เถรี
30-07-2014, 14:54
ขอให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ตามใจเราถนัด ถ้าเผลอสติไปคิดเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้ตัวก็ให้ดึงสติของเรากลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้มีผู้ถามว่า การจะพิจารณาโครงกระดูกเป็นวิปัสสนาญาณทำอย่างไร ซึ่งความจริงถ้าจะพิจารณาตามแบบที่อาตมาทำอยู่ ก็จะมีการสืบเนื่องมาก่อนหน้านั้นยาวนาน คือตั้งแต่ดูร่างกายของเราเป็นธาตุ ๔ ประกอบไปด้วยเครื่องจักรกล ถึงเวลาก็ตายก็พัง ก็อืดก็พอง มีแต่ความเน่าเหม็นเป็นปกติ จนกระทั่งเนื้อหนังมังสาทั้งหลายสลายไปหมดสิ้น เหลือแต่โครงกระดูกที่ยังมีเส้นเอ็นยึดโยงอยู่
เมื่อถึงเวลาผ่านการชะของฝน ผ่านการแผดเผาของแดด ผ่านการพัดโกรกของลม เส้นเอ็นก็เปื่อยสลายไปหมด กระดูกก็หลุดเรี่ยราดกระจายไป กะโหลกศีรษะกลิ้งไปทางหนึ่ง กระดูกกรามกลิ้งไปทางหนึ่ง กระดูกฟันกระจัดกระจายไปด้านหนึ่ง กระดูกต้นคอหลุดกระจายไป กระดูกไหปลาร้า กระดูกหัวไหล่ กระดูกต้นแขน กระดูกข้อศอก กระดูกปลายแขน กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ กระดูกนิ้วมือเป็นข้อ ๆ แล้วก็เล็บมือ กระดูกสันหลังที่มีซี่โครงยึดโยงกับกระดูกหน้าอก แล้วก็มีกระดูกที่เป็นหมอนรองซ้อนอยู่เป็นชั้น ๆ หลุดสลายเกลือกกลิ้งเป็นวง ๆ ไป
กระดูกบั้นเอวที่เป็นข้อ ๆ ให้เรางอพับตัวเองได้ กระดูกก้นกบที่ติดกันค่อนข้างจะแน่นหนา มีปลายแหลม ๆ อยู่ กระดูกเชิงกรานที่เป็นเบ้ากลวง ๆ สองข้างสำหรับเป็นที่ให้เราให้นั่ง กระดูกต้นขา กระดูกหัวเข่า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า กระดูกส้นเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกนิ้วเท้า แล้วก็เล็บเท้า หลุดกระจัดกระจายไป โดนแดดเผา โดนฝนชะ โดนลมโกรกก็ค่อย ๆ เก่าลง ๆ เปื่อย ผุพังจมดิน ไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่น้อยหนึ่ง
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้มีผู้ถามว่า การจะพิจารณาโครงกระดูกเป็นวิปัสสนาญาณทำอย่างไร ซึ่งความจริงถ้าจะพิจารณาตามแบบที่อาตมาทำอยู่ ก็จะมีการสืบเนื่องมาก่อนหน้านั้นยาวนาน คือตั้งแต่ดูร่างกายของเราเป็นธาตุ ๔ ประกอบไปด้วยเครื่องจักรกล ถึงเวลาก็ตายก็พัง ก็อืดก็พอง มีแต่ความเน่าเหม็นเป็นปกติ จนกระทั่งเนื้อหนังมังสาทั้งหลายสลายไปหมดสิ้น เหลือแต่โครงกระดูกที่ยังมีเส้นเอ็นยึดโยงอยู่
เมื่อถึงเวลาผ่านการชะของฝน ผ่านการแผดเผาของแดด ผ่านการพัดโกรกของลม เส้นเอ็นก็เปื่อยสลายไปหมด กระดูกก็หลุดเรี่ยราดกระจายไป กะโหลกศีรษะกลิ้งไปทางหนึ่ง กระดูกกรามกลิ้งไปทางหนึ่ง กระดูกฟันกระจัดกระจายไปด้านหนึ่ง กระดูกต้นคอหลุดกระจายไป กระดูกไหปลาร้า กระดูกหัวไหล่ กระดูกต้นแขน กระดูกข้อศอก กระดูกปลายแขน กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ กระดูกนิ้วมือเป็นข้อ ๆ แล้วก็เล็บมือ กระดูกสันหลังที่มีซี่โครงยึดโยงกับกระดูกหน้าอก แล้วก็มีกระดูกที่เป็นหมอนรองซ้อนอยู่เป็นชั้น ๆ หลุดสลายเกลือกกลิ้งเป็นวง ๆ ไป
กระดูกบั้นเอวที่เป็นข้อ ๆ ให้เรางอพับตัวเองได้ กระดูกก้นกบที่ติดกันค่อนข้างจะแน่นหนา มีปลายแหลม ๆ อยู่ กระดูกเชิงกรานที่เป็นเบ้ากลวง ๆ สองข้างสำหรับเป็นที่ให้เราให้นั่ง กระดูกต้นขา กระดูกหัวเข่า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า กระดูกส้นเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกนิ้วเท้า แล้วก็เล็บเท้า หลุดกระจัดกระจายไป โดนแดดเผา โดนฝนชะ โดนลมโกรกก็ค่อย ๆ เก่าลง ๆ เปื่อย ผุพังจมดิน ไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่น้อยหนึ่ง