PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓


เถรี
09-11-2010, 07:43
ถาม : ทำอย่างไรจะได้ฌานสี่เร็ว ๆ ?
ตอบ : อย่าอยาก หยุดอยากเมื่อไรมีโอกาสได้ทันที ตราบใดที่ยังอยากอยู่ ไม่ได้หรอก เพราะว่าฌานสี่ต้องมีอุเบกขา ถ้ายังอยากอยู่ก็ยังไม่เป็นอุเบกขาสิ

เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นฌานหรือไม่เป็นฌานก็ช่าง แค่นั้นแหละ..จบ

เถรี
09-11-2010, 07:55
ถาม : ตอนนี้หนูใจเย็นลงกว่าเดิม แล้วใจเย็นแบบนี้ เพราะเกิดพรหมวิหารสี่ขึ้นมาหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากพรหมวิหารสี่ทรงตัว ต้องใจเย็นโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่บางทีเรื่องการใจเย็น อาจจะเกิดจากสมาธิดีขึ้นด้วยก็ได้

เพราะฉะนั้น..ยังไว้วางใจไม่ได้ เผลอเมื่อไรเดี๋ยวหลุด ถ้าหลุดไปอีก คราวนี้เราจะไปลงกับคนรอบ ๆ ข้าง แต่ถ้าพรหมวิหารทรงตัวจริง ๆ จะเย็นเองโดยอัตโนมัติ

ถาม : ถ้าเกิดสมาธิตก พรหมวิหารที่ทรงตัวก็ตกด้วย ?
ตอบ : ตกไปด้วย ยกเว้นว่าเราสามารถทำได้เลย ถ้าเราทำได้เลย ต่อให้สมาธิตก แต่กำลังใจก็ไม่ได้ตกไปด้วย ถ้าถึงระดับนั้นแสดงว่าพื้นฐานแน่นมากแล้ว ตอนนี้ไม่น่าจะใช่ของเราหรอก

ถาม : ส่วนใหญ่คนสายหลวงพ่อฤๅษี ถ้าถึงฌานสี่ เขาจะหลุดออกไปเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ฌานสี่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็มีเยอะแยะไป

ถาม : แล้วทำไมหนูถึงเป็นฌานสี่ที่ไม่รู้เรื่อง อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ พอถึงฌานสี่เมื่อไร ก็โดนดีดออกไปทุกทีค่ะ
ตอบ : อย่าไปใส่ใจ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง

ถาม : ทีนี้พอหนูไม่รู้ว่าเป็นฌานอะไร จึงไปเทียบตามตำราแล้วไม่เห็นตรงตามตำราค่ะ เพราะยังภาวนาไปได้ตลอด และรู้ลมหายใจตลอด
ตอบ : มีอยู่สองอย่าง อย่างแรก คือ เราเข้าใจผิดว่าใช่ ส่วนอย่างที่สองคือเป็นฌานใช้งาน

ถ้าฌานใช้งานอย่างละเอียด จะสามารถกำหนดรู้ทุกอย่างได้เหมือนกัน แต่ให้สังเกตอยู่อย่างเดียวว่า ลมหายใจจะละเอียดมากเป็นพิเศษ ละเอียดถึงขนาดรู้สึกว่าลมหายใจเป็นเส้นเล็ก ๆ แค่นั้นเอง

เถรี
09-11-2010, 11:12
ถาม : แหวนจักรพรรดิ มีวิธีใช้เฉพาะไหมครับ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ทุกเรื่อง ถึงเวลาก็อาราธนาไว้บ่อย ๆ ก็แล้วกัน

เถรี
09-11-2010, 11:18
ถาม : ถ้าอย่างนี้ ฌานใช้งาน เราก็ไม่รู้จะเอาอะไรเทียบสิคะ ว่าตกลงเป็นฌานอะไรกันแน่ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าหากซักซ้อมจนชำนาญก็จะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่

ให้สังเกตง่าย ๆ ว่า ถ้าเป็นปฐมฌานจะอ่อนไหวและสลายตัวได้เร็ว แต่ถ้าเป็นฌานสี่จะหนักแน่นทรงตัว บางทีอยู่ได้เป็นเดือนเป็นปี ไม่ใช่ว่าไม่สลาย พังเหมือนกัน แต่พังช้ากว่า

เถรี
09-11-2010, 11:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าเลี้ยงลูกให้เก่ง อย่าเลี้ยงลูกให้ฉลาด แต่เลี้ยงลูกให้มีความสุขประสาเด็กก็พอแล้ว รีบเอาอะไรยัดเยียดเข้าไปเต็มสมองลูก เดี๋ยวเขาจะไม่ใช่เด็ก"

เถรี
09-11-2010, 14:35
ถาม : การที่เราระลึกถึงภาพพระ แล้วถ้าเราจับภาพพระดูด้านข้าง ?
ตอบ : ในความเป็นทิพย์ เราอยากดูด้านไหนก็จะเป็นด้านนั้น

ถาม : ที่เราควรดู ควรดูเป็นเฉพาะด้านหรือเปล่า ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ชอบอย่างไรก็ดูอย่างนั้น ไม่ได้สำคัญว่าเป็นแบบไหน สำคัญที่ว่านึกถึงท่านได้หรือไม่

เถรี
09-11-2010, 14:46
ถาม : ในหนังสือที่ท่านเขียน ถ้าสมมติเราทำแค่ไหน แล้วเราอ่านโดนใจเรา แสดงว่า..?
ตอบ : แสดงว่ากำลังใจของเราตอนนั้น อยู่ใกล้ ๆ เคียง ๆ กับข้อความเหล่านั้นแหละ

เถรี
09-11-2010, 18:00
ขอแจ้งให้ทราบว่า บ้านอนุสาวรีย์จะอยู่ถึงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ เท่านั้น
พอถึงวันที่ ๑-๒-๓ เมษายน พระอาจารย์จะย้ายไปรับสังฆทานที่บ้านวิริยบารมีค่ะ

ส่วนวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ จะมีการทำบุญฉลองขึ้นบ้านใหม่ ที่บ้านวิริยบารมี

เถรี
09-11-2010, 19:35
หลวงพ่อกล่าวถึงนิยายจีนกำลังภายใน เรื่อง เทพมารสะท้านภพ ว่า "อ่านไปแล้วจะเจอหลักวิชา มีความใคร่แต่ไร้รัก มีรักแต่ไร้ความใคร่ เป็นหลักการที่ต้องทำ

มีรักแต่ไร้ความใคร่ จะต้องเป็นตัวพรหมวิหารสี่ ส่วนมีความใคร่แต่ไร้รักนั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นอุเบกขาอย่างหนึ่ง ทำอย่างไรที่จะไม่ให้ผูกพันอยู่ในเรื่องระหว่างเพศ แต่เป็นกำลังใจแบบมิจฉาสมาธิ

พระเอกในเรื่องใช้จิตใจที่มุ่งมั่นอยู่กับคนรัก ทุ่มเทให้กับการฝึกกระบี่ พูดง่าย ๆ ก็คือ เขารักผู้หญิงมากเท่าไร เขาก็ใช้กำลังใจระดับนั้นในการฝึกกระบี่ เขาก็เลยกลายเป็นยอดฝีมือระดับต้น ๆ ของยุทธจักรได้

แต่คราวนี้อยู่ที่เราจะเอามาดัดแปลงใช้ ถ้าเรามีความรักในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากเท่าไร เราก็ต้องทุ่มเทการปฏิบัติให้สมกับความรักเช่นกัน"

เถรี
09-11-2010, 20:23
ต้นเดือนที่บ้านอนุสาวรีย์ที่ผ่านมา พระอาจารย์ท่านอ่านหนังสือเล่มหนึ่งให้ฟัง ชื่อ พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู ในหลวงของเรา เป็นหนังสือที่เขียนโดย พ.อ. (พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน

มีเนื้อหาดังนี้ "คราวหนึ่งในหลวงป่วย สมเด็จย่าก็ป่วย ไปอยู่ศิริราชด้วยกัน อยู่คนละมุมตึก ตอนเช้าในหลวงเปิดประตูแอ๊ดออกมา พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลม ผ่านหน้าห้องพอดี

ในหลวงพอเห็นแม่ก็รีบออกจากห้อง มาแย่งเข็นรถ มหาดเล็กกราบทูลว่าไม่ต้องเข็น ให้พยาบาลเข็น ในหลวงบอกว่า "แม่ของเราทำไมต้องให้คนอื่นเข็นด้วย เราเข็นเองก็ได้" นี่ขนาดพระเจ้าแผ่นดินเป็นกษัตริย์ ยังมาเข็นรถให้แม่ มาป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่

ดูว่าในหลวงปฏิบัติต่อสมเด็จย่าอย่างไร ? สมเด็จย่าอยู่โรงพยาบาลศิริราช ในหลวงไปเยี่ยมตอนไหน ? ไปเยี่ยมตอนตีหนึ่งตีสอง ตีสี่เศษ ๆ ก็เสด็จกลับ เฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง

แม่พอเห็นลูกมาเยี่ยมก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทีมแพทย์ที่รักษาเห็นในหลวงมาเยี่ยมก็ต้องฟิตตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือว่าจะให้ยาอย่างไร ต้องปรับปรุงการรักษาอย่างไร ทำให้สมเด็จย่าได้รับการดูแลที่ดีขึ้น

กลางคืนในหลวงอยู่กับสมเด็จย่า คืนละหลายชั่วโมง ลองหันมาดูตัวเราซิ ว่าพ่อแม่ป่วยเราเคยโผล่หน้าไปดูสักหน่อยไหม ? ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง พ่อแม่ยังไม่ทันจะบอกเลย ก็รีบบอกว่า "ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องรีบไปแล้ว" โผล่แค่ไปเป็นมารยาทเท่านั้นแล้วก็กลับ ไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู"

เถรี
09-11-2010, 20:30
"ในหลวงเสด็จจากวังสวนจิตรฯ ไปวังสระประทุมตอนเย็นทุกวัน ไปทำไมครับ ? ไปกินข้าวกับแม่ ในหลวงเสด็จไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละกี่วัน ทราบไหมครับ ? สัปดาห์ละ ๕ วัน..!

มีใครบ้างครับที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ ๕ วัน ? ในหลวงมีโครงการเป็นร้อยเป็นพัน ยังสละเวลาไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ ๕ วัน

พวกเราแค่ซี ๗ ซี ๘ ซี ๙ ร้อยเอก พันตรี พลตรี อธิบดี ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่เลย บอกว่างานยุ่ง ให้พาแม่ไปกินข้าวหน่อย ก็บอกว่าไม่มีเวลา..จะไปตีกอล์ฟ ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ เห็นหรือยังว่าตัวเองทำอย่างไร ?

พ่อแม่เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ฝนตก น้ำเซาะ อีกไม่นานก็โค่น ถึงวันนั้นเราก็ไม่มีแม่แล้ว ในหลวงจึงตัดสินพระทัยไปกินข้าวกับแม่ สัปดาห์ละ ๕ วัน

อีกสองวันไปไหนครับ ? อีก ๒ วัน ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์ บอกว่าในหลวงถือศีลแปดวันพระ อดข้าวเย็น ก็เลยไม่ได้ไปหาแม่ เพราะว่าถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือก็อาจจะกินข้าวกับพระราชินี หรือคนใกล้ชิด แต่ให้แม่ไป ๕ วัน เห็นชัดไหมครับ ?

ทุกครั้งที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า ก็ไปกราบที่ตัก สมเด็จย่าจะดึงในหลวงมากอดและก็หอมแก้ม ในหลวงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน กราบคนธรรมดาที่เป็นแม่ บางคนเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่"

เถรี
09-11-2010, 20:33
ถ้าใครอยากอ่านเรื่องพระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู สามารถอ่านได้ที่เว็บนี้ค่ะ http://www.chaoprayanews.com/2009/02/06/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B9-%E0%B9%83%E0%B8%99/

เถรี
10-11-2010, 00:00
ถาม : ผมจะเอาน้ำมันชาตรีไปใส่กับน้ำมันอื่นได้ไหมครับ นอกจากน้ำมันงา ?
ตอบ : อะไรสมควรก็ใส่ไปสิ สาเหตุที่เขาใส่น้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว เพราะเขาเผื่อว่าเราจะกินรักษาโรคได้
ถ้าใส่น้ำมันอื่น ถึงเวลาก็พิจารณาด้วย ถ้ากินไม่ได้ก็อย่าเผลอกินเข้าไปก็แล้วกัน

ถาม : ตอนที่ผมไปบวชธุดงค์ หลวงพี่สมปองท่านจะเสกพวกจีวร ผ้าไตร ถ้าเกิดผมถือว่าเป็นของส่วนตัวแล้วเอากลับบ้านได้ไหม ?
ตอบ : ชำระหนี้สงฆ์เท่าราคาปัจจุบัน แล้วจะเอาไปไหนก็เอาไป เดี๋ยวนี้ผ้าไตรดี ๆ ชุดหนึ่งราคาไม่กี่พันเอง..!

เถรี
10-11-2010, 08:42
ถาม : การปฏิบัติ ถ้าพิจารณาตั้งแต่เริ่มต้นเลย ค่อยเข้าวิปัสสนา ?
ตอบ : ถ้าพิจารณาก็ต้องเข้าวิปัสสนาสิจ๊ะ การพิจารณาวิปัสสนาญาณก็คือ พยายามให้เห็นว่าตัวเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์ทั้งหลายก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขา ส่วนใหญ่ก็ประกอบมาจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีความเสื่อมสลายตายพังไปในที่สุด

พยายามมองให้เห็นชัดจนจิตยอมรับ ทำแล้วทำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อย ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม ให้เห็นไปเรื่อย คนนั้นเด็ก คนนี้กลางคน คนนี้แก่ เราเองก็แก่มาจนป่านนี้แล้ว ทุกอย่างไม่เที่ยงจริง ๆ

ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ เดินทางไปทำงานรถก็ติด คนที่รอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก็รอว่าเมื่อไรรถจะมาเสียที เด็ก ๆ ก็แย่งกันไปโรงเรียน ไม่มีใครมีความสุขจริงแท้เลยสักคน มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น

เราเองไปทำงานก็ต้องบริหารตนเอง ต้องบริหารหมู่คณะ ลูกน้องก็อัดขึ้นมา เจ้านายก็กระแทกลงไป เราอยู่ตรงกลางก็แบนพอดี จะเห็นแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา

เถรี
10-11-2010, 08:54
ถามว่าทำไมจึงต้องดูความทุกข์ด้วย ? ดูในด้านที่เป็นสุขไม่ได้หรือ ? จะดูในด้านที่เป็นสุขก็ได้อยู่ แต่ความสุขนั้นไม่จีรังยั่งยืน เป็นความสุขเพราะเรารู้สึกว่าความทุกข์ลดน้อยลง จริง ๆ แล้วทั้งหมดล้วนเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น

ถ้าเราไปดูเป็นความสุขก็จะไม่เบื่อไม่หน่าย ใจจะไม่คลายออก จะไม่ละ ไม่วาง แต่ถ้าเราเห็นเป็นความทุกข์ ถึงจะเกิดความเบื่อหน่าย จิตใจจะปลด จะคลาย จะวาง แล้วเราก็จะไม่ไปดิ้นรน อยากได้ใคร่ดีอะไรอีก

ท้ายสุดก็คิดว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายนี้เราไม่ต้องการ การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการ เหลือที่เดียวคือพระนิพพาน ก็เอาใจเกาะพระนิพพานไว้ หรือเกาะพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งไว้ ตั้งใจนึกว่านั่นเป็นภาพแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เราเอาใจเกาะภาพพระก็เหมือนเกาะอยู่บนพระนิพพาน

พิจารณาบ่อย ๆ จะต้องทำเป็นปกติเลย ไม่ใช่ทำเฉพาะตอนไปนั่งปฏิบัติ ถ้าทำเฉพาะเวลานั่งปฏิบัติยังไม่พอรับประทาน..!

เถรี
10-11-2010, 16:43
ถาม : ทำอย่างไรที่เราจะรู้ว่าไม่ติดในความว่าง ?
ตอบ : อันดับแรก รู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อลมหายใจเบาลง และคำภาวนาหายไป กำหนดรู้ไว้แค่นั้น แล้วตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติเป็นระยะเวลานานแค่ไหน อย่างเช่นว่า สักครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ถ้าถึงเวลา จิตจะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ เราก็จะไม่ไปติดอยู่ตรงจุดที่เราคิดว่าเป็นความว่าง

แต่ความจริงเราสามารถที่จะให้คลายออกมาเองได้ ถ้าเรามีความคล่องตัว เราก็กำหนดให้คลายจิตออกมาแล้วก็มาพิจารณาแทน ก็จะไม่ติดกับความว่าง

ถาม : จำเป็นต้องนั่งนานไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ความคล่องตัวของเรา ถ้าคนที่มีความคล่องตัวไม่ต้องนั่ง จิตก็ทรงตัวได้ ถามว่าจำเป็นจะต้องนั่งนานไหม ? ถ้าสมาธิทรงตัวสูงสุดแล้ว ครู่เดียวก็พอ เราก็คลายออกมาพิจารณาแทน

สาเหตุที่ต้องให้สมาธิทรงตัวก่อน ก็เพื่อที่จะให้มีกำลังในการพิจารณา ถ้าไปพิจารณาเลย บางทีสมาธิยังไม่ทรงตัว จิตก็จะฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น

ถาม : ถ้าเราพิจารณาแล้วทรงตัวได้ เราก็ใช้วิธีนั้นได้ ?
ตอบ : เราก็ถอยออกมา แล้วก็มาพิจารณาต่อ พอเข้าสมาธิไป กำลังทรงตัวเต็มที่ นิ่งอยู่สักพัก แล้วกำหนดให้กำลังจิตคลายออกมาเพื่อใช้ในการพิจารณา

เถรี
10-11-2010, 16:47
ถาม : ตอนนี้ยังรู้สึกว่านิ่ง ๆ แน่น ๆ
ตอบ : ไม่เป็นไร พยายามขยับขึ้น ขยับลงไปเรื่อย จะแน่นจะเบาอย่างไรก็ช่าง ให้พิจารณาดูว่า ตอนนี้นิวรณ์กินใจเราได้หรือไม่ได้ ถ้ารัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ ก็แปลว่าใช้ได้

พอซ้อมบ่อย ๆ เข้าออก ๆ จนคล่องตัว อาการแน่นจะค่อย ๆ เบาลง เบาลงไม่ได้หมายความว่าสมาธิน้อยลง แต่ที่เบาลงเพราะความคล่องตัวมีมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่อารมณ์เบา แต่กิเลสก็กินเราไม่ได้

ถาม : ถ้านิวรณ์ไม่เข้า ก็รู้ไปอย่างเดียว ?
ตอบ : จิตตอนนั้นก็มีสภาพที่เรียกว่ามีคุณภาพ พอนิ่งอยู่ในระดับหนึ่งจนพอแล้ว เราก็ถอยออกมาพิจารณาวิปัสสนาต่อไป

ถาม : ควรจะถอยออกมาพิจารณา ?
ตอบ : จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นจะไม่ก้าวหน้า เพราะถ้าไปโดยสมาธิส่วนเดียว พอเต็มที่แล้วก็เหมือนกับเดินชนข้างฝา ไปต่อไม่ได้ เราต้องถอยมาพิจารณาแทน

พอพิจารณาจนจิตเหนื่อยแล้ว ก็จะกลับเข้าไปหาสมาธิอีก ต้องทำแบบนี้ถึงจะค่อย ๆ ก้าวหน้าไป แต่ถ้าเราไปสมาธิด้านเดียว ถ้าตันแล้ว ออกมาจะฟุ้งซ่านไปเลย

เถรี
10-11-2010, 16:49
ถาม : เวลาที่เราเดิน เข้าถึงฌานได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้

ถาม : บางทีก็รู้สึกว่าก็ไปได้เหมือนกัน
ตอบ : อยู่ที่ว่าเรามีความคล่องแค่ไหน ถ้ามีความคล่องตัวน้อย ทันทีที่เริ่มทรงเป็นฌาน เราจะเดินไม่ออก เอาแค่ลมหายใจ จมูก อก ท้อง สามจุด ถ้าเราจับได้พร้อมกัน เราจะก้าวขาไม่ออก เพราะจิตกับประสาทจะเริ่มเป็นคนละส่วนกัน

แต่ถ้าเรามีความคล่องตัว ต่อให้ใช้สมาธิขั้นไหนก็สามารถที่จะก้าวเดินได้ ขึ้นอยู่กับการซักซ้อมของเรา

เถรี
11-11-2010, 01:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสถึงเมถุนสังโยค คือ สิ่งที่ยังเนื่องด้วยกามอยู่

มีข้อหนึ่งว่า ยินดีในการนวดเฟ้น ประเภทนี้นี่แหละที่อย่างไรก็ต้องไปลงอ่างให้ได้

นอกจากนี้ ยินดีเมื่อได้ฟังเสียงเพศตรงข้าม แม้กระทั่งฟังเสียงที่คุยกันอีกด้านหนึ่งของข้างฝา ยินดีในการนวด ยินดีในการสบตากับเพศตรงข้าม

ท้ายสุด..แม้แต่การคิดจะไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า ถือว่ายังเป็นเมถุนสังโยค คือการเนื่องด้วยกามอยู่"

เถรี
11-11-2010, 02:04
ถาม : อารมณ์ที่ไม่เอาแล้ว กับอารมณ์ช่างหัวมัน ทำไมอารมณ์ช่างหัวมันถึงได้เบากว่า ?
ตอบ : ไม่เอาแล้วแค่อยู่ในระดับเบื่อหรือเข็ด ช่างหัวมันเป็นอุเบกขาไปแล้ว เมื่อปล่อยวางได้มากกว่าก็ต้องเบากว่า เพราะฉะนั้น..ช่างหัวมันให้ได้เยอะ ๆ

แต่ว่า..จะเข็ดจริง เบื่อจริงหรือเปล่า ?

