View Full Version : เก็บตกจากภูเก็ต เดือนธันวาคม ๒๕๕๒
ถาม : วิธีฝึกย้อนระลึกชาติ
ตอบ : ทำสมาธิให้กำลังใจทรงตัวมากที่สุด แล้วค่อย ๆ นึกย้อนไปทีละขั้น ค่อย ๆ นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในวันนี้...แล้วย้อนไปถึงเมื่อวาน...ย้อนไปเมื่อวานซืน..ย้อนไปเดือนก่อน..ย้อนไปปีก่อน...ย้อนไปจนถึงชาติก่อน ค่อย ๆ ย้อนไปเรื่อย ๆ
ถ้าภาพเริ่มเบลอ ไม่ชัด กำลังสมาธิตก ให้เลิก แล้วทำสมาธิใหม่ ค่อย ๆ ทำให้กำลังใจมันนิ่ง
ถาม : ถ้าของหาย ทำอย่างไรจึงจะหาเจอ บนใครได้บ้าง?
ตอบ : ถ้าของหายให้บนกับ "ลุงปลั่ง" (ท่านสิงขร) ท่านเป็นเทวดารักษาเมืองชัยนาท
ลุงปลั่งท่านแปลก ท่านรับบนทั้ง ๒ ฝ่ายเลย ก็คือ ฝ่ายคนที่ขโมยและคนถูกขโมย คนขโมยไปบนขอให้ทำสำเร็จก็สำเร็จจริง คนถูกขโมยไปบนของหายก็ได้คืน แล้วท่านก็กินทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่ที่ท่านทำอย่างนี้ได้เพราะวาระของเจ้าของ ของมันจะหายอยู่แล้ว
ลุงปลั่งจะบนอะไรท่านก็ได้ แล้วแต่เราจะให้ ท่านเป็นเทพรักษาเขาพลอง อยู่ที่ชัยนาท
เรื่องของการบนนั้น วาระบุญเก่าของเรามีผล ยกตัวอย่าง แก้วหนึ่งใบ ถ้ามีน้ำอยู่เกือบเต็มแก้ว เติมอีกนิดเดียวก็เต็ม อย่างนี้บนอะไรก็สำเร็จ
แต่ถ้ามีน้ำอยู่แค่ก้นแก้ว ต้องเติมอีกเยอะกว่าจะเต็ม อย่างนี้บนเท่าไรก็ไม่สำเร็จ
ฉะนั้น..มันขึ้นอยู่กับบุญความดี ถ้าสร้างเหตุไม่พอ ผลก็ไม่เกิด ถ้าอยากให้ผลเกิดทุกครั้ง ก็ต้องสร้างเหตุให้พอ
นักปฏิบัติเมื่อทำไปจนถึงจุดหนึ่ง จะน่ากลัวมาก เพราะคิดว่าอยากจะได้อะไร เพียงคิดเล่น ๆ เท่านั้นก็จะมา จะพูดจริงก็ใช่ พูดเล่นก็ใช่ อย่างนี้ถ้าเผลอเมื่อไรแล้วจะซวย เพราะจะคิดว่าตัวเองเก่ง
ต้องระวังตัว มีสติสัมปชัญญะให้มาก ๆ เวลาคิดต้องคิดเพื่อศาสนา เพื่อส่วนรวม เพื่อญาติโยม อย่าคิดเพื่อตัวเอง ถ้าขาดสติจะเห็นว่าเรื่องนั้นสมควรแก่เราเมื่อไรก็เจ๊ง..!
ถาม : นอกจากความเพียรแล้ว ทำอย่างไรปัญญาจึงจะดี ?
ตอบ : สมาธิต้องทรงตัว แล้วปัญญาจะดีเอง เพราะถ้าใจเรานิ่ง ก็จะเหมือนกับน้ำที่นิ่ง จะสะท้อนเงาทุกอย่างได้ชัด ฟังอะไรครั้งเดียวก็เข้าใจ ถ้าสมาธิดีก็ไม่เป็นอัลไซเมอร์ด้วย
ถาม : มีความรู้สึกตีกันอยู่ข้างในค่ะ อยากจะพังข้าวของ มันโมโหอยู่ข้างใน แต่เราก็เห็นอารมณ์ตัวเอง
ตอบ : เวลาเรากด รัก โลภ โกรธ หลงเอาไว้ มันก็อาละวาดอยู่ข้างใน ให้ระวังว่ากรงจะพัง
พยายามไปฝึกวิ่งภาวนา หาทางระบายออกบ้าง เพราะถ้าไม่ระบายออก ถ้าระเบิดทียิ่งกว่าดรากอนบอลเสียอีก..!
