View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๗
ถาม : ไม่ทราบว่ามีวิธีแก้บ้านตรงทางสามแพร่ง ที่ถนนพุ่งตรงเข้าสู่ตัวบ้านไหมครับ ?
ตอบ : รื้อบ้านทิ้ง..!
ถาม : ทางสามแพร่งจะเป็นอัปมงคลหรือเปล่า แก้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่หรอก เป็นมงคลมาก..!
ถาม : อย่างไรครับพระอาจารย์ ?
ตอบ : ชีวิตคนเราท้ายสุดก็คือความตาย ถ้าสิบล้อมาเกยเร็วเท่าไรก็ดีเท่านั้น..! เรื่องของการแก้ส่วนใหญ่แล้วเขาใช้หลักฮวงจุ้ยของจีน จะมีการติดกระจกสะท้อนสิ่งที่ไม่ดีออกไป หรือไม่ก็สร้างสระน้ำไว้หน้าบ้านเพื่อให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายลงไปในน้ำแทน ไปถามหมอดูฮวงจุ้ยดีกว่าจะได้เสียเงินเยอะหน่อย..!
ถาม : แล้วมีผลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ หรือเรื่องทางผีผ่านอย่างไรไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดมากก็มีผล มัวแต่แช่งตัวเองว่าไม่ดี ๆ อยู่นั่นแหละ ถ้ามั่นใจในคุณความดีของศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว ผลร้ายเกือบจะไม่มี
ถาม : นิยตโพธิสัตว์ที่มีกำลังใจเข้มแข็งสามารถลาพุทธภูมิได้ใช่ไหมครับ แล้วอย่างนี้คำทำนายของพระพุทธเจ้าที่ท่านพยากรณ์ถือว่าผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เรื่องนี้ไปทูลถามพระพุทธเจ้าโดยตรงดีกว่า จะได้รับคำตอบที่ถูกต้อง อาตมาตอบไปก็ไม่จบหรอก พวกลูกช่างสงสัย..!
ถาม : ถ้าจะเดินทางไปเชียงตุงซึ่งตั้งอยู่ในรัฐฉานของประเทศพม่า นอกจากจะอาราธนาบารมีของพระพุทธองค์และครูบาอาจารย์ที่นับถือแล้ว ควรจะขอบารมีเทพเทวดาท่านใด เพื่อคุ้มครองการเดินทางให้ปลอดภัยคะ ?
ตอบ : ตั้งใจนึกถึงพระเจ้าเก้าเมือง จริง ๆ ก็คือเป็นเจ้าที่รักษารัฐฉาน ๙ องค์ด้วยกัน นึกถึงขอให้ท่านสงเคราะห์ อุทิศส่วนกุศลถวายท่านไปด้วย
ถาม : ได้ดินจากวัดสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทยมาไว้ในครอบครอง โดยได้ต่อมาอีกทอดหนึ่งค่ะ ที่มาเป็นดินจากการก่อสร้างบูรณะโบราณสถานภายในวัด และช่างก่อสร้างได้ขนดินและเศษก่อสร้างออกมาทิ้งภายนอกวัด จึงเก็บมาโดยตั้งใจจะนำไปสร้างวัตถุมงคล อยากเรียนถามว่า เป็นการติดหนี้สงฆ์หรือไม่และควรทำอย่างไรเพื่อให้ถูกต้องสมควร ?
ตอบ : ติดหนี้สงฆ์ ๒ เด้ง อันดับแรกหนี้สงฆ์คือดินนั้นเป็นของวัด อันดับที่ ๒ มาจากโบราณสถานที่เขาตั้งใจสร้าง ส่วนใหญ่ก็สร้างเพื่อเป็นพุทธบูชา เจอ ๒ เด้ง วิธีที่ดีที่สุดก็คือกะ ๆ ว่าราคาเท่ากับทองกี่บาทแล้วก็เอาถวายวัด
ถาม : ถ้ามีคนทำความผิดและโดนตัดสินลงโทษไปแล้ว เราซึ่งเป็นคนรู้จักควรจะให้กำลังใจเขา เพื่อไม่ให้ใจของเขาเศร้าหมองโดยไม่สนว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองได้หรือไม่ อย่างนี้เรียกว่าเมตตาเกินไปหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่เกิน ถ้าเมตตาเกินไปก็ต้องไปติดคุกแทนหรือรับโทษแทนเขา
ถาม : ถึงเขาจะเลวต่อไปเราก็ให้กำลังใจ ?
ตอบ : คบกันแค่ตอนดี ส่วนเขาทำเลวอะไรเราไม่รับรู้
ถาม : การพูดจาประชดประชัน เหน็บแนม จิกกัด จัดเข้าในหมวดไหนของวจีกรรม ๔ ? และการพูดลักษณะนี้มีโทษหรือไม่คะ ?
ตอบ : ผรุสวาทา แปลเป็นไทยว่า “คำพูดเหมือนขวานถาก” ถากได้ทุกอย่างยกเว้นด้ามตัวเอง ฉะนั้น..ถือว่าบกพร่องในวจีกรรม ถ้าเป็นพระเขาปรับอาบัติทุพภาสิต ศีลขาด ฆราวาสเขาถือว่าในส่วนของกรรมบถบกพร่อง
ถาม : เราซึ่งเป็นฆราวาสหรือแม่ชีต้องประเคนของให้เณรหรือไม่ ? เพราะบางที่ก็บอกว่าไม่ต้องประเคนให้ เณรสามารถฉันเองได้เลย
ตอบ : ถ้าเป็นธรรมยุตเขาบังคับว่าต้องประเคนก่อน เพราะว่าสามเณรคือผู้ที่เตรียมตัวจะเป็นพระ ต้องสร้างความเคยชินให้เขา แต่ถ้าทั่ว ๆ ไปเขาถือว่าเณรไม่มีศีลข้อนี้ ไม่ต้องประเคนก็ได้
ถาม : หากนำวัตถุมงคลต่าง ๆ หลอมเพื่อสร้างเป็นวัตถุมงคลชิ้นใหม่ขึ้นมา วัตถุมงคลชิ้นใหม่จะมีอานุภาพของวัตถุมงคลชิ้นเดิมที่นำมาหลอมสร้างเป็นชิ้นใหม่ทันทีหรือไม่ครับ หรือว่าไม่จำเป็นเสมอไป ?
ตอบ : ถ้ายึดเอาหลักที่หลวงปู่ดู่อธิษฐานตอนปลุกเสกพระ ก็แปลว่าหมดอานุภาพไปเลย..!
ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : หลวงปู่ดู่ท่านอธิษฐานว่า วัตถุมงคลของท่านถ้าละลายเป็นน้ำเมื่อไรก็หมดอานุภาพ ฉะนั้น..ท่านใดก็ตามถ้าอธิษฐานไว้ลักษณะนั้น ก็แปลว่าเราจะไม่ได้อะไรเลย แล้วถ้าเป็นรูปพระสงฆ์หรือรูปพระพุทธก็ยิ่งเฮงเข้าไปใหญ่ เพราะถือว่าทำลายพระพุทธหรือทำลายพระสงฆ์ด้วย โทษต่ำ ๆ ก็ลงอเวจีหนึ่งกัป
ถาม : ถึงแม้เราจะเอาไปหลอมแล้วสร้างเป็นพระใหม่ ?
ตอบ : ทำลายของเก่าคือทำลายของเก่า สร้างใหม่คือสร้างใหม่ โทษคือโทษ บุญคือบุญ ไม่ได้เกี่ยวกัน
ถาม : แต่ถ้าเรานำไปบรรจุในพระประธานอันนี้ไม่ถือว่าเป็นโทษใช่ไหมครับ ?
ตอบ : การบรรจุเขาทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว
ถาม : แล้วถ้ามีคนเอาไปทำแล้วละครับ ถ้าไม่ได้อธิษฐานไว้อย่างหลวงปู่ดู่ละครับ พุทธานุภาพจะยังอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : น่าจะมีสักนิดหนึ่ง
ถาม : หากวัตถุมงคลชิ้นเดิมเป็นรูปพระ หรือเป็นตะกรุดแต่จารอักขระเป็นองค์พระ หากนำมาหลอมจะโดนโทษทำลายพระเสมอไปหรือไม่ครับ ? มีวิธีแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : วิธีแก้ที่ง่ายที่สุดคืออย่าไปทำ
ถาม : แล้วพวกอักขระยันต์ละครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดมากก็ทำไม่ได้ เพราะถือว่าอักขระตัวหนึ่งเท่ากับพระองค์หนึ่ง ฉะนั้น..ห้ามคิดมาก ตัดสินใจว่ากูลงอเวจีแน่นอน แล้วก็ทำไปเถอะ..!
ถาม : หากสร้างวัตถุมงคลแล้วนำไปขอพระอาจารย์เข้าพิธี เช่น สร้างเสือสมิง ลิงจับหลัก โดยอาจสร้างจำนวนมาก ๆ เช่นนี้ จะโดนปรับโทษใช้พระหรือไม่ครับ ? แล้วจะมีวิบากอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจก็เท่ากับว่าใช้ ตั้งใจว่าอย่างไรอาจารย์ต้องเสกให้กูแน่ แต่ไม่เห็นเขาจะกลัวกันนี่ หลวงพ่อคูณเดินไม่ไหวแล้วเขาก็เอานั่งรถเข็นออกมาเสก
ถาม : แล้วจะมีวิบากอย่างไรครับใช้พระแบบนี้ ?
ตอบ : ถึงเวลาก็โดนใช้คืนบ้าง แบบนางขุชชุตตรา ใช้นางภิกษุณีครั้งเดียวเป็นคนใช้เขาตั้ง ๕๐๐ ชาติ แต่เจ้านั่นเล่นหลวงพ่อคูณมาหลายยกแล้ว
ถาม : อย่างนี้ถ้าเรามีวัตถุมงคล อยากจะขอความเมตตาจากหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ละครับ ?
ตอบ : ขอวิธีไหนก็ตาม ถ้าตั้งใจเท่ากับใช้ท่าน ส่วนใหญ่พระท่านสงเคราะห์ให้ เพราะถ้าไม่ทำให้ เขาโกรธท่านคราวนี้ลงอเวจีไปเลย แต่ถ้าทำให้เขาโดนแค่โทษใช้พระ ก็แค่ไปเกิดเป็นคนใช้เขา
ถาม : อย่างเวลามีพิธีพุทธาภิเษก ค่อยเอาไปเข้าไม่ถือว่าใช้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างวัดท่าขนุนอนุญาตให้เข้าอยู่แล้ว หมดเรื่องไปเลย
ถาม : ถ้าคิดเฉย ๆ ไม่ได้ทำล่ะครับ ?
ตอบ : โทษก็เกิดแค่มโนกรรม
ถาม : ผลเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ถึงเวลาคนอื่นเขาก็คิดไม่ดีกับเราบ้าง
ถาม : แล้วเคยพลั้งพลาดไปแล้วแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : อย่าเกิด..แก้ได้แน่นอนที่สุด
ถาม : หากวัตถุประสงค์หลักที่สร้างวัตถุมงคลเพื่อการค้าหรือหากำไรส่วนตน ในการพุทธาภิเษกพระท่านจะสงเคราะห์ให้หรือไม่ครับ ? เพราะการสร้างไม่ได้เกิดจากพระสั่งหรือไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ?
ตอบ : ถ้าท่านอนุญาตให้เข้าพิธีได้ ก็แปลว่าใช้ได้ ส่วนในเรื่องอื่นนั้นถือว่าเป็นโทษเฉพาะตัวของท่านเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอเด็กคลอดแล้วอย่าให้เขากินนมผงหรือนมกระป๋อง ให้เขากินนมแม่อย่างเดียว เด็กก็เหมือนกับหมา ถ้าเขากินอะไรอร่อยแล้วจะเลือกกินแต่อย่างนั้น ไม่ยอมกินนมแม่ ปล่อยให้เขาหิวหน้ามืดไว้ แล้วเขาจะกินนมแม่เอง
โดยเฉพาะคนเป็นแม่อย่าไปกินของเย็น ทั้งที่เป็นอาหารธาตุเย็น หรือของแช่เย็น ของใส่น้ำแข็ง อย่าไปอาบน้ำเย็น ไม่อย่างนั้นน้ำนมจะหยุด คราวนี้จะไม่มีนมให้ลูกกิน ไปถามคนแก่ ๆ เอา แต่อาตมาก็แก่แล้วนะ เจอมาเยอะแล้ว
ที่แม่อ้วนตอนท้องเพราะต้องตุนไว้เผื่อลูกกินตอนคลอด คราวนี้ถ้าเราไม่ให้ลูกกิน ก็ไม่รู้จะยุบไปทางไหน อ้วนอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าลูกกินเยอะ ๆ พอถึงเวลาเราจะเหี่ยวเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีเด็กคนหนึ่งกินนมแม่จนซี่โครงขึ้นทุกซี่เลย เจ้านั่นร้ายกาจมาก ไม่ยอมกินนมกระป๋อง บังคับอย่างไรก็จะกินแต่นมแม่ อาตมากลัวแม่จะผอมตาย เพราะเหลือแต่ซี่โครง"
พระอาจารย์เล่าว่า "วันที่อาตมาไปสาธยายพระไตรปิฎก พระท่านถามเลย “ท่านอาจารย์มีเฟซบุ๊กไหมครับ ?” “ไม่มีครับ..ไลน์ก็ไม่มี” “แต่รูปของท่านอาจารย์ลงเฟซบุ๊กเยอะจังเลย” “เออ..ใช่” มีแต่คนเอาไปลงให้ ไม่ต้องเล่นเอง รูปที่เขาลงให้เยอะกว่าเล่นเองอีก"
ถาม : วัดตะคร้ำเอนอยู่ตรงไหนของราชบุรีคะ ?
ตอบ : วัดตะคร้ำเอนไม่ได้อยู่ที่ราชบุรี วัดตะคร้ำเอนอยู่ที่กาญจนบุรี แยกเดียวกับพระแท่นดงรัง เลี้ยวขวาเข้าไปไม่ถึง ๒ กิโลเมตร มีหลวงพ่อดำอยู่ ศักดิ์สิทธิ์สุด ๆ เขาว่าใครบนอะไรได้ทุกเรื่อง ท่านชอบดูหนัง เพราะฉะนั้น..จะมีจอใหญ่ขึงเอาไว้ตลอดปีตลอดชาติ เขาบอกว่าอย่างน้อยคืนหนึ่ง ๓ - ๔ เรื่อง คนไปบนพอสำเร็จก็จ้างเขาฉายหนังจอใหญ่เลย เขาเตรียมสถานที่ไว้เพื่อรับรถทัศนาจรโดยเฉพาะ
จากสี่แยกท่าเรือพระแท่น ถ้าขาลงจากท่าขนุนจะเลี้ยวซ้าย ถ้าขาขึ้นจะเลี้ยวขวา เข้าไปไม่ถึง ๒ กิโลเมตรหรอก เขาจะมีป้ายบอกแต่ไกลว่า ‘หลวงพ่อดำ วัดตะคร้ำเอน’ อย่าไปบนขอรางวัลที่หนึ่งพร้อม ๆ กันนะ เดี๋ยวพระเจ้าจะพลอยเครียดไปหมด..!
ถาม : ช้างที่มีงาอ้อมจักรวาลพอมีอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : งาอ้อมจักรวาลก็เหมือนกับเขี้ยวแก้วของคนนั่นแหละ จะขึ้นจากเพดานปาก ทีนี้พอออกจากเพดานปากลงมาก็จะติดงวง ก็เลยต้องโค้งอ้อมงวงไป เพราะฉะนั้น..ช้างงาอ้อมจักรวาลจะมีงาเดียว พลายสุระเป็นช้างพลายปกติ งายาวใช้ได้เลย ประมาณ ๑.๒ เมตร เจ้าของนอนเฝ้าทุกคืน
ถาม : พระเศวตฯ ก็ไม่ใช่ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนไม่รู้ก็ว่าไปเรื่อย พระเศวตฯ ก็ไม่ใช่ คือช้างงาถ้าไม่ได้ใช้งาน งาที่ยาวไปเรื่อย ๆ ก็จะโค้งไปเอง ถ้าอยู่ในป่าใช้งานแทงนั่นงัดนี่ไปเรื่อย งาก็ไม่ยาวมาก เพราะฉะนั้น..ช้างงายาวสวย ๆ ส่วนใหญ่เป็นช้างเลี้ยงทั้งนั้น ช้างในป่าถ้างายาว ส่วนใหญ่จะอยู่ลักษณะงาปลี คือค่อนข้างจะใหญ่และสั้น เพราะใช้งานอยู่ตลอด อย่างรูปที่ถ่ายไว้สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่เขาเอาขบวนช้างมารับเสด็จ ที่เขาเรียกจ๊างปู้เลื้อย ยาวเกือบติดดิน น่าจะ ๒ เมตรเศษได้
ถาม : รอยแตก ๆ นี่ ?