ถาม : อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งครับ
ตอบ : กลัวแต่จะเบื่อ ๆ อยาก ๆ เท่านั้น..!

เถรี
11-11-2010, 03:11
ถาม : จะแก้ไขความกลัวที่มันฝังรากลึกของเด็กได้อย่างไร ?
ตอบ : ให้เขาทำอะไรที่ค่อนข้างจะเสี่ยงสักนิดหนึ่ง โดยการควบคุมใกล้ชิดของเรา พูดง่าย ๆ ว่า เรานำให้เขาเห็น นี่แค่ประการเดียวเท่านั้น

ประการต่อไป จับเขาฝึกสมาธิ ถ้ากำลังใจมั่นคง ความกลัวจะน้อยลง และประการสุดท้ายให้เขารู้อย่างแท้จริงว่า ชีวิตนี้คืออะไร แล้วเขาจะเลิกกลัว ค่อย ๆ ไปทีละขั้น

เคยฝึกเด็กอยู่หลายคน รู้เลยว่าเด็กบางคนพื้นฐานจิตใจไม่เหมาะที่จะใช้งานในลักษณะนี้ เขากลัวจนฝังอยู่ในสายเลือด แก้ไขไม่ได้ ให้คนอื่นทำ คนอื่นทำได้แม้ว่าจะกลัว แต่พวกนี้มืออ่อนตีนอ่อน ทำอะไรไม่ถูกเลย

ถาม : แล้วคนธรรมดาจะสอนให้รู้จักกล้า ?
ตอบ : เหมือนกัน อันดับแรก ต้องทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจก่อน ตัวเรานั่นแหละที่จะต้องนำ เมื่อเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา ก็อยากเอาเป็นแบบอย่าง เลียนแบบในวีรบุรุษวีรสตรีในดวงใจของเขา ฉะนั้น...ต้องเริ่มที่เรา ทำให้เขาดู อยู่ให้เขาเห็น

เถรี
11-11-2010, 13:33
ถาม : เวลานั่งกรรมฐาน แล้วลุกขึ้นมาโดยไม่มีเวทนาเลย ต้องทรงฌานระดับไหนขึ้นไปจึงจะทำได้
ตอบ : แค่ปฐมฌานละเอียดก็ทำได้แล้ว

เถรี
11-11-2010, 16:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติ เกี่ยวกับการรู้เห็น อยากจะย้ำกับพวกเราอีกครั้งว่า การรู้เห็นเป็นเพียงของแถมเท่านั้น จิตที่สงบเหมือนกับน้ำที่นิ่ง พอน้ำนิ่งก็จะสะท้อนเงาสิ่งรอบข้างลงไปชัด ๆ เลย ถึงไม่ต้องการก็จะรู้เห็นเอง เพียงแต่ว่าจะมีสติสักเท่าไรในการรู้เห็น

ถ้าคล้อยตามเชื่อไปเลย ครั้งแรก ๆ จะใช่ แต่พอนานไป ๆ จะมีการทดสอบ สิ่งต่าง ๆ ที่เห็นก็จะไม่ใช่แล้ว ถ้าหากเรายังหลงตามอยู่ก็จะผิดทางไปเลย

เราจึงต้องมีสติอยู่เสมอว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นของแถมในการปฏิบัติ เป้าหมายที่แท้จริงของเราคือการหลุดพ้น คือความหมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้น..ถ้าหากยังมายึดติดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่ ก็จะไม่สามารถทำให้เราก้าวล่วงไปได้

เรื่องของการรู้เห็นไม่ต้องไปอยากมาก ทำไปเรื่อย ๆ ถ้าวิสัยเก่ามีอยู่ ถึงเวลาก็จะมาเอง"

เถรี
11-11-2010, 17:53
ถาม : พักหลัง ๆ จะไม่จับลมหายใจ สมาธิจะนิ่ง ๆ ตลอด พอนิ่งแล้วก็เฉย ๆ ทีนี้ควรจะทรงอารมณ์นานแค่ไหน ?
ตอบ : ถ้านิ่งไปสักระยะหนึ่งแล้ว รู้ว่าจิตสงบมีกำลังก็ถอยออกมาพิจารณา คือคลายออกมาสู่อารมณ์ปกติ เหมือนที่เราจะคุยกัน เพียงแต่ว่าหลับตาเพื่อป้องกันการฟุ้งซ่าน

แล้วก็พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนของร่างกายเรานี้ ที่มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ให้เห็นได้ในทุกอิริยาบถ พูดง่าย ๆ ว่าไม่ว่าไปไหนก็ให้เห็นทุกข์เอาไว้ ใจจะได้เบื่อและถอนออกมาจากความอยากได้ใคร่ดีต่าง ๆ

ถ้าไม่เบื่อ เราก็จะอยากเกิด อยากทุกข์ต่อ ฉะนั้น..เอาเบื่อให้ได้ก่อน พอเบื่อได้แล้วก็จะค่อย ๆ ปล่อยวางไปเอง

ถาม : ตอนนี้เบื่อมาก ๆ
ตอบ : รักษาความเบื่อไว้ ความเบื่อเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าไม่เบื่อเราก็ยังอยากเกิดมาทุกข์อีก เพียงแต่ว่าตอนรักษาความเบื่อ สภาพจิตเราต้องมีความฉลาดด้วย คือใช้ปัญญาประกอบไปด้วย จะช่วยตัดการเกิด ตัดชาติ ตัดภพได้

ถ้าเปรียบกับการเวียนตายเวียนเกิดที่นับชาติไม่ถ้วนกับชีวิตเรานี้ เวลาก็แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง พูดง่าย ๆ ว่ามีแค่ชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้นเอง เราหายใจเข้า..ไม่หายใจออกอาจจะตาย หายใจออก..ไม่หายใจเข้าอาจจะตาย

ในเมื่อถึงเวลาแล้ว โอกาสที่จะตายมีอยู่ตลอดเวลา โอกาสเราจะพ้นจากร่างกายนี้ไปได้มีอยู่ตลอดเวลา ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้ไม่ได้ ถ้ากำลังใจอยู่อย่างนี้ ก็จะเริ่มเป็นสังขารุเปกขาญาณ คือปล่อยวาง

ฉะนั้น..พิจารณาบ่อย ๆ ความเบื่อเป็นสิ่งที่ดี ต้องประคองไว้ แต่ขอบอกว่าถ้าอยากได้ อารมณ์นี้ก็จะหนี ไม่อยู่ด้วยแล้ว แต่พอไม่อยากได้ ก็จะอยู่นาน พอรู้ว่าเป็นของดี เราตั้งหน้าตั้งตาเก็บ ก็หนีไปแล้ว ไม่เอากับเราด้วย

เถรี
11-11-2010, 18:04
ถาม : พระคาถาเงินล้านที่ภาวนา ทีนี้จิตไม่ภาวนาไปด้วย ไม่ทราบว่า ผลของพระคาถาจะยังคุ้มครองอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : มีเป็นปกติเลยจ้ะ ถ้าเคยเกิดผลก็จะเกิดยาวไปเลย การภาวนาในปัจจุบันของเราเป็นแค่ส่วนที่ช่วยเสริมเท่านั้น เกิดผลแปลว่าพอแล้ว ถ้าหากว่าอยากได้มากกว่านั้น ต้องเสริมเข้าไป

ถาม : หมายถึงเสริมอย่างไรคะ ?
ตอบ : คือภาวนาเพิ่มไปทุกวัน

เถรี
12-11-2010, 00:37
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนทางเหนือ จะมีเชื้อสายของเจ้าเจ็ดตนอยู่ท่านหนึ่ง เขาเรียก "เจ้าน้อยค่ำคน" ค่ำคน ก็คือ แกล้งคน คำว่าน้อยก็คือ ผู้ที่บวชเณรแล้วสึกมา ส่วนผู้ที่บวชพระแล้วสึกมา เขาเรียกว่าหนาน

เจ้าน้อยค่ำคนจะตั้งร้านน้ำเอาไว้ มีกระบวยตักน้ำขนาดใหญ่กับขนาดเล็กอยู่ เจ้าน้อยจะแอบอยู่และมีลูกก๋ง ลูกก๋งทางเราเรียกว่าคันกระสุน

ถ้าหากว่าคนตักน้ำด้วยกระบวยใหญ่ กินไม่หมดแล้วเทน้ำทิ้ง เจ้าน้อยจะยิง ถ้าคนตักน้ำด้วยกระบวยเล็ก กินแล้วตักซ้ำอีก เจ้าน้อยก็จะยิง พอเขาโวยวายว่ายิงทำไม เจ้าน้อยก็จะบอกว่าเพราะไม่รู้จักประมาณตน หิวน้ำมากก็เอากระบวยอันใหญ่ตัก หิวน้ำน้อยก็เอากระบวยอันเล็กตัก ไม่ใช่ว่าหิวน้อยก็ใช้อันใหญ่ตัก หิวมากก็ใช้อันเล็กตัก ถ้าไม่รู้ตัวก็สมควรที่จะโดน

เจ้าน้อยสอนคนด้วยวิธีนั้น แสดงว่ามาสายพระโพธิสัตว์เต็ม ๆ ขนาดไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองเลย ยังพยายามจะสอนเขา"

เถรี
12-11-2010, 00:43
ถาม : ลายมือ (ลายเขียน) บอกลักษณะนิสัยคนได้ แล้วลายมือเด็กบอกได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ลายมือเด็กยังไม่มั่นคง เขายังมีเวลาที่จะสั่งสมและเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกระยะหนึ่ง ถ้าจะเอาให้แน่ ๆ ก็ต้องบรรลุนิติภาวะแล้ว อันนี้บอกได้แน่นอน

ขนาดหมอจีนเขาไปดูฮวงจุ้ยให้ที่วัดท่าขนุน เขาบอกว่าอาจารย์ลองเขียนชื่อให้เขาดูหน่อย พอเขียนให้เขาบอกว่า ท่านอาจารย์เป็นคนไม่เห็นแก่หน้าใคร รับคนเสมอกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง จะยากดีมีจนอย่างไรให้ราคาเท่ากันหมด จะไม่มีคนที่มีความสำคัญพิเศษ

เขาบอกว่าหลวงปู่สายอยู่กุฏิผิดที่ ไม่อย่างนั้นหลวงปู่จะอยู่ได้อีกนาน ตรงนี้ก็แค่ฟังไว้ เพราะหลวงปู่ท่านไม่อยู่แล้ว

ศาลาของวัดท่าขนุนที่ตั้งอยู่ในมุมนั้น ถนนที่เข้าด้านหน้าโบสถ์ ทำให้เงินทองรั่วไหลหมด เขาก็เลยให้เปลี่ยนและทำถนนเส้นใหม่เข้ามา ทางด้านหน้าโบสถ์ให้ปิดไว้

และแนวกุฏิที่สร้างไว้ในแดนสงบ เขาบอกว่าเราสร้างถูกแล้วแต่เนื่องจากพื้นที่จำกัด จึงสร้างลักษณะหลังพิงเขา แต่ด้านหน้าไม่มีช่องว่าง อยู่ติดน้ำเลย เขาบอกว่าเหมือนนกจะบินแล้วไม่มีที่ให้วิ่งก่อนตัว ก็เลยกลายเป็นว่ามีบริวารเยอะเสียเปล่า แต่ช่วยอะไรไม่ได้

อย่างไหนที่พอแก้ไขได้ตามเขาว่า เราก็ทำ ตรงไหนที่หมดปัญญา ก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรม..!

เถรี
12-11-2010, 15:48
ถาม : เดี๋ยวนี้เวลาหนูสวดมนต์ โดยเฉพาะคาถาเงินล้าน เหมือนกับความรู้สึกของตัวเองหายไป
ตอบ : ความรู้สึกหายไปเพราะ จิตของเราเริ่มเป็นสมาธิ แต่สติตามไม่ทัน พอเริ่มเป็นปฐมฌานหยาบ ความรู้สึกก็จะขาดเหมือนกับหลับไปเฉย ๆ ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตัวเองทำอะไร

ถาม : แก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : วิธีแก้ก็คือ เอาจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราทำ ถ้ามีลมหายใจเข้าออกก็ตามจี้ติด ๆ ไว้ ถ้าเผลอหลุดเมื่อไร ก็จะวูบไปเลย หรือไม่ตอนเราเปิดเทปฟัง พยายามตั้งสติไว้ที่หูว่าเราจะฟังให้ได้ทุกคำ ถ้าจิตเราจดจ่ออยู่ตรงนั้น ก็จะไม่หลับ เผลอถอยห่างออกมาเมื่อไรก็จะหลับ

ถาม : ถ้าเราฝึกโดยอยู่กับลมหายใจระหว่างวัน จะช่วยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้ ซ้อมให้มาก ๆ เข้าไว้ ถ้าจิตละเอียดขึ้นเราก็จะก้าวข้ามไปได้ ถ้าไม่ละเอียด ไปถึงตรงจุดนั้นเมื่อไรก็จะตัดหลับ

ถาม : แสดงว่าที่หนูพูดมา คือหลับไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จะเรียกว่าหลับก็ไม่ใช่หลับ พูดง่าย ๆ ว่าตัดหลับ ความจริงก็คือ จิตเริ่มเป็นสมาธิ แต่สติเราหยาบเกิน สติตามไม่ทัน ในเมื่อตามไม่ทัน โดนทิ้งห่าง เราก็เลยไม่รับรู้อะไร

เถรี
12-11-2010, 15:54
ถาม : บางทีเวลาหนูนั่งสมาธิ หนูเห็นภาพพระชัด แต่มีความรู้สึกเหมือนข้างในบอกว่า กำลังจะชัดนะ ๆ แล้วอยู่ ๆ ภาพก็หายไป หายได้เหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : การที่เราจะเห็นอะไร เราต้องส่งใจไปถึงตรงนั้นได้ เมื่อเราเองมาสนใจกับความชัดหรือไม่ชัด ก็คือ มาสนใจกับลูกตา พอสนใจกับลูกตา จึงเท่ากับเราดึงใจกลับมาที่ตัวเอง ภาพก็หายไปสิ...

นึกถึงตาเท่ากับเราดึงจิตเข้ามาที่ตัว แล้วจะไปเห็นอะไรเล่าจ๊ะ ? เพราะเท่ากับเราดึงจิตกลับมาที่ตัว ภาพก็หายแวบไปเท่านั้น

ถาม : ต้องปล่อยไปเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จะชัดหรือไม่ชัดไม่เป็นไร มีหน้าที่แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ ยิ่งไม่ใส่ใจจะยิ่งชัดมาก

เถรี
12-11-2010, 16:08
ถาม : ผมเคยเอาเรื่องพระอีกฝ่ายไปพูดกับพระอีกฝ่ายหนึ่ง อาจจะยุยงให้เขาแตกกัน ถ้าเขายังไม่แตกกันยังไม่เป็นสังฆเภทใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น แค่ชั่วเฉย ๆ..!

ถาม : ตอนผมบวช ผมมีพฤติกรรมที่ไม่ดี แต่ผมได้ไปละพฤติกรรมตอนนั้น และไปขอขมาพระพี่เลี้ยง ถ้าเกิดมีพระบวชใหม่ จะเอาพฤติกรรมผมไปทำตามเลียนแบบ เห็นผมทำได้ ก็เอาชื่อผมไปพูดบ้าง ผมจะมีโทษกับเขาได้ไหมครับ ?
ตอบ : เราเลิกแล้ว โทษของเราไม่มี

ถาม : แล้วเขาเอาชื่อผมไปพูด ?
ตอบ : การที่เขาเอาชื่อเราไปพูด อาจจะเกิดโทษทางโลก คือ เขาเห็นว่าเราเป็นพวกเดียวกัน เดี๋ยวเราจะซวยไปด้วย แต่โทษทางธรรมไม่มี เพราะโทษทางธรรม ใครทำคนนั้นก็ต้องรับไป

เรื่องของสังฆเภทนั้นเกิดได้ยาก ที่เกิดยากเพราะเขาต้องแยกกลุ่มเป็นสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างทำสังฆกรรมของกลุ่มตัวเอง ไม่ยอมลงสังฆกรรมร่วมกับอีกฝ่าย อย่างนั้นจึงจะเรียกว่าสังฆเภท ถ้าแค่ทะเลาะเฉย ๆ ไม่แยกกันตอนลงปาฏิโมกข์ ไม่ถือว่าเป็นสังฆเภท แต่โทษก็สาหัส แบบไม่ถึงกับประหารก็คงจำคุกตลอดชีวิตไปเลย..!

เถรี
12-11-2010, 16:19
ถาม : ในเรื่องสติ สติมันต้องไวมาก ขนาดที่ว่าเห็นทุกอย่างช้า..ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่จ้ะ..ถ้าหากว่าเห็นกิเลสยังเร็วอยู่ ก็จะสู้ไม่ทัน เราต้องเร็วกว่า ในเมื่อเราเร็วกว่ากิเลส ทุกอย่างก็เหมือนกับช้า

ถาม : ต้องเร็วกว่าจริง ๆ ประมาณว่า เวลาเคลื่อนไหว ต้องเห็นเป็นเหมือนภาพช้า ?
ตอบ : ใช่จ้ะ..ถูกต้องแล้ว

เถรี
13-11-2010, 00:39
ถาม : ถ้าเรานั่งสมาธิแล้วง่วง ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : มี ๒ อย่าง ถ้าฝืนได้ก็ฝืน หรือเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินแทน หรือไม่ก็ล้างหน้าล้างตา แล้วกลับมาลุยกันใหม่ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็นอนภาวนาไปเลย

เถรี
13-11-2010, 00:46
ถาม : อะไรที่ทำให้ตัวท่านเปลี่ยนใจจากการปรารถนาพระโพธิญาณ ?
ตอบ : ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะปรารถนาพระโพธิญาณ แต่เกิดจากการที่อาตมาติดตามหลวงพ่อมานาน ในเมื่อหลวงพ่อปรารถนาพระโพธิญาณ เราที่ตามมาทำหน้าที่ ก็เกิดใกล้เคียงกัน จึงเท่ากับเป็นพระโพธิสัตว์ไปโดยปริยาย เรียกว่าเป็นแบบตกกะไดพลอยโจน

ในเมื่อหลวงพ่อท่านเปลี่ยน อาตมาก็เลยเปลี่ยนบ้างเท่านั้นเอง

ถาม : จะเปลี่ยนเมื่อไรก็ได้ ?
ตอบ : ได้..อยู่ที่เราเอง ถ้าหากกำลังใจมั่นคง จะไปต่อเรื่อย ๆ ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าคิดว่าพอเสียที ก็เลิกได้
เพียงแต่ว่าถ้าสร้างมาเยอะแล้ว ต้องไปขออนุญาตพระพุทธเจ้าเพื่อเลิก ถ้าสร้างมาน้อยก็เลิกเองได้ จุดธูปขอลาต่อหน้าหิ้งพระเลย

ถาม : เมื่อไรก็ได้ ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้ก็ได้

ถาม : ของหนูยังต้องทำอีกไกลไหม ?
ตอบ : จะเท่าไรก็แล้วแต่ อยู่ที่เราชอบหรือไม่ชอบ ถ้าชอบก็ไปต่อเลย ไม่มีใครเขาว่า จะมากจะน้อยก็ทำไป ถ้าบารมีน้อยทำมากหน่อยเดี๋ยวก็มากเอง ถ้าบารมีมากอยู่แล้วทำอีกหน่อยเดี๋ยวก็เต็ม เท่านั้นเอง

ถาม : แล้วหนูควรทำสายไหน ?
ตอบ : สายไหนก็ทำไปเถอะ ลงท้ายที่นิพพานทั้งหมด

ถาม : ได้หรือคะ ไม่แย้งกัน ?
ตอบ : จะมีอะไรแย้งกัน ? ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระพุทธเจ้าสอนมาไม่มีแย้งกันแม้แต่นิดเดียว การที่บอกว่าสายนั้นสายนี้ เกิดจากครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือและปฏิบัติตาม แต่ว่าทั้งหมดมาจากพระไตรปิฎก มาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น

เถรี
13-11-2010, 00:52
ถาม : ที่การปฏิบัติของหนูติดขัดอยู่ เป็นเพราะดวงหรือเป็นเพราะกรรม ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอกจ้ะ เรามาสายพุทธภูมิเราเรียนเพื่อเป็นครูเขา การจะเป็นครูเขาได้ ต้องรู้ครบถ้วนทุกอย่างจึงจะสอนเขาได้ เพราะฉะนั้น..อะไรที่คนอื่นกระทำได้ไม่ติดขัด เราเองจะยากกว่าเขาอย่างน้อยสี่เท่า..!