ถาม : การสร้างพระกลางแจ้ง
ตอบ : ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อย่าสร้างพระตากแดดตากฝน พระพุทธเจ้าคือพ่อของเรา อย่าสร้างท่านให้ตากแดดตากฝน
ถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีสร้าง อย่างไรก็ต้องมีหลังคา
ถาม : จะปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์วัดหนึ่ง แล้วต้องขึ้นไปเหยียบองค์พระ อย่างไรก็เป็นการปรามาส ควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : ให้ขอขมาพระรัตนตรัยทั้งก่อนทำและหลังทำ และทุกวันจนกว่าจะสำเร็จ เราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ผลก็เกิดแล้ว
ขอขมาให้จิตหลุด จิตปลดออกจากจุดนั้น โทษที่จะเกิดก็ไม่มี แต่ถ้ามัวกังวลก็ไม่ต้องทำมาหากิน
อย่างเช่น โรงงานแห่งหนึ่ง ช่างพม่าเขาขึ้นไปเหยียบหน้าพระ เพื่อไปขัดผิว อย่างนั้นถ้าไม่ขอขมาก็ตกนรกเลย
คาถาเงินล้าน เป็นคาถาที่ให้ลาภผลเงินทอง มีคุณโยมแม่ของนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร นอนเฉย ๆ (ป่วยอยู่) ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยนอนท่องคาถาเงินล้านไป ๓ ปี แล้วก็เห็นนิมิต มีแสงไฟดวงใหญ่พุ่งเข้าไปในตู้เซฟ ก็เลยบอกให้นายประยงค์ไปเปิดดู ปรากฏว่ามีใบละร้อยอยู่ในตู้เป็นมัด ๆ (สมัยนั้นใบละร้อยเป็นธนบัตรที่มีราคาสูงสุด)
เรื่องของคาถา ต้องทำให้จริงจัง สม่ำเสมอ เช่นเดียวกับการปฏิบัติ ถ้าอยากได้ดีก็ต้องเอาจริง
ทำไมฝรั่งเขาจึงได้กล้าไปทำมาหากินในต่างประเทศ เหตุผลหนึ่งก็คือ เขาเชื่อมั่นว่า รัฐบาลคุ้มครองเขาได้ ถ้าเขามีปัญหา เขาจะช่วยกันเต็มที่ แต่ของเราเวลามีปัญหา ไปถึงสถานทูตแล้ว ยังไม่อยากจะช่วยเลย
หลวงปู่มหาอำพัน ท่านนั่งสวดมนต์อยู่บนฟุตบาท (ทางเท้า) เนื่องจากญาติโยมที่นิมนต์ไป บ้านเขาเป็นร้านของชำ ของเต็มร้านจนไม่มีที่นั่ง หลวงปู่มหาอำพันก็เลยบอกให้เอาอาสนะมาปูหน้าบ้าน ตรงทางเท้า แล้วสวดมนต์ให้พรตรงนั้นเลย
มีคนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ไม่อายหรือครับ ที่มานั่งสวดมนต์ตรงทางเท้า ?" หลวงปู่เมตตาตอบว่า "หลับตาซะก็ไม่เห็นแล้ว..!"
ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่ง มีความสุขกับการมีลูกหลาน แต่คนบางกลุ่มก็เห็นว่าเป็นทุกข์
เชื่อหรือไม่ว่า เทวดา นางฟ้าบางกลุ่ม ยังเห็นว่าการมีลูกหลาน มีทรัพย์สมบัตินั้น ทำให้เป็นสุข
ในพระไตรปิฎก เทวดากล่าวว่า คนมีบุตรย่อมรื่นเริงเพราะบุตร คนมีโคย่อมรื่นเริงเพราะโค แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนมีบุตรย่อมทุกข์เพราะบุตร คนมีโคย่อมทุกข์เพราะโค
เทวดายังมีความสุขกับการมีคู่ มีบุตร ถ้าเรานึกไม่ถึง เราก็คิดว่ามีสุข แต่แท้จริงแล้ว มีความทุกข์อยู่ทุกนาที ต้องมองให้เห็น
ถาม : อยากปฏิบัติให้ก้าวหน้ามากกว่านี้ จะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจเริ่มทรงตัว เรามักเผลอ เผลอตอนดีนี่แหละ เพราะเราไปเพลิน พอเพลินทำให้สติขาด พอสติขาดแล้วกำลังใจตก แล้วกิเลสก็ตีกลับ ดังนั้น..ต้องมีสติรู้ทัน
ช่วงเป็นทหาร อาตมาไม่ยอมศีลขาดเลยจริง ๆ ปกติทหารเวลาฝึก เขาจะถามว่า "เหนื่อยไหม ?" เราต้องตอบว่า "ไม่เหนื่อย" เขาถามว่า "หิวไหม ?" เราต้องตอบว่า "ไม่หิว"
แต่อาตมาไม่โกหก เวลาเขาถามว่า "เหนื่อยไหม ?" เราก็ไม่โกหก รอให้เพื่อนมันพูดว่า "ไม่" แล้วเราก็ใส่เต็ม ๆ เลยว่า "เหนื่อย" พอเขาถามว่า "หิวไหม ?" เราก็รอเพื่อนพูดว่า "ไม่" แล้วใส่ไปเต็ม ๆ เลยว่า "หิว"
พอปฏิบัติไปเรื่อย ๆ เราจะรู้วิธีเองว่า ทำอย่างไรจะไม่ผิดศีล
อยากให้พวกเราเอาวิธีของทหารไปใช้ คือ การย้ำคิดย้ำทำ
ทำอะไรให้ทำไว้บ่อย ๆ แล้วจะคล่องตัว มีสิบนิ้วเท่ากัน ในเมื่อคนอื่นทำได้ เราก็ทำได้
ทหารเขาจะท่องว่า "ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ได้ ทำไม่ไหว ทำไม่ทัน" ตรงนี้ช่วยตอกย้ำว่าเราทำได้จริง ๆ เพราะเราเชื่ออย่างนั้น เขาเรียกว่า สำเร็จได้ด้วยใจจริง ๆ ถ้าอยากสำเร็จต้องทำแบบนี้
อย่างเวลาจับภาพพระให้เป็นกสิณ ถามตัวเองว่า เราทำมาเท่าไรแล้ว เราทั้งหลายมีบุญพอตัวแล้วจึงเกิดมาเป็นคนได้ ทำไมแค่จับภาพพระเราจะทำไม่ได้
ถ้าจับภาพพระไม่ถนัด หรือภาวนาไม่ทรงตัว ก็ให้ย้ำคิดย้ำทำ อย่าใจร้อนและเบื่อเด็ดขาด
ช่วงแรกตอนฝึกกสิณ ถ้าฝึกแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็บ่นว่าไม่ได้สักที แต่ถ้าฝึกทำแบบนั้นไปสักหมื่นครั้ง เป็นแสนครั้ง เป็นล้านครั้ง ภาพพระจึงจะดีขึ้น แต่พวกเราไม่ใช่แบบนั้น เราไม่มีความพยายาม ไม่มีความอดทน ความสำเร็จก็เลยไม่เกิด
เรื่องการทำบุญ เวลาจะทำบุญอะไรก็ต้องดูด้วย อย่างสร้างความลำบากให้พระ
บางทีชาวบ้านเขามาทำบุญ มากันที ๓ หมู่บ้าน ๒๐-๓๐ หลังคาเรือน นำอาหารมาครอบครัวละ ๓ อย่าง แล้วจะให้เราฉันของเขาให้หมด พอเราทำไม่ได้ เขาก็ผิดหวัง ไม่พอใจ เขาลืมไปว่า แค่ตักกับข้าวอย่างละช้อนมารวมกัน ก็เกินบาตรเบอร์ ๘ ครึ่งแล้ว แล้วจะให้เราฉันให้หมด เป็นไปได้ที่ไหน
ดังนั้น..เวลาทำบุญเราต้องใช้ปัญญาประกอบด้วย
อย่างบางคนถวายมะละกอสุกมา ๒๐ ลูก กว่าเราจะกลับวัดก็เน่าเป็นดวงแล้ว..! ถวายส้มโอแกะใส่โฟมมา ๖ ถาด เราอยู่คนเดียวจะฉันหมดได้อย่างไร ? บางคนก็ถวายยาคูลท์ เปิดฝาถวายมาเลย คนถวายกลัวไม่ได้บุญ เลยเปิดฝามาจะให้ฉันเดี๋ยวนั้น แต่อาตมาฉันไม่ได้ก็ต้องทิ้งถังขยะ กลายเป็นเสียของไป แต่ถ้ายังไม่เปิดฝา เรายังเอากลับไปถวายพระที่วัดได้
โปรดรู้ไว้ว่า ฟัก แฟง แตงโม น้ำเต้า แก้วมังกร พวกนี้มันเป็นของเย็น อาตมาฉันไม่ได้ ฉันแล้วแสลงไข้ ก็ต้องระวังตัวเอง ตอนนี้เลิกตามใจญาติโยมแล้ว เคยฉันทุเรียนเข้าไป ปรากฏว่าความดันขึ้นไป ๓ - ๔ วัน สรุปว่ากลัวทั้งเย็น กลัวทั้งร้อน
ถาม : ทำอย่างไรเมื่อมีซองกฐินตกค้าง?
