PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๗


เถรี
26-09-2014, 10:50
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่เฉพาะหน้า หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้า หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมด ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ มีญาติโยมหลายท่านที่สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติกรรมฐาน บางทีก็เห็นรูป บางทีก็เห็นแสง เห็นสีต่าง ๆ บางทีก็ได้ยินเสียง ซึ่งความจริงแล้วในเรื่องของนิมิตต่าง ๆ นั้น ถือว่าเป็นของแถมในการปฏิบัติ และเป็นของแถมที่มักจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์

ที่ว่าเป็นของแถมในการปฏิบัติ เพราะว่าเมื่อเราภาวนาไปจนสภาพจิตเริ่มสงบ ถึงระดับของอุปจารสมาธิ แสง สีหรือว่าภาพต่าง ๆ จะเริ่มปรากฏขึ้น การที่เราไปให้ความสนใจ การปฏิบัติของเราจะไม่ก้าวหน้าไปไหน จะติดอยู่แค่นั้น และบางคนก็หลงในเรื่องของนิมิต เรื่องของแสงของสี นั่งสมาธิเมื่อไรก็อยากจะเห็นเช่นนั้นอีก ถ้าอย่างนั้นในชีวิตนี้ของท่านจะไม่ได้เห็นอีกเลย เนื่องเพราะว่าจิตใจไปฟุ้งซ่าน มุ่งมั่นที่จะได้เห็นอย่างที่เคยเห็นมา

ส่วนนิมิตอีกประเภทหนึ่งนั้น เป็นนิมิตตามกองกรรมฐาน อย่างเช่นว่าเราปฏิบัติในกสิณ ๑๐ ก็ต้องใช้นิมิตต่าง ๆ ตามกองกสิณ เช่น ใช้ดินเป็นนิมิตในปฐวีกสิณ ใช้น้ำเป็นนิมิตของอาโปกสิณ ใช้ไฟเป็นนิมิตของเตโชกสิณ เป็นต้น ถ้าลักษณะอย่างนั้น เมื่อนิมิตเกิดขึ้นแล้ว ก็ให้นึกถึงและภาวนาไปตามปกติ ประคับประคองสภาพจิตให้รักษานิมิตนั้นเอาไว้ ถ้าเลือนหายไปก็ลืมตาดูวัตถุที่ใช้เป็นนิมิต แล้วหลับตาลงภาวนาใหม่

จนกระทั่งนิมิตนั้นติดตาติดใจ ไม่ว่าจะหลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น ถ้าอย่างนั้นเราก็เอาสติสมาธิของเรา ประคับประคองนิมิตนั้นเอาไว้ นิมิตเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนสีไป ตามลำดับของสมาธิที่สูงขึ้น ๆ จนกระทั่งท้ายที่สุดก็เต็มกำลัง คือสว่างเจิดจ้า เราก็อธิษฐานขอให้นิมิตนั้นใหญ่ขึ้น เล็กลง หายไปหรือมาปรากฏได้ ถ้าสามารถทำเช่นนั้นได้ เราก็อธิษฐานใช้ผลของกสิณกองนั้น ๆ ได้

เถรี
27-09-2014, 13:40
แต่ว่ามีนิมิตอยู่ประเภทหนึ่ง สำหรับท่านทั้งหลายที่เคยฝึกกสิณมาในอดีต คำว่า "ในอดีต" นี้คือในชาติก่อน เมื่อจิตเริ่มสงบ นิมิตในกองกสิณนั้น ๆ มักจะปรากฏขึ้น ดังนั้น..จึงควรที่จะศึกษาในเรื่องของนิมิตตามกองกสิณต่าง ๆ ไว้ให้ดี ถ้าไม่รู้จะศึกษาจากที่ไหน ก็ศึกษาจากพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคในส่วนของสมาธินิเทศ หรือว่าศึกษาเอาจากคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุง หรือศึกษาจากหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ก็ได้ เราจะได้รู้ว่านิมิตลักษณะอย่างนี้ เป็นนิมิตที่เป็นไปตามกองกรรมฐาน

ขณะเดียวกัน..นิมิตอีกลักษณะหนึ่ง จัดเป็นเรื่องของอุปกิเลส ถ้าเราสามารถแยกแยะได้ เราก็รู้ว่านิมิตไหนควรที่จะรักษาไว้ และนิมิตไหนควรที่จะละ แต่ถ้าเอาอย่างสายการปฏิบัติของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านให้ทิ้งนิมิตทั้งหมด เอาแต่การภาวนาเฉพาะหน้า แต่ว่านิมิตก็เป็นเรื่องแปลก เรายิ่งไม่สนใจ ความผ่องใสชัดเจนก็ยิ่งมีมากขึ้น แต่ว่าจะผ่องใสชัดเจนอย่างไรเราก็อย่าไปสนใจ

ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ดูลมหายใจของเรา ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ เราก็กำหนดรู้คำภาวนาของเราไป ถ้าทำอย่างนี้จึงสามารถที่จะก้าวล่วงจากนิมิต ไม่ไปหลงติดอยู่จนกระทั่งเสียการปฏิบัติ แต่ถ้าเป็นนิมิตตามกองกสิณ จัดเป็นนิมิตที่ต้องรักษา ถึงเวลานิมิตจะมีการเปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่นว่า เป็นสีเหลือง เป็นสีเหลืองอ่อน เป็นสีขาว เป็นสีขาวใส จนกระทั่งใสสว่างเจิดจ้า เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านศึกษาดีแล้ว ก็ไม่ต้องไปถามว่า ลักษณะที่ตนเองได้เห็น เสียงที่ตนเองได้ยินนี้คืออะไร เป็นอะไร เพราะว่าใจของเราจะจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติธรรมตรงหน้าเท่านั้น

ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)