ถาม : อย่างน้อยหรือคะ ?
ตอบ : ใช่..เพราะถ้าไม่มีข้อบกพร่องอะไรให้เราได้ศึกษาเรียนรู้เลย แล้วคนอื่นเขาบกพร่องมา เราจะสอนเขาได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น..จึงต้องลำบากกว่าคนอื่นเขาทุกเรื่องแหละ

ถาม : เป็นบททดสอบหรือคะ ?
ตอบ : จะว่าเป็นบททดสอบก็ใช่ จะว่าเป็นการศึกษาความรู้ก็ใช่ ถึงเวลาจะได้นำไปสอนคนอื่นเขาต่อไป ถ้าโดนมาไม่ครบทุกแง่ทุกมุม จะทำให้สอนเขาได้ไม่ทั่ว

ถาม : จะถึงอีกเมื่อไร ?
ตอบ : ถ้าเราเร่งสร้างในส่วนที่เป็นบุญใหญ่จะเร็วขึ้น ถ้ายังปล่อยเรื่อย ๆ ก็ช้าอยู่ เพราะฉะนั้น..ไม่มีใครบอกได้แน่ ๆ

ถาม : ส่วนใหญ่ที่ต้องทำคือในเรื่อง..?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ ในส่วนของบุญใหญ่เช่น อาจจะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่มหึมา หรือทำการสังคายนาพระไตรปิฎกอะไรทำนองนั้น

ถาม : ก็มีร่วมสร้างกับเขา
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ ร่วมสร้างเองก็ได้ หรือกำลังพอก็ทำเอาเองเลย วิ่งใส่บุญทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่อย่าทิ้งการภาวนา เพราะการภาวนาเป็นบุญใหญ่ที่สุด

เถรี
13-11-2010, 13:07
ถาม : ตอนนี้โยมมาถูกทางหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ายังไม่พ้นกรอบของศีล ๕ ก็มาถูก ฉะนั้น..เราต้องรักษาศีลพร้อมกับการภาวนา ไหลตามโลกไปก็อย่าให้เกินกรอบของศีล ถ้าไปตรงไหนแล้วเขาบอกว่าจำเป็นต้องละเมิดศีล เราก็ไม่ไปด้วยหรอก

ถาม : คือ เราควรจะเลือกใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย ถ้าหากเป็นในหน้าที่การงานต่าง ๆ ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ก็ใช้คำว่าปฏิสัมพันธ์กันให้น้อยที่สุด เพื่อรักษาอารมณ์ใจของเรา ถ้าหากไม่ใช่ในเรื่องของหน้าที่การงาน เราจะหลีกคนเลี่ยงคนอย่างไรก็อยู่ที่เรา

คนอื่นอาจจะว่าเราถือเนื้อถือตัว หรือเก็บตัวก็ช่างเขา รอกำลังใจให้เข้มแข็งกว่านี้ค่อยไปว่ากันอีกที

ถาม : ตอนนี้ก็ไม่ได้ผิดศีลอะไร
ตอบ : ตราบใดที่ยังรักษาศีลได้ก็ยังไม่ผิด ผิดอยู่อย่างเดียว คือ ยังไม่บรรลุมรรคผล..!

ถาม : หนูมีอะไรที่เป็นมิจฉาทิฏฐิบ้าง ?
ตอบ : ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงมรรคผล ความเป็นมิจฉาทิฏฐิมีอยู่ทุกคน มีมากมีน้อยเท่านั้น เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปกังวลหรอก เราใช้ศีลเป็นกรอบ ใช้สมาธิเป็นเครื่องช่วยเหลือ ท้ายสุดก็ใช้ปัญญา

ดูว่าสิ่งไหนเป็นความดีอย่างแท้สุดหรือเปล่า อันไหนเป็นความดีแท้เราก็ทำเข้าไป อันไหนไม่ดีแท้ก็พยายามละ พยายามวาง

ถาม : ที่มีติดขัดก็คือเรื่องเงิน
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้เอาไว้แล้ว คาถาเงินล้าน ภาวนาคาถาเงินล้านแทนคำภาวนาอื่นไปก่อน อย่างน้อยให้ได้วันละ ๑๐๘ จบทุกวัน ถ้าทำได้สม่ำเสมอสองเดือนติดกัน ทุกอย่างจะคล่องตัวเอง เพราะในคาถาเงินล้านมีตั้งแต่ปัดอุปสรรค รักษาทรัพย์ ฯลฯ

เถรี
13-11-2010, 17:50
ถาม : จิตลึก ๆ ยังอยากจะช่วยคนอยู่
ตอบ : ให้ทำได้เท่าที่ทำได้ ดูด้วยว่าอย่าทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน คือ อย่าให้เกินกำลัง นั่นแหละเขาเรียกว่า ทำแบบคนมีปัญญา ถ้าคิดจะช่วยโดยที่ไม่ได้ดูว่าตัวเองเดือดร้อนหรือเปล่า อันนั้นปัญญาน้อยไปหน่อย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จำไว้ว่าอย่าอยากดีจนเกินไป อยากดีก็ไปสำนักนั้นบ้าง สำนักนี้บ้าง ไปเรื่อย ๆ เราอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติไปเรื่อย แล้วก็ทำไปไม่ถึงไหนเลย

ยึดหลักอะไรให้ได้สักอย่าง แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไปเลย จะได้เร็ว ทางลัดไม่มี คนช่วยให้เราทำได้ไม่มี มีแต่ต้องใช้ความพยายามตัวเองเท่านั้น เพราะฉะนั้น..ที่ไหนเขาบอกว่ามีทางลัด สามารถที่จะลัดหนทางได้ ช่วยให้บรรลุเร็ว ๆ ได้นี่อย่าไปเชื่อ ถ้าหากช่วยอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าท่านช่วยเราไปหมดแล้ว

ถาม : แล้วเรื่องสัญญา จะช่วยคนได้ไหม ?
ตอบ : อาตมาไม่เอาอะไร เพราะถือว่าเลยไปแล้ว เสียเวลาไปคิด ตั้งหน้าตั้งตาทำปัจจุบันให้ดี อนาคตดีแน่นอน มัวแต่ไปติดสัญญาอยู่ จะเอาตัวไม่รอด

ถาม : เรื่องคู่บารมี ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ จะช้าจะเร็ว ก็จะมีไปเองจ้ะ ถึงเวลาวาระบุญ วาระกรรมจะส่งมาเอง ไม่ต้องไปเสียเวลาไปดิ้นรนไขว่คว้า

ถาม : ตอนนี้ยังไม่มีเลย
ตอบ : ไม่มีเลยแหละดี

ถาม : อยากจะให้มีก็ไม่ใช่
ตอบ : อย่าหวังพึ่งคนอื่น ถ้าหวังพึ่งคนอื่นเดี๋ยวก็ไปคว้าเอาคู่มา จะไปไหนไม่รอด ตั้งหน้าตั้งตาทำของเราให้เต็มที่ เดี๋ยวทุกอย่างจะมาเอง

เถรี
14-11-2010, 00:16
ถาม : ไม่มีใครช่วยใคร ต้องทำด้วยตัวเอง ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเลย สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย คนจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตัว บุคคลหนึ่งจะทำให้อีกบุคคลหนึ่งบริสุทธิ์นั้นไม่ได้ ต้องทำเอง

ถาม : เรื่องผู้ชาย ถ้าไม่มีจะดีใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เรื่องผู้ชาย ถ้าเข้ามาเมื่อไรจะยุ่งเมื่อนั้น ยกเว้นเราตั้งใจจะให้เขาเป็นเนื้อคู่ เพราะผู้หญิงกับผู้ชาย โอกาสที่จะอยู่ด้วยกันโดยไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องเป็นไปได้ยาก เดี๋ยวกระแสกรรมจะชักนำให้เสียไปเปล่า ๆ

จำไว้ว่าอย่ากลัวการอยู่คนเดียว ถ้ามัวแต่กลัวอยู่ กลายเป็นตัดสินใจผิด ๆ พลาด ๆ เดี๋ยวจะเดือดร้อนไปเอง ส่วนใหญ่จะไปคิดว่า เดี๋ยวแก่ไปไม่มีใครดูแล เจริญ...กลายเป็นแก่แล้วต้องไปดูแลเขา จะซวยซ้ำซวยซ้อน

ถาม : คู่บารมีนี่ไม่มีใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีก็หาได้ บอกแล้วว่าบุพเพสันนิวาส เขาเรียกว่าคู่บารมี คือมาตั้งแต่ชาติก่อน ส่วนอีกอย่างคือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ในเมื่อไม่มีในอดีตเราก็หาในปัจจุบันได้

นี่แสดงว่าสู้แม่ชีที่วัดไม่ได้ แม่ชีสมศรีน้ำหนักประมาณร้อยกิโลกรัม สึกไป เราก็ถามว่า "เอ็งอ้วนขนาดนี้จะสึกไปทำซากอะไร มีผู้ชายที่ไหนจะมาแต่งด้วย ?" เขาบอกว่า "แค่ผู้ชาย..เดินรอบตลาดรอบเดียวก็หาได้แล้ว..!"

เขาไปเดินพักเดียวพามาจริง ๆ อะไรจะมั่นใจตัวเองได้ขนาดนั้น แล้วเขาก็แต่งงานอยู่กินกันมาจะสิบปีแล้ว ตลกมากเลย..ตอนแรกอาตมาก็นึกว่าเขาพูดเล่น

ถาม : แต่ลึก ๆ ของหนูคิดว่าเป็นห่วง
ตอบ : เดี๋ยวก็แพ้ใจตัวเอง โอกาสที่เราจะมีปัญญา มีกุศลกรรม เห็นทุกข์ของการครองคู่นั้นน้อย ส่วนใหญ่มีแต่อกุศลกรรมจะกระหน่ำซ้ำเติมให้เราคิดผิด ทำผิด

ลองดูคนรอบข้างเราสิ เขาแต่งงานไป กี่คู่ที่มีความสุข ? คู่ไหนที่ไม่ทะเลาะกันบ้างไหม ? คู่ไหนที่ไม่บ้านแตกสาแหรกขาด ? โดยเฉพาะคนสมัยนี้ความอดทนน้อย หม้อข้าวยังไม่ทันจะดำเลย เลิกกันแล้ว..!

สมัยนี้ดันไปเล่นไมโครเวฟ ก็เลยไม่ทันดำจริง ๆ ก็หย่ากันแล้ว...ไปได้แล้ว เลิกคุย มัวแต่ไปวิตกกังวลอยู่ เสียเวลาทำมาหากิน ไปนั่งภาวนาดีกว่าไป จะได้บรรลุเร็วหน่อย..!

ถาม : ถ้าลาพุทธภูมิจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าลาเรื่องยุ่ง ๆ ข้างนอกจะลดน้อยลง แต่การปฏิบัติก็ยังคงมาแบบเดิม คือไปช้ากว่าคนอื่นเขา

เถรี
14-11-2010, 20:42
ถาม : อากาสานัญจายตนะกับอากิญจัญญายตนะ ต่างกันอย่างไรครับ เพราะว่าว่างเหมือนกัน ?
ตอบ : อากาสานัญจายตนะว่างเพราะเราจับความว่างของอากาศ อากิญจัญญายตนะว่างเพราะเราใช้ส่วนหนึ่งปัญญาพิจารณาเห็นว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือ

พวกที่ถามโดยไม่ทำนี่นอกจากจะปัญหามากแล้ว ในเมื่อตัวเองทำยังไม่ถึง ถามไปแล้วก็ลืมหมด..!

เถรี
14-11-2010, 21:07
พระอาจารย์กล่าวถึงตำแหน่งของกุฏิเจ้าอาวาสว่า "กุฏิเจ้าอาวาสควรอยู่ตำแหน่งหลังซ้ายของพระประธาน และพระประธานหันหน้าทิศตะวันออกเท่านั้น

ถ้าจะเอารวย กุฏิเจ้าอาวาสควรอยู่ด้านหลังซ้ายของพระประธาน ถ้าจะเอาดัง ก็อยู่หน้าซ้ายหรือหน้าขวาของพระประธาน ได้สามมุมนี้เท่านั้น นอกนั้นไม่เหมาะสักมุม เพราะมีแต่ทิศโจร ทิศปาราชิก ทิศทุคตะ ทิศมรณะ ทิศกาลกิณี"

แต่ว่าตำราของหลวงพ่อต่างกับตำราอื่น โดยเฉพาะมุมรวยนี้ตรงกันข้ามเลย มุมรวยตามแบบของหลวงพ่อนั้น ตำราอื่นเขาว่าอยู่แล้วจน..!

เถรี
14-11-2010, 21:14
ถาม : เนวสัญญานาสัญญายตนะก็เป็นสัญญา ?
ตอบ : เป็นการใช้กำลังของสมาธิบังคับร่างกาย เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมาก็ทำเป็นเหมือนกับไม่รู้สึก

ถาม : ทุ่มเทกำลังสมาธิไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือครับ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้เอง ประเภทที่หมอผ่าตัดแล้วไม่ร้องโอ๊ยก็ใช้ได้ ไม่อย่างนั้นคนไม่เคยกินแล้วมาถามว่า อาหารนี้รสเป็นอย่างไร ? ตอบไปก็เหนื่อยเปล่า..!

เถรี
14-11-2010, 21:39
ถาม : คาถาเงินล้านมีผลในด้านใด ?
ตอบ : มีความคล่องตัวในทุกเรื่องจ้ะ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่

ถาม : หน้าที่การงานติดขัดมาก
ตอบ : ไปทำเอา..ถ้าทำจริง ๆ ภายในสองเดือนได้ผลแน่

ถาม : มีคำแนะนำ ?
ตอบ : ไม่มี ทำอย่างเดียว อย่าเสียเวลาถาม

เถรี
14-11-2010, 22:53
ถาม : พ่อผมเขาเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ท่านก็บอกผมว่าจะไปผ่าตัด แล้วก็พูดในทำนองสั่งเสีย ผมก็เลยแนะนำท่านว่า ให้ท่านไปลองรักษาด้วยวิธีอื่น แต่ท่านก็ปฏิเสธ กระผมควรจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ปล่อยท่านไป บอกว่าทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ผมให้หมด ถ้าจะผ่าก็ผ่าไปเถอะ ผมจะไม่ไปดูดำดูดีเลย..!

ในเมื่อท่านไม่เชื่อ แนะนำไปจะมีประโยชน์อะไร เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว จำเอาไว้ให้แม่น ๆ ทำหน้าที่ไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าล้มเหลว เราได้ทำแล้ว นั่นแหละคือความสำเร็จ

เถรี
14-11-2010, 23:35
ถาม : ทำไมฤกษ์ยามจึงเกี่ยวข้องกับชะตา ?
ตอบ : เหมือนกับการข้ามถนน ถ้าเราข้ามถนนตอนรถว่าง ๆ ก็เดินข้ามได้อย่างสบายใจ ถ้ารถมาเยอะ ๆ ข้ามไม่ดีก็อาจจะโดนรถชนกองอยู่ตรงนั้น

ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้เกี่ยวกับวาระบุญวาระกรรม ส่วนใหญ่ฤกษ์ยามเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ที่เขาดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่าง ๆ การเคลื่อนที่ของดวงดาวมีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์ โดยเฉพาะมีอิทธิพลต่อมนุษย์เป็นปกติอยู่แล้ว

เราดูแค่ว่าดวงจันทร์อย่างเดียว ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงได้ แม้กระทั่งผู้หญิงก็มีรอบเดือนใน ๒๘ วัน ตามการโคจรของดวงจันทร์ เพราะฉะนั้น..ดาวทุกดวงมีอิทธิพลต่อพวกเราอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรารู้หรือไม่รู้เท่านั้น

พวกบรรดาโหราศาสตร์เขาเก็บสถิติเรื่องนี้ต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี แล้วบัญญัติเป็นโหราศาสตร์ ถามว่าเชื่อถือได้เท่าไร ? เต็มที่ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องชำนาญจริง ๆ ถ้าพวกไม่ชำนาญ เดามั่ว เชื่อได้สัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าเก่งแล้ว

สาเหตุที่บอกว่าเกี่ยวข้อง ก็คือ ถ้าเลือกจังหวะที่ดีที่เหมาะสม เหมือนกับว่าได้รับการหนุนเสริมจากกำลังของดวงดาวพวกนี้ สิ่งที่เราทำก็จะสะดวกและเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าเลือกจังหวะผิด เหมือนกับเราไปต้านเขาพอดี แทนที่จะไปตามน้ำ ก็ไปเดินทวนน้ำ เราก็จะเหนื่อย ลำบาก ถ้าหากกำลังไม่เข้มแข็งพอ ทุนไม่ยาวพอ อาจจะหมดสภาพเสียก่อน

เถรี
15-11-2010, 00:02
ถาม : พวกที่ขโมยของวัด เทวดาที่อยู่ประจำวัด ทำไมท่านจึงไม่ช่วย ?
ตอบ : เทวดาท่านไม่ได้มีหน้าที่ป้องกันขโมยนะจ๊ะ ป้องกันขโมยเป็นหน้าที่ตำรวจ เทวดายอมรับกฎของกรรมมากกว่าเราเยอะ ถ้าเจ้าอาวาสไม่มีการบวงสรวงบอกกล่าวแสดงซึ่งความเคารพนับถือ และขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ เทวดาท่านก็จะปล่อยวางให้เป็นไปตามวาระของกรรม

แต่ถึงจะมีการขอให้ช่วยสงเคราะห์ก็ตาม ถ้าเป็นวาระกรรมจริง ๆ ท่านก็ไม่ยุ่งเกี่ยว ต้องปล่อย แต่ถ้าไม่ใช่วาระของกรรมหนัก สามารถสงเคราะห์ผ่อนหนักเป็นเบา ผ่อนเบาเป็นหายได้ ท่านก็จะช่วย

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาสคนเดียว ถ้าเจ้าอาวาสไม่ให้ความเคารพ ไม่มีการบวงสรวงบอกกล่าวขอให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมอง ไม่มีการบอกแขกช่วยแบกหาม แขกก็นั่งมองอย่างเดียวเท่านั้น

เถรี
15-11-2010, 10:03
ถาม : ผมอยากรับยันต์เกราะเพชรที่บ้าน ต้องทำอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : มีงานเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ นี้ พอถึงเวลาประมาณ ๑๐ โมงเช้า ให้ตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย กราบพระสวดมนต์แล้วอธิษฐานว่า สิ่งใดที่พระท่านสงเคราะห์มา เราขอรับทั้งหมด และภาวนาพุทโธสักครึ่งชั่วโมง

เถรี
15-11-2010, 12:19
ถาม : ระหว่างวันที่เป็นอมฤตโชค วันมหาเศรษฐีฤกษ์ และวันสิทธิโชค ควรจะเปลี่ยนชื่อวันไหนดีครับ ?
ตอบ : เปลี่ยนวันไหนก็ได้ ไม่ต้องดูฤกษ์หรอก อ้อ..ดูเอาไว้นิดก็แล้วกันว่า อย่าให้ตรงวันเสาร์อาทิตย์ เจ้าหน้าที่เขาไม่มาทำงาน..!

ถาม : แล้วการเปลี่ยนชื่อกับความสำคัญของแต่ละวัน ไม่เท่ากันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : การเปลี่ยนชื่ออาตมายังไม่เห็นว่าสำคัญเลย ถึงเปลี่ยนไปเพื่อนก็ยังเรียกแต่ชื่อเก่า..!