ตอบ : รอยแตก ๆ เป็นเรื่องปกติ ผิวงาจะเป็นอย่างนั้น พอขัดเข้าไปก็กลายเป็นสีขาวสวย ถ้าอยากรู้ว่าสีเดิมเป็นอย่างไรก็ดูตรงข้างงวง งวงช้างจะสีอยู่ตลอดเวลา ก็จะเป็นสีเนื้องาขาวอมเหลืองตามปกติ
ถาม : สีหม้อใหม่คือสีอะไรคะ ?
ตอบ : นึกถึงหม้อดินเผาสิจ๊ะ ไม่ใช่สีหม้อสเตนเลส..!
ถาม : ที่แตกลายงาหมายถึงงาเขาแก่ตามสภาพ ?
ตอบ : ลายงาจริง ๆ อยู่ในเนื้องา ลักษณะคล้าย ๆ จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนจิ๋ว ๆ อยู่ในเนื้องา เวลาเขาพูดถึงลายงานี่ต้องแยกให้ออก ถ้าแตกแบบเปลือกงาเป็นลักษณะแตกแบบของเครื่องลายครามหรือของเก่า แต่ว่าลายงาจริง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าแตกลายงานี่ขอให้รู้ว่าเป็นลายเปลือกงา แต่ถ้าลายเนื้องาจริง ๆ จะเป็นอีกลายหนึ่ง
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาสร้างศาลาไม่ทันเสร็จก็โดนลอกแบบแล้ว สมัยนี้เขาลอกการบ้านกันสุดยอดขนาดนี้เลยหรือ ? แสดงว่าแบบของวัดท่าขนุนใครเห็นก็ชอบ สร้างยังไม่ทันจะเสร็จเลยมีคนลอกแบบแล้ว แบบวัดท่าขนุนอาตมาลอกแบบมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ลอกแบบมาจากหลวงปู่ปาน
หลวงปู่ปานท่านทำโบสถ์ ๒ ชั้น ชั้นล่างท่านทำเป็นนรก ๘ ขุม ต้องมุดลงไปดู หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำเป็นโบสถ์ ๒ ชั้น ท่านบอกว่าจะได้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น ส่วนอาตมาเคยชิน ในเมื่อครูบาอาจารย์เคยทำจึงทำบ้าง เพียงแต่ว่าทำเป็น ๓ ชั้นไม่พอ ชั้นล่างยังเอาสูงตั้ง ๘ เมตร เพื่อจะได้สร้างมณฑปเอาไว้ข้างในได้ โดยเฉพาะกำแพงหนามาก สั่งอิฐแดงก้อนใหญ่หนาพิเศษ ก่อโดยวางขวางตลอดแนว ปกติอิฐเขาจะก่อตามยาว ของอาตมาให้ก่อตามขวาง ซึ่งจะเปลืองของมากแต่จะได้ความหนา ในเมื่อมีความสูงและหนามาก อากาศข้างในจะเย็นเหมือนกับถ้ำ"
ถาม : ทำไมไม่ทำผนัง ๒ ชั้น ?
ตอบ : ผนัง ๒ ชั้นก็ดี เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ต้องอาศัยเครื่องปรับอากาศ เพราะทึบ ของวัดท่าขนุนอาศัยความสูง และได้ความโปร่ง ถ้ากลางวันปิดประตูหน้าต่างไม่ให้อากาศเข้า เดินเข้าไปก็เหมือนกับห้องปรับอากาศ ต้องรอให้เสร็จก่อน หมดไป ๑๗ ล้านกว่าบาทแล้วยังมีแต่โครงอยู่เลย จะไปหนักอีกทีตรงหมู่เรือนไทย ค่าแรงช่างทำโครงหลังคาเรือนไทย ๒ หลังที่ตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ข้างวัด เฉพาะค่าแรงทำโครงหลังคาอย่างเดียวนะ หลังละ ๗๐๐,๐๐๐ บาท วัสดุทุกอย่างเป็นของเรา
ท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธิเมธี รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี รูปที่ ๑ ไปเห็นเข้าถามว่า “อาจารย์เล็กทำเรือนไทยสวยจริง ๆ เอาช่างมาจากที่ไหน ?” “บางปลาม้าครับ” “แล้วเขาคิดค่าแรงเท่าไร ?” “เจ้าคุณอาจารย์อย่าถามเลยครับ ผมไม่เคยบอกให้เขาตกลงราคา เขาทำเสร็จแล้วเอาเท่าไร ผมก็ให้เท่านั้น” ช่างเขาจะได้ทำแบบสบายใจ คุณมีปัญญาคุณก็ทำไป ต้องการเท่าไรมาเบิกแล้วกัน
ฉะนั้น..ช่างชุดนี้เขาอยู่กับอาตมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ จนป่านนี้ยังไม่ไปไหนเลย ทำงานกับอาตมาไม่มีขาดทุน ของทุกอย่างทางวัดออก คุณรับค่าแรงอย่างเดียว ต้องการเท่าไรมาเบิกได้ ไม่อย่างนั้นพอไปที่อื่น พอเซ็นสัญญากันว่ารับเหมาเท่านั้นเท่านี้ ถึงเวลาวัสดุขึ้นราคา หรือว่าระยะเวลายาวขึ้น ต้องจ่ายค่าแรงลูกน้องเพิ่ม เขามักจะขาดทุน อยู่กับอาตมาไม่มีขาดทุนหรอก มีแต่กำไร เบิกเท่าไรก็ให้เท่านั้น
เมื่อวานสัมภาษณ์ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีธีรวงศ์ เจ้าคณะอำเภอดอนตูม วัดพระประโทณเจดีย์ ท่านบอกว่า “อาจารย์พระครู..สร้างศาลาร้อยปีหลวงปู่ด้วยจุดมุ่งหมายอะไร ?” อย่างแรกเลยก็คือ เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ และเป็นที่ระลึกในวาระสำคัญของท่าน
อย่างที่สองก็คือ อาคารของวัดไม่พอใช้งานจริง ๆ อย่างที่สามก็คือตั้งใจจะให้เป็นพิพิธภัณฑ์ กำลังดูว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นพิพิธภัณฑ์บริขารของท่าน อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน เก็บของบางอย่างที่คนไม่ค่อยได้เห็น หรือไม่ก็อาจจะเป็นพิพิธภัณฑ์วัตถุมงคล เดี๋ยวจะดูความเหมาะสมอีกที
ช่วงนี้พระก็ตากแดดตัวดำปี๋ เพราะว่ากำลังพอกปูนที่ด้านหลังสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ดินที่ถมขึ้นมาไม่ได้พอกปูน พอโดนฝนแล้วน้ำพาหนีไปหมด พระท่านจึงไปช่วยกันทำ ดีอยู่อย่างว่าระบบของวัด อยู่ในลักษณะที่ว่าต่อให้เจ้าอาวาสไม่อยู่ งานก็ไปได้ เพราะว่าอาตมาทิ้งงบประมาณไว้ให้พระ ๓ - ๔ รูป แต่ละรูปรับผิดชอบงานต่าง ๆ กันไป ตัดสินใจจ่ายได้ในงบประมาณที่ตนเองมีอยู่ ถ้าเขาเห็นว่าสมควรก็ลุยไปได้เลย ถึงเวลาแจ้งรายละเอียดมาก็แล้วกันว่าใช้จ่ายไปอย่างไร
ระบบนี้ดีอยู่ตรงที่ว่า ไม่ได้ยึดติดอยู่กับตัวบุคคล ต่อไปถึงอาตมาไม่อยู่เขาก็อยู่กันได้ หน้าที่ตอนนี้ของอาตมาก็คือหาเงินเข้ากองทุนต่าง ๆ เอาไว้ ถึงเวลาเขาก็ก็บริหารกันเอง
พระอาจารย์พูดถึงเสื้อแจ๊กเก็ตยันต์เกราะเพชรพิชัยสงครามที่เพิ่งทำออกมา "สำหรับพวกที่อยากได้ลายแต่ไม่อยากสักจะได้มีไว้ เดี๋ยวเตรียมไปบูชาจากในเว็บ ข้างหลังคือส่วนหนึ่งของยันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ข้างหน้าคือยันต์เกราะเพชร ไปเตรียมจองกันได้ ราคาค่าปักแพงมาก คิดว่าน่าจะตัวไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท พอไล่ลงมาดูเหลือตัวไม่เกิน ๕๐๐ บาท โอ๊ย...โล่งอก ถ้าอกผายไหล่ผึ่งเสื้อจะพอดี แต่ถ้าหลังค่อม ๆ เอวจะลอยขึ้นมา เพราะฉะนั้น..ใส่เสื้อตัวนี้แล้วห้ามนั่งหลังโก่งนะ"
ถาม : ไม่ใส่ชื่อวัดด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ใส่ชื่อวัดเพราะจะได้ไปวัดไหนก็ใส่ได้ ถ้าใส่ชื่อวัดแล้วจะจำกัดมากเกินไป เผื่อเอาไปเป็นของขวัญของฝากใครที่เขาไม่ชอบชื่อวัดท่าขนุนจะได้ใส่ได้ ต้องคิดเผื่อเขาหน่อย ต้องจ้างพรีเซ็นเตอร์หรือเปล่า ? คงไม่ต้องหรอกนะ สั่งทำไปตั้ง ๑,๒๐๐ ตัว..! ใส่ไว้สัก ๓ วันโชว์ให้เขาดู แล้วค่อยเปิดจอง ถ้าเสร็จทันน่าจะได้ในวันเป่ายันต์ ๓ พฤษภาคมนี้ ถ้าไม่ทันก็รอสิงหาคมอีกที
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนคุยกับผอ.สำนักพุทธฯ จังหวัดกาญจนบุรี มีมติจากคณะรัฐมนตรีให้ข้าราชการสตรีสามารถลาปฏิบัติธรรมได้ ๑ เดือน ออกมติมาตั้งหลายปีแล้ว วัดต่าง ๆ ที่อยู่ในเกณฑ์ที่เข้าไปปฏิบัติธรรมได้ ก็ออกมา ๒๐๐ - ๓๐๐ แห่งแล้ว รวมทั้งวัดท่าขนุนด้วย แต่ไม่มีใครลาไปปฏิบัติสักคนเลย เขาบอกว่าเจ้านายไม่ให้ไป จนป่านนี้ยังไม่มีใครไปที่วัดท่าขนุนเลย อาตมาเองก็คิดว่าหน่วยงานเขาไม่รู้หรือเปล่า ?
ผู้ชายลาได้ ๔ เดือนเผื่อเข้าพรรษา แต่ผู้หญิงเขามีลาคลอดเลยได้ จึงได้สิทธิ์ลาปฏิบัติธรรมแค่ ๑ เดือน น่าจะถามเขาว่าถ้าไม่ใช้สิทธิ์ลาคลอด เอามาปฏิบัติธรรมทีเดียวเลยได้ไหม ? คลอดลูกไม่ใช่บวช จำไม่ได้ว่าประเทศไหน อนุญาตให้ผู้ชายลาไปช่วยเลี้ยงลูกได้ แต่บ้านเขาจ่ายภาษีแพง ได้ยินว่าฝรั่งเศสจะขึ้นไปถึง ๗๐% แสดงว่าบ้านเขานี่รัฐบาลรับผิดชอบ ชีวิตในส่วนที่เหลือไม่ต้องกังวล เข้าโรงพยาบาลรัฐ เจ็บไข้ได้ป่วยหนักแค่ไหนก็ได้ รัฐจ่ายให้ ถึงเวลามีโบนัสเที่ยวต่างประเทศให้อีกด้วย"
ถาม : ผมเช่าที่วัดแล้วผมจะบอกขายสิทธิ์ต่อ ?
ตอบ : เราเช่ากับใคร ?
ถาม : เช่ากับกรมการศาสนา
ตอบ : ถ้าเช่ากับกรมการศาสนา ขายสิทธิ์ได้..ไม่เป็นไร เพราะแค่เปลี่ยนคนเช่าเท่านั้นเอง เงินค่าเช่าก็คือเงินชำระหนี้สงฆ์ เขาเรียกว่าผาติกรรม
ถาม : ถ้าผมขายเช่าจะจัดการกับเงินส่วนนี้อย่างไร ?
ตอบ : เงินส่วนนี้ก็เท่ากับเป็นสิทธิ์ของคุณ จะเอาไปทำอะไรก็ได้ แค่เปลี่ยนสิทธิ์เท่านั้นเอง เขาซื้อสิทธิ์เรา ไม่ได้ไปขายของสงฆ์อะไรหรอก เราแค่ขายสิทธิ์ในการเช่า เพราะว่าที่ดินวัดทุกอย่าง ถ้าจะจำหน่ายจ่ายโอน ต้องออกโดยพระราชบัญญัติเท่านั้น เขากลัวพระจะขายที่กิน แปลว่าต้องเข้าคณะรัฐมนตรีให้ตกลงกันว่าจะยอมให้ขายหรือเปล่า ยากขนาดนั้น
ถาม : หาสังวาสมิได้คืออะไรครับ ?
ตอบ : แปลว่าคบกับใครเขาไม่ได้ อยู่ร่วมกับใครไม่ได้ คือพ้นสภาพพระไปแล้ว อยู่ร่วมกับพระอื่นไม่ได้
ถาม : ต้องอาบัติปาราชิกขาดความเป็นพระไปแล้ว ยังไม่ลงนรกหรือครับ ? การอวดอุตริมนุสธรรมคือการอวดเรื่องอะไรบ้าง ?
ตอบ : อาบัติปาราชิกนี่แค่ปิดมรรคผล แต่ไม่ได้ปิดสุคติ ถ้ายังรักษาความดีไว้ได้ ยังมีสิทธิ์ไปเป็นเทวดาเป็นพรหม อุตริมนุสธรรม (ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ทั่วไป) บาลีเขาว่า ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล ๕ อย่าง ไม่มีไปอวดว่ามี ท่านปรับขาดความเป็นพระไปเลย บวชใหม่ไม่ได้ ห่มผ้าเหลืองอยู่ก็ไม่ใช่พระ ถึงไม่ยอมสึกก็ไม่ใช่พระ
ถาม : ต้องมีโจทก์เท่านั้นหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มีโจทก์คณะสงฆ์ก็ปรับอาบัติไม่ได้ ก็มีที่ไหนขึ้นศาลแล้วมีแต่จำเลยฝ่ายเดียว ขนาดโจทก์ไม่เอาเรื่อง อัยการยังต้องฟ้องแทนเลย
เรื่องการขาดความเป็นพระนั้นขาดตั้งแต่ทำการอวดแล้ว แต่ถ้าหน้าด้านอยู่ในผ้าเหลือง ไม่มีใครฟ้อง ก็ลอยนวลอยู่ในโลก ไปรับโทษเอาตอนที่ตายไปแล้ว
สติวินัย ท่านเอาไว้สวดประกาศสำหรับพระอรหันต์ ว่าไม่ปรับอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ในด้านอภิสมาจารแก่ท่าน อมูฬหวินัย สำหรับสงฆ์สวดประกาศให้ภิกษุผู้เป็นบ้า เมื่อคืนสติกลับมาไม่ให้ปรับอาบัติที่ท่านทำระหว่างเป็นบ้า ปฏิญญาตกรณะ เป็นการปรับอาบัติตามที่ผู้ผิดยอมรับสารภาพ เยภุยยสิกา เป็นการปรับโทษโดยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ ตัสสปาปิยสิกา เป็นการปรับโทษพวก "จอมแถ" ผิดอย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าผิด ติณวัตถารกวินัย อยู่ลักษณะไกล่เกลี่ยให้ยอมความกัน แต่ว่าสมัยนี้ไม่ค่อยจะยอมกัน
จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าเสียงข้างมากว่าเขาทำผิดธรรมผิดวินัย ประธานต้องชี้แจงว่าผิดตรงไหน แล้วที่ถูกคืออะไร เขาไม่ได้ตัดสินไปเลยทีเดียว จะต้องมีการประกาศว่าท่านนี้ต้องอาบัติอย่างนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศว่าท่านโดนอาบัติตัวนี้ สงฆ์ทั้งหลายมีใครจะคัดค้านบ้าง ? ถ้าเห็นว่าไม่เป็นธรรม สามารถคัดค้านขึ้นได้โดยไม่ต้องเกรงใจ แต่ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าเป็นธรรมแล้ว ก็ให้สาธุการขึ้น การตัดสินของพระท่านรอบคอบมาก
ถาม : แล้วถ้าเสียงออกมาเสมอกัน ประธานต้องทำหน้าที่ชี้ขาดหรือครับ ?
