็เลยไม่กล้าสอนลูกศิษย์ต่อ เพราะกลัวว่าถ้าไปเจอลูกศิษย์โง่กว่าเข้าก็บรรลัยเลย..!

เถรี
07-11-2014, 08:48
ทุกวันนี้ถ้าญาติโยมท่านใดติดขัดเรื่องมโนมยิทธิ สามารถมาสอบถามได้ อาตมายินดีชี้แจงให้ฟังได้ แต่ถ้าให้สอนจะไม่สอน เพราะว่าสอนไปแล้วแทนที่จะรู้เพื่อละกิเลส ก็ไปรู้แล้วเกาะ เที่ยวไปดูว่าคนนั้นคือพ่อฉัน คนนี้คือแม่ฉัน คนนั้นผัวฉัน คนนี้เมียฉัน คนนั้นลูกฉัน แล้วแทนที่จะเข็ดจะกลัวว่า แต่ละชาติเกิดมามีแต่ความทุกข์ทุกชาติ ก็ไม่รู้จักเข็ดจักกลัว แถมยังไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ ก็เลยทำให้ยึดติดกันเป็นพรวน

คนเรากำลังว่ายน้ำเพื่อจะถึงสู่ฝั่ง แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาว่ายไป กลับกอดคอกันเป็นขบวน ก็มีหวังจมตายด้วยกันทั้งขบวน..!

เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราจึงล้วนแล้วแต่เป็นภาระ เรามีเวลา ๕ วันที่จะปล่อยวางภาระทั้งปวงลง สัมผัสกับความเบาสบาย ห่างไกลจากเครื่องยึด เครื่องเกาะ แต่พวกเราไม่ได้ใช้เวลานี้ให้คุ้มค่า ยังคงปล่อยตัวตามสบายเหมือนตอนอยู่บ้าน แถมยังสบายกว่าด้วย บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ สรุปว่าถ้ายังขืนทำตัวอย่างนี้อีกก็ไม่รอด ฉะนั้น..ทุกอย่างที่เราทำจึงจำเป็นต้องทุ่มเทกันจริง ๆ จัง ๆ

เถรี
07-11-2014, 08:50
อาตมาไปฝึกธรรมทูตสายวิปัสสนา ตื่นตั้งแต่ตี ๒ เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง ภาวนา ๑ ชั่วโมง สลับกันไปจนถึง ๔ ทุ่ม มีเวลาสำหรับอาหารเช้า ๑ ชั่วโมง โดยอาหารเช้าเป็นข้าวต้มถ้วยเล็ก ๆ ให้เวลากิน ๑ ชั่วโมง เพื่อให้ค่อย ๆ เคี้ยว ค่อย ๆ ดูทุกอิริยาบถ ว่าสภาพจิตของเราตอนนี้ยินดียินร้ายอย่างไร เวลาอาหารกลางวันอีก ๑ ชั่วโมง นอกนั้นอยู่กับการปฏิบัติตลอด เข้าห้องน้ำห้องส้วมเกิน ๓ นาที จะมีพี่เลี้ยงมาทุบประตูเรียก เพราะเขาติดกล้องวงจรปิดไว้ทุกห้อง ทำไมไม่ติดในห้องน้ำให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย..!?

ดังนั้น..ในส่วนที่พวกเราเจอที่นี่ ขอบอกว่าสบายสุด ๆ หรือจะลองหลักสูตรตื่นตี ๒ นอน ๔ ทุ่มบ้าง เอาสักครั้งไหม ? ครึ่งเดือนก็พอ ไม่บรรลุก็ทะลุไปตาม ๆ กัน ในเมื่อเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นเขา จงเร่งไขว่คว้าโอกาส กอบโกยบุญกุศลเข้าตัวให้มากที่สุด ถ้ายังเหลือระยะทางที่ต้องเดินข้ามวัฏสงสารอีกยาวไกลเท่าไร บุคคลที่มีเสบียงพร้อมก็ไม่ต้องไปหวั่นไหว แต่ถ้าเสบียงมีไม่พอ พวกเราก็ต้องทนลำบากต่อไป

เถรี
07-11-2014, 16:59
สภาพของการปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ก็คือการที่เราต้องทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนเดิมทุกวัน อย่างเช่นว่า สวดมนต์ทำวัตร เจริญกรรมฐาน อย่างนี้เป็นต้น การที่เราทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนกันทุกวัน บางทีเราก็จะรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่าย ขอให้รู้ว่าเป็นความเบื่อที่เกิดจากกิเลสหลอกต้มเรา เพราะว่าสิ่งที่เราทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทุกวัน จนมีบางท่านเปรียบว่า เหมือนกับเราเป็นนักโทษที่กำลังเจาะกำแพงเพื่อจะหนี พอเราเจาะไปหลาย ๆ วัน กำแพงยังไม่ทะลุก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ เขาก็ชวนเราไปทำอย่างอื่น ไปพักผ่อน ไปนอนเล่น ไปหาอะไรคลายเครียด จนกระทั่งลืมไปว่าตัวเองต้องเจาะกำแพง

หรือบางทีก็ชวนให้ไปเจาะที่อื่นแทน ที่เดิมซึ่งเจาะไว้ตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ กลายเป็นว่าสิ่งที่เราทำ ยังไม่ทันจะเกิดประโยชน์เราก็ละทิ้งไป แล้วไปเลือกทำสิ่งใหม่ ซึ่งแม้ว่าบางทีก็เป็นแนวทางที่มีประโยชน์ แต่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ หรือถ้าไม่ได้เป็นแนวทางที่มีประโยชน์ ก็จะทำให้รอยเจาะที่เราเจาะเอาไว้นั้น โดนกิเลสถมมิดไปเลย ดีไม่ดีก็หนากว่าเดิมอีก เราจึงกลายเป็นนักโทษอยู่ในวัฏสงสารนี้ ไม่ต้องไปไหนกันเสียที