มีโยมคนหนึ่งเปลี่ยนชื่อมา ๔ ครั้งแล้ว ยังไม่ดีสักทีหนึ่ง แล้วมาถามว่าเป็นเพราะอะไร ทั้งที่อุตส่าห์ไปดูชื่อที่ถูกโฉลกที่สุดแล้ว อาตมาจึงบอกว่า "เอ็งเลิกเปลี่ยนชื่อ แต่ไปเปลี่ยนความประพฤติ เปลี่ยนสันดานแล้วจะดี..!" เขาเปลี่ยนชื่อแล้วแต่ยังสันดานเสียเหมือนเดิม แล้วจะไปเอาดีได้อย่างไร

เถรี
15-11-2010, 17:24
ถาม : ทำไมบางคนตายแล้ว ศพบางคนแข็ง บางคนก็ไม่แข็ง ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามหลักการแพทย์ คนที่ตายสบายไม่มีความทุกข์ทรมาน กล้ามเนื้อจะไม่เกร็งตัว คนไหนเจ็บปวดทรมานมาก กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งก็แข็งเร็ว นี่ว่ากันตามหลักแพทย์ เรื่องอื่นอย่าว่ามาก เดี๋ยวจะฟุ้งซ่านกันไปใหญ่

ถาม : เห็นเขาว่า คนที่ตายแล้วศพไม่แข็งเป็นคนที่มีบุญ คนที่แข็งก็มีบุญไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายมีความเจ็บปวดหรือเปล่า ถ้าเจ็บปวดมาก กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งก็แข็งตัวเร็ว

เถรี
15-11-2010, 17:34
หลังจากหลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพไป ๙๖ วัน อาตมาทำความสะอาดเปลี่ยนผ้าครองให้ท่าน ตั้งใจว่าทำเป็นครั้งสุดท้าย ก็จะผนึกโลงไปเลย พอครบร้อยวันจะได้อัญเชิญท่านไปที่วิหารร้อยเมตร

ปรากฏว่าหมวดบัง (ร้อยตรีนที ทนุวงษ์) เห็นว่าหมอนที่หนุนหลวงพ่ออยู่ไม่น่าดู จะเปลี่ยนใบใหม่ให้ เขาก็ดึงหมอนออก คิดว่าหลวงพ่อคงจะค้างแข็ง ที่ไหนได้..หลวงพ่อหงายคออ่อนพับลงไป

เขาก็ร้องตกใจ "เฮ้ย..!" เราก็ถามว่า "อะไรของมึงวะ ?" "ตกใจ..คิดว่าป๋าหัวหลุด" เราสามารถจะยกแขนยกขาท่าน ทำความสะอาดได้เหมือนคนปกติ เพียงแต่ว่าปลายนิ้วของท่านจะดำ ๆ เหี่ยว ๆ และปลายจมูกจะเหี่ยว ๆ หน่อย นอกนั้นลักษณะท่านเหมือนคนนอนหลับปกติ นับว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะผ่านไปตั้ง ๙๐ กว่าวันแล้ว

อาตมามีโอกาสเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงพ่อ ตั้งใจว่าวันสุดท้ายแล้ว เราจะหาผ้าอย่างดีที่สุดที่เรามีมาเปลี่ยน อาตมาไปได้ผ้าไตรแพรราคา ๗,๕๐๐ บาทมา ก็ย่อง ๆ จะไปเปลี่ยนให้ ปรากฏว่ามีนักเลงดีเดินตามมา

เราก็หันไปดู เห็นเขานำผ้าไตรใส่พานมา "เฮ้ย..ผ้าไหมหรือ ?" เขาบอกว่า "ครับ..ไหมโคราช ราคาสองหมื่นครับ..!" อาตมาจึงต้องยกสิทธิ์ให้เขาไป นำผ้าไหมเขาไปเปลี่ยนให้หลวงพ่อ แต่เรื่องอะไรเราจะยอม ในเมื่อตั้งใจมาถวายแล้ว เราก็เอาผ้าของเราปูผืนหนึ่ง ห่มให้ท่านผืนหนึ่ง

ความจริงคนที่น่าจะมีผ้าครองหลวงพ่อมากที่สุด น่าจะเป็นหลวงพี่ประทีป หลวงพี่ประทีปเก็บผ้าครองอย่างดีเลย พับ ๆ ใส่ถุงปุ๋ย เย็บปากไว้เลย เพราะมีการเปลี่ยนผ้าครองให้หลวงพ่อทุกวัน เป็นเวลาตั้ง ๙๐ กว่าวัน

ปรากฏว่าตอนที่น้ำท่วมวัด หลวงพี่ประทีปให้คนไปทำความสะอาด คนทำความสะอาดเห็นกระสอบเละ ๆ มีแต่จีวรเปื้อนโคลน เขาก็เลยเอาไปทิ้ง หลวงพี่ประทีปเจอหน้าก็บ่นแหลก "กูไม่น่าปล่อยให้พวกโง่ไปทำความสะอาดกุฏิเลย เอาของกูไปทิ้งหมด" (หัวเราะ)

เถรี
16-11-2010, 03:31
ถาม : พระชำระหนี้สงฆ์ที่ปิดทอง คนที่มาร่วมบุญกับเราก็จะได้อานิสงส์เหมือนกันทุกคน แต่ถ้าพระองค์นั้นไม่ได้ปิดทองละครับ คนที่เขามาร่วมกับเราจะได้อานิสงส์หรือไม่ ?
ตอบ : เขาได้อานิสงส์สร้างพระ แต่ไม่ได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ ถ้าไม่ได้ปิดทอง เจ้าภาพได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์เพียงคนเดียว

ถาม : ถ้าการสร้างพระนั้นไม่ได้ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ จะมีอานิสงส์อัตโนมัติหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องตั้งใจด้วย อย่าลืมว่า เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ เจตนาเท่านั้นจึงจะเป็นบุญ

ถาม : ถ้าเราไปร่วมกับเขา แล้วเจ้าภาพเขาไม่ได้ตั้งเจตนาตรงนี้ไว้ ?
ตอบ : ในเมื่อเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร เราก็ตั้งเจตนาเองได้

เถรี
16-11-2010, 03:34
ถาม : สมมติว่ามีคนได้รับการพยากรณ์ว่าเป็นพระโสดาบัน กำลังท่านจะมีโอกาสถอยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระโสดาบันไม่ถอยแล้ว สมาธิหลุดได้ แต่ว่ากำลังใจไม่มีตกต่ำแน่นอน แต่อย่าลืมว่าการพยากรณ์เป็นหน้าที่พระพุทธเจ้าเท่านั้น

ฉะนั้น..ใครพยากรณ์มา ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถือว่าผิดมารยาท ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า อย่าเพิ่งเชื่อ

เถรี
16-11-2010, 03:46
ถาม : สิ้นเดือนนี้จะมีสอบ ท่านมีข้อคิดอะไรบ้างไหมคะ ? ปกติภาวนานะมะพะธะอยู่
ตอบ : ถ้าสอบต้องใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์จ้ะ

ถาม : ไม่เคยได้ยินค่ะ
ตอบ : คาถาท่านปู่พระอินทร์ ท่านให้ว่า สะหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสธายิ ถึงเวลาก็ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ช่วยให้เรามีความคล่องตัวในการสอบ

ถ้าเป็นข้อเขียนท่านให้คว่ำกระดาษลง อย่าเพิ่งดูคำถาม ว่าคาถาสัก ๓ จบ อธิษฐานเสร็จเรียบร้อยก็เปิดอ่าน ถ้าหากยังทำได้ไม่หมด ให้คว่ำลงว่าคาถาอีก ๗ จบ คราวนี้นึกอยากจะเขียนอย่างไร ให้เขียนไปอย่างนั้น

ถาม : เฉพาะข้อเขียนใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จ้ะ..ถ้าเป็นสัมภาษณ์ก็อธิษฐานขอให้มีความคล่องตัว

เถรี
18-11-2010, 11:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "จนป่านนี้น้อยคนที่จะรู้ว่าทำไมเขาจึงกำหนดอายุเทวดานพเคราะห์ไว้เท่านั้นเท่านี้ อย่างเช่น อาทิตย์มีกำลัง ๖ จันทร์มีกำลัง ๑๕

เขาเชื่อว่าพระพรหมสร้างเทวดานพเคราะห์ขึ้นมา อย่างเช่นว่า ใช้ราชสีห์ ๖ ตัว สร้างเป็นพระอาทิตย์ พระอาทิตย์จึงมีกำลัง ๖ ใช้นางฟ้า ๑๕ ตน สร้างเป็นพระจันทร์ พระจันทร์จึงมีกำลัง ๑๕

ดังนั้น..ส่วนใหญ่กำลังดาวนพเคราะห์จึงเป็นไปตามสิ่งที่นำมาสร้าง ว่าเอามาเท่าไร โบราณเขาได้ผูกไว้เป็นโคลงว่า

อาทิตย์หกต่อตั้ง........พรรษา
จันทร์สิบห้าคณนา......นับได้
อังคารแปดพุธา.......สิบเจ็ด
เสาร์สิบกำหนดให้......โลกรู้ กำลัง

พฤหัสบดีสิบเก้า...........สืบสนอง
อสุรินทร์สิบสอง................เช่นชี้
ศุกร์ยี่สิบเอ็ดกอง...กอปรเกตุ เก้านา
ทวยเทพนพเคราะห์นี้......ท่านเลี้ยง รักษา

เขาบอกเอาไว้ชัด ๆ เลย โดยเฉพาะถ้าเราศึกษาเรื่องโหราศาสตร์ จะพบว่าดาวราหูไม่มี เพราะราหูก็คือโลกเราเอง ดาวราหูจึงกลายเป็นดาวนพเคราะห์เทียมตามหลักโหราศาสตร์ ก็คือ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง

สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาโหราศาสตร์ ถ้าพูดไปก็จะไม่เข้าใจ ให้เข้าใจแค่ว่ากำลังของดาวนพเคราะห์ เกิดจากการที่เขาเอาสิ่งต่าง ๆ มาสร้าง อย่างเช่น ใช้กระบือ ๘ ตัวสร้างพระอังคาร พระอังคารก็เลยมีกำลัง ๘ เป็นต้น"

ถาม : แล้วคนที่เกิดวันอังคารเหมือนกระบืออย่างไรครับ ?
ตอบ : อึด ถึก และบึกบึน..!

ถาม : กระบือไม่โง่ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่โง่ เป็นบุคคลที่รักสงบต่างหาก น่าจะไปนิพพานได้ง่าย เพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาอาละวาดขึ้นมา คนก็จะตายเสียเปล่า ก็เลยต้องยอม ๆ ให้คนใช้งานไป

เถรี
18-11-2010, 11:49
ถาม : แต่ก็แปลกนะครับ คนเกิดวันไหนก็เป็นไปตามบุคลิกลักษณะนั้น ๆ
ตอบ : บอกแล้วว่าเป็นสถิติ พราหมณ์เขาเก็บสถิติมาต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี พอเก็บสถิติได้มากพอ ก็สรุปออกมาเป็นศาสตร์ บรรดาพราหมณาจารย์เขาสรุปออกมาเป็นโหราศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง แยกต่างหากออกมาจากดาราศาสตร์

ถ้าว่ากันตามหลักของพระพุทธศาสนาก็คือ บุคคลที่ทำบุญทำกรรมกันมาใกล้เคียงกัน ก็จะเกิดในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน ฉะนั้น..สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิตเขาก็จะเกิดคล้าย ๆ กัน เต็มที่ก็จะใกล้เคียงกันสักประมาณ ๖๐ เปอร์เซ็นต์

ยกเว้นท่านที่ได้ทิพจักขุญาณ ก็จะสามารถรู้ได้แม่นยำถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะจะมีพวกนอกเหตุเหนือผลสัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างเช่น พวกที่เลือดบ้าเยอะ ถึงเวลาแล้วก็ฝืนดวง

เถรี
18-11-2010, 11:50
ถาม : เรื่องกฎของกรรม ถ้าเราเข้าไปบ่ายเบี่ยงกฎของกรรม เราต้องรับผลประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ ?
ตอบ : ไปเบี่ยงกรรมของเขาประมาณ ๑ ส่วน ก็จะได้รับเองประมาณ ๑๐ ส่วน

ถาม : ผมฟังผิดหรือเปล่า ทำไมผลมันเยอะขนาดนั้น ?
ตอบ : เพราะอย่างนี้จึงได้เป็นเรื่องที่น่าทำ ทำหนึ่งได้สิบ หายากนะ..!

เถรี
18-11-2010, 11:55
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยอยู่วัดท่าซุง ตอนที่เดินบิณฑบาตแถวบ้านหัวตะพาน ซึ่งห่างจากวัด ๒-๓ กิโลเมตร มีชาวบ้านเขาหิ้วตะกร้ามาพร้อมกับข้าวต้มมัด ๔๐ มัด พอเขาใส่บาตรมาเราก็หิ้วไป

เดินบิณฑบาตไปบ้านที่สอง เขาก็มีตะกร้าพร้อมกับข้าวต้มอีก ๔๐ มัด เราก็ร้อง "เฮ้ย..!" พอเขาเห็นเราร้องเฮ้ย เขามองดูจึงเข้าใจ บอกกับเราว่า "เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ค่อยถวายครับ" เขาก็หิ้วไปเก็บ


เราจึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ? เขาบอกว่า "หลวงพ่อธรรมจักรมาเข้าฝัน ใครที่มีลูกหัวปีเป็นผู้ชาย ให้ถวายข้าวต้มมัด ๔๐ มัด ไม่อย่างนั้นจะเกิดอันตรายแก่ลูกตัวเอง"

อาตมาอยู่วัดท่าซุงมาหลายปี หลวงพ่อธรรมจักรท่านเข้าฝันชาวบ้านหลายรอบเหมือนกัน เขาก็ทำตามกันทั้งเมือง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านเข้าฝันบอกว่า ให้ไปขอเงินเขาคนละหนึ่งบาท ให้ได้ ๒๙ บาท แล้วนำไปถวายพระเป็นสังฆทาน ให้ทำเฉพาะสำหรับคนเกิดปีมะ อย่างเช่น มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม เป็นต้น"

เถรี
18-11-2010, 12:02
ถาม : หลวงพ่อธรรมจักรคือใคร ?
ตอบ : หลวงพ่อธรรมจักรเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่วัดธรรมมูล เขาว่าท่านลอยน้ำมา เป็นพระรูปยืน สูงประมาณ ๑ เมตร ๘๐ ซม.ได้

ถาม : ท่านเข้าฝันคนเดียวหรือว่าหลายคน ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน แต่คนเขาเชื่อมาก เพราะท่านขลังจริง ๆ เท่าที่สังเกตทุกครั้ง วิธีแก้ไขของท่านก็คือให้คนทำบุญ ประเภทไปขอเงินเขา บังคับให้ขอคนละบาทเท่านั้น เกินกว่านั้นไม่ได้ ก็แปลว่าต้องไปขอเขาอย่างน้อย ๆ ๒๙ คน

อันดับแรก ได้ทานเพราะให้เงินเขา อันดับสอง คนขอเอาเงินไปถวายสังฆทาน ก็มีบุญอีกรอบหนึ่ง อีกประการคือ คนขอต้องลดมานะตัวเอง จึงไปขอเขาได้ ดูลีลาของท่าน มีลีลาการสอนแบบพระจริง ๆ

เขาจะมีการอุ้มหลวงพ่อธรรมจักรไปสรงน้ำทุกปี ถ้าปีไหนไม่อุ้มท่านไปสรงน้ำ ท่านจะลงไปเอง ที่เขารู้ก็คือ เขาบอกว่าไม่รู้ท่านลงไปตอนไหน ตอนที่ท่านขึ้นมา ท่านก็ยืนอยู่ที่เดิม มีแนวน้ำเปียก ๆ ขึ้นมาจากท่าน้ำและมีสาหร่ายติดที่พระบาทด้วย

โดยเฉพาะหน้าเลือกตั้ง นักการเมืองของชัยนาทต้องไปขอพรหลวงพ่อธรรมจักร ก็เลยสงสัยว่า หลวงพ่อท่านจะช่วยใครดี เพราะเขาไปขอกันทุกคน

เรื่องชาวบ้านแห่ถวายของพระ มาเดือดร้อนอีกทีก็ตอนที่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ ตายแล้วฟื้น ที่เขาบอกว่า ตายไปแล้วไม่มีน้ำกิน พระที่วัดท่าซุงก็เลยเจอขวดน้ำคนละโหล เวลาพระบิณฑบาต โยมถวายไม่ได้มองหน้าพระเลย ว่าพระจะแบกไปได้อย่างไร

ฉะนั้น..อย่าให้อะไรมันฮือฮาขึ้นมา ฮือฮาขึ้นมาเมื่อไรพระเดือดร้อนทุกที

เถรี
18-11-2010, 12:15
ถาม : ในการฝึกมโนฯ การที่เอาจิตไปกราบพระข้างบน กิริยาของจิตต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็นึกว่าเรากราบ

ถาม : มีความรู้สึกว่า ข้างในเรามองเห็นท่าน แต่ไม่ได้มีเราคนเดียว มีคนอื่นด้วย ก่อนเข้าก็จะมีท่านที่เฝ้าอยู่หน้าประตู แต่ปกติเข้าไปจะไปอยู่หน้าองค์พระเลย จะเหมาะไหมคะ หรือเข้าออกต้องทักทายคนที่เฝ้าก่อน ?
ตอบ : ถ้าสามารถรู้เห็นได้ชัดเจน ก็ทักทายหรือทำความเคารพให้ครบทุกท่าน ถ้าการรู้เห็นไม่ชัดเจน เรามุ่งที่พระพุทธเจ้าองค์เดียวก็ได้อยู่ เราไปเทวดาท่านก็หลีกให้เอง ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะไปเหยียบท่านเข้า

ถาม : เกรงใจท่านที่อยู่ก่อน
ตอบ : ตัวอย่างมีมาแล้ว โดยเฉพาะท่านท้าวสัจจพรหม ท่านมีสัจจะจริง ๆ ด่าตามหลัง "อีห่านี่..ไม่ดูใครเลย..!"

ถาม : ในจังหวะที่เข้าไปในวิมานองค์ท่าน จะมีจุดที่เป็นที่ของเราอยู่แล้ว ก็จะไปนั่งตรงนั้น บางทีเราใจร้อนเกิน ก็จะไปอยู่หน้าพระ บ่นไปเรื่อย กลัวว่าจะโดนบ่นตามหลังอีกหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วง เพราะถ้าเขาบ่นเราก็ไม่ได้ยิน

ถาม : ใช่ค่ะ แต่นึกเกรงใจหลวงพ่อ
ตอบ : ท่านย่าบอกว่า ขึ้นไปอย่าลืมนึกว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อยู่องค์เดียว เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาก็ให้ขออนุญาตพระ ขออนุญาตเทวดาท่านเข้าไปด้วย ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ฝ่าวงล้อมเข้าไป จนเขาแตกกระจายกันหมด แล้วจะมีเสียงบ่นเข้าหูท่านย่าว่า "หลานท่านอีกแล้ว..!"