ตอบ : ของพระส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเสียงเสมอกัน เพราะถ้าหากว่าโจทก์ขึ้นมา ต้องความผิดชัดเจน ไม่อย่างนั้นถ้าสอบสวนแล้วจำเลยไม่ผิด โจทก์จะโดนอาบัติสังฆาทิเสส อยู่กรรมกันหน้ามืด..! แล้วส่วนใหญ่ท่านก็รู้อยู่ว่าศีลพระเป็นอย่างไร ในเมื่อรู้อยู่นี่ไม่มีเสียงก้ำกึ่งหรอก
ถาม : แล้วถ้าบังเอิญมีเสียงก้ำกึ่งละครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วผู้เป็นประธานก็สามารถทุบโต๊ะได้ แต่ไม่มีใครทำ เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้นคนเขาจะกล่าวหาได้ว่าไม่ยุติธรรม เขาจะว่าใช้อำนาจไม่เป็นธรรม มีอาบัติห้ามไว้เลยว่า ถ้าสงฆ์ตัดสินโดยธรรมแล้วรื้อฟื้นขึ้นใหม่ คนรื้อฟื้นจะโดนอาบัติ พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้เลย พระทั้งวัดร่วมกันพิจารณา แล้วทั้งหมดจะโง่ขนาดนั้นเลยหรือ ? ถึงบอกว่าจำเป็นต้องใช้สัมมุขาวินัย พร้อมหน้าทั้งโจทก์ ทั้งจำเลย จะได้ไม่ต้องถึงเวลาลับหลังไปพูดกันอีก คุณว่าอย่างนั้น ผมว่าอย่างนี้ เถียงลับหลังกันไม่จบเสียที ต้องว่ากันต่อหน้าเลย จี้ถามกันทีละประเด็น
ถาม : การรื้อฟื้นอธิกรณ์คืออะไรครับ ?
ตอบ : เป็นการที่มีพระเอามาพูดว่าตัดสินไม่เป็นธรรม ต้องตัดสินใหม่ เอามาตำหนิกันภายนอก ก็ต้องเรียกมาในที่ประชุมสงฆ์ แล้วประกาศปรับอาบัติไอ้ปากหมานั่นด้วย เมื่อเห็นว่าไม่ถูกต้อง แล้วทำไมเอ็งไม่คัดค้านในที่ประชุม ? ศีลพระท่านรอบคอบ ก็ท่านประกาศแล้วว่าถ้าไม่เป็นธรรมให้คัดค้านขึ้นในท่ามกลางระหว่างสงฆ์ ไม่ได้บอกให้ไปพูดกันข้างนอก
ถาม : แล้วถ้าท่านเป็นสุขวิปัสสโก เข้าใจผิดว่าเป็นปฏิสัมภิทาญาณ แล้วไม่มีฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ไม่ได้อย่างที่คณะสงฆ์สั่งให้พิสูจน์ ?
ตอบ : ใครบอกไม่มี อธิษฐานฤทธิ์มี บุญฤทธิ์ก็มี เพียงแต่ว่าพิสูจน์ไปจะมีประโยชน์อะไร พระท่านทั้งหลายเหล่านั้นท่านเป็นของแท้อยู่แล้ว ถามหลักธรรม หลักการปฏิบัติอะไร ท่านบอกได้หมดว่าตรงไหนจริง ตรงไหนปลอม
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่งอาตมาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ สภาพจิตออกจากร่างกายไปอรูปพรหม ซวยแล้วตู..! ถ้าเป็นของจริงวันนั้นยาวเลยนะ..ยังดีที่แค่ลอง ๆ ดูเท่านั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครีมหน้าขาวที่เขาใช้กันในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่คิดจะไปเล่นงิ้วไม่ต้องใช้หรอกจ้ะ เพราะหลอกตามากเลย เดินเข้ามาแล้วสงสัยว่าเขาไปทำอะไรมา ? หน้าขาววอกมาเชียว ขาวจริง ๆ แต่ขาวแบบน่าเกลียด ผิดธรรมชาติ ถ้าเป็นสมัยก่อนพวกนางงิ้วพอกหน้าเสร็จแล้ว เขาก็เอาสีอื่นวาดทับได้สบายเลย สมัยนี้ครีมยี่ห้ออะไรที่เห็นทาแล้วขาววอกเลย อาตมาก็ไม่รู้จัก แต่เห็นเขาเดินมา แขนสีน้ำตาลแต่หน้าขาววอก คราวหน้าต้องโปะตัวมาด้วย เพราะขาวต่างกันเกินไปหรือเปล่า ? พอทาหน้าขาววอกแล้วก็เอาผ้าคลุมหัว โผล่ขึ้นไปทางหน้าต่างตอนดึก ๆ..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมคนหนึ่งเขียนจดหมายไปหาที่วัด บอกว่าขอให้ช่วยด้วย เพราะชีวิตมีแต่ปัญหา ติดขัดขลุกขลักทุกอย่าง ภาวนาคาถาเงินล้านก็ไม่ได้ผล เพราะไม่มีสมาธิ แล้วอาตมาจะช่วยได้อย่างไร ? แสดงว่าโยมเขารู้ปัญหาแต่แก้ไม่ได้
วิธีสร้างสมาธิแบบฉุกเฉินที่ง่ายที่สุดคือกลั้นหายใจ พอกลั้นหายใจ ร่างกายรู้ว่าตัวเองจะตายแล้ว จิตจะทรงตัวเอง แต่วิธีนี้ถ้าทำบ่อย ๆ จะเคยชิน ภาวนาตามปกติเมื่อไรก็จะกลั้นหายใจ ในเมื่อเขาเองบอกว่าไม่มีสมาธิก็ต้องใช้วิธีนั้น แต่แหม..ถ้ากลั้นใจว่าคาถาเงินล้านกว่าจะจบ ก็อาจจะขาดใจตายจริง ๆ เหมือนกัน
สมัยนี้คนไม่ค่อยมีสมาธิ เพราะใช้กำลังสมาธิหมดไปกับกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะนั่งเพ่งจอ นั่งเขี่ยไอแพ็ด นั่งเขี่ยไอโฟน ผ่านไปเป็นชั่วโมงไม่รู้ตัวหรอก ใช้กำลังระดับนิโรธสมาบัติเลย พอใช้กำลังสมาธิหมด ถึงเวลาให้ภาวนาก็ฟุ้งซ่าน สู้กิเลสไม่ได้ กิเลสเรียกร้องให้รีบไป เดี๋ยวจะกด Like ไม่ทัน
ตอนนี้ความนิยมใน Facebook ต่ำลง เพราะว่าพอ Add Friend แล้ว ผู้ใหญ่เข้าไปตรวจสอบได้ เด็ก ๆ ก็เลยทิ้งไปเล่นอย่างอื่นแทน ส่วน IG ลูกเล่นมีมากกว่า..ใช่ไหม ? อัพรูปได้ดีกว่า แต่อาตมาไม่เคยเล่น ขี้เกียจเป็นสาวก Apple ยี่ห้อน่าเกลียดมากเลย เต็มลูกก็ไม่เต็ม กัดแหว่งไปคำหนึ่ง เอาของกินเหลือมาเป็นยี่ห้อ ต้องเอาลูกเต็ม ๆ มาสิ..!
ไปนึกถึง "สหายเก่า" ที่แกบอกว่าแกครอบกิเลสเข้าไปตั้งกี่ชั้นไม่รู้กี่ชั้น สุดยอดจริง ๆ เอากิเลสมายัดใส่ถึงในมุ้งเลย นอนอยู่ต้องเขี่ยจอให้จบก่อน ตื่นขึ้นมาเมื่อไรรีบเปิดดู คนที่เปิดเครื่องใช้อิเล็กโทรนิกอยู่ใกล้ ๆ นอนหลับไม่สนิททุกคน เพราะคลื่นจากเครื่องไปรบกวนสมอง เพราะฉะนั้น..ใครอยากหลับสนิท ก่อนนอนให้ปิดเครื่องใช้พวกนี้ให้หมด เขาถึงขนาดแนะนำว่า แม้กระทั่งเครื่องปรับอากาศก็ให้ปิดด้วย แต่บ้านเรายุคนี้สร้างมาเพื่อเครื่องปรับอากาศ ขืนไปปิดก็ร้อนตายชัก"
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ความดี ความงาม อันนี้ต้องถือเป็นความงาม เป็นของที่ใคร ๆ ก็ปรารถนา จึงพากันยึดติดอย่างเต็มอกเต็มใจ ผลักไม่ไหว ไล่ไม่ออก เลยไปไหนไม่ได้ ในส่วนของสิ่งไม่ดีที่เข้ามาในชีวิตของเรา แกะออกง่ายกว่า ตัดได้ง่ายกว่า เพราะเราไม่ชอบ ไม่ปรารถนาอยู่แล้ว ในส่วนนั้นก็เลยกลายเป็นว่า พอถึงเวลาท้ายสุดแล้ว พวกเราก็จะติดดีกัน แต่ว่าก็ต้องติดดีไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย หลังจากทำจนถึงที่สุดแล้ว ก็จะปล่อยดีไปเอง
แม้กระทั่งพระนิพพาน แรก ๆ เราก็เกาะ แต่ถ้าเกาะก็ไปไม่ได้หรอก เราจะไปเชียงใหม่แล้วยืนกอดเสาอยู่ตรงนี้ จะไปได้ไหมเล่า ? ไม่ได้หรอก ต้องปล่อยเสาก่อน เพราะฉะนั้น..แรก ๆ เราก็เกาะความดี เกาะศีล เกาะสมาธิ เกาะปัญญา ท้ายสุดก็วาง คราวนี้ก็ตัวเบา ไม่มีอะไรให้ยึดให้เกาะ ลอยละล่อง คราวนี้ลอยไปไหน แรก ๆ ต้องตั้งเป้าให้ดี ไม่อย่างนั้นพอปล่อยแล้วลอยไปผิดที่ละยุ่งเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ท่านดูเหมือนองค์ใหญ่ แต่จริง ๆ ท่านองค์เล็ก ส่วนหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศเหมือนจะองค์เล็ก แต่จริง ๆ แล้วท่านสูงใหญ่มากเลย"
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "บางคน" ว่า "หลักการดำรงชีวิตง่าย ๆ ก็คือ อะไรที่เป็นความจริงก็ยอมรับไป อะไรที่ไม่จริงก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ แล้วชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ ถ้าใครพยายามปิดบังความจริง ก็ต้องสร้างเหตุขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วจะต้องต่อความยาวสาวความยืดไม่มีที่สิ้นสุด วิ่งชนความจริงให้หงายท้องไปเลย ใครรับได้รับไม่ได้เรื่องของเขา ก็เราเป็นอย่างนี้"
มีโยมเอาหนังสือมาบริจาคที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่ต้องเอามาอีกนะจ๊ะ อาตมาด่าทิดคอมไปครั้งหนึ่งแล้วว่าทำอะไรไม่ได้คิด เฉพาะหนังสืออาจารย์ก็ไม่มีตู้จะใส่อยู่แล้ว เสือกทะลึ่งไปบอกบุญคนอื่นเขาอีก ทิดคอมบอกว่าเดี๋ยวหลวงพ่อก็ซื้อตู้เพิ่มได้ อาตมาบอกว่าแล้วจะเอาไปตั้งไว้ที่ไหน เพราะที่เต็มแล้ว เจ้านั่นก็ประเภททำอะไรไม่เคยเอาหัวแม่ตีนตรองดู..!
ซื้อตู้เพิ่มอาตมาไม่ได้รังเกียจหรอก แต่ไม่มีที่จะตั้ง เฉพาะหนังสือของอาตมายังมีอีกเป็นห้อง ไม่ได้เอาออกมาเพราะที่ไม่พอ ฉะนั้น..ใครจะเอาหนังสือมาบริจาค ไม่ต้องเอามาเลยนะ ไม่มีที่จะเก็บ"
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนดูการ์ตูนของคุณอรุณ วัชระสวัสดิ์ เขาเขียนภาพแผนที่อาเซียน แล้วก็มีรถไฟความเร็วสูงรอบบ้านเราเลย ยกเว้นประเทศไทยที่ยกเอาแผนที่สมัยอยุธยามา
สมัยนี้การสื่อสารเข้าถึงง่าย ข่าวสารต่าง ๆ ไปได้กว้างไกลมาก จึงไม่สามารถจะปิดหูปิดตาชาวบ้านได้เหมือนสมัยก่อน เพราะฉะนั้น..อะไรที่ส่อไปลักษณะ ๒ มาตรฐาน ทำให้คนที่เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมเกิดความคับแค้นใจ ที่แน่ ๆ ก็คือศาลซึ่งเป็นสถาบันยุติธรรม ดันโดดลงไปเล่นด้วย โดยเฉพาะการตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ บรรลัยจริง ๆ เลย
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าหมั่นไส้ใคร แค่ไปปิดหน่วยเลือกตั้งสักหน่วยเดียวก็พอแล้ว เขาไม่ได้นึกว่าใช้งบประมาณชาติไป ๓ - ๔ พันล้าน ไม่ได้นึกถึงคน ๒๐ ล้านคนที่ไปเลือกตั้ง นึกอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรที่จะโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามที่ส่วนใหญ่ได้รับเลือกเข้าไปเป็นส.ส. กลายเป็นช่วยกันสุมฟืนสุมไฟเผาประเทศของเราไปเรื่อย
เขาไม่ได้นึกถึงภาพส่วนรวม คือเขาเอาเฉพาะผลประโยชน์ของพวกเขา เมื่อเห็นแค่ผลประโยชน์ของตัวเอง มุมมองจะไม่กว้างไกลพอ งบประมาณ ๒ ล้านล้านบาทนั้นจำเป็น ถ้าไม่ลงทุนวันนี้ก็เหมือนกับสนามบินหนองงูเห่า หนองงูเห่าเริ่มต้นที่ ๕ พันล้านบาท มาจบที่ ๘ หมื่นกว่าล้านบาท ให้สิงคโปร์ตีกินไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จนกระทั่งสมัยนั้นเขาพูดกันว่า นักการเมืองคนไหนอยากได้เงินสิงคโปร์ ให้พูดว่าจะสร้างสนามบินหนองงูเห่า พูดวันนี้ วันรุ่งขึ้น ลีกวนยูจะมาเยือนประเทศไทย
แปลกมากที่ตรงว่า ทำไมคนที่แย้งส่วนใหญ่มีการศึกษาสูง ๆ ทั้งนั้น เจตนามองไม่เห็นใช่ไหม ? ลาวตอนแรกว่าจะไม่สร้าง ตอนนี้เริ่มลงมือตอกเสาแล้ว สรุปว่ารอบบ้านเราสร้างหมด แต่บ้านเราศาลห้ามสร้าง..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ที่วัดมีเด็กมูเซอ มีเด็กพม่า เด็กกะเหรี่ยง มาขออยู่เพื่อให้อาตมาส่งเรียนหนังสือ คนล่าสุดชื่อไข่หวาน กำลังเข้า ม.๑ กำลังทะมัดทะแมง พวกนี้เวลามาฝากเนื้อฝากตัว ผู้ปกครองเขาจะทำแบบสมัยเก่า คือเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวายตัวอย่างเป็นทางการ ดูแล้วเห็นว่าเป็นแบบธรรมเนียมที่ดี เอาลูกมาฝากให้หลวงพ่อช่วยส่งเรียนหนังสือด้วย นาน ๆ ไปจะอยู่ลักษณะว่า ถ้าพ่อแม่ไม่มีปัญญาส่งเรียนหนังสือให้ไปอยู่วัดท่าขนุน คราวนี้จำนวนเริ่มมากแล้ว
ต้องตั้งใจเรียนและต้องขยัน เพราะว่างานวัดโดยเฉพาะงานครัวมีเยอะ นอกเวลาแม่ชีก็ยังใช้ไปปลูกผักและเลี้ยงหมาทั้งวัน เด็กพวกนี้จะขยันไปโรงเรียน เพราะอยู่ที่วัดจะโดนใช้หัวทิ่มหัวตำ..!"
พระอาจารย์กล่าวถึงคนตั้งครรภ์ว่า "ถ้าท้องยกขึ้น โบราณเขาว่าเป็นลูกชาย ถ้าท้องลาดลงจะเป็นผู้หญิง ฉะนั้น..ไม่ต้องไปทำอัลตร้าซาวน์หรอก โบราณท่านไม่ค่อยพลาด
ส่วนตำราของอาข่าหรืออีก้อ ที่เขาหามิดะ ก็คือ ผู้หญิงที่จะสอนเพศศึกษาให้กับพวกวัยรุ่นในหมู่บ้าน เขาจะเอาเด็กผู้หญิงที่เกิดมาคว่ำหน้าลง เขาบอกว่าผู้หญิงที่คลอดออกมาท่านั้นจะเป็นหมันทุกคน ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เขาเลือกกันมาอย่างนั้น แล้วก็เป็นหมันจริง ๆ ลองสังเกตดู ใครคลอดธรรมชาติ ถ้าลูกผู้หญิงออกมาคว่ำหน้าลง ลองดูว่าจะเป็นหมันไหม ?