การที่เราทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่ายนั้น เป็นเพราะสภาพจิตเราไปดิ้นรนต่อต้าน ถ้าสภาพจิตเราไม่ดิ้นรนต่อต้าน คิดว่า ๕ วันนี้เราต้องไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน ก็ต้องเจอยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอแบบนี้แหละ จะต้องเจอการนั่งกรรมฐานครั้งละครึ่งชั่วโมงแบบนี้ ถ้ากำลังใจยอมรับว่าต้องเป็นแบบนี้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป สภาพจิตของเราก็ค่อนข้างจะนิ่งและมีความสุข อารมณ์ก็ทรงสมาธิได้เร็ว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วจะไปต่อต้าน โดยเฉพาะว่า..ถ้าการปฏิบัติไม่เหมือนกับที่ตัวเองเคยทำมา บางทีก็จะไปลงความเห็นเลยว่าเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ แล้วไม่คิดที่จะทำหรือทำแบบเสียไม่ได้

เถรี
07-11-2014, 17:01
ดังนั้น..ในเรื่องของสภาพจิต ถ้าเราไม่ศึกษาจริง ๆ เราก็จะไม่เห็นความกลับกลอก ความเอาแน่ไม่ได้ ความโกหกหลอกลวงสารพัด เพื่อที่จะหลอกเราให้ยึดติดอยู่กับโลกนี้ ยึดติดอยู่กับวัฏสงสารแห่งนี้ คำว่า วัฏสงสารหรือ สังสารวัฏ แปลว่า การหมุนวนซึ่งหาที่สุดไม่ได้ ถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับทะเลทุกข์

เราหมุนวนอยู่ในทะเลทุกข์อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ แล้วก็ไม่พยายามที่จะตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเสียด้วย พอมีคนชี้ทางให้ขึ้นฝั่งก็เกิดความรู้สึกเสียดายว่า ว่ายมาตั้งนานแล้ว ขอต่ออีกหน่อยแล้วกันนะ ลงทุนไปเยอะแล้ว ก็แปลว่าได้ลงทุนอีกหลายชาติ..!

ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกิดความซ้ำ ๆ ซาก ๆ เราต้องหาเทคนิคในการที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่า เราไม่ได้ทำอะไรซ้ำ ๆ กัน อย่างที่ได้สอนได้บอกพวกเราไปตอนกรรมฐานช่วงเช้า มีสารพัดวิธี สามารถที่จะปรับเอามาใช้กับเราได้ โดยให้สังเกตว่า อันดับแรก..กำลังใจของเราเกาะพระรัตนตรัยอยู่หรือไม่ ? อันดับที่ ๒ กำลังใจของเรามีนิวรณ์ห้าเกาะกินได้หรือไม่ ? ถ้าสิ่งที่เราทำยึดพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลัก และไม่มีนิวรณ์ห้าแทรกเข้ามาในจิตช่วงนั้นได้ ก็ทำไปเถอะ แบบไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ

พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมชันธ์ สำหรับบุคคลสารพัดประเภท เพราะฉะนั้น..ที่เขาบอกไว้ว่ามีคนบ้า ๕๐๐ จำพวก รู้สึกว่าจะน้อยไป ต้องมากกว่านั้นแน่ ๆ

เถรี
08-11-2014, 05:48
คนโบราณฉลาดกว่าเรา ฉลาดกว่ามากเลย โดยเฉพาะฉลาดในการตัดสินใจ ถ้าจะปฏิบัติให้ได้มรรคได้ผล จะต้องมีการตัดสินใจที่แน่วแน่และเด็ดขาด อย่างสมัยก่อนบวช ๒ ปี อาตมาไปช่วยงานอยู่ที่บ้านสายลม คืนนั้นหลังจากเจริญกรรมฐานแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้พระเสด็จมาบอกว่า บุคคลทั้งหมดที่มาเจริญกรรมฐานในคืนนี้ ถ้าตั้งใจจริงสามารถรักษาศีล ๘ ได้เลย ๗๐ ท่านด้วยกัน” อาตมาได้ยินก็ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า “เราคือ ๑ ใน ๗๐ คนนั้น” ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมามา ก็ตั้งใจเลยว่าเราจะมีศีล ๘ บริสุทธิ์บริบูรณ์

จำไว้ว่าเรื่องของศีลนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปสมาทาน ซึ่งแปลว่าศึกษาว่าศีลมีอะไรบ้าง ไม่ต้องไปอาราธนาศีล ซึ่งแปลว่าไปขอศีลจากพระ ถ้าเรารู้ว่าศีลมีอะไรแล้ว แค่ตั้งใจงดเว้นไปก็เป็นศีลแล้ว ต่อให้ขอศีลจากพระ ต่อให้สมาทานศึกษาอีกกี่ชาติก็ตาม ถ้าไม่คิดที่จะงดเว้น ตราบนั้นเราก็ยังไม่มีศีล