ถาม : บังเอิญว่าไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น แต่เกรงว่าครูบาอาจารย์จะโดนบ่น
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดสามารถรับรู้ได้ ก็ควรจะทำตามขั้นตอนจ้ะ

เถรี
18-11-2010, 13:09
ถาม : การที่ขึ้นไปข้างบนพระนิพพาน เราขออนุญาตท่านให้เทวดาที่ปกปักรักษาเราขึ้นไปด้วย จะเหมาะหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ได้..และเป็นเรื่องที่สมควรทำ เพราะเรื่องของพรหมเทวดา ท่านที่อยู่สูงท่านลงมาชั้นต่ำกว่าได้ แต่ท่านที่อยู่ชั้นต่ำกว่า ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ท่านขึ้นไปไม่ได้ เราขึ้นไปลักษณะนั้น แล้วเราเป็นผู้เชิญท่านไป เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง

อาตมาทำเรื่องนี้มานานแล้ว ทำด้วยความขี้เกียจของตัวเอง จนกระทั่งหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องพาเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน ก็เลยรู้ว่าของเราขี้ตรงร่องพอดี เราทำมานานแล้ว หลวงพ่อท่านก็เคยทำมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ท่านไม่เคยเล่าให้ฟัง


ที่อาตมาบอกว่าขี้เกียจ ก็คือ พอนาน ๆ ไป ความตื่นเต้นในเรื่องการท่องเที่ยวก็หมดลง เหลือแค่ไปแล้วอยากอยู่ที่นิพพานเลย ที่อื่นไม่อยากไป

จากที่ไปกราบพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวด ผู้มีพระคุณต่าง ๆ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ก็ขี้เกียจ ใช้วิธีขึ้นไปบนนิพพานแล้วน้อมจิตเชิญท่านทั้งหลายมา แล้วเราก็กราบท่านที่นิพพานเลย

ทำอย่างนั้นเป็นประจำ เคยคิดเหมือนกันว่าเราทำถูกหรือเปล่า ? พอได้ยินหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องพาเทวดา นางฟ้า พรหมไปนิพพาน ก็เห็นว่าวิธีการคล้าย ๆ กัน แสดงว่าเรามั่วถูกมาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าใครเบื่อเที่ยวจะใช้วิธีการเดียวกันได้

ถาม : ขอพาท่านไป คือ ไม่ต้องสนใจว่าท่านจะติดตามเราหรือไม่ ?
ตอบ : ท่านกลับเองได้ ขอให้ท่านไปได้ก็พอ

ถาม : เทวดาท่านขออนุญาตขึ้นไปเองไม่ได้หรือคะ ขนาดเรายังขอเองได้เลย ?
ตอบ : บางทีเรื่องของวาระบุญวาระกรรมบางอย่าง ก็บังไว้ไม่ให้ท่านรู้เรื่องพวกนี้

เถรี
19-11-2010, 10:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากการปฏิบัติธรรมรุ่นที่สองที่ผ่านมา ทำให้บรรดาชาวบ้านที่ปกติแล้วอย่างไรก็ได้ กระตือรือร้นขึ้นมาอีกเยอะ เพราะรู้ว่าถ้ามาไม่ทันจะโดนตัดรายชื่อออกไป โดนไปไม่กี่ครั้งเดี๋ยวเขาก็ชิน

แบบเดียวกับตอนแรกที่หัดให้เขาเวียนเทียนตอนสองทุ่ม เขามาไม่ทันกันหรอก เราเวียนรอบที่สามเสร็จแล้ว เขาค่อยมาเวียนต่อท้าย พอโดนไป ๒ - ๓ ครั้ง คราวนี้ก็มาเร็วขึ้น

สาเหตุที่เวียนเทียนตั้งแต่สองทุ่ม ซึ่งถือว่าเป็นเวลาหัวค่ำของเขา มีหลายเหตุผลด้วยกัน เหตุผลแรก ก็คือ ถ้ารอค่ำกว่านั้น ฝนอาจจะตก ประการที่สอง พวกวัยรุ่นที่บอกผู้ปกครองว่าไปเวียนเทียนที่วัดท่าขนุน แล้วมาไม่ถึงวัด พ่อแม่เขาจะได้รู้ว่า วัดท่าขนุนเลิกตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ถ้ากลับเกินเวลานั้น จะได้จัดการกับลูกได้ถูก"

เถรี
19-11-2010, 10:28
ถาม : ท่านโตเทยยพราหมณ์ท่านได้รับพยากรณ์แล้ว ทำไมชาตินั้นท่านจึงเป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : เรื่องการพยากรณ์ ไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องไม่ตกนรก ได้รับพยากรณ์ หมายความว่า ท่านจะต้องตรัสรู้ในระยะเวลานั้น ๆ แต่บุญและกรรมที่สร้างมาไม่ได้หมายความแน่ ๆ ว่า จะขึ้นหรือลง

ถาม : น่าจะเที่ยงแท้แล้ว
ตอบ : เที่ยงแท้แล้วว่ามีโอกาสลงแน่นอน..!

จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนไทย สมัยก่อนเขาไม่มีนามสกุล เขาจะใช้เป็นลักษณะฉายา โตเทยยพราหมณ์ แปลว่า พราหมณ์ไทยชื่อนายโต บอกชัด ๆ เลย

สมัยก่อนเขาแยกแยะด้วยฉายา อย่างท่าน ลกุณฏกภัททิยะ ก็คือ ท่านภัททิยะหลังค่อม ภัททิยะศากยราชา คือ ท่านภัททิยะที่เป็นราชาของชาวศากยะ เป็นต้น

เถรี
19-11-2010, 10:30
ถาม : วันที่ ๕ ธันวาคม ผมตั้งใจจะบวชครับ แต่ถ้าเกิดบวชแล้วไปร่วมธุดงค์ที่วัดอื่นด้วยจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ น่าจะได้ แต่ไม่อนุญาตให้ไป บวชไม่ทันไรก็ไปเลยผิดพระวินัย พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้แล้วว่า ๕ พรรษาจึงจะไปได้

ถ้าจะบวช ๕ ธันวาคม ก็โปรดดูด้วย ต้องจัดงานเอง และก็บวชเองด้วย เพราะ ๕ ธันวาคม ตรงกับวันที่อาตมารับสังฆทานที่กรุงเทพฯ

เถรี
19-11-2010, 10:37
ถาม : ที่ท่านสอนเดินจงกรม หนูเดินไปเรื่อย ๆ แต่กำหนดไม่ถูกค่ะ ไม่รู้จะจับลมหายใจควบด้วยอย่างไร ?
ตอบ : ตอนช่วงนั้นเขาให้สติกำหนดรู้อยู่กับการเคลื่อนไหว ไม่ใช่อยู่กับลม เขาใช้สมาธิแค่ไม่เกินอุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าไปกำหนดลมจะเกินอุปจารสมาธิ ยิ่งถ้าเป็นปฐมฌานจะเดินไม่ได้ เพราะจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน เราจะก้าวไม่ออก ติดอยู่แค่นั้น

ให้กำหนดรู้แค่อาการเคลื่อนไหว ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ

ถาม : เราสามารถใช้วิปัสสนาญาณเข้าไปในการพิจารณาได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ามีความสามารถพอก็ได้

ถาม : เอาตัวอะไร เป็นการวัดผลสำเร็จ สมมติตอนบ่ายกำลังง่วง เดินจงกรมแล้วหายง่วง ถือว่าใช้ได้แล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถือว่าใช้ได้แค่ชั้นอนุบาลเท่านั้น

บางทีก็ไม่ใช่ความง่วง แต่เป็นถีนมิทธะนิวรณ์มารบกวน บางทีเวลาเช้านี่แหละ บางคนเดินแล้วยังเซเลย จะหลับให้ได้ เพราะสภาพจิตเริ่มเป็นสมาธิ แต่หยาบเกินไปเพราะไม่เคยซักซ้อมมาก่อน จะตัดหลับท่าเดียว

ถาม : พอเดินจงกรมได้ ๑๕ นาที แล้วมากำหนดนั่งต่อ จิตจะควบเป็นฌานเลย เหมือนจะมีกำลังมากกว่าปกติ
ตอบ : เพราะว่าเรากำหนดสติอยู่เฉพาะหน้า เราไม่ส่งจิตไปไหนจึงไม่ทำให้เสียกำลัง เมื่อไม่เสียกำลังเท่ากับเราสั่งสมกำลังได้ระดับหนึ่ง ถึงเวลาจะใช้งานก็รวดเดียวได้เลย

เถรี
19-11-2010, 10:39
พระอาจารย์บอกว่า "สาเหตุที่เหรียญทำน้ำมนต์มีขนาดใหญ่ เพราะตั้งใจให้ไว้ทำน้ำมนต์ ไม่ได้ตั้งใจให้แขวน เป็นเหรียญที่ตั้งใจทำจริง ๆ เพราะในชีวิต วิชาที่คิดว่าทำได้ดีที่สุดก็อันนี้แหละ คือไปรับกรรมแทนคนอื่นเขา เพราะฉะนั้น..ตัวเองยิ่งแย่เท่าไร ของก็ยิ่งขลังเท่านั้น..!"

เถรี
19-11-2010, 10:43
ถาม : เวลาปฏิบัติไป รู้สึกมันสวนกับทางโลก เราทำงานไม่ได้เลย
ตอบ : แสดงว่าคุณทำผิด การปฏิบัติธรรมเราไปตามกรอบของศีล ทำไมจะไปกับทางโลกไม่ได้ ?

ถาม : เวลาเราทำงาน เราใช้พลังบางอย่างเพื่อที่จะปลุกเร้าทีมงานให้เกิดความรู้สึกขึ้น ใจเราก็เห่อตาม
ตอบ : เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างค่อยมาอยู่กับกรรมฐาน แสดงว่าคุณแบ่งเวลาไม่เป็น คุณจะอยู่กับกรรมฐานตลอด ก็ทำงานไม่ได้สิ

ไปปรับใหม่ เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างให้ใจอยู่กับกรรมฐาน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

ถาม : หลัง ๆ เวลางานจะเยอะขึ้น ก็เลยลองถอดกำลังใจบางส่วน แล้วก็ทำกับงาน พอกำลังใจบางส่วนทำกับงาน รู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา วุ่นไปหมด ไม่สงบ
ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้น เดี๋ยวก็ต้องทิ้งงานแล้ว ถ้าเราอยู่กับความสงบจนชินก็จะอยู่กับงานไม่ได้ ต้องทิ้งงานมาเข้าวัด ดูจังหวะดี ๆ เสียก่อน ค่อยหาโอกาสเข้าวัด

ถาม : พยายามหลายครั้งแล้วครับ แต่ว่าทางบ้าน ?
ตอบ : อดทน สู้ต่อไปไอ้มดแดง..!

เราจะเห็นความสุดยอดของพระพุทธเจ้า โอวาทของท่าน ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขึ้นต้นด้วยขันติ ต้องอดทนอย่างเดียว..!

เถรี
19-11-2010, 11:02
ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ใช้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้ทำน้ำมนต์

ถาม : อาราธนาอย่างไรครับ ?
ตอบ : อิติปิ โสฯ ๗ จบ นะมะพะธะ ๑๕ จบ ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระสารีบุตรเป็นที่สุด ให้ช่วยกำจัดโรคที่เป็นอยู่ให้หายโดยฉับพลัน ระยะนี้ไม่ค่อยแกล้งใคร ไม่อย่างนั้นจะบอกว่า ให้อมเหรียญไว้ ละลายเมื่อไรถึงจะหาย..!

เถรี
22-11-2010, 13:40
ถาม : หนูรู้สึกว่าช่วงนี้อารมณ์มันโปร่ง ไม่ค่อยมีเรื่องมีราว
ตอบ : อยากมีมากใช่ไหม ? ถ้าอยากมีมาก ไปแส่หาเรื่องเดี๋ยวก็ได้เอง..! อาตมาเคยระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าจะเสียท่ากิเลส เพราะกิเลสไม่โผล่หน้ามาเลยสามปีเต็ม ๆ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนตัวเองอยู่ก้นเหวแล้ว..!

ถาม : สามปีท่านระวังตลอด ?
ตอบ : ระวังตลอด แต่เหมือนกับว่าทางเดินที่เราเห็นว่าราบ ๆ กลับต่ำลงไปทีละมิลลิเมตรโดยไม่ได้สังเกต เดินไปสามปีจึงไปอยู่ก้นเหวแล้ว

ถาม : แล้วเราควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : รู้ตัวก็ตะกายกลับสิ

ถาม : แล้วตอนนั้นท่านรู้ได้อย่างไร ?
ตอบ : ตอนนั้นเห็นชัดแล้วว่า รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่เต็มตัว เพราะฉะนั้น..ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่ามั่นใจว่าดีเป็นอันขาด

ถาม : ทำอย่างไรถึงจะมองเห็น ?
ตอบ : เร่งในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาให้มากขึ้น เดี๋ยวก็จะมองเห็นเอง

ถาม : ตอนท่านทำท่านเร่งอย่างไร ?
ตอบ : เอาสมาธิเป็นหลัก แล้วก็ทวนศีลอยู่ทุกวัน ถ้าศีลและสมาธิดี เดี๋ยวปัญญามาเอง เพราะฉะนั้น..ประมาทได้ ตอนนี้สบาย ๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวกิเลสก็เหยียบเราแบน..!

ถาม : ตอนที่กิเลสโผล่มานี่น่ากลัวที่สุด
ตอบ : น่ากลัวมาก.. ตอนนั้นอาตมาระวังจ้องเอาไว้ทั้งกลางวันกลางคืน สามปีไม่เห็นกิเลสไม่โผล่หน้ามาเลย แต่ก็ยังโดนหลอกไปเต็ม ๆ

เถรี
22-11-2010, 14:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำงานทุกอย่าง ถ้ามีสมาธิช่วย งานจะออกมาดี ถ้าไม่มีสมาธิช่วย ถึงจะมีผลงานออกมาก็ดีสู้เขาไม่ได้

สมัยที่อาตมาเรียนบาลีอยู่ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ให้โอวาทว่า "ท่านเล็ก..เรียนบาลีอย่าทิ้งสมาธินะ ถ้าทิ้งเมื่อไรแล้วจะท้อ..ไปไม่รอด" นี่สำหรับพระและเณรของเราด้วยนะ

สมาธิเป็นสิ่งจำเป็น อย่าทิ้งเด็ดขาด ถ้าทิ้งพอไปเจอของยากแล้วจะกลัว เพราะกำลังใจไม่พอ แต่ถ้าสมาธิทรงตัว ยิ่งยากก็ยิ่งสนุก ท้าทายดีเหลือเกิน"

เถรี
22-11-2010, 15:40
ถาม : อย่างเวลาคนเราโกรธ ใจเราเป็นคนโกรธ หรือใจเป็นคนสั่งให้เราโกรธ ?
ตอบ : หลายอย่างรวมกัน อย่างแรก เขาเรียกสัญชาตญาณ คือ ความรู้ที่มีมาแต่กำเนิด ความรู้นี้ก็คือ กิน ถ่าย นอน สืบพันธุ์ อย่างที่สอง ก็คือ สภาพจิตของเราที่ปรุงแต่ง ให้ยินดียินร้ายตามอารมณ์นั้น ๆ อย่างที่สาม คือ โมหะ หลงผิดคิดว่าสิ่งนั้นดีจึงได้ทำ เห็นหรือยังว่ามีตั้งหลายอย่างรวมกัน

ถาม : แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกลาง ๆ
ตอบ : ทันทีที่มีการปรุงเมื่อไร ก็จะเสียความเป็นกลาง จะเอียงไปด้านรัก ด้านโลภ ด้านโกรธ ด้านหลง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เพราะกิเลสแรงกว่า เราจึงโดนกิเลสรั้งไว้ ก็เลยต้องเพาะสร้างกำลังให้แข็งแรง เพื่อที่จะดิ้นหลุดจากกิเลสให้ได้ พอดิ้นหลุดออกมาเสร็จก็ต้องหาทางฆ่ากิเลสให้ได้ด้วย

ถาม : สิ่งที่เราสร้างได้ คือ เราสร้างหลักธรรม หรือสร้างอะไร ?
ตอบ : จริง ๆ เราสร้างกำลังให้กับใจ กำลังของใจจะเป็นกำลังของสติ สมาธิ ปัญญา สติระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราจะทำอะไร สมาธิกำลังความมุ่งมั่นจดจ่อที่จะทำให้ได้สำเร็จ และปัญญาหาช่องทางที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้สำเร็จ

เถรี
22-11-2010, 15:45
ถาม : ที่ท่านบอกว่า ให้ใช้ปัญญาหาทางที่ง่ายที่สุดของแต่ละคน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นทางที่ถูกสำหรับเรา ?
ตอบ : ทางที่เจ็บตัวน้อยที่สุด ย่อมเหมาะกับตัวเรามากที่สุด

ถาม : แล้วไม่มีวิธีที่...
ตอบ : มี แต่ไม่เหมาะสำหรับเรา แต่ละวิธีก็เหมาะกับแต่ละสภาพ แต่ละผู้คน บุคคลที่กำลังใจเข้มแข็งมาก ทางที่เขาสามารถผ่านได้โดยง่าย แต่เราลองไปบ้างอาจจะปางตายเลย

ถาม : แล้วถ้ากำหนดใจเรา..?
ตอบ : ค่อย ๆ ย่อง

ถาม : ย่องอย่างไรครับ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ให้ถึงเถอะ ก็อยู่ในศีล สมาธิ และปัญญานั่นแหละ พยายามสั่งสมความดีไว้ อย่าให้ขาดช่วง ถ้าเป็นความดีนิดหนึ่งก็เอา หน่อยหนึ่งก็เอา ว่าไปเรื่อย

ถาม : แล้วการสั่งสมสร้าง..?
ตอบ : ถ้าทำได้ผลจะมีฉันทะมาก โดยเฉพาะถ้าปีติเกิด เราจะไม่เบื่อไม่หน่าย ทำไปตลอด แต่ถ้าทำไม่ถึงตรงจุดนั้น เดี๋ยวก็ถอยแล้ว

เถรี
23-11-2010, 00:14
ถาม : เมื่อวานตอนที่แม่ชีมา ท่านบอกว่าพวกหนูใจร้อน มุทะลุ เป็นอย่างไรหรือคะ ?
ตอบ : อย่างพวกเรา ถ้าอาตมาบอกว่าเสกเพี้ยงเดียวได้เป็นพระโสดาบันทันที ก็เอาเลย..ใช่ไหม ?

ถาม : ค่ะ
ตอบ : นั่นแหละ..ใจร้อน รอไม่ได้ ถ้าในโลกนี้มีเรื่องง่ายขนาดนั้น พระพุทธเจ้าท่านพาเราไปพระนิพพานหมดแล้ว

ทุกอย่างอยู่ที่ความสามารถของเรา ถ้าเราทุ่มเทมากผลก็เกิดเร็ว ถ้าทุ่มเทน้อยผลก็เกิดช้า ถ้าทุ่มเทแล้วจะให้ผลเกิดเร็ว ต้องทุ่มให้ถูกทางด้วยนะ ออกนอกลู่นอกทาง ถ้าออกนอกแนวของศีล สมาธิ ปัญญา ถึงทุ่มเทไปก็ไม่เกิดผล ถ้าเกิดผลก็กลายสภาพเป็นมิจฉาทิฏฐิไป

ดีใจกับคุณแม่ชีท่านด้วย ตอนนี้ท่านสอบผ่านแล้ว คนแก่ได้เปรียบ กิเลสน้อยหน่อย จะมีมากก็ตัวมานะทิฏฐิ อายุ ๘๐ แล้วจะไป รัก โลภ โกรธ หลง กับใครไหว ถ้าเป็นลักษณะของนักปฏิบัติ อายุมากจะได้เปรียบ ถ้าตั้งใจเอาดีจริง ๆ เท่ากับว่า กำลังของราคะ โลภะ โทสะ โมหะจะน้อยกว่า แต่จะมีมากตรงทิฏฐิและตัวอติมานะ

กูใหญ่มาก่อน กูอายุมากกว่า ถ้าอย่างนั้นเจ๊งแน่ กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิและมานะ ถือตัวถือตน กลายเป็นตัวกูของกูไป

เถรี
23-11-2010, 00:17
ถาม : ตอนที่ท่านปฏิบัติอยู่ ท่านใจร้อนไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาใจร้อนมาก จะเอาให้ได้วันนั้นเลย ในเมื่อจะเอาวันนั้นเลยก็ต้องทุ่มเทมาก ๆ แต่ผลไม่เกิดตอนนั้นหรอก ผลที่ทุ่มเทมาเกิดทีหลัง

ถาม : ทำมากี่ปีคะ ?
ตอบ : ๑๑ ปี ยังไม่ได้อะไรเลย นอกจากพื้นฐานสมาธิสมาบัติต่าง ๆ

ถาม : ๑๑ ปี นี่ยังไม่ได้อะไรเลย ?
ตอบ : พวกนั้นไม่ใช่ของที่ต้องการ อาตมาต้องการจะไปนิพพาน ยังแตะไม่ถึงเลย

ถาม : ๑๑ ปีได้บวชหรือยังคะ ?
ตอบ : ยัง..เป็น ๑๑ ปีที่ไม่ได้ทำอย่างพวกเรา เป็น ๑๑ ปี ที่ทุ่มเทจนคนอื่นเขาว่าบ้ากันหมดแล้ว ทำแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจโลกภายนอกจะเป็นอย่างไร กูรู้ว่าทางนี้ดีกูก็จะไปท่าเดียว

เถรี
23-11-2010, 00:21
ถาม : ถ้าเรารู้สึกว่าตอนนี้ใช่แล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่อีก เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่ใช่แล้วจริง ๆ ?
ตอบ : อย่าเชื่อว่าใช่จริง ๆ เพราะทันทีที่จิตละเอียดกว่าเดิมขึ้นไป ก็จะรู้ว่ายังไม่ใช่นี่หว่า..แล้วเราก็จะไปยึดตรงจุดที่ปัจจุบันว่าใช่ตรงนี้อีก

เพราะฉะนั้น..อย่าเพิ่งไปยึดว่าใช่ จนกว่าจะเข้านิพพานจริง ๆ แล้วค่อยใช่ ถ้ายังมีร่างกายนี้อยู่อย่าเพิ่งเชื่อ

ถาม : ในส่วนของสมาธิเองนั้น สำหรับบุคคล ๆ หนึ่ง ก็จะมีวิธีการที่จะใช้ตัวสมาธิได้แตกต่างไป เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแต่ละตัวควรจะใช้ตอนไหน ?
ตอบ : เอาอานาปานสติเป็นหลัก แล้วขณะเดียวกันก็พยายามที่จะระงับเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ด้วยศีล และกรรมฐานคู่ศึกของอารมณ์ตอนนั้น

พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเห็นผู้หญิงสวย ก็เอาอสุภะกรรมฐานแทรกไปทันที ซึ่งจะต้องมีความคล่องตัวในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แต่ถ้าหากมีความคล่องตัวในเรื่องเดียว ก็ต้องวิ่งกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกทันที

เถรี
23-11-2010, 00:24
ถาม : เรื่องของอรูปพรหม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอรูปพรหมก็ไปตามบุญของเขา หมดบุญเมื่อไรก็จะไปเสวยกรรมตามที่ตัวเองทำมา อรูปพรหมนี่อันตรายที่สุด เพราะว่าหมดบุญแล้วมีแต่จะลงต่ำ ไม่มีขึ้นสูง

เถรี
23-11-2010, 00:36
ถาม : สติ เป็นตัวระลึกหรือเป็นตัวตัด ?
ตอบ : การตัดต้องใช้กำลังสมาธิช่วย สติเพียงรู้เท่าทัน แต่กำลังไม่พอที่จะไปตัดหรอก ต้องอาศัยกำลังจากสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัว สติก็จะมั่นคง ว่องไวไปด้วย

ถาม : ถ้าเราตัดได้ แสดงว่าเกิดจากสติ หรือเกิดจากสมาธิ ?
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญา จะต้องไปด้วยกัน ปัญญาเห็นว่าสิ่งนี้เป็นโทษ สติจึงบอกให้หยุด โดยใช้สมาธิเป็นตัวรั้ง

ถาม : การที่เราเห็นว่าไม่ดี เห็นว่าเป็นตัวนำมาซึ่งความทุกข์จริง ๆ อย่างนั้นจะถือว่าเป็นปัญญา ?
ตอบ : เห็นว่าไม่ดีนั่นแหละ ตัวถือว่าเป็นโทษ เป็นตัวปัญญา

เถรี
23-11-2010, 09:22
ถาม : คลำไปเจออารมณ์หนึ่งค่ะ อารมณ์ที่เหมือนกับว่าเราพ้นจากตรงนั้นแล้ว คือเราไม่มีความวิตกกังวล ใคร่ครวญในสิ่งใด สิ่งนั้นทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราอยู่เหนือกว่าแล้ว
ตอบ : อย่าเพิ่งไปเชื่อ กติกาใดที่ทำให้เราก้าวเข้าไปสู่จุดนั้น ต้องทำแล้วทำอีก ทิ้งไม่ได้ เพราะถ้าเราทิ้ง กำลังอาจจะตกลงมา ถ้าตกลงมาคราวนี้ก็จะชอกช้ำอยู่คนเดียว

เถรี
23-11-2010, 09:23
ถาม : เขานั่งกรรมฐานก่อนนอน พอเขาจะนอนเขาได้กลิ่นธูปหอมเย็น ๆ ลอยมา ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้จุดธูปจุดเทียนอะไรเลย
ตอบ : พวกกลิ่นธูปส่วนใหญ่จะเป็นพรหม จริง ๆ แล้ว กลิ่นคล้ายพวกกระแจะจันทน์ แต่เราไปเข้าใจว่าคล้ายกลิ่นธูป ถ้าเป็นเทวดากลิ่นจะหอมสดชื่นเหมือนดอกไม้ แต่ไม่เหมือนกับดอกไม้ใดบนโลก

เถรี
23-11-2010, 09:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีสิ่งหนึ่งที่อยากเตือนพวกเราไว้ บางทีพวกเราอาจจะไม่รู้กันก็คือ พยายามเลี่ยง อย่าไปนอนหน้าหิ้งพระ หรือนอนหน้าพระประธาน เพราะเวลาดึก ๆ เทวดานางฟ้าท่านลงมาไหว้พระ ถ้าเราไปนอนขวาง ก็ไปเกะกะท่าน ท่านไหว้พระไม่ได้

อาตมาเองชอบนอนหน้าหิ้งพระ เวลานอนยังต้องหลบมาด้านข้าง ไม่นอนตรงกับพระพุทธรูป"

ถาม : เว้นช่วงแล้วปูผ้าให้ท่านได้ไหม ?
ตอบ : ได้..อาตมาใช้วิธีนอนตะแคงข้างให้ เพราะชอบนอนหน้าหิ้งพระมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอได้รับคำเตือนก็เลยใช้วิธีนี้ คือหลบออกข้างไป

เถรี
23-11-2010, 11:50
พระอาจารย์แจ้งว่า "กฐินปลดหนี้ปี ๒๕๕๔ จะลงไปที่วัดรัตนานุภาพ ของพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (สว่าง จนฺทวํโส) เป็นเพื่อนรุ่นน้องของอาตมาเอง อยู่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส วันทอดกฐินตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ส่วนปี ๒๕๕๕ ไปภาคตะวันออก ปี ๒๕๕๖ ไปภาคอีสาน

ถ้าไปถึงนราธิวาสแล้ว อย่าลืมแวะไปที่วัดโกลกเทพวิมล ที่สุไหงโกลก หลวงพ่อเอียดท่านมรณภาพแล้วสังขารไม่เน่า ท่านนอนพนมมือมรณภาพ แต่สังขารท่านเขาเผาไปแล้ว เขาเลยสร้างรูปหล่อไว้ในลักษณะพนมมือ

นอกจากนี้ควรแวะไปกราบสังขารของ หลวงพ่อแดง วัดทองดีประชาราม ท่านนั่งมรณภาพ เขายังเก็บสังขารท่านไว้ในลักษณะท่านั่ง วัดอยู่ใกล้ ๆ กัน ไม่ไกลมาก ไหน ๆ จะไปเสี่ยงตายที่นราธิวาสทั้งทีก็เอาให้คุ้ม

ขากลับถ้าเราวิ่งผ่านสงขลา ก็จะผ่านหาดใหญ่มีวัดโคกสูงของหลวงพ่อใบ ภทฺทิโย ท่านมรณภาพแล้วไม่เน่า มีโอกาสก็แวะ ไปทั้งทีไปด้วยความยากลำบากก็ไปให้คุ้ม เอาให้พวกทหารคุ้มกันประสาทกลับไปเลย

จะต้องออกวัตถุมงคลเพื่อปักษ์ใต้โดยเฉพาะหรือเปล่า ? ถ้าออกจะต้องไปรับที่นราธิวาสเลยนะ มีเคล็ดลับตอนขับรถ ก็คือ ควรขับกลาง ๆ ถนน จะปลอดภัยกว่า เพราะส่วนใหญ่เขาจะเจาะฝังระเบิดเข้ามาเลนเดียว

รู้ไหมว่าพวกคุณเลือกวัดที่นราธิวาส อาตมาชอบมากเลย เพราะเป็นคนชอบทำอะไรเสี่ยง ๆ ถ้าเลือกวัดที่ง่าย ๆ แล้วจะน่าเบื่อมาก ถ้าเลือกวัดของหลวงปู่อำนวย อาตมาคงจะต้องไปเครื่องบินแล้วโดดร่มลงเองเพื่อความมันในชีวิต..! เพราะวัดอยู่ข้างสนามบิน ออกจากสนามบินไม่กี่ก้าวก็ถึงวัดแล้ว

เริ่มเก็บสตางค์เพื่อบูชาวัตถุมงคลเพื่อกฐินปักษ์ใต้ เตรียมประมูลวัตถุมงคลเพื่อกฐินปักษ์ใต้กันได้แล้ว กฐินงวดนี้เขาจะเอาไปสร้างโบสถ์วัดรัตนานุภาพ"

เถรี
23-11-2010, 15:53
"วันก่อนที่พุทธาภิเษกพระกริ่งสมปรารถนาที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ หลวงพ่อมนัสท่านขีดเส้นแบ่งสมบัติกัน ท่านรับผิดชอบด้านตะวันออก เหนือ ใต้ ส่วนเราให้รับผิดชอบด้านตะวันตก เหนือ ใต้ แบ่งกันดูแลประเทศไทยคนละซีก พูดง่าย ๆ ว่าให้เอาภาคตัวเองเป็นหลัก ส่วนเหนือกับใต้ถือเป็นของแถม

ตกลงกันว่าสามเดือนเป็นอย่างน้อยต่อครั้ง จะต้องสร้างบุญใหญ่เพื่อส่วนรวม ปีหน้าวัดท่าขนุนก็จะมีปฏิบัติธรรม ๕ รุ่น ขณะเดียวกันก็ยังมีบวชพระอีก ๔ รุ่น ก็น่าจะแทบมีการสร้างบุญใหญ่ทุกเดือน

วันนั้นไม่ได้คุยอะไรกันมากมายหรอก คุยกันแค่นี้ นับเป็นเรื่องแปลก พี่น้องสองคนนั่งจ้องหน้ากันอยู่คนละฝั่งประเทศ อาตมาผ่านไปวัดของท่านก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะกลัวท่านโยนงานให้

วันหนึ่งผ่านไป ท่านฝากโน้ตมาว่า "คราวหน้าถ้าผ่านมาแล้วไม่แวะวัดกู มึงไม่ต้องมาเลย..!" ในที่สุดก็หนีไม่พ้น เจอกันในงานนั้น

พยายามเลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก ตัวจริงก็ใจเย็นเหลือเกิน ไม่ขยับสักที ขอให้โยมทั้งหลายทราบว่า เรื่องของการปฏิบัติในหน้าที่พระโพธิสัตว์ ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของอาตมา เพราะอาตมาเองไม่ใช่พระโพธิสัตว์ แต่เป็นการติดตามหลวงพ่อมาระยะยาวนาน การสร้างบารมีก็เลยคล้ายเป็นพระโพธิสัตว์

ฉะนั้น..ต้องรอตัวจริงเขามาทำหน้าที่ แต่ตัวจริงก็สมกับเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาท่านเยอะเหลือเกิน ก็เลยยืดเวลาไปเรื่อย พวกนี้ท่านจะต้องเกิดอีกนาน ในเมื่อเกิดอีกนาน เวลาของพวกท่านจึงเยอะ หรือท่านเห็นเราทำอยู่ ท่านจึงฉวยโอกาสอู้ก็ไม่รู้ อาตมาได้ยืนยันกับทุกคนว่า อาตมาไม่ใช่ตัวจริง แค่ทำหน้าที่แทนเท่านั้น เหมือนรักษาราชการแทน"

เถรี
23-11-2010, 15:59
"ตอนนี้ที่ดู ๆ อยู่ ท่านที่มาสายพระโพธิสัตว์จะไปหนักอยู่ทางภาคเหนือ ในเมื่อหนักอยู่ทางภาคเหนือ จะลงมาภาคนี้ก็ไกลเกิน ขณะเดียวกันหลวงพ่อคูณท่านก็อายุมากเหลือเกินแล้ว กลายเป็นว่า ของที่มีอยู่ก็มีแต่จะหลุดมือไป ส่วนของใหม่ก็ยังโตไม่ทันเสียที

จะดูว่ากฐินปักษ์ใต้จะมีนิมิตไปทางไหน เพราะวันงานกฐินที่วัดหนองหญ้าปล้อง นกอินทรีใหญ่คู่นั้นบินลงทางทิศใต้ ทันทีที่ยกพระเกศมาลาสมเด็จองค์ปฐมขึ้น แล้วพระสวดชยันโต อินทรีใหญ่คู่นั้นมาจากไหนไม่รู้ บินวนทักษิณาวรรต พอพระชยันโตเสร็จเขาก็บินลงทิศใต้ไป ขอยืนยันว่าเป็นนกอินทรีเพราะตัวใหญ่มาก ๆ แต่ถ่ายรูปติดมานิดเดียว

ที่อาตมาขึ้นลงสลิง ถามว่ากลัวไหม ? ต้องบอกว่าเคยกลัว แต่หลังจากที่เราเข้าใจว่า ความตายเป็นของที่ต้องมาถึงสัตว์ทุกรูปทุกนามเป็นปกติอยู่แล้ว ความกลัวก็ห่างไป แล้วถ้าเรามั่นใจว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถึงตายไปเราไปดีแน่ ก็ยิ่งกลัวน้อยไปอีก แค่โหนสลิงขึ้นไป ๓๗ เมตร ประมาณตึก ๑๒ ชั้นกว่า เรื่องเล็ก..!"

เถรี
23-11-2010, 23:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีการเป็นคนดีก็ไปขัดผลประโยชน์ของคนอื่น จึงจำเป็นต้องมีคนดีประเภทพระโพธิสัตว์ เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเพื่อความสุขของคนส่วนรวมแล้ว ท่านสละได้แม้แต่ชีวิตของตนเอง

เพื่อความสุขของส่วนรวม ท่านยอมแม้กระทั่งต้องลงนรก อย่างเช่น การที่ต้องออกศึกออกสงคราม ไปรบราฆ่าฟันเพื่อป้องกันประเทศและประชาชนของตัวเอง ทำไปแล้วถ้าตนเองกำลังใจไม่ดี จิตเศร้าหมองก็ลงนรกแน่นอน

ท่านทั้งหลายเหล่านี้ รู้อยู่ว่าทำแล้วผลเป็นอย่างไรแต่ก็ทำ ทำเพื่อความสุขของคนอื่นมากกว่า อย่างปัจจุบันก็ต้องดูในหลวงของเรา ต้องบอกว่าถ้าท่านนอนสบาย อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องลำบากตรากตรำก็ได้ แต่ท่านก็ทุ่มเท เหน็ดเหนื่อยให้กับประชาชนมาตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปี พูดง่าย ๆ ว่าเวลาจะพักสักนิดหนึ่งก็ไม่มี

กลอนที่เขาแต่งถวายตอนงานกาญจนาภิเษกว่า

พระเอย..พระผ่านภพ คุณขจบ ขจรขจาย ดุจฟ้า ดาราฉาย ดุจคืนผ่อง ด้วยเดือนเพ็ญ

หัตถ์ทิพย์ แห่งท่านไท้ กำจัดไข้ กำจัดเข็ญ ร้อนทุกข์ ขุกลำเค็ญ เย็นทั่วหน้า มาทุกฉนำ

แผ่นดิน ที่ทรงครอง แผ่นดินทอง แผ่นดินธรรม ขุกเข็ญ ทุกคราวความ ธ ดับเข็ญ ทุกคราวครัน

เหน็ดเหนื่อย นั้นหนักนัก ธ ทรงงาน อเนกอนันต์ จักพัก เพียงสักวัน ก็หายาก ลำบากเกิน

พิมานทิพย์ คือท้องทุ่ง ม่านราวรุ้ง คือเขาเขิน ร้อนหนาว ในราวเนิน มาลูบไล้ ต่างสุคนธ์

รอยพระบาท ที่ยาตรา แทบทั่วหล้า ฟ้าสกล พระเสโท ที่ถั่งท้น ถ้าไหลรวม คงท่วมไทย..ฯ "

เถรี
23-11-2010, 23:58
"นั่นแหละ..พระโพธิสัตว์แท้ ๆ ท่านทำกันอย่างนี้ เพื่อความสุขของส่วนรวมถึงตนเองจะเหนื่อยแค่ไหนก็ทำได้ เป็นสิ่งที่ทำมาจากน้ำใสใจจริง ไม่ต้องไปเสียเวลาดัดแปลง เพื่อให้คนเขาคิดว่าเราเป็นคนดีแล้วก็ทำ คนจะเห็นหรือไม่เห็นก็ทำ

อย่างที่ทรงตรัสกับ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ตอนที่ยังเป็นพันตำรวจเอกอยู่ ได้รับพระราชทานสมเด็จจิตรลดา ในหลวงทรงตรัสว่า ให้ไปปิดทองไว้ข้างหลังองค์พระ จะได้เป็นเครื่องเตือนใจในการทำความดีโดยไม่หวังอะไร พลตำรวจเอกวสิษฐกราบทูลว่า "มัวแต่ปิดทองหลังพระอยู่ แล้วเมื่อไรคนถึงจะเห็น.." พระองค์ตรัสว่า "ถ้าปิดมาก ๆ เข้า เดี๋ยวก็ล้นมาข้างหน้า คนก็จะเห็นเอง.." แล้วพวกเราเห็นไหมว่า น้ำท่วม ฝนแล้ง เดือดร้อนในหลวงตลอด

เรื่องของการทำความดีนั้น เราอยู่ในสายตาของคนอื่นตลอดเวลา แต่ต้องบอกว่าเป็นวิสัยของมนุษย์ ทำดีสักร้อยครั้ง เขาจะชมให้กำลังใจสักครั้งก็แสนยาก แต่ถ้าทำอะไรพลาดครั้งเดียว เขาสับเละไปตลอดชีวิตเลย ตายแล้วก็อาจจะยังพูดถึงต่อไปอีก

ดังนั้น..การที่จะเป็นผู้นำคนจึงต้องหนักแน่น หวั่นไหวไม่ได้ ถ้าผิดแล้วก็แก้ไขไปเรื่อย เดี๋ยวก็ถูกมากกว่าผิด ท้ายสุดก็จะไม่ผิดอีก เรื่องของการบริหารประเทศชาตินั้นต้องหนักแน่นจริง ๆ"

เถรี
24-11-2010, 00:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความชั่วนั้น ทำง่าย เลิกยาก ตราบใดความชั่วยังไม่ให้ผล คนชั่วก็คิดว่าเป็นสิ่งที่หอมหวาน ให้ผลเมื่อไร เดือดร้อนขึ้นมาก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว ส่วนความดีทำยาก คนไม่มีกำลังใจจะทำก็เลิกง่าย แต่ความดีให้ผลด้านดีเพียงส่วนเดียว ถึงเวลาให้ผลก็ส่งผลแก่ผู้คนในด้านของความสุข ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต


ฉะนั้น..พยายามฝืน ๆ ใจทำไปเถอะ ไม่ต้องถึงขนาดกำลังใจพระโพธิสัตว์หรอก กำลังใจพระโพธิสัตว์จะเป็นอย่างไรก็ทำ แต่กำลังใจของเรา เอาแค่ว่าเราทำความดีเพราะเราอยากทำก็พอ ถ้าทำความดีเพราะอยากดี ถึงเวลาพอเขาไม่เห็นความดี เราก็จะหมดกำลังใจ

ถ้าไม่มีใครก็เอาในหลวงเป็นตัวอย่าง พระองค์ท่านทรงงานมา ๖๐ กว่าปี มากกว่าอายุของพวกเราแทบทั้งหมด จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้มีความท้อในงานเลย นึกอีกทีไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า ตลอดสังสารวัฏที่พระองค์ท่านบำเพ็ญบารมีมา ยาวนานจนไม่เห็นต้นเห็นปลาย ขึ้นชื่อคำว่าท้อแม้แต่นิดเดียวไม่เคยเกิดขึ้นในใจเลย มาถึงตรงนี้คนอ่านพุทธประวัติอาจจะเถียงว่า ตอนที่ตรัสรู้พระองค์ท่านทรงท้อใจว่า ธรรมะที่ท่านรู้นั้นลึกซึ้งเหลือเกิน คนทั่วไปไม่สามารถจะรู้ได้ ก็เลยไม่คิดที่จะเทศนา

ขอให้ทราบว่า คำนี้จริง ๆ ไม่ใช่คำว่าท้อใจ คนแปลเขาแปลง่าย ๆ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่าสภาพเป็นอย่างไร ตัวนี้ต้องแปลว่า มีความขวนขวายน้อย แปลว่าไม่คิดที่จะแสดงธรรม เพราะธรรมนี้ลึกซึ้งเหลือเกิน

จนกระทั่งท้าวสหัมบดีพรหมทราบ จึงรีบลงมาอาราธนาพระพุทธเจ้าว่า "สัตว์ที่ธุลีในดวงตาน้อยนั้นมีอยู่ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมเถิด" จนเขามาแต่งคำอาราธนาธรรมเป็น "พรัหมา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติฯ" ท้าวสหัมบดีพรหม ผู้เป็นอธิบดีพรหมของพรหมทั้งหลาย หรือจะใช้คำว่า ผู้เป็นใหญ่ในโลกแห่งพรหม ก็ได้"

เถรี
24-11-2010, 00:19
"พระพุทธเจ้าจึงได้เปรียบบุคคลเป็นบัวสามเหล่า ก็คือ
เหล่าที่ ๑ เป็นบัวพ้นน้ำ กระทบแสงแดดก็บานเลย
เหล่าที่ ๒ เป็นบัวปริ่มน้ำ จะโผล่พ้นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น
เหล่าที่ ๓ เป็นบัวกลางน้ำ โอกาสยังน้อยอยู่ ไม่แน่ว่าจะได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมา อาจจะกลายเป็นอาหารของปลาและเต่าไปก็ได้

แต่คนมักจะเอาไปเปรียบกับบุคคลสี่ประเภทที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ จนกลายเป็นบัวสี่เหล่าไป บุคคลสี่ประเภทที่พระองค์ท่านเปรียบไว้ก็คือ

