เถรี
14-08-2013, 19:08
พระอาจารย์กล่าวให้โอวาทก่อนมอบวุฒิบัตรผู้ปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะ
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๖
เรื่องของทานวันนี้เราได้แน่ ๆ ทำกันเหลือล้น แต่ในส่วนของศีลและสมาธิ เราต้องมาทบทวนกันอีกทีหนึ่ง การปฏิบัติของเรา ถ้ายังรักษาอารมณ์ต่อเนื่องไม่เป็น โอกาสที่จะได้ดีนั้นยากมาก ดังนั้น..ถ้ากิเลสกินใจเราเสียก่อน โอกาสที่เราจะชนะก็ยาก กำลังใจของเราอาตมาเปรียบอยู่เสมอว่า เหมือนกับเก้าอี้ที่นั่งเดียว ถ้าความดีนั่งอยู่ความชั่วก็เข้าไม่ได้ ถ้าความชั่วนั่งไปก่อน ความดีก็เข้าไม่ได้เช่นกัน ถ้าเราทิ้งให้ความชั่วยึดกำลังใจเราไปก่อน ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายจะต้องลำบาก
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเรายัง "ไม่เข็ด" อาตมาขอใช้คำนี้นะจ๊ะ เราก็จะทำแล้วทิ้ง ทำแล้วทิ้งอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ สมัยที่อาตมาปฏิบัติใหม่ ๆ ก็เหมือนกัน กำลังใจหกล้มหกลุกอยู่ทุกวัน เพราะไม่เข้าใจว่าถ้าเราเปิดโอกาสเมื่อไรกิเลสก็ตีกลับเมื่อนั้น คิดว่านั่งกรรมฐานจนเต็มที่แล้ว สมาธิก็ทรงฌานได้แล้ว ทำไมเลิกปฏิบัติแล้วกิเลสท่วมหัวเหมือนเดิม อาจจะมากกว่าเดิมด้วย
กว่าจะรู้ว่ากิเลสมีเท่าเดิม แต่ว่าเราใช้อำนาจของสมาธิกดกิเลสเอาไว้ พอถึงเวลาแล้วเราไปปล่อยให้กิเลสงอกงามใหม่ แล้วการงอกงามของกิเลสนั้น ก็อาศัยกำลังของสมาธิเรานี่แหละไปใช้งาน ปกติถ้าเราคิดอะไรโดยไม่มีกำลังสมาธิสนับสนุน เราก็จะคิดได้ไม่นาน คิดได้ไม่ชัดเจนแจ่มใส
ในเมื่อเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้วเราไปทิ้งให้ความฟุ้งซ่านเข้ามาได้ ความฟุ้งซ่านจะเอากำลังที่เราภาวนานี่แหละไปฟุ้ง แล้วคราวนี้จะฟุ้งอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ ฟุ้งได้เด็ดขาดมาก ฟุ้งชนิดเอาไม่อยู่ เพราะเราไปเพิ่มกำลังให้เขาเอง
ฉะนั้น..การปฏิบัติที่สำคัญที่สุด ก็คือ ต้องทำให้ต่อเนื่องตามกัน ทุกลมหายใจเข้าออกได้ยิ่งดี สิ่งที่เราทำในปัจจุบันนี้ อาตมาต้องบอกว่ายังไม่พอกิน แต่ดีกว่าไม่ทำเสียเลย ภาษิตจีนเขาบอกว่า “คนอื่นขี่ม้า เราขี่ลาอย่าเพิ่งน้อยใจ” ม้าวิ่งเร็วกว่าไปแน่บแล้ว ลาค่อย ๆ เดินก๊อก ๆ ไปเรื่อย ตีเท่าไรก็ไม่ยอมวิ่ง แต่ถ้าหันไปดูคนเดินเท้าอีกเพียบเลย แล้วพวกที่ยังนั่งเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ ไม่เดินก็มี ที่แย่กว่านั้นก็คือนอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ทำอะไรเลยก็ยิ่งเยอะ