ทันทีที่ตัดสินใจอย่างนั้นก็มีเครื่องทดสอบ เพราะว่าหลังจากเลิกงานจากบ้านสายลมก็เกือบสี่ทุ่ม ตอนนั้นคุณสมโชค ปัจฉิมางกูร ก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ที่เป็นรุ่นพ่อก็ว่าได้ เพราะว่าอาตมาเป็นเพื่อนกับลูกสาวของท่าน ชวนเดินทางกลับด้วยกัน บ้านอาตมาอยู่ซอยโมราวรรณ ๒ ใกล้สวนหลวง น้าสมโชคอยู่เลยไปหน่อยหนึ่ง พอมาถึงแยกคลองตันก็เลี้ยวขวับเข้าร้านหัวปลาหม้อไฟ “เล็ก..กินกันก่อน เดี๋ยวค่อยกลับบ้าน” ทดสอบกำลังใจกันชัด ๆ เลย จึงบอกว่า “น้าสองคนกินไปเถอะครับ ผมเองไม่รู้สึกหิว บ้านก็ใกล้แค่นี้เอง ขออนุญาตเดินกลับก่อนก็แล้วกัน” ยกมือไหว้ลาก็เดินกลับ บ้านอยู่แค่นี้คือ ๒ ก.ม.ครึ่ง เดินกลับด้วยความอิ่มอกอิ่มใจว่า ข้อสอบแค่นี้เล่นตูไม่ได้หรอก

เถรี
08-11-2014, 05:50
ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยนึกอยากกินอะไรหลังเที่ยงเลย ถ้าโยมที่เคยไปร่วมปฏิบัติธรรมที่วัด ร่วมทำวัตรค่ำ จะเห็นว่าหลังทำวัตรค่ำแล้ว ก็จะมีการถวายน้ำปานะให้แก่พระภิกษุสามเณร จะเป็นนมเป็นน้ำหวานอะไรก็ตาม ทุกคนจะเห็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนั่งมองอย่างเดียว ก็คือไม่รู้ว่าจะฉันไปทำไม ในเมื่อร่างกายไม่ได้ต้องการ ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าก่อนบวชอาตมาน้ำหนัก ๖๓ ก.ก.ครึ่ง ต้องบอกว่ามีแต่กล้ามเนื้อ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเอวแค่ ๒๔ นิ้ว ต้องถามป้ามุกดา กางเกงที่อาตมาใส่ตอนเป็นทหาร ป้ามุกดาเอาไปใส่ได้สบายเลย เอวเท่ากัน เพียงแต่ปรับสะโพกกับขาเท่านั้น

ตอนนี้บวชมา ๒๙ ปีได้เอวเพิ่มมา ๒ นิ้ว เป็นเอว ๒๖ นิ้ว แต่ตอนนั้นน้ำหนักหายฮวบเดียว จาก ๖๓ ก.ก.ครึ่งเหลือ ๕๔ ก.ก. หายไป ๙ ก.ก.ครึ่ง ศีลแปดนี่ลดน้ำหนักได้เด็ดขาดจริง ๆ ใครที่บอกว่าลดน้ำหนักไม่ได้..ให้ลองดู หลังเที่ยงเหลือแต่น้ำเปล่าอย่างเดียว รับประกันเห็นผลภายใน ๒ อาทิตย์..!

ที่กล่าวมาถึงตรงนี้เพื่อเปรียบเทียบให้พวกเราเห็นว่า ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น ถ้าจะมรรคเอาผลกันจริง ๆ ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ตรงนี้เราทำได้เราจะทำ ถ้าไม่มีการตัดสินใจลักษณะอย่างนั้น กำลังใจที่ไม่เพียงพออย่างหนึ่ง ปัญญาที่ไม่เพียงพอ ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอะไรอย่างหนึ่ง ก็จะทำให้เราติดอยู่แค่นั้น เหมือนกับเด็กเรียนที่เรียนเท่าไรก็สอบไม่ผ่านสักที สอบทีไรอาจารย์ก็บอกว่าผลสอบเกือบได้ อาตมายอมเกือบตกดีกว่านะ เกือบได้ฟังดูดี แต่ไม่เคยได้สักที เกือบตกนี่ยังไม่ตก

เถรี
08-11-2014, 14:31
ตั้งแต่ปฏิบัติอย่างจริงจังตอนอายุ ๑๖ ปี เริ่มทุ่มเทให้กับการปฏิบัติแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น จนคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง เขาว่าบ้ากันทั้งนั้น ขอบอกว่า ถ้าท่านเรียกตนเองว่าเป็นนักปฏิบัติ แล้วคนรอบข้างยังไม่ชมว่าบ้า ยังไม่ใช่นักปฏิบัติที่แท้จริงหรอก ต้องได้รับคำชมอย่างนั้นเยอะ ๆ ก่อน ชนิดที่ทุกคนลงความเห็นว่าบ้าแน่ ถ้าอย่างนั้นถึงจะพอมีหวัง

เมื่อเราตั้งใจปฏิบัติ ก็ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เรามั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูก อย่าไปสนใจปากหอยปากปู ที่ไม่สร้างสรรค์ความเจริญให้กับตนเองและผู้อื่น เพียงแต่ว่าให้ระมัดระวังนิดหนึ่งว่า อย่าให้ตัวเราต้องเป็นทุกข์โทษเวรภัยกับคนอื่นเขา ถ้าเรารักษาศีล ๘ เพื่อนชวน “เฮ้ย..กินข้าวเย็นด้วยกัน วันนี้ข้าเลี้ยง” ถ้าเราตอบว่า "ไม่ละ..ตอนนี้รักษาศีล ๘" เพื่อนคงได้มองหัวถึงตีน แล้วจากตีนกลับมาที่หัวอีกที บอกไปดีกว่าว่า “ตอนนี้อ้วนมากแล้ว ไม่กินข้าวเย็น ถ้าจะเลี้ยง ๆ ให้มื้ออื่นเถอะ” ฟังดูดีกว่ากันตั้งเยอะ