ประเภทที่ ๑ คือ อุคฆฏิตัญญู มีความฉลาดมาก แค่ฟังหัวข้อก็เข้าใจถึงธรรมเลย
ประเภทที่ ๒ วิปจิตัญญู ต้องอธิบายขยายความจึงจะเข้าใจ
ประเภทที่ ๓ เนยยะ ต้องเคี่ยวเข็ญกันขนาดหนัก ส่วนใหญ่ก็จะได้แค่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
ประเภทที่ ๔ ปทปรมะ พวกนี้ฉลาดเกินมนุษย์ทั่ว ๆ ไป ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น ก็เลยสอนไม่ได้

เพราะฉะนั้น..ปทปรมะไม่ใช่คนโง่ เป็นคนฉลาด แต่ฉลาดเกิน ในเมื่อฉลาดเกิน ทำตัวเป็นน้ำล้นถ้วย เติมอะไรลงไปไม่ได้ ล้นหมด จึงหมดประโยชน์ ป่วยการที่จะสั่งสอน

ในเมื่อพระองค์ท่านเปรียบบัวสามเหล่าและบุคคลสี่ประเภท เขาเอามาจับยัดท่าไหนก็ไม่รู้ กลายเป็นบัวสี่เหล่าไป"

เถรี
24-11-2010, 09:39
"ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของนิกายเซน ท่านดอกบัวใต้น้ำเขียนเอาไว้ ก็คือ ท่านจะเป็นบัวเหล่าที่สาม หลังจากที่ท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านจึงใช้นามปากกาใหม่ว่า บัวพ้นน้ำ หนังสือเล่มนี้ถ้าจำไม่ผิด อาจารย์เสถียร โพธินันทะท่านแปลไว้

กล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปของนิกายเซน ตั้งแต่ท่านโพธิธรรมเถระ (สังฆปริณายกองค์ที่ ๑ ของจีน) เดินทางจากอินเดียเข้าไปเผยแผ่ธรรมในสมัยของพระเจ้าเหลียงบู่ตี้ ที่เรารู้จักกันในนามของพระอาจารย์ตั๊กม้อ ปรมาจารย์แห่งเส้าหลิน เราจะเห็นความยากลำบากของท่าน ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อต้องนั่งกรรมฐานหันหน้าเข้าหาข้างฝาอยู่ ๙ ปีเต็ม ๆ กว่าจะมีคนเห็นความดีของท่าน และมาขอให้ท่านสอน

ท่านปรมาจารย์องค์ที่ ๒ คือ ท่านฮุ่ยเข่อ อยากเรียนธรรมมาก ท่านตั๊กม้อถามว่า มีกำลังใจที่จะเรียนสักเท่าไร ท่านฮุ่ยเข่อถึงขนาดตัดแขนตัวเองข้างหนึ่งถวาย เพื่อเป็นการยืนยันความตั้งใจ

สังฆปริณายกองค์ที่ ๖ คือ ท่านเหว่ยหลาง หรือที่แต้จิ๋วเรียกว่า ฮุ่ยเหนิง ท่านต้องซ่อนตัวอยู่ในป่าเป็นเวลา ๒๐-๓๐ ปี เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมแล้วออกมาเพื่อเผยแผ่ธรรม ต้องทนความลำบากอยู่กับบรรดาพรานป่าต่าง ๆ ท่านเป็นพระกินเจ แต่พรานเขาล่าสัตว์ มีแต่เนื้อสัตว์อยู่ทุกวัน ท่านจึงใช้วิธีผสมผสานกัน พูดง่าย ๆ ว่าไม่กินเนื้อ แต่ขออนุญาตลวกผักในน้ำต้มเนื้อของพราน

ท่านทนลำบากอยู่ ๒๐ กว่าปี กว่าที่จะได้เวลาที่เหมาะสมแล้วจึงออกไปเผยแผ่ธรรม ทั้งที่ท่านได้บาตรและจีวรของพระมหากัสสปะไปจากพระสังฆปริณายกองค์ที่ ๕ ถือว่าเป็นบุคคลที่ได้รับการถ่ายทอดให้เป็นปรมาจารย์นิกายเซนองค์ใหม่ ต้องรอจนเรื่องที่ท่านได้รับแต่งตั้งนี้แพร่กระจายออกไป จนคนเลื่อมใสมาก เรียกร้องมาก ท่านถึงได้ปรากฏตัวออกมา ถ้าออกมาก่อนหน้านั้นอาจจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะผู้ที่ความสามารถไม่ถึงแต่อยากดังมีอยู่มาก อาจจะส่งคนมาทำร้ายท่านเพื่อแย่งบาตรและจีวร ท่านจึงต้องทนลำบากอยู่ในป่านานขนาดนั้น"

เถรี
24-11-2010, 10:52
"ดังนั้น..การที่พวกเราได้ปฏิบัติธรรม อาจจะระยะเวลาหลายปี แต่ก็ให้รู้ว่าพวกเราไม่ได้ลำบากยากเข็ญขนาดท่าน ไม่ได้อด ๆ อยาก ๆ เป็นเวลา ๒๐-๓๐ ปี อยู่ในป่าในเขาอย่างท่าน ความลำบากที่เราทำยังไม่ได้ ๑ ใน ๑๐๐ ของท่านเลย

เพราะฉะนั้น..ควรจะใช้ความพยายามให้มากกว่านี้ ยิ่งใครที่รู้ตัวว่าปฏิบัติมานานเป็นสิบปีขึ้นไปแล้วยังไม่ได้อะไร ขอให้รู้ว่าความเพียรของเรายังบกพร่อง แสดงว่ายังไม่เอาจริง ถ้าเอาจริง ๑๐ ปีนี่ต้องเห็นหน้าเห็นหลังแล้ว อย่างน้อย ๆ เรื่องของฌานสมาบัติต้องได้คล่องตัวแล้ว

แต่ส่วนใหญ่อยู่ในประเภททำ ๆ ทิ้ง ๆ ถึงเวลาภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวอย่างดีเลย ลุกขึ้นมาก็กองทิ้งไว้ตรงนั้น ไม่เคยเก็บมารักษา เราปฏิบัติอยู่ก็เหมือนกับว่ายทวนน้ำ พอถึงเวลาเราก็ปล่อยให้ลอยตามน้ำไป พอมานั่งปฏิบัติใหม่ก็ว่ายทวนน้ำใหม่ จึงกลายเป็นคนขยัน ทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่มี นาน ๆ ไป จะท้อใจแล้วเลิกทำเสียด้วยซ้ำ

ถ้าเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมาจะน่ากลัวมาก น่ากลัวตรงที่ว่าตัวเองทำมานานแล้วไม่ได้ผล อาจจะไปประกาศกับคนอื่นว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่จริง ทำแล้วไม่เห็นได้อย่างที่ว่าเลย ก็จะไปกันใหญ่ จะมีอเวจีมหานรกรอเราอยู่..!"

เถรี
24-11-2010, 11:34
"ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมแล้ว ให้พวกเรารักษากำลังใจไว้ด้วย เอาสติสมาธิจดจ่ออยู่ตรงหน้า ประคองรักษาอารมณ์ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด

แรก ๆ ก็ได้ครู่เดียว พอนานไป ตั้งใจเอาสติประคับประคองก็จะได้เป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง เวลาจะมากไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาและความชำนาญ

จากนั้นก็ได้เป็น ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน ครึ่งเดือน หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ยิ่งกำลังใจผ่องใสจากกิเลสยาวนานเท่าไร ปัญญาก็เกิดมากเท่านั้น เราก็จะเห็นลู่ทางว่า จะทำอย่างไรที่เราจะชำระจิตใจของเราให้ผ่องใสจากนิวรณ์และกิเลสต่าง ๆ ได้

ทุ่มเทได้แล้วจ้ะ เวลาไม่คอยท่าแล้ว ถ้ามัวรออยู่แล้วตายเสียก่อน จะไม่ได้อะไรเลย เสียชื่อว่าเป็นลูกหลานหลวงพ่อวัดท่าซุง วันก่อนเขามาส่งข่าวว่า คุณหมูไปนิพพานแล้ว ได้แต่โมทนาด้วย นั่นเป็นลูกศิษย์รุ่นเก่า ๆ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถือว่าตายแล้วไม่เสียชื่อพ่อ

พวกเราพยายามเอาอย่างรุ่นพี่ ๆ ให้ได้ หรือไม่ก็ทำให้ได้อย่างที่หลวงพ่อท่านสอน อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา อยู่ในวาระอยู่ในโอกาสอันดี รู้จักพระนิพพาน สมัยอาตมาเด็ก ๆ คำว่านิพพานไม่รู้จักเลย ผู้ใหญ่เขาสอนให้อธิษฐานว่าขอให้เกิดมาใหม่สวย ๆ รวย ๆ ได้พบพระศรีอาริย์ มารู้จักนิพพานตอนเริ่มปฏิบัติตามสายหลวงพ่อ อายุ ๑๕-๑๖ ปีแล้ว แม้จะนับว่าอายุน้อย แต่สิ่งที่เราทำก่อนนั้น ไม่ได้มีคำว่านิพพานอยู่ในหัวเลย

นิพพานเป็นของยากสำหรับผู้ที่บารมียังน้อยอยู่ ในเมื่อเรารู้จักนิพพานแปลว่า เราสร้างสมความดีมาเพียงพอที่จะเข้าสู่พระนิพพานแล้ว ดังนั้น..ทุ่มเทให้เต็มที่สักที เพื่อที่ถึงเวลาแล้วผลตอบแทน ถ้าไม่ได้ถึงที่สุด ก็ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้

อย่าไปประมาทคิดว่ายังอยู่อีกนาน อย่าไปประมาทว่าครูบาอาจารย์ท่านยังอยู่ ทุกอย่างไม่เที่ยง ถึงเวลาแล้ว ถ้าเราตายก่อน ท่านยังอยู่ หรือท่านตายก่อนเรายังอยู่ จะเสียประโยชน์ทั้งสองอย่าง"

เถรี
24-11-2010, 11:44
"ใครมีปัญหาเรื่องการปฏิบัติที่จะถามบ้าง ? ที่ไม่มีปัญหาเพราะทำถูกแล้ว หรือที่ไม่มีปัญหาเพราะยังไม่ได้ทำ ?

ต้องพิจารณาอย่างพระท่าน วันคืนล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ คุณวิเศษของเรามีหรือไม่ เพื่อที่จะได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม ไม่ใช่คนนั้นก็ได้ปฐมฌาน คนนี้ได้ฌานสอง คนนี้ได้ฌานสาม คนนั้นได้ฌานสี่ นั่นได้สมาบัติ ๘ คนนั้นได้มโนมยิทธิ ได้อภิญญายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ แล้วเราไม่ได้อะไร น่าขายหน้าไหม ?

อย่างไม่มีอะไรเลย อย่างน้อยปฐมฌานต้องเอาให้ได้ คิดว่าทุกคนคงไม่มีใครปฏิบัติยากเข็ญเท่ากับอาตมา ทุ่มเทชีวิตทำเป็นทำตาย ปฐมฌานอย่างเดียวใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะทรงได้

ไม่ใช่ว่าทำไม่พอ ทุ่มเทไม่พอ แต่อยากได้จนเกินไป ในเมื่ออยากได้จนเกินไป กำลังใจก็ไม่ตรงจุด ถ้ามีช่องให้มองอยู่ตรงหน้า เราดันไปยื่นหน้าเลยช่องไปเป็นวา จึงไม่ได้เห็นอะไรเลย ทำไปจนสามปี ความรู้สึกของอาตมาระอาใจแล้ว ทำเท่าไรก็ไม่ได้สักที

วันนั้นเกิดความคิดว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ได้หรือไม่ได้ช่างเถอะ ป๊อกเดียวตรงนั้นได้เลย เพราะกำลังใจลดลงมา ก็ลงร่องพอดี แสดงว่าถ้าเรารู้ตั้งแต่แรกก็ได้แล้ว อาตมาจึงกล้ายืนยันกับทุกคนในที่นี้ในฐานะผู้ศึกษาปฐมฌานถึงสามปีว่า

ถ้าใครที่จับลมหายใจเข้าออกได้ครบสามฐาน คือ จมูก..อก..ท้อง ท้อง..อก..จมูก คนนั้นสามารถทรงปฐมฌานได้แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะรักษาให้อยู่กับเราได้นานเท่าไรเท่านั้นเอง ถ้าหากรู้ลมสามฐานเป็นปฐมฌานแน่นอน แต่จะหยาบหรือละเอียดเท่านั้น และในเมื่อรู้แล้วจะรักษาได้หรือไม่ อยู่ทนนานแค่ไหนอยู่ที่เรา ฟังดูแล้วง่ายนะ วันนี้เอาให้ได้ทุกคนนะ"

เถรี
24-11-2010, 21:55
ถาม : จะย้ายร้าน ต้องดูทิศไหนอย่างไร?
ตอบ : ไม่ต้องดูทิศจ้ะ ให้ดูทำเล ถ้าเราค้าขาย ทำเลควรติดถนนใหญ่ มีที่จอดรถ คนไปมาง่าย เข้าถึงง่าย และมีการสมนาคุณเพื่อดึงลูกค้าด้วย

ถาม : ตอนนี้ขายอยู่แถวดรีมเวิร์ล แต่ขายไม่ค่อยออกค่ะ ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร ?
ตอบ : รู้จักคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงไหม ?

ถาม : รู้จักค่ะ
ตอบ : ภาวนาไว้เยอะ ๆ วันหนึ่งสัก ๑๐๘ จบ ถ้าทำได้ต่อเนื่องสักสองเดือน คราวนี้จะขายดี แล้วอย่าบ่นนะว่าเหนื่อย เพราะคาถาบทนี้เอารวยจริง ๆ แต่ต้องทำด้วยความเคารพเชื่อมั่น ต่อเนื่องกันสักสองเดือนแล้วผลจะเริ่มเกิด

ภาวนาด้วยความรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งดี เป็นสมบัติที่พ่อให้มา หน้าที่ของเรา คือ รักษาด้วยการท่องบ่นภาวนาด้วยความเคารพเป็นประจำ ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่าง ไม่ต้องนึกถึง ถ้าทำอย่างนี้ได้ ภายในสองเดือนจะเห็นผลอย่างแน่นอน

สัก ๑๐๘ จบคงไม่เหนื่อยเกินไปกระมัง ? ถ้าภาวนาเป็นปกติก็ให้ใช้คาถาเงินล้านนี่แหละเป็นคำภาวนาไป สมาธิยิ่งสูงเท่าไร ก็ได้ผลเร็วเท่านั้น

ถาม : ว่าจะขายบ้าน
ตอบ : จุดธูปบอกเจ้าที่ท่าน บอกว่าขออนุญาตขายบ้านหลังนี้ แล้วจะถวายสังฆทานให้ท่าน ขอให้ท่านโมทนาด้วย และขอให้ท่านช่วยให้ขายได้ไว ๆ

เถรี
24-11-2010, 22:40
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เรื่องที่รู้ไปแล้วไร้ประโยชน์ อย่าไปรู้มันเลย เสียเวลาอธิบาย คุณจะศึกษาไปทำไมที่จะให้รู้ต้นเหตุทั้งหมด ยกเว้นจะไปเป็นพระพุทธเจ้า วิธีที่ดีที่สุด คือ ทำอย่างไรให้ตนเองพ้นทุกข์เร็ว ๆ

ถาม : เวลาออกบวช ไม่ได้พิจารณาอาหาร ทำอย่างไรจะพ้นกรรมนี้ ?
ตอบ : วิธีให้พ้นกรรมง่ายที่สุดคือ สร้างศีล สมาธิ ปัญญาให้สูงเข้าไว้ พอช่วงสุดท้ายของปัญญาก็จะเห็นว่าร่างกายนี้ก็ดี โลกนี้ก็ดี ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่น่ารัก น่าใคร่ น่ายึดถือ จิตจะถอนออกมา เลิกไปยึดไปเกาะ เท่านี้ก็พ้นแล้ว

ถาม : ก็แปลว่า ถ้าตอนบวชเป็นภิกษุ ทำชั่วมา แล้วสำนึกได้ กรรมทั้งหมดก็หมดไป ?
ตอบ : โทษเหล่านั้นยังติดตัวคุณไปอยู่ และจะเป็นตัวปิดกั้นมรรคผลไปตลอด เพราะคุณผิดศีลเสียตั้งแต่แรกแล้ว การละเมิดศีลเท่ากับเป็นโทษติดตัวเราไป ถ้าเป็นอาบัติหนักก็แก้ไขไม่ได้ ถ้าเป็นอาบัติเบา รู้สำนึกก็ให้แสดงคืนอาบัติเสีย ถ้าอย่างนั้นก็พอที่จะลดหย่อนผ่อนโทษไปได้บ้าง

ถ้าไปทำในส่วนของอาบัติหนัก อย่างเช่น สังฆาทิเสส หรือปาราชิก ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเหมือนโทษประหารหรือจำคุกตลอดชีวิต

ถาม : ก็แปลว่า ถ้าบวชอีกเราแสดงคืนอาบัติได้ ?
ตอบ : ถ้าปาราชิกไปแล้ว บวชอีกจะไม่ใช่พระ ถ้าสังฆาทิเสส บวชไปแล้วเคยไปละเมิดเท่าไร ก็ไปใช้หนี้คืนด้วยการอยู่ปริวาสนานเท่านั้น

ถาม : ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่พิจารณาอาหาร ?
ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะเป็นอาบัติเล็ก เราไว้แสดงคืนอาบัติได้

ถาม : อาเคยเป็นเจ้าอาวาส โยมเขาถวายพระเครื่องไว้ อาสึกแล้วก็เอาพระกลับมาบ้าน ติดหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ติดแน่นอน ใครทำก็เป็นโทษของคนนั้น ถ้าหากเรารู้ เราก็นำไปคืนเสีย

ถาม : แต่แม่กับอาท่านไม่รู้เรื่องราวอะไร
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้ท่านเอาไฟเผาบ้านท่านไป

ถาม : แล้วถ้าจะให้พระอยู่บ้าน เวลาชำระต้องชำระหนี้สงฆ์ด้วยราคา ?
ตอบ : ชำระด้วยราคาปัจจุบัน ถ้าเป็นพระที่นิยมในท้องตลาดก็จุกหน่อยนะ..!

เถรี
25-11-2010, 10:17
ถาม : ถ้าผมสร้างพระ ผมอธิษฐานถวายเงินให้ท่านพระอินทร์และท่านท้าวเวสสุวรรณ ลงชื่อเป็นชื่อท่าน จะดีไหมครับ ?
ตอบ : จะลงชื่อหรือไม่ลงชื่อ ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าเรานึกถึงท่าน แล้วท่านโมทนาก็ถือว่าใช้ได้

ถาม : ลงชื่อให้ท่านได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ลงชื่ออย่างนั้นบางทีก็มีโทษ คนที่ไม่รู้เรื่องจะหาว่าเราบ้า..!

ถาม : เบิกเนตรพระพุทธเจ้าทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เบิกเนตรตัวเองให้กว้าง ๆ ไว้ เนตรพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปเบิกหรอก อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว พวกเราต่างหากที่จมอยู่กับอวิชชา ฉะนั้น..เบิกตาตัวเองให้กว้างไว้ ไม่ต้องไปเบิกเนตรพระพุทธเจ้าหรอก

ถ้าตามสายหลวงพ่อท่านใช้วิธีบวงสรวง ขอบารมีพระท่านมาสงเคราะห์และเชิญเทวดาท่านมารักษา

เถรี
25-11-2010, 10:21
ถาม : พี่เขามักจะมีปัญหากับแม่ เพราะแม่เขาทำตัวเหมือนเด็ก ๆ พี่เขาเลยรำคาญ หงุดหงิด พี่เขารู้ว่าเป็นสิ่งไม่ควรเพราะนั่นเป็นแม่ แต่ระงับยับยั้งไม่อยู่เสียที
ตอบ : ให้เขาไปหัดทำสมาธิเอาไว้ ถ้ากำลังใจทรงตัวก็พอที่จะระงับได้

ถาม : จับลมหายใจอย่างนี้หรือคะ ?
ตอบ : จ้ะ ทรงฌานให้ได้อย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป แล้วจะดีเอง

ถาม : เลี้ยงเด็กให้เก่งนี่ไม่ดีอย่างไร ?
ตอบ : เด็กเก่งจะขาดความสุขในวัยเด็กไปเยอะ เพราะต้องไปเคี่ยวเข็ญเขา ไม่ต้องเก่งมาก เอาแค่ได้เอทุกวิชาก็พอ..!