เรื่องมิดะ ทางเหนือเขาปฏิเสธว่าไม่มี เพราะว่าเขาอาย ความจริงเป็นเรื่องที่โคตรจะทันสมัยเลย ต้องบอกว่าเป็นการเปิดกว้างมาก เพราะว่าผู้หญิงถ้าท้องจะมีแต่คนแย่งกันสู่ขอ เขาถือว่าลูกเทวดามาเกิด ขณะเดียวกันถ้าแต่งงานผู้หญิงสาวมาจะขาดทุน ถ้าแต่งงานผู้หญิงท้องมาได้แรงงานเพิ่ม ฉะนั้น..ผู้หญิงท้องค่าตัวจะแพงกว่าปกติ
ปรากฏว่างานวิจัยที่พวกฝรั่งไปทำ เขาว่ามีทั้งนั้นแหละ สรุปว่าคุณจรัล มโนเพ็ชร โดนด่าฟรี ขนาดว่าเพลงมิดะเปิดไม่ได้เลย มีใครเก็บเพลงนี้ไว้หรือเปล่า ? บนฟ้ามีเมฆลอย บนดอยมีเมฆบัง มีสาวงามชื่อดังอยู่หลังแดนดงป่า มีกะลาล่าเซอ ฯลฯ ...... กะลาล่าเซอคือลานสาวกอด
จริง ๆ พวกลานสาวกอดต้องบอกว่าเป็นทางออกของสังคมอย่างหนึ่ง ถ้ามีอย่างนั้นคงไม่มีใครเสียเวลาไปฉุดสาว เพราะเลือกได้ตามใจชอบ ถ้าผู้หญิงเขาชอบผู้ชายคนไหน เขาจะหยิบหรือขโมยอะไรบางอย่างของผู้ชายไป ผู้ชายต้องไปขอว่าจะคืนหรือไม่คืน ไปตกลงกันเป็นคืนเป็นวัน..!"
มีโยมมาปรึกษาเรื่องการมีบุตร พระอาจารย์บอกว่า "โชคดีที่สุดในโลกแล้ว ถ้ามีลูกจะสาหัสกว่านี้อีกเยอะ ไม่รู้หรอกว่าไอ้ตัวเล็กกว่าจะเลี้ยงโตนั้นแสบแค่ไหน เลี้ยงโตมาแล้วจะดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้อีก
ถ้าอยากมีลูกจริง ๆ ลงไปแถว ๆ อำเภอธารโต จังหวัดยะลา พวกเงาะซาไกแถวนั้นแม้จะล้าหลังก็จริง แต่เขามีสมุนไพรบางตัว กินแล้วไม่ให้มีลูก และถ้าอยากมีลูก ต้องไปกินสมุนไพรอีกตัวถึงจะมี ลองไปถามเขาดู แถวนั้น ขออย่างที่กินแล้วมีลูกมาลองดู
คนที่เขามีลูก เลี้ยงลูกไปก็แทบจะผูกคอตาย ส่วนคนไม่มีลูกก็ตะเกียกตะกายเพื่อจะให้ได้ผูกคอตาย เป็นเรื่องอะไรที่แปลกดีเหมือนกัน"
มีคนถามเรื่องหลวงปู่เนียม ว่าน่าจะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่โต วัดระฆัง เพราะส่งลูกศิษย์ไปเรียนบาลีที่วัดระฆัง พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนหรือสมัยนี้ก็เหมือนกัน มีสายสัมพันธ์ที่ไหน ถึงเวลาก็ติดต่อไปที่นั่น อย่างวัดปากน้ำไปบูรณปฏิสังขรณ์วัดบางปลาหมอจนสวยเลิศเลอไปเลย ถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วจะไปทำทำไม ?
แถวอำเภอสองพี่น้องก่อนนี้มีหลวงปู่องค์หนึ่ง ที่ชอบนั่งเรือพายไปพายมา ไม่ค่อยอยู่วัด นั่นก็สุดยอดฝีมือเหมือนกัน คนก็คิดว่าท่านเองไม่ค่อยอยู่กับวัดกับวา เตร็ดเตร่ไปเตร็ดเตร่มา ใครจะไปรู้ว่าพระดีขนาดนั้นท่านไปลอยเรืออยู่ในแม่น้ำ"
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมคนหนึ่งบอกว่า มาวัดแล้ว พวกน้า ๆ เตือนว่าอย่าไปวัดบ่อยนัก เดี๋ยวจะโดนพระทำเสน่ห์ สรุปว่าในสายตาเขานี่พระเลวร้ายมากเลย ไม่รู้หรอกว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ทำเสน่ห์
พระพุทธเจ้าสอนให้ทำเสน่ห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ท่านบอกว่ามีทาน คือการให้ปันกับผู้อื่นเขา ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ปิยวาจา พูดดีพูดไพเราะ ใครฟังแล้วก็ยินดีชอบใจ อัตถจริยา ช่วยเหลือในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เขาย่อมจะชอบใจในการช่วยเหลือนั้น สมานัตตตา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาชอบอย่างไรเราทำอย่างนั้น เขาไม่ชอบอย่างไรเราไม่ทำอย่างนั้น
ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้จะเป็นคนมีเสน่ห์มาก จริง ๆ แล้วเขาก็เตือนถูกนะ อย่าไปหาพระบ่อยนักเดี๋ยวจะโดนทำเสน่ห์"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีคนทำบุญมา เขียนหน้าซองว่า “สร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำ ๕๐ ศอก” ให้เขาไปสร้างเองก็แล้วกันนะ ที่สร้างอยู่ไม่ถึงศอกยังเกือบตาย คนเราก็มักจะจับแพะชนแกะกันไปเรื่อย ถ้าสร้าง ๕๐ ศอกนั้นต้องพากันไปภูเขาทองขนกันมา ไม่รู้ว่าเจ้าของเขาจะตีตายหรือเปล่า ? ตอนที่จะสร้างสมเด็จองค์ปฐมองค์ ๔ ศอกที่วัดท่าซุง ช่างคำนวณว่าใช้ทองตันครึ่ง ถ้า ๕๐ ศอกนั่นต้องใช้เท่าไร ?"
ถาม : จะมีพอหรือคะ ?
ตอบ : มีพอ..แต่คนแบกจะไหวไหม ? เพราะตอนนั้นกะว่าเอาทหารไปขน คนหนึ่งสัก ๓๐ กิโลกรัม หมอนพพรต้องบอกยกเลิกโครงการ เพราะคน ๔๐-๕๐ คน ต่างคนต่างถือปืน คุมกันไม่อยู่หรอก หมอเขาว่าอย่างนั้น
ที่ประกาศสร้างพระทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้ว เพราะว่าทองคำ ๔๐ กิโลกรัม ไม่ได้หนักใจ ถ้าโยมบริจาคมาไม่พออาตมาก็ไปขนเอา คนเดียวยังพอแบกไหว แต่ ๕๐ ศอกนั่นไปสร้างเองเถอะ ไม่ไหว..ขนลูกศิษย์ไปครบทุกคนยังไม่รู้ว่าจะแบกมาพอสร้างหรือเปล่า ?
ต้องบอกว่าเป็นวาระของประเทศชาติ เหมือนจะดี ๆ แล้วก็กลายเป็นเละ ไม่อย่างนั้นบรรดาทรัพย์แผ่นดินต่าง ๆ ถ้าขึ้นมาช่วยช่วงนี้จะเหมาะมากเลย แต่ถ้าฝ่ายบริหารไม่ดี ขึ้นมาก็เป็นของคนไม่กี่คน ไม่ใช่ของส่วนรวม ถ้าไปขนเอามา รถไฟความเร็วสูงนี่สร้างได้ทั่วประเทศเลย
ถาม : ถ้าไปสร้างรถไฟ เอาไปลงทุนเลือกตั้งไม่ดีกว่าหรือคะ ?
ตอบ : เขาไม่ได้นึกเลยว่าเลือกตั้งลงทุนไปตั้งเท่าไร สามสี่พันล้านบาท พอไปตัดสินเข้ากลายเป็นมาตรฐาน ครั้งต่อไปถ้าใครหมั่นไส้รัฐบาล แค่ปิดหน่วยเลือกตั้งหน่วยเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ต้องใช้คนมากเลย ก็จะกลายเป็นวุ่นวายไม่รู้จบไปตลอด
เห็นใครเขาวาดการ์ตูน เขาว่า “สมัยนี้ต้องเอียง” แล้วก็วาดหอเอนปีซ่าไว้ ความจริงผู้ที่ออกมาประท้วง น่าจะประท้วงประเด็นเดียวเรื่องศาลให้ชัด ๆ ไปเลย เพราะว่าเอียงชัดเจนในสายตาของคนอื่น
ถาม : จะเสียหลักนิติธรรมครับ ?
ตอบ : ทุกวันนี้ก็เสียหมดอยู่แล้ว เพราะขนาดฝ่าฝืน พรบ.ฉุกเฉิน เขายังยกฟ้องหมด
ถาม : เราไปทำกรรมอะไรไว้คะ ถึงมาเจอแบบนี้ ?
ตอบ : ไปปล้นบ้านตีเมืองเขาจนระส่ำระสายไปหมด ก็เจอเอาคืนบ้าง ของเราเองที่ชัด ๆ เลยก็ ลาว เขมร ญวน เล่นเขาสาหัส ลองไปคุยกับคนลาวดูสิ เขาจะเกิดทัศนคติไม่ดีเหมือนกับที่เรารู้สึกกับพม่านั่นแหละ
ถาม : เราก็ชอบพูดจาดูถูกเขาด้วย ?
ตอบ : เรื่องดูถูกอะไรไม่เท่าไรหรอก ที่หนักก็คือเรื่องที่เราไปปล้นบ้านตีเมืองเขานั่นแหละ ขนาดใครไปหลวงพระบาง (เชียงทอง) มัคคุเทศก์คุยไปคุยมาก็จะชี้ว่า นี่แหละแท่นพระเจ้าแก้ว แต่ตอนนี้คนไทยปล้นไปแล้ว
ฉะนั้น..ไม่ว่าจะลาว เขมร ญวน เราเคยไปเฉ่งเขาเอาไว้เยอะมาก ยิ่งสมัยเจ้าพระยาบดินทร์เดชา ตามตีกันทีเป็น ๑๐ ปี ถึงขนาดในหลวงรัชกาลที่ ๓ ต้องมีพระราชหัตถเลขาไป ขอให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชาพักทัพกลับมาเยี่ยมลูกเมียบ้าง ตอนไปเมียจะคลอด กลับมาลูกอายุ ๑๒ ขวบแล้ว..! คนที่ทุ่มเทให้กับงานได้ขนาดนี้ก็มีนะ ๑๐ กว่าปีไม่ได้เจอหน้าลูกหน้าเมียเลย รบอย่างเดียว สมัยนี้มีแต่ในหลวงทุ่มเทให้กับงาน คนอื่นก็เช้าชามเย็นกาละมัง เช้าชามเย็นชามก็ยังพอสมควรใช่ไหม ? นี่เช้าชาม เย็นกาละมัง เกินสมควรไปหน่อย
คุณสุเทพประกาศเมื่อวาน..ใช่ไหม ? ว่าจะเป็นผู้เสนอนายกฯ คนกลาง และลงนามสนองพระบรมราชโองการเอง แล้วเขาจะเอาอำนาจที่ไหนมาเสนอ ? มีกฎหมายอะไรมารองรับ ? ก็คือบ้านเมืองไร้ขื่อไร้แปดี ๆ นี่เอง
ถาม : ปฏิวัติครับ ?
ตอบ : ปฏิวัติก็ต้องให้หัวหน้าคณะปฏิวัติลงนาม ต้องโทษพวกเรียนนิติศาสตร์อย่างพวกคุณนี่แหละ ตาชั่งเอียงข้างเห็น ๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าไม่ยึดหลักก็หลักลอย พอหลักลอยคนเขาก็เห็นชัดว่าเป็นอย่างไร แล้วนี่พวกเสื้อแดงจะไหวหรือแดดขนาดนี้ ? ยังขำ ๆ ที่เขาบอกว่าไปเกณฑ์ต่างด้าวมา เขาก็เลยต้องงัดบัตรประชาชนให้ดู เรื่องปล่อยข่าวทำลายกันนี่ต้องบอกว่าน่าเกลียดน่าชังมาก คือเรารู้ว่าการโกหกก็ไม่ดีแล้ว แล้วนี่การโกหกยังเป็นการทำลายคนอื่นด้วย
ส่วนใหญ่ที่เกิดเรื่องนั้นเกิดจากนักวิชาการ ถ้าเราดูประวัติศาสตร์ที่ผ่าน ๆ มา ศึกษาให้ลึกสักนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ราชวงศ์ไหน จะมีการหักล้างกันลับ ๆ อยู่ข้างใน เพื่อที่มุ่งหวังยศตำแหน่งที่ตนเองต้องการจะได้ จะมีการทำลายล้างผู้อื่นแบบไม่ต้องคำนึงถึงหลักการ เหตุผล หรือศีลธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้เกิดชัยชนะก็พอ
คราวนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ สูญเสียทรัพยากรที่มีคุณค่าไปโดยไม่สมควรที่จะเสีย อย่างตอนผลัดราชวงศ์แล้วฆ่าบริวารเก่าจนหมด ส่วนใหญ่ข้าราชการทั้งหลายเหล่านั้นกลายเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า มีฝีมือ มีประสบการณ์ในการทำงาน ในการบริหารประเทศ มาในยุคปัจจุบันอย่างเราที่เห็น ๆ ก็บ้านเลขที่ ๑๑๑ ตัดเอาคนมีฝีมือออกไป เหลือแต่มวยชั้นสองชั้นสามมายังอุตส่าห์แพ้เขาอีก เฮ้อ..!
ถาม : ความรู้สึกที่ไม่ชอบว่ามีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าเราเกิดมาทำไม ไม่มีสาระ ?
ตอบ : อันนี้ต้องบอกว่าปัญญาเริ่มเห็นธรรม ในเมื่อปัญญาเริ่มเห็นธรรมก็ต้องเน้นเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่ายิ่งเน้นก็จะยิ่งชัดขึ้น จนกระทั่งท้ายสุดสามารถก้าวเข้าสู่สังขารุเปกขาญาณ ก็คือปล่อยวาง เห็นความเห็นธรรมดา ยอมรับกฎของกรรมได้ก็จะสบาย ไม่ว่าเกิดสภาวะอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าต้องไปต่อต้านดิ้นรน เพราะธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็จะเกิดความสุขขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
ถาม : กลัวว่าจะกลายเป็นตัวไม่พอใจ ?
ตอบ : ดูว่าถ้า รัก โลภ โกรธ หลง ยังเกิดก็เป็นกิเลส ถ้า รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิด พร้อมที่จะจากไปตลอดเวลา อันนั้นเป็นปัญญา
มีโยมลองใส่เสื้อยันต์เกราะเพชรพิชัยสงคราม พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เสื้อไม่สวยที่สุดในโลกหรอก แต่น่าจะขลังที่สุด เพราะด้านหลังมีพระพุทธเจ้า ๓๗ พระองค์เข้าไปแล้ว เขาเอาเคล็ดมาจากโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ธรรมที่เป็นเครื่องตรัสรู้ จะมีอิทธิบาท ๔ สติปัฏฐาน ๔ สัมปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ รวมแล้ว ๓๗ อย่างด้วยกัน แล้วก็มีสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง แล้วก็มีพระพุทธเจ้า ๓๖ พระองค์ล้อมอยู่
คาถา ๓ ตัวก็กำแพงแก้ว ๗ ชั้น พุทธัง สัตตะปการัง ธัมมัง สัตตะปะการัง สังฆัง สัตตะปะการัง ปกติจะไม่กล้ารบกวนสมเด็จองค์ปฐมท่าน แต่งานนี้เป็นรูปท่าน อย่างไรก็คงต้องเอา"
ถาม : พี่ที่อยู่นอร์เวย์ได้รับเชิญไปพูดที่โบสถ์คริสต์ให้คริสตศาสนิกชนฟังเรื่องพุทธศาสนา ได้รับคำถามที่น่าสนใจจากคริสตศาสนิกชน เช่น เขาถามว่าอะไรคือแก่นของพุทธศาสนา ?