ดังนั้น..นักปฏิบัติต้องใช้ปัญญาด้วย การปฏิบัติทุกรูปแบบขึ้นต้นด้วยปัญญา แล้วถึงมาเป็นศีล เป็นสมาธิ ถามว่าทำไม ? ก็เพราะว่ามรรคแปด คือหนทางแปดสาย ซึ่งรวมกันเป็นเส้นทางให้เราก้าวล่วงพ้นจากความทุกข์ ขึ้นต้นด้วยสัมมาทิฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง การมีความเห็นที่ถูกต้องคือการมีปัญญา เพราะว่าบุคคลในโลกจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ยังไม่เห็นเลยว่าการปฏิบัติธรรมดีตรงไหน

เอาแค่ในประเทศไทยเรา คุยนักคุยหนาว่า ๙๘ เปอร์เซ็นต์เป็นพุทธศาสนิกชน ลองไปถามดูสิว่า ๖๘ ล้านคนมีเข้าวัดเข้าวาเพื่อถือศีลปฏิบัติธรรมถึงแปดล้านไหม ? อาตมายืนยันว่าไม่ถึงหรอก แปดแสนก็ไม่ถึง นอกนั้นบางทีก็ใส่บาตรปีละครั้งตอนวันเกิด น่าชื่นชมจริง ๆ ๓๖๔ วันยังไม่ลืมว่าต้องทำบุญอยู่วันหนึ่ง

เถรี
09-11-2014, 05:55
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าเราเป็นบุคคลจำนวนน้อยกว่าน้อย ไม่ต้องไปเสียใจว่าเราแปลกแยกจากสังคมหรอก สังคมไม่ยอมรับเราตั้งแต่แรกแล้ว ทน ๆ อยู่ไปเถอะ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องหาวิธีที่ปรับเปลี่ยน อย่าให้ตัวเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นด้วย ขณะเดียวกันก็ให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้าด้วย ก็คือต้องมาทำในสิ่งที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ

นักปฏิบัติ ถ้ามีอายุราชการในการปฏิบัติธรรมหลายปีหน่อย หลายท่านอาจจะสังเกตเห็นว่า มีบางช่วงการปฏิบัติของเราไม่ได้อะไรเลย เหมือนกับเดินไปชนกำแพง ทำไปวันหนึ่งก็แล้ว ๓ วันก็แล้ว ๗ วันก็แล้ว ครึ่งเดือนก็แล้ว เดือนหนึ่งก็แล้ว ๓ เดือน ๖ เดือน ๑ ปี ไม่ไปไหนเลย ขอให้รู้ว่า..ถ้าเกิดลักษณะนี้ขึ้นมาในการปฏิบัติของเรา แปลว่า เรากำลังจะเข้าถึงช่วงเปลี่ยนผ่านกำลังใจบางอย่าง อย่าได้ท้อถอย ขอให้ทำในสิ่งซ้ำ ๆ ซาก ๆ นั่นแหละ ทำแล้วทำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก อย่าเบื่อหน่ายเป็นอันขาด เพราะเรากำลังรวบรวมกำลัง เพื่อที่จะก้าวข้ามสิ่งที่สูงหรือว่าเกินกำลังที่เราจะข้ามไปได้ ถ้าเรารวมกำลังพอวันไหน วันนั้นเราก็จะข้ามไปได้เอง

อย่าเบื่อว่าเป็นสิ่งที่ซ้ำซากต้องทำทุกวัน หาความก้าวหน้าไม่ได้ อย่าท้อว่าเราต้องทำสิ่งที่ซ้ำซากวันแล้ววันเล่า แล้วไม่เกิดผลอะไรขึ้น เราเจาะกำแพงจวนจะทะลุแล้ว เพียงแต่ตอนท้าย ๆ พอลึกเข้าไปก็ชักจะรู้สึกโหวงเหวง รอบข้างไม่เหลือใครเลย กูบ้าอยู่คนเดียวหรือเปล่าวะ ?

เถรี
09-11-2014, 05:56
อาตมาอยากจะยกตัวอย่างบริษัทอารามโก (Arabian American Oil Company) เจาะสำรวจน้ำมันที่ซาอุดิอาระเบีย ๓ ปีเต็ม ๆ เจาะเข้าไปเถอะ วันแล้ววันเล่า ผ่านระยะ ๒๐๐ เมตร ๓๐๐ เมตร ๕๐๐ เมตร ๗๐๐ เมตร ๑,๐๐๐ เมตร ๒,๐๐๐ เมตร ๓,๐๐๐ เมตร จนถึง ๖,๐๐๐ เมตร ลึกที่สุดในโลกเท่าที่เคยเจาะมา ก็ยังไม่เจอน้ำมัน ท้ายสุดผู้ร่วมหุ้นชาวอเมริกาบอกว่า..กลับบ้านเถอะลูก เก็บของกลับกันดีกว่า ปรากฏว่าหัวหน้าคนงานภาคสนาม (โฟร์แมน) บอกกับลูกน้องว่า “พรุ่งนี้จะเก็บของกลับบ้าน วันนี้เจาะให้เต็มที่ไปเลย” โป๊ะเดียวลงกลางอ่างพอดี น้ำมันพุ่งสวนมานองพื้นเป็นรัศมีกว่า ๒ กิโลเมตร นั่น..ถ้ากลับบ้านเสียก่อนเป็นอย่างไร ? ป่านนี้ชาวซาอุดิอาระเบียก็ยังคงขี่อูฐเหมือนเดิม ไม่ได้ขี่เฟอร์รารี่อย่างทุกวันนี้หรอก

