ลัก...ยิ้ม
27-09-2010, 10:40
สันตติของอารมณ์
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ ต.ค. ๒๕๓๕ สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเพื่อนของผมในเรื่องนี้ไว้ดังนี้
๑. ขณะเจริญกรรมฐาน หากพิจารณาไปจิตเครียดขึ้นมา ก็จงวางอารมณ์พิจารณา เปลี่ยนมาเป็นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก กำหนดภาพพระเป็นกสิณนิมิต แทนการเห็นอาทิสมานกายอยู่เบื้องหน้าพระบนพระนิพพาน จงทำจิตให้เป็นสุขผ่องใส เพราะอยู่ต่อหน้าพระจอมไตรองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ กำหนดรู้ไว้ แม้ร่างกายจักตายไปในขณะนั้น จิตก็ย่อมเข้าสู่พระนิพพานอย่างแน่นอน
๒. อย่าลืม เวลาใดที่กำหนดภาพพระนิพพาน เวลานั้นจิตไม่ห่วงร่างกาย ลืมความคิดถึงร่างกายในชั่วขณะนั้น ๆ
๓. ขอให้สังเกตอารมณ์ของจิต จักเกาะติดหรือคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ แค่อย่างเดียวในขณะจิตนั้น ๆ แต่เนื่องจากขณะจิตหนึ่งนั้นเร็วมาก แค่พุทไม่ทันโธ บุคคลผู้มีความประมาทก็ตั้งสติกำหนดรู้ขณะจิตหนึ่งนั้นไม่ทัน
๔. การปล่อยอารมณ์ฟุ้งซ่านถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ จึงรู้สึกว่ามันปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเป็นราว จนดูเป็นที่ผันผวนของอารมณ์ยิ่งนัก นี่ก็เป็นสันตติเพราะแยกขณะจิตหนึ่ง ๆ นั้นไม่ออก เรื่องราวทั้งหมดจึงประดังประเดเข้ามาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลติด ๆ กันมา สติไม่ทันกำหนดรู้ ก็แยกเหตุที่เกิดขึ้นกับอารมณ์ในขณะนั้นไม่ถูก ยิ่งใจร้อน ก็ยิ่งไหวหวั่นไปกับเหตุที่เกิดขึ้นมาก แต่ถ้าหากใจเย็น มีสติสัมปชัญญะ กำหนดรู้อารมณ์ที่เข้ามากระทบจิตในขณะจิตหนึ่ง ๆ การกำหนดรู้ก็จักดึงเหตุที่เข้ามากระทบจิตให้ช้าลง จนสามารถรู้ได้ว่าในขณะจิตหนึ่งนั้น ๆ จิตกำลังเสวยอารมณ์อะไร
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ ต.ค. ๒๕๓๕ สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเพื่อนของผมในเรื่องนี้ไว้ดังนี้
๑. ขณะเจริญกรรมฐาน หากพิจารณาไปจิตเครียดขึ้นมา ก็จงวางอารมณ์พิจารณา เปลี่ยนมาเป็นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก กำหนดภาพพระเป็นกสิณนิมิต แทนการเห็นอาทิสมานกายอยู่เบื้องหน้าพระบนพระนิพพาน จงทำจิตให้เป็นสุขผ่องใส เพราะอยู่ต่อหน้าพระจอมไตรองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ กำหนดรู้ไว้ แม้ร่างกายจักตายไปในขณะนั้น จิตก็ย่อมเข้าสู่พระนิพพานอย่างแน่นอน
๒. อย่าลืม เวลาใดที่กำหนดภาพพระนิพพาน เวลานั้นจิตไม่ห่วงร่างกาย ลืมความคิดถึงร่างกายในชั่วขณะนั้น ๆ
๓. ขอให้สังเกตอารมณ์ของจิต จักเกาะติดหรือคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ แค่อย่างเดียวในขณะจิตนั้น ๆ แต่เนื่องจากขณะจิตหนึ่งนั้นเร็วมาก แค่พุทไม่ทันโธ บุคคลผู้มีความประมาทก็ตั้งสติกำหนดรู้ขณะจิตหนึ่งนั้นไม่ทัน
๔. การปล่อยอารมณ์ฟุ้งซ่านถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ จึงรู้สึกว่ามันปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเป็นราว จนดูเป็นที่ผันผวนของอารมณ์ยิ่งนัก นี่ก็เป็นสันตติเพราะแยกขณะจิตหนึ่ง ๆ นั้นไม่ออก เรื่องราวทั้งหมดจึงประดังประเดเข้ามาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลติด ๆ กันมา สติไม่ทันกำหนดรู้ ก็แยกเหตุที่เกิดขึ้นกับอารมณ์ในขณะนั้นไม่ถูก ยิ่งใจร้อน ก็ยิ่งไหวหวั่นไปกับเหตุที่เกิดขึ้นมาก แต่ถ้าหากใจเย็น มีสติสัมปชัญญะ กำหนดรู้อารมณ์ที่เข้ามากระทบจิตในขณะจิตหนึ่ง ๆ การกำหนดรู้ก็จักดึงเหตุที่เข้ามากระทบจิตให้ช้าลง จนสามารถรู้ได้ว่าในขณะจิตหนึ่งนั้น ๆ จิตกำลังเสวยอารมณ์อะไร