ตอบ : แก่นแท้ของพุทธศาสนา คือ ละเว้นความชั่วทั้งปวง (ละกายชั่ว - ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ดื่มสุราเมรัย, ละวาจาชั่ว - ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาที่เพ้อเจ้อไร้ประโยชน์, ละความชั่วทางใจ - คิดโลภ อยากได้จนเกินพอดี (ถ้าไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมจัดเป็นสัมมาอาชีวะ) คิดอาฆาตพยาบาท (โกรธได้ แต่โกรธแล้วให้ลืมเสีย) มีความเห็นผิด (คิดว่าไม่มีศาสนาก็เป็นคนดีได้ ฯลฯ)
ทำแต่ความดีให้ถึงพร้อม (ดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ตรงข้ามกับข้างบน) พยายามละกิเลส (ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ = หลงผิด เห็นความชั่วเป็นความดี) ให้หมดไปจากใจ
ถาม : อะไรคือหลักคำสอนและหลักปฏิบัติของพระพุทธองค์ที่สามารถนำมาใช้ในการดำรงดำรงชีวิตประจำวันได้ ?
ตอบ : ศีล (สำหรับคนเริ่มต้น) สมาธิ (สำหรับคนที่รักษาศีลได้แล้ว) ปัญญา (สำหรับคนที่รักษาศีลและทรงสมาธิได้)
ถาม : อะไรคือ Meditation ? ท่านปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : การสงบนิ่ง ไม่มีการปรุงแต่งให้ รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มปฏิบัติด้วยการกำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น รู้สึกตัวเมื่อไรให้รีบดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจใหม่ แรก ๆ ก็ต้องสู้กันหนัก นานไปเมื่อมีความคล่องตัว ก็จะสามารถสงบได้ในทุกเมื่อ
ถาม : ปรัชญาแห่งศาสนาพุทธและการเจริญสติมีส่วนเหมือนกันหรือสัมพันธ์กันอย่างไร ?
ตอบ : เมื่อมีสติก็จะระลึกได้ว่า เราต้องเว้นจากความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม (สมบูรณ์) เพื่อจะได้มีปัญญาในการชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกองกิเลส
ถาม : เราสามารถนับถือศาสนาพุทธและคริสต์พร้อมกันได้หรือไม่ ?
ตอบ : ศาสนาไหนที่หลักการปฏิบัติไม่ขัดกัน ย่อมสามารถนับถือและปฏิบัติพร้อมกันได้
ถาม : หากให้ท่านจินตนาการว่าพระพุทธเจ้าและพระเยซูคริสต์สนทนากัน ท่านคิดว่าท่านทั้งสองจะสนทนากันเรื่องอะไร ?
ตอบ : เราทั้งสองสอนให้พวกเขาทำความดี ละเว้นความชั่ว หวังว่าพวกเขาคงไม่เอาหลักการเหล่านี้ไปคุยข่มกัน ว่าของใครดีกว่า เพราะจะเป็นการเพิ่มกิเลสแทนที่จะเป็นการลดกิเลส
พระอาจารย์เล่าประวัติครอบครัวให้ฟังว่า "โยมพ่อแต่งงานกับแม่ใหญ่ที่เมืองจีน แต่ตอนอพยพมาเมืองไทย แม่ใหญ่กับพี่สาวคนโตไม่มาด้วย โยมพ่อก็เลยต้องมากับพี่ชายคนโตเพียงสองคน พอมาเมืองไทยก็มาแต่งงานกับโยมแม่ อายุห่างกันมาก ห่างกันเกือบสองรอบ เพราะถ้าพ่ออยู่ปีนี้อายุ ๑๑๓ ปีแล้ว แม่ยัง ๘๐ กว่าปีอยู่เลย
เมื่อทำงานได้เงิน โยมพ่อก็ฝากเงินไปทางโพยก๊วน สมัยก่อนพวกที่มาจากเมืองจีนต้องฝากเงินผ่านโพยก๊วนกลับไป เพราะไม่มีระบบธนาคาร พวกโพยก๊วนนี่ต้องบอกว่าเป็นต้นตำรับธนาคารนั่นแหละ แต่ว่าเป็นธนาคารที่ส่งไปต่างประเทศโดยเฉพาะ เสียค่าธรรมเนียมให้เขานิดหน่อย แล้วเขาส่งให้ถึงทุกที่ สมัยนี้ยังเก่งสู้ไม่ได้เลย
คนสมัยก่อนเขามีความซื่อตรง ประเภทที่เขาสอนกันว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” สมัยเด็ก ๆ เวลารถเมล์วิ่งมา เป็นรถที่มีโครงตัวถังเป็นไม้ ต้องใช้หมุน ๆ หัว กว่าจะสตาร์ทติดเหงื่อท่วมตัว ก็ฝากข้าวฝากของ ฝากเงินฝากทองไปได้ ไม่หาย ฝากไปถึงใครที่บ้านเป็นทางรถเมล์ผ่าน เขาก็ช่วยเอาไปส่งให้ ถ้าเราจะเอาของไปขายในเมือง แล้วตัวเองไม่ว่าง ก็ฝากเขาไปได้ กระเป๋ารถเมล์กับคนขับรถจะไปจัดการให้เสร็จสรรพ เขาก็รับค่าแรงไปนิดหน่อย ดู ๆ แล้วว่าสังคมยุคนั้นดีตรงที่ว่า เพื่อนบ้านรอบข้างช่วยเป็นรั้วแทน ถึงเวลาทำมาหากิน มีอะไรก็แบ่งสรรปันส่วนกัน บ้านโน้นแกงหม้อหนึ่งก็ตักมาแบ่งบ้านนี้ถ้วยหนึ่ง เวลาบ้านนั้นมีอะไรก็เอาไปแบ่งกัน แบ่งปันสู่กันกิน
คราวนี้พอโยมพ่อส่งโพยก๊วนหลายทีก็มีพิรุธให้แม่จับได้ แม่ก็เลยจัดการส่งเอง ถ้าบอกตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตั้งนาน แล้วแม่เขามีนโยบายอย่างที่บอกว่า ส่งลูกให้เรียนทุกคน พวกพี่ชาย พี่สาวส่วนใหญ่จะเรียนภาษาจีน เพราะตอนนั้นสังคมรอบข้างยังใช้ภาษาจีนกันหมด แม้กระทั่งรุ่นอาตมาไปโรงเรียนยังพูดไทยไม่ได้เลย ครูต้องตีบังคับให้พูดไทย พอครูตีอาตมาก็ด่าเป็นภาษาจีน ครูก็ตีหนักขึ้นเพราะครูฟังออก..!
คราวนี้เมื่อลูกเรียนกันมาก ๆ แม่ก็ส่งไม่ไหว รุ่นของพี่ก้องเรียนที่บางลี่บ้านตาบ้านยาย โรงเรียนอุภัยภาดาวิทยาคม มารุ่นของพี่ประสิทธิ์ พี่สุรกานต์เรียนโรงเรียนบ้านยาง (อินทรศักดิ์ศึกษาลัย) ที่กำแพงแสน ต้องขี่รถจักรยานไปกลับวันละ ๒๒ กิโลเมตร รุ่นพี่มุกดากับอาตมาเรียนโรงเรียนการบินกำแพงแสน ต้องขี่รถจักรยานไปกลับวันละ ๑๒ กิโลเมตร"
"อาตมาไม่เคยไปโรงเรียนสาย จะไปแต่เช้าทุกวัน ไปช่วยภารโรงเปิดห้องเรียน คราวนี้ห้องเรียนมีเยอะมาก เพราะมีทั้งโรงเรียนประถมฐานบินกำแพงแสน โรงเรียนมัธยมฐานบินกำแพงแสน พื้นที่มีเยอะก็เลยมีสารพัดห้อง ระดับมัธยมมีห้องภาษาอังกฤษ ห้องวิทยาศาสตร์ ห้องภาษาไทย นักเรียนเดินเรียน ครูอยู่กับที่ พอถึงเวลาก็หิ้วกระเป๋า หิ้วรองเท้าเดินไป วางรองเท้าหน้าห้อง เข้าห้องเรียนไปสวัสดีคุณครูแล้วก็เรียน ถ้าอยู่ห้องคิงก์ ถึงเวลาชั่วโมงภาษาอังกฤษเขาจะมารับไปเข้าแล็บ จะมีลิงกัวโฟนที่เขาเอาไว้ฝึกนายทหารไปต่างประเทศ ก็เลยค่อนข้างจะได้เปรียบที่อื่นเขาในเรื่องภาษา
พอเรียนจบ มศ.๓ อยากจะเรียนต่อ แต่แม่บอกว่าส่งไม่ไหวแล้ว ให้น้องเรียนบ้าง เพื่อน ๆ ก็ชวนไปสมัครเรียนกัน อาตมาไปเป็นเพื่อนเขาเฉย ๆ ตอนนั้นโรงเรียนพาณิชยการบ้านโป่งเปิดเป็นปีแรกพอดี พอเอาใบสุทธิ สมัยก่อนไม่ใช่ รบ. นะ เป็นใบสุทธิ เอาไปให้ เขาเห็นเปอร์เซ็นต์การเรียน เขาบอกว่า “ไม่ต้องสมัคร รับเลย” แค่จ่ายค่าเทอมเท่านั้นพอ กลับมาบอกแม่ว่าค่าเทอม ๑,๒๐๐ บาท แม่บอกไม่มีปัญญาส่งหรอก แพงโคตรเลย..สมัยนั้น
สมัยนั้นการเรียนระดับพาณิชยการหรือว่า ปวช. เริ่มดัง คนนิยมเรียนกันมาก เพราะถือว่าเรียน มศ.๔ มศ.๕ กับมหาวิทยาลัยรวมแล้วเสียเวลาไปตั้ง ๖ ปี ไปเรียนพาณิชย์ ๒ ปีก็ทำงานได้แล้ว เขาก็เลยนิยมเรียนกัน อาตมาไม่มีสิทธิ์เรียน แม่ยืนยันว่าส่งไม่ไหว ฉะนั้น..ไปทำงานเถอะ ก็เลยต้องเข้ากรุงเทพฯ มาหัดงาน
ไม่อยากจะบอกว่า ที่แรกที่มาหัดงานในกรุงเทพฯ ก็คือตรงตลาดพลูนี่แหละ น่าจะประมาณต้นปี ๒๕๑๙ พอออกจากชั้น มศ.๓ ก็มาหัดงาน สมัยก่อนถ้าอยากทำงานเป็น ต้องไปรับใช้จนกระทั่งนายช่างเขายอมถ่ายทอดวิชาให้ พี่ชายคือพวกพี่ก้องเกียรติ พี่ประสิทธิ์ พี่สุรกานต์ ไปหัดงานกันถึงปากช่อง นครราชสีมา ไปฝึกงานซ่อมรถยนต์ แล้วก็มาเปิดอู่ซ่อมรถกัน
อาตมาเองก็มาหัดงาน จำได้ว่าชื่อร้าน จ.แสงยนต์ เป็นตึกแถว ๓ ชั้น ตอนนั้นถือว่าเป็นอาคารที่ใหญ่โตมโหฬารในความรู้สึกของตัวเอง เพราะว่าสมัยนั้นอาคารที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ก็คือตึกโชคชัยสเต็กเฮาส์ ของฟาร์มโชคชัย สูงตั้ง ๒๒ ชั้น อยู่ตรงสุขุมวิท แล้วก็มีอีกที่คือโรงแรมอินทรา ตรงประตูน้ำออกมาทางด้านราชปรารภ ที่สูงกว่าใครในช่วงนั้น เขาคงรื้อทิ้งไปนานแล้ว ตึกสูงที่สุดในประเทศไทยสูงตั้ง ๒๒ ชั้น สมัยนี้ ๒๒ ชั้นเป็นเรื่องปกติทั่วไป คอนโดมีเนียมที่ไหนก็ทำได้"
"หัดงานอยู่ ตื่นตี ๕ นอนตี ๓ ไม่ได้พูดเล่นนะ เรื่องจริง เพราะว่าเขาต้องใช้งานจนคุ้ม ทำงานก็ดึก ๆ ดื่น ๆ งานหนัก แล้วบางทีง่วงมาก ๆ เวลาถอดล้อรถยนต์พวก ๖ ล้อจะโดนทับตาย เพราะว่าสมัยนั้นยังตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ อยู่ พอไปถอดล้อรถก็ต้องใช้กากบาท ไม่มีแม่แรงลมเหมือนสมัยนี้ ถอดน็อตเสร็จถึงเวลางัดล้อออกมา มัวแต่งงขี้ตาอยู่เพราะง่วงจัด จะโดนล้อรถทับตาย..!