นั่นคือความอดทน พากเพียรและรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง พรุ่งนี้จะกลับแล้ว วันนี้ขอทิ้งท้ายให้เต็มที่ เพราะฉะนั้น...พรุ่งนี้พวกเราก็จะกลับกันแล้ว ...(หัวเราะ)... วันนี้พวกเรามาพากเพียรกันให้เต็มที่

เถรี
09-11-2014, 05:56
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำอยู่ ต้องอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าไม่มีสมาธิ ความสนใจจะไม่ต่อเนื่อง จิตใจไม่จดจ่อแน่วแน่อยู่กับงาน โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยาก

เถรี
09-11-2014, 16:46
การสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าทำเป็นก็แปลว่าได้ผลมหาศาล ถ้าทำไม่เป็นก็ได้น้อยหน่อย การสวดมนต์ทั่ว ๆ ไปอย่างน้อยต้องมีสมาธิทรงตัว ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอ สมาธิเคลื่อนเมื่อไรก็สวดผิด ถ้าหากว่าเราได้มากกว่านั้น ก็คือ เอาคำสวดเป็นคำภาวนา มีหลายคนอาศัยคำสวดมนต์เป็นคำภาวนา ถึงเวลาฟังคนอื่นสวด ตัวเองนั่งแข็งทื่อ สวดมนต์ต่อไม่ได้ เพราะสมาธิสูงเกินไปแล้ว ก็แปลว่า สามารถใช้การสวดมนต์เป็นการภาวนาจนทรงฌานได้

ถ้าอยากได้ประโยชน์มากกว่านั้น สำหรับบุคคลที่ได้มโนมยิทธิ ให้ยกจิตขึ้นไปสวดมนต์ถวายพระบนพระนิพพาน ถ้ากำลังใจทรงตัวจดจ่ออยู่ที่นั่น ตายตอนนั้นก็ไปอยู่ที่นั่นเลย หรือถ้าใครแปลคำสวดมนต์ออก ปฏิบัติตามคำที่แปลได้ ก็เท่ากับว่าเราปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั่นเอง

ดังนั้น..ในเรื่องของการสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าทำไม่เป็นประโยชน์ก็น้อย ถ้าทำเป็นก็ได้ประโยชน์มหาศาล แต่ว่าขนาดประโยชน์น้อย ๆ รับรองว่าได้มากกว่ามัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเยอะเลย เพราะว่าเราตั้งใจกราบพระแล้วถึงสวดมนต์ บางท่านบอกว่าเหมือนกับการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ดังนั้น..วัดท่าขนุนจึงมีการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าวันละ ๓ รอบ คือรอบเช้า รอบเย็น แล้วก็รอบค่ำที่กำลังจะสวดกันนี้ ก็ถือว่าเป็นอนุสติใหญ่ โดยเฉพาะพุทธานุสติที่เข้าสู่พระนิพพานได้ง่ายที่สุด

เถรี
10-11-2014, 05:35
เมื่อครู่พระครูแสงฝากเอกสารมา บอกว่าให้ช่วยแจกแก่ญาติโยมด้วย อาตมาอ่านไปบรรทัดกว่า ๆ ก็เจอที่ผิด ท่านเขียนว่า "คนเราเกิดมาไม่ยึดดีก็ยึดชั่ว ยึดชั่วก็ลงนรกไป ถ้ายึดดีก็ไปพระนิพพาน ไปสวรรค์" อาตมากากบาททิ้งไปเลย

คนเรายึดดียังไปพระนิพพานไม่ได้ การจะไปพระนิพพานต้องพ้นทั้งดีทั้งชั่วไปแล้ว แต่แรกเริ่มต้องเกาะดีไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต เพราะว่ากุศลผลบุญของความดีนั้น ส่งผลให้รับความสุข ความสะดวกสบายโดยส่วนเดียว แต่พอทำไป ๆ จนถึงที่สุด ก็จะวางดีไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนกับคนขึ้นที่สูง ต้องเกาะราวบันไดเพื่อความปลอดภัย พอถึงชั้นบนแล้ว บางทีปล่อยราวบันไดตอนไหนตัวเองก็ไม่ทันจะรู้ตัว

ดังนั้น..การไปพระนิพพานถ้ายังเกาะดีก็ไปไม่ได้ เกาะชั่วก็ไปไม่ได้ กำลังใจเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ก็จะอยู่ที่หลังเสื้อกระโถนข้างธรรมาสน์นั่นแหละ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว รู้ว่าดีเราทำ เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นความดีจริง ๆ อย่างหนึ่ง สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่นักปราชญ์ท่านสรรเสริญอย่างหนึ่ง เราดำเนินตามความดีอย่างนั้น ย่อมไม่ผิดทั้งทางโลกทางธรรม

รู้ว่าชั่วก็ละ ค่อย ๆ ลดละไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็หมดไปเอง ในเมื่อรู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ สภาพจิตไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ผ่ากลางพ้นไปได้ ฉะนั้น..ที่บอกว่าเกาะดีแล้วไปพระนิพพาน ขอยืนยันว่ายังไปไม่ได้ แต่ก็ต้องเอาเอาไว้ก่อน เดี๋ยวพอถึงเวลาเบื่อมาก ๆ ก็จะปล่อยไปเอง กอบโกยความดีไว้มาก ๆ ก่อน จน “ดีพอ” ก็จะเกิดความ “พอดี” ในเมื่อความดีมีพอ ก็จะเริ่มรู้ว่าอะไรที่พอดี ก็จะเริ่ม “วางดี” เมื่อวางดีได้ก็จะก้าวพ้นดี หลังจากนั้นไปไหนก็ไม่รู้ เพราะว่าเกินสมมติบัญญัติไปแล้ว อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ ทำเองแล้วจะรู้ เขาเรียกว่าปัจจัตตัง ผู้ที่ปฏิบัติจะพึงรู้ได้ด้วยตนเอง ปัจจะ คือเฉพาะตน อัตตะ คือตัวตน ปัจจัตตังคือเฉพาะตนเอง