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๖
เรื่องของทานวันนี้เราได้แน่ ๆ ทำกันเหลือล้น แต่ในส่วนของศีลและสมาธิ เราต้องมาทบทวนกันอีกทีหนึ่ง การปฏิบัติของเรา ถ้ายังรักษาอารมณ์ต่อเนื่องไม่เป็น โอกาสที่จะได้ดีนั้นยากมาก ดังนั้น..ถ้ากิเลสกินใจเราเสียก่อน โอกาสที่เราจะชนะก็ยาก กำลังใจของเราอาตมาเปรียบอยู่เสมอว่า เหมือนกับเก้าอี้ที่นั่งเดียว ถ้าความดีนั่งอยู่ความชั่วก็เข้าไม่ได้ ถ้าความชั่วนั่งไปก่อน ความดีก็เข้าไม่ได้เช่นกัน ถ้าเราทิ้งให้ความชั่วยึดกำลังใจเราไปก่อน ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายจะต้องลำบาก
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเรายัง "ไม่เข็ด" อาตมาขอใช้คำนี้นะจ๊ะ เราก็จะทำแล้วทิ้ง ทำแล้วทิ้งอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ สมัยที่อาตมาปฏิบัติใหม่ ๆ ก็เหมือนกัน กำลังใจหกล้มหกลุกอยู่ทุกวัน เพราะไม่เข้าใจว่าถ้าเราเปิดโอกาสเมื่อไรกิเลสก็ตีกลับเมื่อนั้น คิดว่านั่งกรรมฐานจนเต็มที่แล้ว สมาธิก็ทรงฌานได้แล้ว ทำไมเลิกปฏิบัติแล้วกิเลสท่วมหัวเหมือนเดิม อาจจะมากกว่าเดิมด้วย
กว่าจะรู้ว่ากิเลสมีเท่าเดิม แต่ว่าเราใช้อำนาจของสมาธิกดกิเลสเอาไว้ พอถึงเวลาแล้วเราไปปล่อยให้กิเลสงอกงามใหม่ แล้วการงอกงามของกิเลสนั้น ก็อาศัยกำลังของสมาธิเรานี่แหละไปใช้งาน ปกติถ้าเราคิดอะไรโดยไม่มีกำลังสมาธิสนับสนุน เราก็จะคิดได้ไม่นาน คิดได้ไม่ชัดเจนแจ่มใส
ในเมื่อเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้วเราไปทิ้งให้ความฟุ้งซ่านเข้ามาได้ ความฟุ้งซ่านจะเอากำลังที่เราภาวนานี่แหละไปฟุ้ง แล้วคราวนี้จะฟุ้งอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ ฟุ้งได้เด็ดขาดมาก ฟุ้งชนิดเอาไม่อยู่ เพราะเราไปเพิ่มกำลังให้เขาเอง
ฉะนั้น..การปฏิบัติที่สำคัญที่สุด ก็คือ ต้องทำให้ต่อเนื่องตามกัน ทุกลมหายใจเข้าออกได้ยิ่งดี สิ่งที่เราทำในปัจจุบันนี้ อาตมาต้องบอกว่ายังไม่พอกิน แต่ดีกว่าไม่ทำเสียเลย ภาษิตจีนเขาบอกว่า “คนอื่นขี่ม้า เราขี่ลาอย่าเพิ่งน้อยใจ” ม้าวิ่งเร็วกว่าไปแน่บแล้ว ลาค่อย ๆ เดินก๊อก ๆ ไปเรื่อย ตีเท่าไรก็ไม่ยอมวิ่ง แต่ถ้าหันไปดูคนเดินเท้าอีกเพียบเลย แล้วพวกที่ยังนั่งเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ ไม่เดินก็มี ที่แย่กว่านั้นก็คือนอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ทำอะไรเลยก็ยิ่งเยอะ