ทำงานอยู่หลายปี น่าจะ ๒ ปีกว่าเริ่มเป็นงาน จึงไปสมัครงานที่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม อยู่ท้ายซอยอ่อนนุช เป็นโรงงานผลิตตู้เซฟยี่ห้อโตโยมิสุ ตู้เซฟยี่ห้อนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ? ถ้ามีอยู่อาตมามั่นใจว่าปลดล็อกได้ทุกตู้ ไม่ต้องใช้คาถาอะไรหรอก เพราะจำรหัสได้ จะตั้งรหัสเดียวกันทุกตู้ เวลาออกจากโรงงานจะเป็นรหัสเดียวกันหมด ถึงเวลาก็ให้เจ้าของไปเปลี่ยนรหัสใหม่เอาเอง ถ้าใครไม่เปลี่ยนอาตมาสามารถปลดล็อกได้หมด
ทำอยู่ ๗ เดือนเขาเลื่อนให้เป็นหัวหน้าแผนกสี เข้าไปใหม่ ๆ ค่าแรงวันละ ๒๕ บาท ๖ วันจ่ายที เขาจะจ่ายเป็นสัปดาห์ แล้วก็รอไปเถอะ เถ้าแก่มาจ่ายเงินไม่เป็นเวลาหรอก บางวัน ๔-๕ โมงเย็นก็มาแล้ว บางวัน ๓ ทุ่มกว่ายังไม่มาเลย จนกระทั่งไปโวยวายกับแม่บ้านชื่อพี่เอื้อย ว่าทำไมเถ้าแก่ไม่เห็นใจพวกผมเลยหรือ ? มาจนดึกขนาดนี้ นี่พวกผมยังต้องกลับบ้านอีก เขาบอกว่า “เราก็ต้องเห็นใจเถ้าแก่ด้วย พกเงินมาทีเยอะ ๆ ถ้ามาตรงเวลาถูกเขาดักปล้นเอาได้เหมือนกัน” ก็จริงของเขา แกมาไม่เคยตรงเวลาสักครั้ง มาเช้า มาเย็น มาสาย มาดึก ค่าแรง ๒๕ บาทต่อวัน กินอยู่เอง รับเงินครั้งแรก ๑๕๐ บาทรู้สึกว่าเยอะจริง ๆ
ทำงานไปทำงานมา ๗ เดือน เขาเลื่อนขึ้นให้เป็นหัวหน้าแผนกสี ค่าแรง ๗๐ บาทต่อวัน ก็คิดว่า เออ..ฝีมือของเราเพียงพอที่จะหางานทำที่อื่นแล้ว ก็เลยลาออก เพราะว่าอายุก็น้อย โตเร็วเกินไป คนที่หมั่นไส้ก็มี เลยลาออกไปหางานทำที่อื่น ไปได้งานอู่ซ่อมรถยนต์ กลายเป็นเด็กหัดใหม่อีก การทำสีตู้เซฟ ตู้เซฟเป็นเหลี่ยม ๆ คุณทำอย่างไรก็ได้ ให้เป็นสี่เหลี่ยมเรียบกริบขึ้นมาก็ใช้ได้แล้ว แต่รถยนต์ชิ้นส่วนมีโค้ง ๆ ตายละวา..ต้องมาเริ่มต้นใหม่อีกแล้ว"
"พระครูแสงเขาทำงานมาก่อน พระครูแสงติดนิสัยพี่ชายคนใหญ่มา ทำงานละเอียดมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นคนใจร้อน นิสัยขี้โมโห แต่ถ้าเรื่องของงานศิลป์นี่เขาจะละเอียด พระครูแสงเขาวาดรูปเก่งมาตั้งแต่เด็ก เขาเลียนแบบการ์ตูนได้เหมือนต้นฉบับเลย เขาก็เลยทำงานได้ดีกว่า ทำไปทำมาพี่ประสิทธิ์เปิดอู่ซ่อมสีรถ พี่ก้องเกียรติเปิดอู่ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ พี่สุรกานต์ช่วยงานพี่ก้องเกียรติอยู่ พี่ชูชาติเป็นพี่เขยก็ซ่อมเครื่อง กลายเป็นคนละทิศคนละทางกันหมด
คราวนี้อาตมาถนัดงานสี ออกมาก็เลยกลายเป็นมาช่วยงานพี่ประสิทธิ์ จากที่ตัวเองมีค่าแรงวันละ ๗๐ มาช่วยงานพี่ประสิทธิ์กลับไม่มีค่าแรง เพราะพี่ประสิทธิ์เขาบอกว่า “เอ็งทำ ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวกิจการนี้ข้าก็ยกให้เอ็ง” พี่ประสิทธิ์เขาตั้งใจอยู่อย่างหนึ่งว่าจะบวช งานทุกอย่างก็ทำเพื่อพ่อ เพื่อแม่ เพื่อพี่น้อง ไม่ได้เพื่อตัวเองเลย แกคิดจะบวชอย่างเดียว
ช่วงที่มาทำงานกับพี่ประสิทธิ์นี่แหละ มีโอกาสได้เจอหลวงพ่อฤๅษี เพราะว่าช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๑๙ ปลาย ๆ ปี ได้ยินชื่อเสียงหลวงพ่อฤๅษีมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ ตอนที่โยมพ่อตาย พี่ก้องเกียรติก็เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐานไปให้ ตอนนั้นพิมพ์เป็นครั้งแรกเลย เห็นว่าอาตมาดูแลพ่อมาทั้งวันทั้งคืน ๖ ปีเต็ม ๆ ก็เลยเอาหนังสือกรรมฐานไปทิ้งไว้ให้ บอกว่า “อ่านดู..ถ้าทำได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจที่พ่อตาย”
พออ่านก็เสร็จ..ติดหนับเลย ก็แอบฝึกไปเรื่อย คราวนี้พอความสนใจมากขึ้น ๆ ประกอบกับ ๒ ปีก่อนหน้านั้นครูเขาสอนพื้นฐานการปฏิบัติกรรมฐานให้แล้ว ช่วงนั้นใคร ๆ ก็เลยว่าครูกับลูกศิษย์คู่นี้มันบ้า อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าเขาชวนไปทำบุญกับหลวงพ่อ ใหม่ ๆ ไม่ไปหรอก ฝากเงินไปทำบุญครั้งละ ๑๐ บาท สมัยนั้นยังมีธนบัตรใบละ ๕ บาท ๑๐ บาทอยู่ พอทำไปทำมาก็สงสัยว่าเขาไปอะไรกันทุกเดือน ๆ ก็เลยเกาะท้ายมอเตอร์ไซค์พี่เขาไปด้วย เสร็จแล้วฝึกมโนมยิทธิได้ ท้ายสุดไม่ต้องให้เขาชวนหรอก ไปเองเลย"
"ทำงานไปจนอายุ ๒๑ ปี มีหมายเกณฑ์มา ให้ไปคัดเลือกทหาร ช่วงนั้นเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อให้ตัดสินใจ เพราะว่าพี่ประสิทธิ์หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นคนรับช่วงกิจการ แต่ว่าพระครูแสงเขาไปทำอยู่ก่อนแล้วตั้ง ๓ ปี พระครูแสงเรียนจบ ป.๗ ก็เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเลย ไม่เรียนมัธยม ส่วนอาตมายังตื๊อเรียนมัธยมมาอีก ๓ ปี หาเงินเรียนเอง คราวนี้ด้วยความที่พระครูแสงมาก่อน แกก็ทำงานแบบไม่มีเงินเดือนเหมือนกัน โดยมีความหวังว่า ท้ายสุดกิจการนี้ก็เป็นของแกเหมือนกัน ก็มานึกแบบเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า ถ้าเรามาก่อน ๓ ปี เขาบอกว่ากิจการนี้จะยกให้เรา แล้วอยู่ ๆ พอพี่ชายมาเขาบอกจะยกให้คนอื่น ถึงเป็นพี่เราก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน จึงอยู่ในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินใจ
พอมีหมายเกณฑ์มาเลยตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า ตกลงเราไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาแย่งสมบัติกัน ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปเป็นทหาร แต่คราวนี้แม่สิ แม่ไม่เคยยอมให้ลูกเป็นทหารสักคน ไปวิ่งเต้นเสียเงินเสียทองให้กับทางอำเภอมาทุกคน ก็ห้ามแม่ไว้ว่าอย่าไปเสียเงิน แม่ก็เลยเอาแบบว่า มีหลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนศักดิ์สิทธิ์พาไปหมด ไปบนไม่ให้ลูกเป็นทหาร
อาตมาไปถึงก็จุดธูปจุดเทียนกราบงาม ๓ ครั้ง บอกว่า “หลวงพ่อครับ อยู่เฉย ๆ นะครับ ผมอยากเป็น” ไม่อยากให้หลวงพ่อมายุ่งกับอนาคตของตัวเอง ว่าอย่างนั้น พอถึงวันคัดเลือกก็ไปสมัคร เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ออกมาบอกว่า “แม่..เรียบร้อยแล้วครับ ได้ใบแดง” แม่บอกว่า “เอ็งไม่ต้องมาโกหก ปีที่แล้วเขาจับกันตอนบ่าย เอ็งไปสมัครใช่ไหม ?” แม่พาลูกมาหลายคน..แกรู้ จากอำเภอมาถึงบ้าน แม่แกด่าจากอำเภอยันมาถึงบ้านเลย..!"
"วันแรกเขาพามาแยกตัวกันที่มณฑลทหารบกที่กรุงเทพฯ นี่แหละ ตรงกองพลที่ ๑ เขาแจ้งว่าวุฒิฯ มัธยม อายุยังไม่เกิน ๒๓ ปี สามารถเรียนต่อนักเรียนนายสิบ ได้จะเรียนไหม ? ก็เกิดแรงบันดาลใจว่า เราอยากเรียนมานานแล้ว สมัยนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าการเรียนทหารไม่เสียเงินเสียทอง เพราะไม่เหมือนกับสมัยหลัง ๆ ที่ทางโรงเรียนจะมีคนเข้าไปแนะแนวการศึกษาให้ สมัยนั้นต้องตรัสรู้เอง ก็เลยไม่รู้ ถ้ารู้นี่โดดเข้าไปเรียนนานแล้ว
พอเข้าไปแล้วถึงจะรู้ว่าไม่ต้องเสียอะไรเลย เสื้อผ้า ที่อยู่ที่กินอะไรเขาให้หมด แล้วมีเบี้ยเลี้ยงให้อีกต่างหาก พอมีให้เรียนก็เลยไปเรียน ผลการเรียนก็ดันออกมาเกินชาวบ้านชาวเมืองเขาอีก เพราะฉะนั้น..ถึงเพื่อนฝูงเขาจะเหม็นขี้หน้าขนาดไหน เขาก็ต้องพึ่งพาอาศัย เพราะเขาต้องให้ช่วยเขาในเรื่องเรียน
จนกระทั่งไปถึงจุดอิ่มตัวตรงที่ว่า ทำงานตรงไปตรงมาแล้วไปขวางทางเพื่อน เขาก็เลยฟ้องร้อง ตอนนั้นอาตมามีหน้าที่คุมพวกของหนีภาษีไปส่งคลัง ปกติแล้วจะหายหกตกหล่นเข้ากระเป๋าคนอื่นเป็นประจำ คราวนี้อาตมาไปลงบัญชีทุกชิ้น มีการเซ็นรับเซ็นส่ง เบี้ยวไม่ได้ กลายเป็นไปเกะกะทางเขา เขาก็เลยฟ้องเอา
ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวว่าโดน มารู้เอาตอนที่จ่ากองพันเขามากระซิบถามว่า “เอ็งไปทำอะไรผิดหรือเปล่า ? เจ้านายเขาสั่งตรวจสอบบัญชีทุกธนาคาร แล้วก็ไปรษณีย์ด้วย ว่ามีการฝากเงิน โอนเงิน ส่งเงินกลับบ้านหรือเปล่า ?” อาตมาก็สังหรณ์ใจว่าเรื่องอะไร อยู่ ๆ เจ้านายมาตรวจสอบ ตอนนั้นก็ยังซื่อเกินไป ไม่รู้หรอกว่าโดนเพื่อนเล่นเข้าให้แล้ว"
"ในที่สุดก็มีหนังสือจากกองพันแจ้งมาว่า ให้เข้าไปที่กองพลเพื่อรับการสอบสวน พอได้ยินเท่านั้นแหละ เกิดความรู้สึกว่า “ในเมื่อกูทำดีไม่ได้ดี แล้วจะทำไปทำไม ?” ก็เลยพิมพ์ใบลายัดใส่อกเสื้อไปด้วย พอไปให้เขาสอบสวนก็ให้การตามความเป็นจริง ปรากฏว่าคณะกรรมการตัดสินว่าไม่มีความผิด อาตมาก็วางใบลาโป้ง..! ลงต่อหน้าคณะกรรมการเลย บอกว่าผมขอลาออกครับ บรรดาเจ้านายเขาก็ตกอกตกใจกัน
ส่วนใหญ่แล้วทหารไม่มีใครกล้าลาออกจากงาน เพราะเขาทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่อาตมาทำอะไรก็ได้ เขาก็ยังบอกว่า “ถึงออกไปแล้วมาทำงานให้กูแล้วกัน กินเงินเดือนกู” อาตมาก็บอกว่า “ไม่เอาหรอกครับ คนอย่างผมถ้าไปแล้วไปเลย” สรุปว่าเพื่อนเขาอ่านขาด แต่อาตมาไม่เข้าใจเพื่อนเอง เพื่อนเขารู้ว่าถ้ามัวหมองขึ้นมาลักษณะอย่างนี้อาตมาจะไม่อยู่ ต้องถอยให้เขาอยู่ดี แต่อาตมาเองไม่รู้จักเพื่อน ว่าเพื่อนเราถึงเวลาแล้วไปขัดผลประโยชน์ เขาก็มาเหยียบกันอย่างนี้ก็ได้..!
เพราะว่าถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีความผิด แต่ประวัติติดตัวแดงไปแล้ว ว่าเคยโดนสอบสวนข้อหาทุจริต พอถึงเวลาถ้าเป็นคู่แข่งใครเพื่อตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เขายกตรงนี้ขึ้นมาตีนี่เสร็จเลย ก็เลยตัดสินใจออก มาหางานทำใหม่"
"ช่วงที่ไปสนุกสนานกับชีวิตทหาร พี่ประสิทธิ์ที่ตั้งใจว่าจะบวช กลับไปแต่งงาน เนื่องจากว่าพี่เขาไปถามหลวงพ่อฤๅษีกลางบ้านสายลมต่อหน้าคนเป็นร้อย ๆ เลย ด้วยความเคยชิน นิสัยไม่กลัวใคร เสียงดังฟังชัดอยู่แล้ว ไปถึงก็ถามว่า “หลวงพ่อครับ ถ้าผมบวชแล้วจะได้เป็นพระอรหันต์ไหมครับ ?” หลวงพ่อท่านก็ตอบกลับมาเสียงดังฟังชัดเหมือนกันว่า “โคตรแม่มึงทำเองแล้วกูจะไปบอกได้อย่างไรเล่า..!” เพราะถ้าขยันก็ได้ ถ้าขี้เกียจก็อด
แต่คราวนี้พี่ประสิทธิ์น่าจะวาระกรรมมาถึง เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเวลาท่านทดสอบลูกศิษย์นี่ท่านใส่หนัก ๆ ชนิดไม่เลี้ยงเลย ประเภทที่ว่าถ้าผ่านได้ก็ไปเลย ถ้าผ่านไม่ได้ก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้นแหละ พี่ประสิทธิ์แกไปตีความว่าบวชไปก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น..แต่งงานดีกว่า น่าจะคิดว่าไปเป็นพระอรหันต์ของลูกดีกว่า อะไรอย่างนั้น
เรื่องการแต่งงานอาตมาต้องชมพี่สะใภ้ พี่สะใภ้เขาครอบพี่ชายอยู่หมัดเลย จนกระทั่งทุกคนในบ้านบอกว่า "ตกลงนี่เอ็งแต่งออกหรือแต่งเข้า ?" เพราะว่าจากที่ทำทุกอย่างเพื่อพี่ เพื่อน้อง เพื่อพ่อแม่ กลายเป็นทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวข้างโน้น ต้องบอกว่าพี่สะใภ้คนนี้เก่ง ขนาดพี่เขาถูกรางวัลที่หนึ่งพวกเราก็ไม่มีใครรู้ พี่สะใภ้แอบเอาเงินซื้อที่ไว้ ๒๐ กว่าไร่ที่หนองจอก พวกเรามารู้เอาตอนที่แกจะตายแล้ว ก็ต้องชมว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว แต่ว่าลูกผู้หญิงถ้าทำลักษณะอย่างนั้น ทางบ้านผู้ชายจะไม่มีใครคบด้วยแน่ ๆ"
" ฝ่ายพี่ชายที่แต่งงานมีพี่ชายใหญ่แต่งกับพี่บุญฉัตร พี่วิเชียรแต่งกับพี่หงส์ ต้องบอกว่าเป็นพี่สะใภ้ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา พี่ก้องแต่งกับพี่หอม พี่ประสิทธิ์แต่งกับพี่เตียง พี่สุรกานต์คบหาสมาคมกับแฟนมาเป็น ๑๐ ปี ถึงขนาดประเภทส่งเสียให้ร่ำเรียน แต่ปรากฏว่าพอเขาไปเจอที่ถูกใจกว่าเขาก็ไปเลย ตกลงพี่สุรกานต์เขาเลยกลายเป็นโสด
ทางด้านฝ่ายพี่สาวมีพี่อรทัยแต่งกับพี่ไพบูลย์ ก็ไปเป็นเจ้าแม่ทุ่งคอก พี่อรทัยเขาขยัน ทำงานเก็บเงิน ได้เงินมาซื้อห้อง ซื้อตึก ซื้อจนกระทั่งตลาดทุ่งคอกเกือบทั้งตลาดเป็นของเขาหมด พอมีลูกก็ยกให้ลูกคนละหลัง ยกให้หลานคนละหลัง ลูกหลานแต่ละคนทำกิจการ กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ต้องบอกว่าพี่ไพบูลย์แกทำบุญมาโคตรจะดีเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย วัน ๆ ก็เดินแกว่ง กินกาแฟ เล่นหมากรุก กิจการทุกอย่างพี่อรทัยทำหมด พี่เขยคนนี้สุดยอดจริง ๆ ไม่เคยลำบากเลย
พี่พนารัตน์แต่งกับพี่อุดม ต้องบอกว่าพี่พนารัตน์เป็นที่พึ่งของครอบครัวอยู่หลายปี ก่อนหน้านั้นทางพี่อรทัยกับพี่พนารัตน์จะมีเพื่อนซี้อยู่ก็คือพี่อ๋ากับพี่แมว ทั้งสี่สาวนี่ดังระเบิดเถิดเทิง เหมือนอย่างกับว่าเป็นดอกไม้งามอยู่กลางป่า มีแต่คนกล่าวขวัญถึง ขึ้นบ้านกันหัวกระไดไม่แห้ง แล้วก็ประเภทหนังเหนียวจริง ๆ ไม่ยอมแต่งกับใครง่าย ๆ ช่างเลือก ท้ายสุดก็แต่งงานแต่งการไปทุกคน
ถ้าจำไม่ผิด พี่อ๋าไปแต่งกับเจ้าของโรงสีที่นนทบุรี พี่แมวแต่งกับเสมียนโรงแรมวันชัย ที่ปากช่อง ใกล้ทางขึ้นเขาใหญ่ แต่ว่าไม่ได้พึ่งกิจการสามีเท่าไรหรอก เพราะว่างานเสมียนสมัยก่อนก็อย่างว่าแหละ ดูแลกิจการเหมือนกับเป็นของตัวเอง ทุ่มเท แต่ได้เงินเดือนหน่อยเดียว พี่แมวเขามาเปิดร้านขายอาหารชื่อพรมงคลอยู่ที่ตลาดปากช่อง พอดีช่วงนั้นการออกอีสานมีอเมริกาตัดถนนให้ ปากช่องกลายเป็นชุมทางใหญ่ โอ้โฮ..รวยไม่รู้เรื่องเลย เพราะว่ารถทัวร์พอถึงเวลาก็มาจอง ขนาดทำอาหารไม่ไหว จ้างลูกจ้างเป็น ๑๐ คนก็สู้ไม่ไหว ต้องบอกว่าแต่ละคนเขาก็มีทางชีวิตของเขาเอง
พี่อรวรรณแต่งกับพี่ชาติ พี่ชาติจริง ๆ ก็ทำงานอยู่กับพี่ก้องนั่นแหละ ทำไปทำมาก็เลยคว้าเอาพี่อรวรรณไปด้วย ประเภทที่ว่าทำงานอยู่ด้วยกันมานาน จากลูกน้องก็มาเป็นน้องเขยแล้วกัน"
"คนสุดท้ายในบ้านที่แต่งงานก็คือพี่มุกดา คงไม่มีใครรู้ว่าพี่มุกดาก็มีครอบครัวเหมือนกัน พอแต่งงานก็ไปดูแลบริหารกิจการงานให้เขาเจริญรุ่งเรือง แต่พี่มุกดาตกต้นไม้ พิการตั้งแต่เด็กก็เลยไม่มีลูก ทางด้านคุณสามีเขาเป็นคนจีน ครอบครัวเขาเลยตั้งข้อรังเกียจ เขาก็เลยไปหาเมียน้อยมายัดให้ลูกชาย โดยที่พี่มุกดาได้แต่นั่งตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้
ท้ายสุดพี่มุกดาคงเห็นว่า ทำอะไรให้เขาทุกอย่างแล้วยังทำกันอย่างนี้อีก ก็อย่าไปอยู่กับเขาเลย จึงออกมาเฉย ๆ เขามาตามง้ออยู่เป็นปีเหมือนกัน แต่ว่าพี่เขาฉลาด เขาไม่กลับไปหรอก ด้วยความที่พี่มุกดาแกบริหารงานทุกอย่าง พอออกมาแล้วสะใภ้คนใหม่เขาทำงานไม่เป็น แล้วพี่เขยก็กำลังเล่นการเมือง คือสมัคร สก. ก็เลยไม่ได้ไปดูแล ให้พี่สะใภ้คนใหม่บริหารงาน เจ๊งเรียบร้อย เรื่องของงาน ถ้าไม่ได้ทุ่มเทดูแลใกล้ชิด แล้วไว้วางใจให้คนอื่นทำแทน ถ้าได้คนที่ไว้วางใจได้ก็ดี ถ้าไว้วางใจไม่ได้นี่มีโอกาสเจ๊งสูงมาก
สรุปว่าที่บ้านตั้งแต่อาตมาลงไปไม่มีใครแต่งเลย เพราะว่าแต่ละคนเขาเหมือนกับรอให้ไปตามลำดับ อาตมาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องรอ แต่งได้แต่งไปเลย จนกระทั่งท้ายสุดน้องสาวคนเล็กก็คือนิด มาแต่งเอาตอน ๔๐ กว่า เพราะว่าเห็นใจว่าผู้พันจี๊ดตามมาตั้งแต่สมัยเพิ่งจะติดนายร้อยใหม่ ๆ คิดดูว่าร้อยตรี ร้อยโท ร้อยเอก พันตรี ผ่านไปกี่ปี ? ในเมื่อผู้ชายเขาอึดขนาดนั้นจึงยอมแต่งด้วย
ตอนที่ขึ้นไปแต่งงาน เขากล่าวอะไรกันบนเวทียังขำ ๆ เขาบอกว่าเพื่อนฝูงอย่าหาว่าเขามีรสนิยมวิปริตนะครับ เขาก็นิยมพวกสูงยาวขาวตึงเหมือนกัน แต่กลายเป็นสูงอายุ สายตายาว ผมขาว หูตึง ไปแล้ว รอนานไปหน่อย เขารอได้นานขนาดนั้นจริง ๆ ต้องบอกว่าอึดใช้ได้เลย สมัยนี้นะหรือ ? ประเภทส่งไลน์ไป ๓ ครั้งไม่ตอบก็เลิกกัน เอาแค่นี้ก่อน..เดี๋ยวนินทาชาวบ้านเขาเยอะ"
ถาม : นี่ก็ครบพี่น้องทุกคนแล้วครับ ?