มีคนบอกว่าใครไม่มาปฏิบัติธรรมงวดนี้เสียดายตายเลย เพราะว่าหลวงพ่อกินยาผิด บอกหมดทุกอย่างเลย คนที่อยู่ก็ไม่ต้องดีใจหรอก บอกไปจะจำได้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

เถรี
10-11-2014, 05:36
(หลังจากหยุดพูดไปสักพักหนึ่ง) ที่คิดว่าเงียบ เอาจริง ๆ แล้วมีสารพัดเสียง พออารมณ์ใจนิ่งแล้วก็ขยายความรู้สึกออกไป รับรู้เสียงรอบข้างทีละเสียง ๆ จนครอบคลุมหมดแล้ว ก็ขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ รับเสียงได้ไกลขึ้น ๆ จนกระทั่งได้ทั่วโลก จนกระทั่งได้ถึงโลกอื่นด้วย แต่ถ้าฝึกได้แล้วจะกลุ้มใจ ไม่อยากฟังก็ได้ยิน มีโยมอยู่คนหนึ่ง ใครอยู่ใกล้เขารู้ความคิดหมด อ่านได้เป็นประโยค ๆ เหมือนตัวหนังสือเลย แต่ว่าเครียด ที่เครียดเพราะว่าคนคิดอย่างหนึ่งแต่พูดอีกอย่างหนึ่ง

นั่นก็คือมายา สิ่งที่ฉาบอยู่ภายนอก ว่าไปแล้วก็เหมือนเขาหลอกลวงเรานี่แหละ ด้วยความที่เขาเป็นคนตรงไปตรงมา พอไปเจอคนที่ปากไม่ตรงกับใจก็เลยเครียด อยากรู้ว่ามีวิธีไหนที่จะไม่ให้รู้ความคิดของคนอื่น ก็มี ๒ วิธีด้วยกัน วิธีแรกก็คือยกกำลังใจให้ไปอยู่ระดับกลาง ๆ ของสมาธิ อย่าอยู่ระดับอุปจารสมาธิและอย่าอยู่ในฌาน ๔ ก็จะตัดการรับรู้ออกไป วิธีที่ ๒ ก็คือไปหาอะไรที่ฟุ้งซ่านเป็น รัก โลภ โกรธ หลง ไปเลย สมาธิจะตกหายไปก็ไม่ต้องรู้อีก

เถรี
10-11-2014, 15:35
(กล่าวถึงช่างที่กำลังทำงานอยู่ในวัด) ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นอาถรรพ์ต้องสาปของพวกช่าง พอเบิกเงินไปแล้วต้องหยุด ใช้เงินให้หมดก่อนแล้วค่อยมาทำใหม่ ตอนสมัยอยู่เกาะพระฤๅษี ยายจงกับช่างน้อย ๒ คนผัวเมียมาทำงานกับอาจารย์เล็ก มาตัวเปล่า ๆ อาตมาต้องหาเครื่องมือให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเครื่องเชื่อมไฟฟ้าก็ต้องซื้อให้ เสร็จสรรพเรียบร้อยผ่านไป ๒ ปี เมียใส่ทองจนแทบจะเดินไม่ไหว ก็คงรู้สึกว่าตัวเองรวยเกินไป พอสงกรานต์ของปีที่ ๒ ลากลับบ้านไป ๕ วัน พอมาใหม่เหลือแต่ตัวเหมือนเดิม แม้กระทั่งเครื่องเชื่อมไฟฟ้าของอาตมาเขาก็เอาไปจำนำด้วย เพราะว่าช่วงไปสงกรานต์ที่กลับบ้าน ไปเล่นป๊อกเด้ง ยังดีที่เหลือเมียไว้ ไม่จำนำเมียไปด้วย..!

ก็เลยสงสัยว่าเป็นอาถรรพ์อะไร ช่างพวกนี้เบิกเงินเมื่อไรจะต้องใช้ให้หมดแล้วค่อยมา ถ้าโยมสงสัยอาตมาตอบให้ เป็นเพราะ “แพ้ใจตัวเอง” เหตุที่แพ้ใจตัวเองเพราะกำลังใจไม่หนักแน่นมั่นคงพอ ก็เลยทนสิ่งเร้าคือกิเลสภายนอกไม่ได้ ในเมื่อทนสิ่งเร้าคือกิเลสภายนอกไม่ได้ ก็ต้องไหลตามกิเลสไป เหมือนอย่างกับญาติโยมจำนวนมากในเมืองใหญ่ ๆ ถึงเวลาค่ำลงต้องไปเข้าคลับ เข้าบาร์ เข้าลานเบียร์ เข้าคาราโอเกะ อ้างว่าไปพักผ่อน พักภาษาอะไรกันกลับบ้านตีหนึ่งตีสอง ?