เถรี
25-11-2010, 13:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่เป็นฆราวาสอยู่ ความที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษ มีทิพจักขุญาณ เวลาไปหาพระก็มักจะดูว่าท่านดีจริงหรือเปล่า ท้ายสุดพอไปเจอพระองค์ที่ ๑๐ เข้า เลยเจอท่านต้มเสียจนเปื่อย เพราะดูท่านไม่ออก จึงเหมาว่าท่านไม่มีอะไร

ตอนหลังหลวงพ่อท่านบอกว่า "โง่ดีมาก..!" ท่านบอกว่า "บุคคลที่จะดูคนอื่นรู้ ก็คือ ระดับที่เขาเท่ากัน หรือบุคคลที่เขาต่ำกว่าเท่านั้น ถ้าระดับสูงกว่าเราจะดูเขาไม่ออก" โดนไปทีหนึ่งก็เลยเข็ด ตั้งแต่นั้นมาก็เลิกดู เพราะพระองค์ที่ ๑๐ ท่านบอกว่า อย่าทำอย่างไอ้พวกแว่นแตก มันถือว่าแว่นมันดี แต่ดูไม่ได้เรื่อง ก็เลยแว่นแตก

ก่อนหน้านั้นก็คิดว่า ความเป็นทิพย์ของเราสามารถดูได้ทุกคน ตัวอย่างก็คือ อาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ บรรณาธิการหนังสือมหาจักร ฉบับคนพ้นโลกรุ่นแรก ๆ

อาจารย์ปถัมภ์ท่านได้ทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก หนังสือมหาจักรของอาจารย์ปถัมภ์ลงเรื่องของพระรูปไหน ยืนยันได้ว่าของแท้แน่นอน เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแน่นอน เพราะอาจารย์ปถัมภ์พิสูจน์ด้วยทิพจักขุญาณของตัวเองแล้ว

พอไปเจอหลวงพ่อวัดท่าซุง อาจารย์ปถัมภ์เขาไปเขียนบรรยายเสียเลิศลอย ไม่เคยเจอพระที่ไหนบารมีสูงมาอย่างนี้ก่อน สว่างไปสามโลกเลย ปรากฏว่าครั้งต่อไปพาญาติโยมไปกราบหลวงพ่อ เจอหลวงพ่อกำลังด่าคนงานอยู่ กำหนดใจดูใหม่ ปรากฏว่ามืดตื๋อเลย มองอะไรไม่เห็น เขาก็ลังเล ไปคุยกับเพื่อนว่า สงสัยหลวงพ่อจะไม่ใช่พระอริยเจ้าระดับสูงอย่างที่คิด น่าจะเป็นได้ไม่เกินพระโสดาบัน เพราะยังมีความโกรธอยู่ "

ถาม : แล้วอย่างของท่านนี้จะเป็นการปรามาสพระหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่เป็น เพราะเข้าใจผิด แต่ก็ได้ขอขมาท่าน ท่านบอกว่าเราไม่ได้เจตนา ท่านไม่ได้ถือโทษหรอก ยังดีที่ท่านเมตตาให้รู้ ต่อไปจะได้ไม่ทำอะไรโง่ ๆ อีก

เถรี
25-11-2010, 13:31
พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภทไว้อย่างหนึ่ง ท่านเปรียบเทียบเอาไว้ว่า

ปะเภทแรก เหมือนกับหม้อเปล่าแล้วเปิด ก็คือ ไม่มีความสามารถ แต่ก็ไม่ปิดบังใคร
ประเภทที่สอง เหมือนกับหม้อเปล่าแล้วปิด ไม่มีความสามารถ แต่ก็ไม่เปิดเผยตัวเองว่าไม่มีความสามารถ
ประเภทที่สาม เหมือนหม้อเต็มแล้วปิด มีความสามารถเต็มที่ทุกอย่าง แต่ว่าปิดตัวเอง ไม่เปิดเผยแก่ใคร
ประเภทสุดท้าย เป็นหม้อเต็มแล้วเปิด มีความสามารถเต็มที่ ท้าพิสูจน์ได้ทุกคน

เพราะฉะนั้น..ถ้าเจอประเภทใดประเภทหนึ่งที่ว่ามานี้ อาจจะโดนหลอกจนหัวปั่นได้

เถรี
25-11-2010, 17:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครรู้บ้างว่างูหรือพญานาคมีกี่ตระกูล ในบาลีเขาบอกว่ามี ๔ ตระกูล

ตระกูลวิรูปักขะ ตระกูลกัณหาโคตมะ ตระกูลฉัพพยาปุตตะ ตระกูลเอราปถะ

๔ ตระกูลนี้ เขาใช้กำลังรัดให้ตายบ้าง กัดแล้วตายด้วยพิษบ้าง กระทบถูกก็ตายบ้าง ตระกูลสุดท้ายแค่มองก็ตาย..! เพราะฉะนั้น..อย่าได้เจอกับพวกนี้เลย โดยเฉพาะสองตระกูลสุดท้าย

พวกสัตว์เลือดเย็นอย่างงู เขามีอายุไม่จำกัด ลอกคราบไปได้เรื่อย ๆ ถ้าไม่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรือโดนฆ่าตายไปเสียก่อน ก็จะโตไปได้เรื่อย ๆ

พูดถึงมองแล้วตาย ในพระวินัย ข้อภิกษุฆ่ามนุษย์ให้ตาย แล้วต้องอาบัติปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระ มีอยู่คำอธิบายไว้ตอนหนึ่งว่า ภิกษุผู้ที่ดวงตามีฤทธิ์ ตั้งใจถลึงตามองผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติปาราชิก ข้อนี้ถ้าไม่เจอมากับตัวเอง จะคิดว่ามีด้วยหรือ ? แต่อาตมาเจอมากับตัวเองตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม

เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เธอชื่อ นันทา วงศ์สุวรรณ เพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น เราถึงกับเข่าอ่อนลงกับพื้น รู้สึกเสียวแปลบเหมือนใจจะขาด ถึงได้เข้าใจว่า คนประเภทนี้ถ้าตั้งใจมองเรา ตายแน่เลย ถ้าเราดูในคาถาเทพอาวุธ จะมี สักกัสสะ วชิราวุธัง ยะมัสสะ นะยะนาวุธัง อาฬะวะกัสสะ ธุสาวุธัง เวสสุวัณณัสสะ คทาวุธัง บอกไว้ชัดเลยว่าอาวุธของพระยายมก็คือดวงตา

เขาน่าจะเป็นลูกเป็นหลานของท่านลุง ผู้หญิงประเภทนี้ไปอยู่กลางดงผู้ชาย ต่อให้หื่นขนาดไหนก็ตายหมด ตอนนั้นที่มองแล้วเข่าอ่อน ไม่ใช่เข่าอ่อนเพราะเจอเนื้อคู่นะ แต่เข่าอ่อนเพราะจะตาย ตัวเขาก็รู้ ถึงเวลาก็มักก้มหน้าก้มตา ไม่ค่อยสบตาใคร"

เถรี
25-11-2010, 22:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลังจากที่มีนิกายมูลวาสติวาทเกิดขึ้น ก็มีการตีความพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างไปจากของเดิมไป แต่ยังยึดพื้นฐานใหญ่เกือบทั้งหมดเอาไว้ แต่ระยะหลังนิกายต่าง ๆ เกิดขึ้นมาก ส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นเหมือนประเทศไทยในปัจจุบัน ก็คือ เป็นอาจาริยวาทเสียเยอะ ถือแต่คำสอนของอาจารย์ตนเป็นใหญ่

ถ้าถือคำสอนของอาจารย์ตนเป็นใหญ่ แล้วมีการเปรียบเทียบกับตำรา อย่างเช่นพระไตรปิฎก ก็นับว่าดี แต่ส่วนใหญ่ที่ปรากฏขึ้นก็คือ ถือตามแบบไม่ลืมหูลืมตา สุดยอดก็คืออาจารย์ของข้า คนอื่นไม่ใช่ทั้งนั้น..!

นอกจากจะไม่เปรียบเทียบกับหลักฐานดั้งเดิมที่เป็นพระพุทธวจนะในพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีการยกเอาหลักธรรมที่อาจารย์สอนไปข่มกับสำนักอื่นอีกต่างหาก ท้ายสุด..อาจารย์ต่างคนต่างเก่ง ก็กลายเป็นนิกายต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ในปัจจุบัน พวกเราก็กำลังจะสร้างสำนักนิกายใหม่ขึ้นแล้ว

จึงอยากให้หลักการกับทุกคนว่า ในเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเป็นไปได้ ให้อ่านพระไตรปิฎกบ้าง จะได้รู้ว่าคำสอนของครูบาอาจารย์ก็ดี หรือที่อาตมาเอามาแนะนำก็ดี มีผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎกหรือเปล่า ถ้าขี้เกียจอ่านพระไตรปิฎกเพราะเห็นว่ามาก ใช้หนังสือของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลักก็ได้ โดยเฉพาะคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน กับกรรมฐาน ๔๐

ถ้ามีเวลาจะอ่านเยอะหน่อย ก็ดูในปกิณกะธรรม เล่ม ๑ , ๒ และ มหาสติปัฏฐานสูตร เดี๋ยวจะกลายเป็นชอบของยากไปอีก มหาสติปัฏฐานสูตร ถ้าคนไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติจริง ๆ เมื่อเลยจากกายในกายไปแล้ว มักจะอ่านไม่เข้าใจกัน"

เถรี
25-11-2010, 23:26
"การศึกษาเล่าเรียนของเราในปัจจุบันไม่เหมือนกับสมัยโบราณ ตำราต่าง ๆ โดยเฉพาะพระไตรปิฎกอยู่ในวัด ถ้าไม่ได้บวชเรียนเข้าไป โอกาสที่จะศึกษาก็ไม่มี ถ้าบวชเป็นระยะที่ไม่มากพอ โอกาสศึกษาให้เจนจบก็ยาก แต่สมัยนี้วิ่งเข้าไปถามกูเกิ้ลอย่างเดียวก็สบายแล้ว ต้องการอะไรเขาบอกให้หมด เราสามารถที่จะเปรียบเทียบได้ว่า มาจากไหน ? ใช่หรือไม่ ? มีจุดใดที่ผิดเพี้ยนบ้าง ?

พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ในเกสปุตตสูตร หรือพวกเราเคยชินในชื่อกาลามสูตรว่า อย่าเชื่อด้วยเหตุ ๑๐ ประการด้วยกัน มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเชื่อแม้ว่ามีจารึกไว้ในพระไตรปิฎก มา สมโณ โน ครูติ อย่าเชื่อแม้ว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

เพราะเรื่องของหลักธรรม ถ้าพลาดแล้วเราไม่ได้พลาดแค่ชีวิตนี้ แต่พลาดไปนับชาติไม่ถ้วน เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เราต้องถือคติว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามดีกว่า ถ้าเร่งมาก ๆ ก็อาจจะได้แค่มีดตัดฟืนหั่นผักเท่านั้น

ในส่วนของกำลังใจของพวกเรา มีวิธีตรวจสอบง่าย ๆ ในสัมมัปปธาน ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้แล้ว คือ สังวรปธาน เพียรระมัดระวังไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ปหานปธาน เพียรขับไล่อกุศลในใจออกไปเสียให้พ้น ภาวนาปธาน เพียรสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา อนุรักขนาปธาน รักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

หลักการใหญ่ ๆ จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ๓๗ ประการด้วยกัน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ สติปัฏฐาน ๔ อิทธิบาท ๔ สัมมัปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ รวมแล้วธรรมะทั้งหลายเหล่านี้หมวดใดหมวดหนึ่ง ถ้าเราตั้งใจเอาเป็นหลักในการปฏิบัติจริง ๆ ก็เหลือเฟือเกินพอแล้ว

ถ้าอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสรุปให้ก็คือ สร้างบารมี ๑๐ ให้เต็ม กับ ละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้ แต่การสร้างบารมี ๑๐ ให้เต็มหรือละสังโยชน์ให้ได้ ก็อยู่ในโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ นั่นแหละ แล้วแต่ว่าเราจะเอาข้อไหนมาดัดแปลงใช้ในการสร้างบารมี ๑๐ ให้เต็ม หรือเอาส่วนไหนที่เราจะไปดัดแปลงใช้ในการตัดทำลายสังโยชน์ ๑๐ ให้ขาด"

เถรี
26-11-2010, 00:43
"ในเรื่องของการปฏิบัติ ขอย้ำอีกทีว่า ถ้าพลาดไม่ใช่แค่ชาติเดียว แต่เป็นหลายชาติ ถ้าพลาดลงข้างล่างก็นับชาติไม่ถ้วน ลงไปข้างล่างก็เท่ากับเราเสียไปหลายชาติ เพราะฉะนั้น..ต้องคอยระมัดระวังทบทวนให้ดี

พระพุทธเจ้าทรงมอบอิทธิบาท ๔ ไว้ให้แก่พวกเรา โดยเฉพาะวิมังสา หมั่นไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในการปฏิบัติ บุคคลที่ปัญญาไม่เพียงพอ จะใช้วิมังสาไม่เป็น เราต้องระลึกอยู่เสมอว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ตอนนี้สิ่งที่เราทำนั้นยังตรงกับที่เราตั้งเป้าไว้หรือไม่ ? ตอนนี้เราก้าวมาใกล้ไกลแค่ไหนแล้ว ? ยังเหลือระยะทางหรือเหลือสิ่งที่ต้องทำอีกเท่าไร ? เราใช้ความเพียรพยายามเต็มที่แล้วหรือไม่ ?

เรื่องพวกนี้ถ้าไม่มีอยู่ในใจ โอกาสที่จะก้าวหน้าก็น้อย ถึงเวลาก็เหมือนกับไฟไหม้ฟาง ได้รับการกระตุ้นก็ลุกฮือขึ้นมาหน่อย พอห่างสิ่งปลุกเร้าก็เงียบฉี่"

ถาม : ถ้าเราจะลงในธรรมความไม่ประมาท ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทั้งหมดลงตรงนี้แหละ แต่ว่าส่วนใหญ่ดีแต่จำ ถ้าจำแล้วทำก็ดี ส่วนใหญ่จำแล้วเอาไปทำไม่เป็น..!

ถาม : บทจะทำก็นึกไม่ออกครับ
ตอบ : แสดงว่ายังไม่สามารถที่จะเอาไปประยุกต์ใช้งานจริงได้ แปลว่าสิ่งที่ทำไปยังไม่มีผล ถ้าทำแล้วมีผลต้องเอาไปใช้งานจริงได้

เถรี
26-11-2010, 14:39
พระอาจารย์กล่าวถึงในเรื่องสภาพร่างกายว่า "สูงยาวขาวตึง ก็คือ สูงอายุ สายตายาว ผมขาว หูตึง

หลาย ๆ คน ยอมรับสภาพร่างกายไม่ได้ จึงไปทุ่มเทเพื่อจะกระชากวัยเอาไว้ ขอบอกว่าทุกอย่างมีราคา ถ้าไปทำอย่างนั้นจะหมดเงินเยอะมาก แค่เข้าฟิตเนสอาจจะเสียเดือนหนึ่งไม่กี่พัน

แต่ถ้าถึงขนาดต้องไปกินอาหารเสริมสารพัดอย่างเพื่อชะลอวัย ก็จะแพงหนักเข้าไปอีก และถ้ามีการไปฉีดโบท็อกซ์ ไปดึงหน้าดึงตากันใหม่ ก็ยิ่งหนักกันไปอีก ถ้ายอมรับในสภาพร่างกายว่าอย่างไรก็ต้องแก่ ธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ ก็คงไม่ต้องไปหมดเงินเยอะแยะอย่างนั้น"

เถรี
26-11-2010, 23:38
พระอาจารย์เล่าถึงตำนานบ้านอนุสาวรีย์ว่า "จะย้ายไปบ้านใหม่เดือนเมษายนปีหน้า ก็แปลว่า ใช้บ้านนี้มาเป็นระยะเวลา ๑๘ ปี กับอีก ๖ เดือน ตอนแรกใช้ห้องตรงชั้นสาม ๒ ปี แล้วจึงเปลี่ยนมาใช้ชั้นสอง

บ้านอนุสาวรีย์เกิดขึ้นมาจากแม่ของเพื่อน ก็คือ คุณแม่ทองดี เพื่อนก็คือคุณยายติ๋วนั่นแหละ ที่เรียกประชดเพราะคุณเธอทำอะไรช้ามาตั้งแต่สมัยสาว ๆ เรียนหนังสือด้วยกันเพื่อนเรียกป้าทุกคนเลย ประเภทนัดแปดโมงเช้า ถ้าบ่ายสองเธอมาถึง ก็ถือว่าเร็วแล้ว

อาตมาบวชช่วงแรก ๆ แม่ทองดีก็ไปทำบุญที่วัดท่าซุง ทำไปทำมา แม่ก็บ่นบอกว่า "พระเล็ก..แม่แก่แล้ว ไปไกล ๆ ไม่ไหว หาเวลาลงมาให้แม่มาถวายสังฆทานสักเดือนละครั้งจะได้ไหม ?" จึงตกลงรับ เดือนแรก ๆ ที่มารับสังฆทานมีคนมาไม่ถึง ๑๐ คน หลังจากนั้น พอคนรู้ว่าอาตมามาที่นี่ จึงเริ่มมากันมากขึ้น

ตอนแรกรับสังฆทานอยู่ตรงห้องของคุณมงคล จอมผา(น้องป้าติ๋ว) ห้องตรงชั้นสามที่เราขึ้นไปฉันอาหาร คนแก่กว่าจะเดินขึ้นไปถึงชั้นสามก็หอบ เขาก็ประท้วงมา ปลายปี ๒๕๓๗ จึงลงมาสร้างห้องข้างล่างนี้ ซึ่งแต่เดิมเป็นชั้นลอยโล่ง ๆ ไม่ใช่ชั้นสองอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ ชั้นสองจะเป็นชั้นที่อยู่บนหัวของพวกเรา มาวางคาน ปูพื้น กั้นห้องและเริ่มรับสังฆทานที่นี่

พอเวลาผ่านไป ๖ ปี ตั้งใจว่าจะเอารูปหลวงพ่อใส่กรอบแล้วประดับไฟ ถ้าทำเสร็จออกมา รูปจะมีขนาดโตเท่ากับกระเป๋าเอกสาร พอช่างเขามาถึง เขาส่งรูปให้ หลวงพี่อาจินต์ท่านเห็นเข้าพอดี "เฮ้ย..เล็ก สวยดีว่ะ ขอพี่เถอะ พี่จะเอาไปตั้งไว้หัวเตียง" อาตมาก็ว่า "อ้าว..ของผมล่ะ ?" พี่เขาบอกว่า "เอาของพี่ไปแทนก็แล้วกัน"

พี่เขาก็ส่งรูปที่ม้วนอยู่มาให้ ตอนนั้นคิดว่ารูปใหญ่กว่าของเราไม่มาก จึงส่งรูปให้ช่างเขาทำกรอบ และให้เขาไปส่งให้ ตอนต้นเดือนรับสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์ ช่างเขามา ถามว่า "จะเอาขึ้นทางไหนครับ ?" อาตมาบอกว่า "ประตูซีวะ.." ช่างบอกว่า "เข้าไม่ได้ครับ" เราก็ตกใจ "เฮ้ย..ใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ ?"

พอลงไปดู ปรากฏว่ารูปใหญ่จนล้นหลังคาปิ๊กอัพเลย ตอนนั้นหลวงพี่อาจินต์ท่านม้วนรูปไว้ แล้วไปม้วนตามด้านกว้าง อาตมาเห็นก็นึกว่ารูปใหญ่กว่าของตัวเองนิดเดียว ไม่ได้นึกว่าจะใหญ่ขนาดนี้ เห็นแล้วยังตกใจ"

เถรี
26-11-2010, 23:41
"ถามช่างเขาว่าค่ากรอบเท่าไร ? เขาบอกว่าสามหมื่น..! โชคดีที่ยังพอรวย เลยพอมีให้เขา

แต่ไม่รู้จะเอาเข้ามาอย่างไร ท้ายสุดก็ต้องใช้วิธีชักรอกขึ้นมา โดยขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้า แล้วเอาเชือกใหญ่ ๆ สองเส้น ผูกและรั้งขึ้นมา ถอดหน้าต่างตรงชั้นสองออก แล้วดึงรูปเข้ามาทางหน้าต่าง ตอนนั้นคนมารุมดูกันเยอะมากเลย อยู่ตรงนี้มา ๖ ปี คนเขาบอกว่า ไม่รู้จริง ๆ ว่ามีพระอยู่ตรงนี้ด้วย

ตั้งแต่ครั้งนั้นมา เขาก็รู้กันทั่วถึง เท่ากับว่าในที่สุดอาตมาต้องเปิดตัวจนได้ สรุปได้ว่า จากที่รับสังฆทานแค่วันละไม่กี่คน ก็กลายมาเป็นร้อย ๆ คน อย่างที่เห็น"