ตอบ : หลานยังมีอีกเยอะ หลาน ๓๐ กว่าคน เหลนอีกเป็น ๑๐ คน และยังมีตามมาอีกเรื่อย ๆ เลยจากหลานไปนี่จำได้ไม่กี่คน
มีเรื่องตลกว่าพ่อกับแม่ส่งเงินไปเมืองจีนเท่าไร ๆ เขาก็บอกว่าไม่พอ จึงต้องถามว่าทำไม ? ท้ายสุดทางด้านพี่สาวใหญ่ทางโน้นบอกว่าจะเอาไปซื้อจักรยาน คือในสมัยนั้นจักรยานเป็นความใฝ่ฝัน เหมือนคนไทยอยากขี่รถเบนซ์ อย่าลืมว่าประเทศเขาเคยครองตำแหน่งประเทศที่มีจักรยานมากที่สุดในโลก เพิ่งจะมาเห่อรถยนต์กันไม่กี่ปีนี่เอง โตโยต้าวีออสโรงงานใหญ่ที่สุด กำลังผลิตเต็มที่ปีละ ๓๐๐ คัน คนจีนจองปีหนึ่งแสนกว่าคัน ผลิตให้ทันไหมล่ะ ?
ในช่วงเด็ก ๆ มีอาเจ็กอยู่คนหนึ่ง เรียกฮุ้นเจ็ก ชื่อแกแปลว่าเมฆ อาเจ็กคนนี้เป็นบัณฑิตแล้วหนีมา เพราะว่าสมัยนั้นเมืองจีนเขากวาดล้างปัญญาชน แกมาแล้วต้องบอกว่าแกคิดผิด แกคิดจะมายึดอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ แกมาก็มาอาศัยอยู่ในกลุ่มคนจีน เพราะว่าสมัยนั้นเขาจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ อย่างคนจีนก็จะรวมกลุ่มกันแถวนครปฐม แถวท่ามะกา หรือไม่ก็แถวสมุทรสาคร ท่าจีนแถวนั้น
ก็ปรากฏว่าอาเจ็กตระเวนไปหางานสอนหนังสือไม่ได้ เพราะว่าทุกคนที่มาล้วนแล้วแต่มาเริ่มต้นชีวิตกันทั้งนั้น ต้องทุ่มเทให้กับงาน พอมีลูกมีหลานก็ใช้เป็นแรงงานในบ้านหมด ไม่มีโอกาสไปเรียนหนังสือ จากบุคคลที่ต้องบอกว่าเหมือนจบปริญญาสมัยก่อน ซึ่งน่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุด กลายเป็นคนที่ไม่มีความสำเร็จในชีวิตอะไรเลย เพราะผิดที่ผิดทาง พวกที่มาเป็นกรรมกรตั้งหลักได้ก่อน แต่บัณฑิตไม่มีงานทำ แกก็เที่ยวไปอยู่บ้านโน้นนิด บ้านนี้หน่อย อาศัยเขากินไปวัน ๆ ท้ายสุดมาอาศัยอยู่ที่บ้านอาตมานานที่สุด
สมัยนั้นโยมพ่อไปหักร้างถางพงได้ที่มา ๒๐๐ ไร่ กลายเป็นที่พักชั่วคราวของพวกที่มาจากเมืองจีน พอถึงเวลาใครยังหาญาติพี่น้องไม่เจอ ยังไม่มีที่ทำกินของตัวเองก็มาอยู่มากิน มาทำงานที่บ้านก่อน ก็จะมีอาเจ็กคนนี้กับอาเจ๊อีกคนหนึ่งที่มาอยู่กันทั้งครอบครัวเลย จนกระทั่งจำได้ว่าเรียนหนังสือ ป.๓ หรือ ป.๔ แล้ว ครอบครัวเจ๊น่ำฮวยแกถึงลงหลักปักฐานได้ จึงย้ายไปอยู่ในที่ของตัวเอง
สมัยก่อนเรื่องการอาศัยกันอยู่ เขาถือว่าเพิ่มตะเกียบคู่เดียว ฟังดูแปลก ๆ ไหม ? ก็เพิ่มตะเกียบคู่เดียว ถึงเวลาก็เพิ่มอาหารให้เขาหน่อยแค่นั้นเอง เพราะอยู่กินกับกงสี แล้วพ่อทำไร่ยาสูบ ลูกน้องตั้ง ๓๐-๔๐ คน ก็แค่เพิ่มข้าวมาชามสองชามไม่ได้มากมายอะไร พึ่งพาอาศัยกัน แต่ว่าเห็นอาเจ็กแกเครียดเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่อาตมาเป็นเด็กยังรู้ รู้เพราะว่าตัวอาเจ็กความรู้สูงแต่หางานทำไม่ได้ ต้องมาอาศัยชนชั้นต่ำที่ตัวเองเคยดูถูกว่าเป็นคนละชั้นกันกิน
ที่รู้ว่าแกเครียดเพราะแกต้องเมาทุกวัน ไม่เมาแล้วจะคิดมาก ด้วยความที่แกเมานี่แหละ วันนั้นก็เลยกลายเป็นเรื่องตลก เพราะว่าโยมพ่อบอกให้ไปซื้อน้ำมันก๊าดมา อาตมาคว้าขวดเหล้าจอนนี่วอล์กเกอร์ได้ก็วิ่งไปซื้อมา พอกลับมาวางไว้ยังไม่ทันจะเติมตะเกียงเลย อาเจ็กแกเดินเซเข้ามาถึงแกก็กรอกอั้ก ๆ เข้าไปเลย แล้วสักพักแกก็ เอ๊ะ..ไม่ใช่เหล้านี่หว่า กินเข้าไปตั้งเยอะแล้วนะ
ดีตรงที่ว่าแกเคยเป็นโรคพยาธิ ถ่ายออกมาหมดเลย พยาธิก็คงไม่คิดว่ามีใครกินยายี่ห้อนี้ถ่ายพยาธิ ยี่ห้อน้ำมันก๊าด ไม่เป็นอะไรนะ..ถ่ายออกมาเฉย ๆ ในสมัยนั้นที่เห็นก็เห็นอาเจ็กคนนี้แหละ ฮุ้นเจ็กเรียนมาสูงแต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นบัณฑิตแต่สู้กรรมกรไม่ได้ แล้วก็มาเห็นบรรดาเพื่อนฝูงที่เตี่ยช่วยเอาไว้ กลายเป็นว่าสนองคุณด้วยโทษ บุกรุกพื้นที่บ้าง ยึดพื้นที่บ้างอะไรให้ยุ่งไปหมด เพราะว่าเตี่ยไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ว่ากฎหมายไทยมีการครอบครองโดยปรปักษ์ได้ ให้เขาอยู่เป็น ๑๐ ปี เขายึดที่เป็นของเขาเองหมดเลย แล้วเตี่ยก็ไม่อยากมีเรื่อง คนจีนเขาถือว่าขึ้นโรงขึ้นศาลกินขี้หมาดีกว่า จึงเสียพื้นที่ให้เขาไปเยอะแยะ
ถึงได้เห็นว่าแม้ว่าเราจะตั้งใจช่วยเขาก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะสำนึกบุญคุณ พอถึงเวลาก็ตอบแทนด้วยความแสบชนิดที่เราคิดไม่ถึง พอดีโยมพ่อทำงานหนักมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ พออายุมากก็เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาตัวเอง เงินทองต้องรักษาตัวเองด้วย ส่งให้ทางเมืองจีนด้วย ลูก ๑๐ กว่าคนแม่ก็ตั้งใจให้เรียน ก็เลยกลายเป็นชักหน้าไม่ถึงหลัง พอถึงเวลาแม่ไปเที่ยวหยิบยืมเขา คนที่เราเคยช่วยเขามากลับไม่ช่วยเลย เป็นเรื่องแปลกมาก เหมือนอย่างกับต่างคนต่างมีข้ออ้าง เขาไม่ได้นึกถึงตอนที่เขาลำบากแล้วมาให้เราช่วยบ้างเลย
อาประเสริฐเป็นคนที่พ่อช่วยเขาน้อยที่สุด แต่เขาช่วยกลับมาเยอะที่สุด ก็อย่างว่านั่นแหละ ทางแม่ถือเรื่องศักดิ์ศรี ติดหนี้ใครก็ต้องใช้คืนเขา พยายามที่จะรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุด จำได้ว่าหลังงานศพของพ่อทุกคนเหลือแต่ตัว พี่ชายมีตึกสามชั้นอยู่ตลาดพลูต้องขายตึก อีกคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์วิบากอย่างดีก็ต้องขาย เอาเงินมาทำกงเต๊กให้พ่อ ๗ วัน ๗ คืน
ถ้าจำไม่ผิดกงเต๊กตอนนั้นคืนหนึ่งตั้งเจ็ดแปดพัน แล้วทองบาทละ ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น ถามว่ามีความจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องทำ ? เพราะว่าลำบากทุกคนนะ..ไม่ได้ลำบากคนเดียว พี่ ๆ บอกว่าถ้าไม่ทำเดี๋ยวคนอื่นดูถูกเอา อาตมาได้ยินแล้วเซ็ง ทำอย่างกับว่าทำไปแล้วเขาจะไม่ดูถูกอย่างนั้นแหละ กลายเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และทำให้ทุกคนต้องขยันโดยอัตโนมัติ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทำกันเหมือนไอ้บ้า อย่างที่บอกว่านอนตี ๓ ตื่นตี ๕ ประมาณ ๔-๕ ปีกว่าจะกลับมาตั้งหลักได้ตามเดิม แล้วพี่ ๆ ก็ทยอยกันแต่งงาน
อาตมาเองตอนดูแลพ่อ เหตุผลของพี่ ๆ ก็คือ “เอ็งเป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน” เหตุผลตอนที่ดูแลแม่ก็คือ “เอ็งเป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน” อาตมาโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ตอนดูแลพ่อยังเรียนหนังสืออยู่นี่ เป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน พอมาดูแลแม่ก็เป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่แต่งงาน เป็นอะไรที่ตลกแต่หัวเราะไม่ออก
จำได้ว่าตอนดูแลพ่อ พอถึงเวลามีหนังขายยา มีลิเก มีงานวัด ถึงอยากจะไปก็ไม่ได้ไปหรอก คนอื่นเขาไปกันหมด อาตมาต้องดูแลพ่อ แล้วพ่อก็เรียกทั้งคืน เพราะแกเป็นโรคอะไรไม่รู้ กึ่ง ๆ อัมพฤกษ์ พอนอนไปสัก ๕-๑๐ นาทีเหมือนกับแข็งเกร็งไปทั้งตัว จะปวดเมื่อยทรมานมาก ต้องเรียกให้นวดทั้งคืน คราวนี้เด็กที่เรียนระหว่าง ป.๕ ถึง ม.ศ.๓ โดนปลุกทั้งคืนก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น..!
ไปโรงเรียนต้องไปขออนุญาตครูนอนหลับในห้อง ถึงเวลาก็ยกมือ “ครูครับ..ไม่ไหวแล้วครับ ผมขออนุญาตนอนครับ” คุณครูก็รู้ สมัยก่อนนี่ครูเขารู้จักลูกศิษย์ลึกซึ้งจริง ๆ แต่ละคนพื้นฐานครอบครัวเป็นอย่างไรท่านรู้หมด ครูบอกว่า “นอนได้..แต่วิชานี้ห้ามตกนะ” ด้วยความที่กลัวครู เกรงครูด้วย เลยกลายเป็นว่าถึงหลับก็ต้องพยายามฟัง เพราะถ้าไม่ฟังก็จะไม่รู้เรื่อง เลยกลายเป็นฝึกกรรมฐานได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ประเภทหลับแล้วหูต้องได้ยิน ฝึกอยู่ตั้งหลายปี เล่นจนคล่องเลย
ฉะนั้น..เวลาอาตมาหลับอยู่นี่ห้ามนินทานะ ได้ยินชัดกว่าตอนตื่นอีก ต้องฝึกนอนโดยให้ได้ยินอย่างหนึ่ง แล้วก็ได้พื้นฐานการเรียนกรรมฐานจากท่านอาจารย์ณรงค์เดช บุญมี อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์ณรงค์เดช บุญมีจะสอนอยู่ ๒ แนว ก็คือตามแนวหลวงพ่อวัดปากน้ำก็คือ สัมมาอะระหัง ผ่าน ๑๘ กายให้ได้ และตามแบบของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม สอนให้ภาวนาคาถานั่นคาถานี่ไปเรื่อย แล้วค่อยเลี้ยวกลับมาพิจารณาใหม่ แต่ตอนช่วงนั้นไม่มีโอกาสกลับมาพิจารณา เพราะมัวแต่สนุกกับคาถาอยู่ ไปได้พื้นฐานจากตรงนั้นมามาก
พอโยมพ่อตาย พี่ชายเอาตำราคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปให้ ก็เลยกลายเป็นของง่าย พอมาปี ๒๕๒๑ ไปฝึกมโนมยิทธิได้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ คราวนี้ตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนีแล้ว จากที่เคยคลุกคลีตีโมงกับหลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าโยมแม่ไปเป็นกรรมการร่วมสร้างมหาเจดีย์ให้หลวงพ่อวิริยังค์ที่วัดธรรมมงคล ไปบวชชีทุกปี ๆ ละ ๑๐ วัน แม่ก็เอาอาตมาไปเป็นเพื่อน
จำได้ว่าหลวงปู่ฝั้นที่ถือว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์ มรณภาพวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๐ ได้ตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงปี ๒๕๑๘ ฝึกปฏิบัติมาด้วยตัวเอง แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นอยู่ เหมือนท่านวางพื้นฐานให้ก้าวผ่านมาทางสายนี้ เพราะตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะบวชกับสายหลวงปู่มั่นนั่นแหละ เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านมีความสามารถจริง ๆ
อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า อาตมาขอหวยแม้กระทั่งหลวงตาบัวมาแล้ว คราวนี้พอปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ พระราชทานเพลิงเสร็จ ปี ๒๑ ได้มาฝึกมโนมยิทธิ ก็เลยมาติดอยู่ทางด้านหลวงพ่อวัดท่าซุงแทน เพราะว่าคำสอนท่านปฏิบัติได้ง่าย สายหลวงปู่มั่นแต่ละท่านจะใช้คำว่า “ไปทำเอา ไปภาวนาเอา” ส่วนทำอย่างไร ภาวนาอย่างไรให้ไปปล้ำเอาเอง พอติดขัดอย่างไรค่อยมาถามท่าน มาเล่าถวายท่าน แล้วท่านค่อยแก้ให้ ก็เลยรู้สึกว่าลำบาก
แต่ของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะบอกรายละเอียดทั้งหมดเลย แล้วให้เราไปทำ จดจำรายละเอียดได้ ปฏิบัติไปเป็นขั้นตอน ก็จะรู้ว่าตัวเองมีความก้าวหน้าแค่ไหน ในเมื่อมาด้านหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วปฏิบัติได้ง่ายกว่า จึงถูกใจมากกว่า ท้ายสุดก็ติดหนับอยู่ทางด้านนี้แทน
ที่เล่าให้เขาฟังเรื่อย ๆ เพราะคนเขาสงสัยว่า ทำไมอาจารย์เล็กไม่เขียนประวัติตัวเอง ? จะไปเขียนทำไม ? ก็เล่าให้เขาฟังอยู่ทุกวัน เดี๋ยวเอาเดือนก่อนโน้นกับเดือนนี้ไปต่อกันก็ได้ประวัติแล้ว
ถาม : มีคนป่วยคนหนึ่งเขามีลูกหลายคน แต่ลูกต่างคนต่างเกี่ยงไม่เอา ไม่ดูแลพ่อ ?