เถรี
10-11-2014, 15:36
เพราะเขาไปแล้วเขารู้สึกว่าเขามีความสุข เนื่องจากว่าอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้รับการกระตุ้น ตาเห็นรูป มีสาวสวย ๆ มาฉอเลาะ ป๋าคะป๋าขา หูได้ยินเสียง มีดนตรี มีคาราโอเกะ มีสาวอ้อนอยู่ใกล้ ๆ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ได้ทั้งเหล้าได้ทั้งเบียร์ลงไป กายสัมผัส สิ่งทั้งหลายเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดปีติชั่วครั้งชั่วคราวขึ้นมา ก็เลยรู้สึกว่าตนเองทำอย่างนั้นแล้วมีความสุข โดยที่ไม่ได้คิดว่าถึงเวลาจะมีทุกข์ภายหลัง เพราะลูกเมียจับได้ก็บ้านแตก เมื่อกลับมาจากการเที่ยว สิ่งกระตุ้นเร้าต่าง ๆ หมดไปก็กลายเป็นไม่มีความสุขอีก จึงต้องตะเกียกตะกายไปเที่ยวใหม่

กลายเป็นคนติดการเที่ยวกลางคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สรรเสริญ จัดว่าเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง อบาย แปลว่าทางเสื่อม ทางแห่งความตกต่ำ หรือจะแปลว่านรกไปเลยก็ได้ มุขะ แปลว่า เบื้องหน้า ตรงหน้า ปากทาง หนทางที่นำไป อบายมุขคือหนทางที่นำไปสู่ความเสื่อม

ถ้าหากว่าเราอยากมีความสุข ขอให้เข้ามาปฏิบัติธรรม ทันทีที่เราเริ่มชนะใจตนเองได้ จากผู้ที่ไม่มีศีลก็เริ่มมีศีล จากผู้ที่ไม่มีสมาธิก็เริ่มมีสมาธิ จะเกิดปีติขึ้นจากภายใน ทำให้ไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ไม่หน่ายในการปฏิบัติ ไม่ต้องไปอาศัยสิ่งกระตุ้นเร้าจากภายนอก เมื่อเป็นเช่นนั้นความสุขนี้ก็จะยั่งยืนกว่า แต่ถ้าเผลอเกิดใหม่ก็ทุกข์อีก

เมื่อโยมไม่ตอบอาตมาก็ตอบให้ เหมือนที่หลวงปู่หลวงพ่อบางท่านกล่าวว่า “รู้ทุกเรื่องแหละ แต่แพ้ใจตัวเอง” รู้ว่าทำอย่างนั้นแล้วจะเดือดร้อนทีหลัง รู้ว่าทำอย่างนั้นแล้วจะลำบากทีหลัง รู้ว่าเบิกค่าแรงไปหมดถึงเวลาทำแล้วจะไม่ได้ค่าแรงเลยก็จะเบิก เสร็จแล้วก็ขอเบิกล่วงหน้าอีก ก็เป็นหนี้เป็นสินอีรุงตุงนังไปเรื่อย

เถรี
11-11-2014, 05:26
ญาติโยมหลายท่านถึงขนาดต้องไปกู้เงินนอกระบบ เสียดอกเบี้ยร้อยละ ๒๐ ต่อวัน อาตมาได้ยินนี่ถอนหายใจดังเฮือก แค่ ๕ วันดอกก็ท่วมต้นแล้ว ถามว่า "แล้วทำไมต้องไปกู้เขาด้วย ?" เขาบอกว่า “ ๒๐ บาทต่อวันนี่พอหาได้ แต่ ๑๐๐ บาทต่อวันหาไม่ได้ ก็เลยต้องกู้” พระพุทธเจ้าตรัสว่า อิณาทานัง ทุกขังโลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก

ความจริงไม่ที่สุดหรอก อาตมาใส่เพิ่มให้เอง ที่ว่าทุกข์ที่สุดเพราะว่าคนประเภทพวกเรา พอถึงเวลาเป็นหนี้ใคร ก็ตะเกียกตะกายขวนขวายไปใช้คืนตามเวลา ตามสัญญา ต่อให้เหนื่อยรากเลือดก็ต้องเอาไปใช้เขา เพราะเรามีหิริ โอตตัปปะ เรามีสัจจบารมี ถึงเวลาต้องทำตามคำพูด ทำตามสัญญา แต่พอคนอื่นมากู้เงินเรา ถึงเวลาแล้วเขาไม่คืน เราก็ดันหน้าบางไม่กล้าไปทวงเสียอีก เพราะฉะนั้น..คนอย่างประเภทพวกเราจงอย่าเป็นหนี้ใครและอย่าให้ใครเป็นหนี้ เพราะทุกข์ทั้งขึ้นและล่อง

ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก ก็แปลว่าสิ่งที่พระองค์ท่านพูดมาไม่ผิดหรอก จงยอมเชื่อเสียแต่โดยดี อาตมาเคยมีเพื่อนคนหนึ่งไปประกันรถให้คนอื่น เขาก็ทำสัญญากันว่า วางดาวน์เท่านี้ แล้วก็ผ่อนเดือนละ ๘,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๔๘ เดือน ตอนนั้นรถราคายังไม่สูงมาก เพื่อนคนนั้นผ่อนไป ๕ เดือน ขึ้นเดือนที่ ๖ ต้องการใช้เงินก้อน เขาก็เอารถไปขายให้อีกคนหนึ่ง แล้วเอาเงินก้อนมาใช้ คนที่ซื้อรถต่อไปก็ไม่สนใจที่จะไปผ่อนต่อ ปรากฏว่าถึงเวลาบริษัทเขาฟ้องร้องเพื่อนที่เป็นคนรับประกัน ถ้าไม่ไปใช้หนี้ก็แปลว่าต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน

โทรไปหาเพื่อนคนที่เขาเป็นคนช่วยประกันให้ เขาก็ไม่รับสาย โทรไปหาคนที่ซื้อต่อ เจ้านั่นบอกว่าเขาซื้อมาแล้วนี่ ทำไมต้องไปผ่อนด้วย ? ตอนซื้อไม่เห็นบอกนี่ว่าต้องผ่อน สรุปแล้วว่าโบราณบอกไว้ถูก “ถ้าอยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า ถ้าอยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน” สรุปว่าเพื่อนคนนี้ต้องไปก้มหน้าก้มตาผ่อนใช้เขาอยู่ ไม่มากไม่มายหรอก ๓ ปีกับ ๗ เดือน ๆ ละ ๘,๐๐๐ บาท ตอนนั้นรถกระบะคันหนึ่งแค่สองแสนกว่าสามแสนบาทเอง

เถรี
11-11-2014, 05:27
วัดมีงานแล้วพวกเราเหนื่อย ให้รักษากำลังใจไว้ทุกวัน ทุกเวลา ไม่อย่างนั้นถึงเวลากำลังใจพลิกกลับ เราจะทุกข์ทรมานมาก เพราะ รัก โลภ โกรธ หลง รุมตีแทบตาย ถ้าเป็นพระเป็นชีก็สึกเตลิดเปิดเปิงไปหมด เพราะฉะนั้น..โปรดสังวรระวัง กิเลสไม่เคยปราณีเรา ดังนั้น..เราก็อย่าไปเปิดช่องทางให้กับกิเลสเขา

เถรี
11-11-2014, 09:50
อาตมามีงานที่กรุงเทพฯ พรุ่งนี้ต้องไปสอนหนังสือต่อ แล้วก็วิ่งกลับมาเทศน์ในงานศพ โอ้พระเจ้า...ชีวิตอยากเป็นฆราวาสเหมือนกัน ถ้างานชุกขนาดนี้รวยตายชักเลย ทั้งหมดที่บอกมาก็คือ อยากบอกกับพวกเราว่า ถ้าสมาธิดี ก็จะมีกำลังเพียงพอที่จะคุมร่างกายให้ทำงานเหล่านี้ แต่ให้กลับถึงที่นอนก่อนแล้วค่อยคลายสมาธินะ ไม่อย่างนั้นแล้วจะเสียท่า จะป๊อกเงียบไปเลยเพราะหมดสภาพแล้ว

ใครที่เคยทำงานหนักจนหมดสภาพจะรู้ว่า พองานเสร็จกำลังใจคลายตัวออกก็ไปเลย ก็คืออยากหลับเดี๋ยวนั้นเลย ฉะนั้น..ให้ถึงที่นอนก่อนแล้วค่อยคลายสมาธิออกมา สิ่งนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า มโนสัญเจตนา คือความมุ่งมั่นของใจ ถ้าตราบใดที่ใจยังมุ่งมั่นอยู่ ตราบนั้นร่างกายก็ยังไปไหว

แบบเดียวกับที่เขาวิ่งส่งข่าวศึกเป็นระยะทาง ๔๒ กิโลเมตรกว่า ว่ากรีซได้รับชัยชนะกองทัพโรมันแล้ว คนส่งข่าววิ่งไป ๔๐ กว่ากิโลเมตรไปแจ้งข่าว วิ่งไปได้ พอแจ้งข่าวเสร็จหมดหน้าที่ก็หงายหลังตึง หมดลมตายเดี๋ยวนั้นเลย ทุกวันนี้เขาก็เอามาเป็นการวิ่งมาราธอน ๔๒.๗ กิโลเมตร ตามระยะทางที่เขาวิ่งข้ามเมืองไปแจ้งข่าว ถ้าหากว่าเป็นฮาร์ฟ-มาราธอนก็ครึ่งหนึ่ง มินิมาราธอนก็หนึ่งในสี่ ญาติโยมอาจจะสงสัยว่ามาจากไหน ? มาจากมโนสัญเจตนาของบุคคลหนึ่ง ก็คือมุ่งมั่นว่าจะไปส่งข่าวให้พรรคพวกของตนเองรู้ ไปจนถึง ส่งข่าวแล้วถึงได้ตาย

เถรี
11-11-2014, 09:52
มโนสัญเจตนาเป็นอาหารอย่างหนึ่ง ที่จะประคับประคองชีวิตเราเอาไว้ ชีวิตของเราต้องกวฬิงการาหาร อาหารคือข้าว น้ำ ขนมพวกนั้น ผัสสาหาร อาหารคือลมหายใจเข้าออก วิญญาณาหาร อาหารทีใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในการสัมผัส อย่างเช่นว่า ถ้าเห็นรูปสวย ๆ ก็มีความชื่นอกชื่นใจอยากมีชีวิตอยู่ต่อ หูได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็ชื่นใจ อยู่ต่อได้อีกระยะหนึ่ง เป็นต้น

ตัวสุดท้าย คือ มโนสัญเจตนาหาร ความมุ่งมั่นของใจ เราจะเห็นว่ามีบุคคลที่ขาดธรรมะส่วนนี้ เมื่อเกษียณอายุราชการ หมดความมุ่งมั่นแล้วก็มักจะเฉาตาย ฉะนั้น..พวกเราให้ตื๊ออยู่ต่อไป ตราบใดไปไม่ถึงพระนิพพาน เราจะไม่ตายเด็ดขาด ๑๐๗-๑๐๘ ปี แล้วค่อยว่ากัน ไหวไหม ? ตะบันน้ำกินแน่ ก็ขอให้ทุกคนเดินทางกลับด้วยความปลอดภัยทุกคน ประสงค์สิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอให้ทุกท่านจงสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
โอวาทงานบวชเนกขัมมะ ตักบาตรเทโว ฯ และกฐินสามัคคี
วันที่ ๘-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)