ตอบ : คุณไปรับเขามาเลี้ยง เป็นการสร้างความดีมหาศาล ลูกผู้ชายอย่างคุณควรทำเป็นอย่างยิ่ง..!
ถาม : ไม่มีปัญญาเลี้ยงครับ ?
ตอบ : แต่ละคนมีเวรมีกรรมของเขามา ในเมื่อผูกกรรมกันมาก็ต้องไปชดใช้กัน ไม่ควรไปยุ่งกับกรรมของคนอื่น
ถาม : ลูกชายติดสุรามากค่ะ มีวิธีแก้ไขไหมคะ ?
ตอบ : ทางโรงพยาบาลมียาอดเหล้า ไปติดต่อรับกับหมอแล้วอย่าให้เขารู้นะ แอบใส่ให้เขากิน ถ้ากินเข้าไปนี่อ้วกแตกอ้วนแตนเลย แต่เขาจะโกรธหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ไปขอตามโรงพยาบาลรัฐหรือพวกคลินิกบำบัดต่าง ๆ จะมีอยู่ บอกเขาว่ายาอดเหล้าก็ใช้ได้แล้ว
ถาม : มีวิธีอื่นไหมคะ ?
ตอบ : วิธีอื่นไม่มี มีแต่ไม้หน้าสาม สลบแล้วก็หายเมาไปเองแหละ ถ้าเรื่องของคนเมาอาตมาไม่เคยยุ่งด้วยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยกเว้นว่าเมาแล้วอาละวาดก็ช่วยเสริมให้ โบ๊ะ..!ให้หลับไปเลย
ถาม : ไม่ทราบจะทำอย่างไร ?
ตอบ : พวกนี้ต้องคิดได้เอง ถ้าคิดไม่ได้ใครห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง สำหรับอาตมานี่แค่อย่ามาซ่าในวัดก็แล้วกัน จะกินที่ไหนก็ไปเถอะ เคยนั่งคุยกับคนกินเหล้าจนเขาทนไม่ได้ ถามว่า “อาจารย์จะไม่ห้ามผมจริง ๆ หรือ ?” อาตมาบอกว่า “เงินก็เงินของมึง ตัวก็ตัวของมึง อยากกินก็กินไปสิ” เขาบอกว่าพระอื่นไม่ต้องเห็นหรอก แค่ได้ยินว่าเขากินเหล้าก็ห้ามอุตลุด นี่อาจารย์นอกจากไม่ห้ามแล้วยังนั่งคุยได้หน้าตาเฉย เลยบอกเขาไปว่าเคยมีประสบการณ์มา ประสบการณ์ที่ว่าถ้าเขาคิดไม่ได้เองอย่างไรก็จะกิน แก้ไม่ได้หรอก ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของเขาแล้วกัน
ถาม : โยมเกลียดคนกินเหล้ามาก ๆ
ตอบ : โบราณเขาบอกแล้วว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอ ฉะนั้น..เปลี่ยนใจไปรักเขาหน่อยจะได้เลิกกิน ไม่ต้องไปห้ามเขาหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ ยังกินได้ถือว่ายังดีอยู่ กินไม่ได้วันไหนจะสาหัส อาตมานึกถึงพี่ชายคนโตที่มาจากเมืองจีน แกกินเหล้าแทนน้ำ คนอื่นไปทำงานหิ้วแกลลอนน้ำไป แกหิ้วแกลลอนเหล้าไป แต่ก็อยู่มาจนป่านนี้ อายุเท่าในหลวง ก็แปลว่าปีนี้อายุก็ขึ้น ๘๗ ปีแล้ว ยังสงสัยเหมือนกันว่าถ้าไม่กินเหล้าแกจะแข็งแรงขนาดไหน ?
ถาม : ตับจะไปก่อน ?
ตอบ : ช่วงนี้หยุดแล้ว หมอบอกว่าถ้ากินอีกก็ตาย เขาเลยหยุด กลัวตายเหมือนกัน
เราไม่ต้องไปกังวล เขาจะเอาไปลงขวดหมดก็เรื่องของเขา ไม่อย่างนั้นเราเครียดตายเลย ถ้าหมดวาระกรรมของเขา เขาก็จะกลับมาเอง แบบเดียวกับน้องชายอาตมา สมัยก่อนพระครูแสงเอาทุกเรื่อง จะเหล้า จะเบียร์ จะบุหรี่ จะกัญชา เล่นหมด เย็น ๆ ก็เดินหน้าแดงก่ำออกไปปากซอยแล้ว บทถึงเวลาจะเลิกก็เลิกโครมเดียวหมดเลย ทิ้งทีเดียวหมดเลย เออ..คนอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน ปกติเขากว่าจะเลิกกันได้แทบเป็นแทบตาย แต่นี่โครมเดียวไม่เอาเลย ฉะนั้น..รอก็แล้วกันว่าสักวันเขาคงหมดกรรมอันนี้
ถาม : ไม่รู้ใครจะไปก่อนนะสิ ?
ตอบ : นึกว่าเราไปก่อนแน่เพราะเราเป็นแม่ ไม่ต้องไปทนอยู่ดูเขาก็หมดเรื่อง
ถาม : ต้องสร้างบุญไว้
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป บุญที่ดีที่สุดคือใส่บาตรไว้ทุกวัน ใจจะได้เกาะความดี ใส่บาตรทุกวัน ตั้งใจว่าผลบุญนี้ขอเราไปพระนิพานในชาตินี้ก็ว่าไป
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้บ้างว่า "โลงศพ" กับ "หีบศพ" ต่างกันอย่างไร ? ทำไมถึงมีแต่ร้านขายหีบศพ ไม่มีร้านขายโลงศพ ? หญ้าปากคอกแท้ ๆ ถ้ายังไม่ได้ใช้งานเขาเรียกว่าหีบศพ ถ้าเอาไปใช้งานเขาเรียกว่าโลงศพ เพราะฉะนั้น..ทุกร้านเขาจะขายแค่หีบศพ ถ้าขืนขายโลงศพไม่มีใครซื้อหรอก ฟังดูแล้วเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เราก็นึกไม่ถึง
แบบเดียวกับช้างเป็นเชือกกับช้างเป็นตัว ช้างเป็นเชือกคือช้างเลี้ยง สมัยก่อนเขาใช้เชือกล่าม เขาเรียกเชือกพรวน เป็นเชือกที่ควั่นมาจากป่านเส้นใหญ่ ๆ ถ้าล่ามช้างแล้วใช้เชือกพรวนไม่ได้ก็ต้องใช้เชือกหวาย เพราะหวายมีคุณสมบัติพิเศษว่าถ้ากระชากแล้วจะบาดเนื้อ ช้างจะไม่กล้ากระชาก"
ถาม : ไม่ได้ใช้หนังควายมาควั่นหรือครับ ?
ตอบ : พวกนั้นเขาใช้กันทางอีสาน
ถาม : จะพยายามวิญญาณสังวรของตัวเอง ?
ตอบ : ใช้คำว่า อินทรียสังวร สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเห็นรูปอย่าไปยินดียินร้ายด้วย หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด อย่าไปยินดียินร้ายด้วย เพราะความยินดีจัดเป็นราคะ ความยินร้ายจัดเป็นโทสะ โดนทั้งคู่
ถาม : เราไม่ได้ไปยินดียินร้าย แต่เป็นไปโดยสัญชาตญาณค่ะ ?
ตอบ : ต้องพยายามมีสติ หยุดให้อยู่ จะอ้างสัญชาตญาณไม่ได้ เดี๋ยวโดนพาหลงไปไกลกู่ไม่กลับ
ถาม : ทำไมพระฉันมื้อเดียวถึงอ้วนได้คะ ?
ตอบ : อาจจะฉันมากก็ได้ สมัยที่อาตมาฉันมื้อเดียวนี่ข้าวครึ่งบาตรฉันหมดนะ ข้าวครึ่งบาตรนี่ ๔-๕ จานใหญ่ ๆ เลย ถ้าสมมุติว่าทั่ว ๆ ไปเราฉันมื้อละจาน สองมื้อสองจาน แต่ว่ามื้อเดียวเจอไป ๔-๕ จานก็เกินคุ้ม จะไม่อ้วนได้อย่างไร ?
ถาม : ถ้าเราจะฝึกสวดคาถาเงินล้าน สมาธิที่ใช้เพื่อให้ได้ทิพจักขุญาณ...(ไม่ชัด). ?
ตอบ : เวลาเราภาวนานึกถึงคาถาเงินล้านขึ้นมาตรงหน้าเป็นตัว ๆ ยิ่งเห็นตัวคาถาชัดเท่าไร ก็จะเห็นผีเห็นเทวดาชัดเท่านั้น
พระอาจารย์เล่าว่า "งานพุทธาภิเษกที่วัดสระเกศ ด้วยความที่อาตมาไปก่อนก็นั่งก่อน ไม่รู้ว่านั่งไปนานแค่ไหน อยู่ ๆ ก็เหมือนกับฟ้ามืดวูบลงมา กำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านมา แล้วท่านชี้ให้ดูว่า มีหลวงพ่อหลายท่านมาทางไสยศาสตร์โดยตรง กราบเรียนท่านว่าแล้วจะให้ผมทำอย่างไรดีครับ ? ท่านบอกว่าไม่ต้องทำ ไม่รู้เหมือนกันท่านไปหยิบกระบวยมาจากไหน แล้วก็ไม่รู้ท่านไปตักน้ำมนต์มาจากไหน สาดพรึ่บลงไป กลายเป็นน้ำทองคำไหลลงมาคลุมวัตถุมงคลทั้งหมด สว่างโร่เลย ท่านแก้ง่ายนิดเดียว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อัลปาก้า ในภาษาไทยต้องเรียกว่าทองขาว คนจีนเรียกแปะตั๊ง แพลทตินัมคือทองคำขาว รูทีเนียมคือทองคำดำ ก็จะมีทองคำ ทองคำขาว ทองคำดำ ทองเหลือง ทองขาว ทองแดง ส่วนนากจัดอยู่ในพวกโลหะผสม มีทองคำปนอยู่ร้อยละ ๓๐"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "โยมมักจะลืมไปว่าใช้ร่างกายมาหลายสิบปีแล้ว บางทีเจ็บแล้วก็บ่น ถ้าร่างกายของเราเป็นรถยนต์คงพังไปหลายรอบแล้ว แสดงว่าร่างกายเราจริง ๆ แข็งกว่าเหล็กอีก รถยนต์ดูแลรักษาดี ๆ ใช้ ๑๐ ปีก็พัง นี่ใช้มา ๖๐-๗๐ ปีแล้ว จะไม่ให้เสียเลยก็เกินไป"
ถาม : จะไปสัมภาษณ์งานครับ ?
ตอบ : ก่อนสัมภาษณ์ให้ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ ภาวนาแล้วขอความคล่องตัวทุกอย่าง
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากกรรมเก่า แต่เป็นแค่เศษกรรม ถ้ามีโอกาสก็ปล่อยชีวิตสัตว์เป็นทานทุกเดือน อย่างน้อยเดือนละครั้ง ความป่วยทุกเรื่องเกิดจากเศษกรรมเก่า..ไม่ต้องหนักใจ ทยอย ๆ ใช้เขาไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีประสบการณ์แห่นางแมวมาบ้าง ? สมัยอาตมาเด็ก ๆ เจอบ่อยเลย แม้ว่าจะสงสารแมว แต่ผู้ใหญ่บอกว่าเอาน้ำสาดไปเยอะ ๆ ฝนจะได้ตก เหมือนกับว่าพวกผู้ใหญ่เขาหาเรื่องกินเหล้ากัน แห่นางแมวก็กินเหล้าไป ถ้าปีไหนแล้งมาก ๆ แล้วฝนล่า ฝนล่าคือมาช้า เข้าเดือน ๖ แล้ว ฝนยังไม่ลงอย่างเป็นทางการ ก็จะมีการแห่นางแมวกัน
ปกติจะมีฝนชะลาน หรือฝนชะช่อมะม่วง มาก่อนหรือช่วงมาฆบูชา แล้วก็ฝนสงกรานต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะลมแรง เป็นพายุฝนฟ้าคะนอง คราวนี้ถ้าหลังงานแรกนาขวัญ งานพืชมงคล แล้วฝนยังไม่ลง คือล่าไปถึงเดือน ๖ ข้างแรมแล้วฝนยังไม่ลง ชาวบ้านจะทำการแห่นางแมว แมวตัวไหนเคราะห์ร้ายโดนจับได้ถือว่าเฮงเลย เขาจะสานกระชุใส่แมว แล้วใส่คานหามแห่ไป ร้องเพลงก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ "นางแมวเอย..มาร้องแจ้วแจ้ว ขอฟ้าขอฝน ขอน้ำมนต์รดหัวนางแมว ฯลฯ" รำกันไป กินเหล้ากันไป แห่กันไป ผ่านบ้านไหน ก็เอาน้ำสาดแมวเยอะ ๆ แมวจะหนาวตายเพราะสัตว์ตระกูลแมวเกลียดน้ำ
แต่ก็แปลกดีนะ หลังการแห่นางแมวเดี๋ยวเดียวก็ฝนตก สงสัยเทวดาทนสงสารแมวไม่ไหว ก็เลยตกให้หน่อย ถ้าไม่ได้แห่นางแมวก็ตั้งเวที นิมนต์พระสวดมนต์ขอฝน อันนี้ทรมานกว่านางแมวเยอะเลย ถ้าฝนไม่ตก พระก็ลงจากเวทีไม่ได้ นั่งสวดไปเถอะ ก็คงประเภทเดียวกัน เทวดาสงสารพระ เลยตก ๆ ให้หน่อย
บทสวดเขาเรียกว่าคาถาพญาปลาช่อน สมัยพระพุทธเจ้าเป็นพญาปลาช่อนโพธิสัตว์ น้ำแห้ง ปลาเล็กปลาน้อยในสระจะตายหมด ท่านต้องตั้งสัตยาธิษฐานขอให้ฝนตก อันนั้นถือว่าเป็นอธิษฐานฤทธิ์ อย่าลืมว่าท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่มีจิตประกอบด้วยเมตตาเป็นปกติ สงสารบรรดาปลาเล็กปลาน้อยจะแห้งตาย"
ถาม : อสุรกายคืออะไรคะ หมอผีส่งเขามาเข้าคนในบ้าน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ผอมโซ อดอยาก หิวโหย มีแต่พวกกาลกัญจิกอสุรกายที่ตัวใหญ่บึ้ม ใครจับได้ก็สุดยอดหมอผีแล้ว เพราะว่าพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เคยเป็นพ่อมดหมอผีมาก่อน
ถาม : จะทำอย่างไร ?
ตอบ : เจรจากับเขาดี ๆ ถ้าเจรจาไม่รู้เรื่องก็เตรียมมีศัตรูที่สามารถยุ่งกับเราได้ทุกเวลา แม้กระทั่งเวลานอน
:4672615:เก็บตกเดือนเมษายนปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.