ตอบ : ก็ส่งไปตามที่อยู่หน้าซองตามที่ตั้งใจแต่แรกเลย อย่ามักง่ายเอาไปถวายวัดอื่น เราต้องไปหาแล้วนำส่งคืนวัดเขา อย่างที่วัดท่าขนุนก็มี เจ้าหน้าที่ต้องมานั่งแยก แล้วส่งคืนไปยังวัดเจ้าของซอง
การปฏิบัติควรทำด้วยความเบิกบาน ไม่ใช่ทำด้วยความทุกข์ทรมาน อย่างการภาวนาคาถาก็ให้แบ่งช่วงท่อง ควรมีฐานว่าเราจะภาวนาเอาเท่าไร พอทำถึงแล้วก็ถือว่าครบ ส่วนที่เกินมาก็ถือว่าแถมไป
ดังนั้น..เรื่องการปฏิบัติ การภาวนา เราต้องทำให้สม่ำเสมอ ไม่ใช่ไปเก็บรวบยอดเอาทีเดียว เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราไม่ได้กินข้าว ก็เลยกินชดเชยซะทีเดียว
ถาม : อยากเที่ยวเมืองพระนิพพานต้องทำอย่างไรบ้างคะ?
ตอบ : ก็ทำตามกติกา ทำใจเคารพพระรัตนตรัย ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ให้รู้ไว้เสมอว่าเราเกิดมาตายแน่ ตายแล้วจะไปพระนิพพาน นึกถึงภาพพระก็ได้
พระที่มาทางสายอภิญญา ถึงจะยังไม่ได้มรรคผล พอความดีปรากฏชัด ญาติโยมก็จะให้ความศรัทธามาก ทำให้กิจนิมนต์ท่านเยอะ จึงไม่มีเวลาปฏิบัติเป็นของตัวเอง กำลังของกิเลสก็จะเพิ่มขึ้น พอสักพักเสือทะลายกรง รัก โลภ โกรธ หลงก็ไหลมาเทมา
เราเสียพระนักปฏิบัติไปเยอะแล้ว บางทีท่านปฏิเสธศรัทธาญาติโยมไม่เป็น เลยไม่มีเวลาในการปฏิบัติ เสียแบบฆราวาสไม่เท่าไร แต่เสียแบบพระ..เสียแล้วเสียเลย แก้ตัวใหม่เอาชาติหน้า
ถึงเวลาให้พิจารณากลับมาที่ตัวเอง เราสงวนเวลาสำหรับการปฏิบัติตัวเองไว้ได้เท่าไร เรามีเวลาสำหรับภาวนาเท่าไร เช่น เช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง แล้วระหว่างวันกำลังมันพอไหม ? พอทำงานก็โดนกระทบ กำลังใจตก..เครียด ต้องหัดสังเกตตัวเองตรงจุดนี้ให้เป็น
เราจะต้องสร้างกำลังใจให้ต่อเนื่อง เร่งทำตอนเช้าเอาความดีเข้ามาในใจเรา อย่าให้ความเลวเข้ามาได้ “ให้ตื่นก่อนกิเลส”
พวกเราที่เป็นฆราวาส การกระทบจะมีมากกว่า จึงต้องรีบปฏิบัติ ต้องสร้างกำลังใจเอาให้อยู่
ถาม : เวลาสวดมนต์แล้วคาถาหรือบทสวดมนต์เปลี่ยนไป
ตอบ : ถ้าสติดี รู้ตัวว่ากำลังจะเปลี่ยนคาถา..ก็เปลี่ยนตาม แต่ถ้าขาดสติ..หลุดไป ให้ดึงกลับมา
ถาม : หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสร้างพระแบบหลวงปู่ปานไหม?
ตอบ : ท่านไม่ทำพระวัดรอยครูบาอาจารย์ เพราะถ้าเก่าไปแล้ว จะแยกไม่ออกว่าพระองค์ไหนเป็นของใคร พวกที่อ้างชื่อวัดไปขายมีเยอะแยะ
ถาม : วัตถุมงคลต่าง ๆ ป้องกันให้เราแคล้วคลาดจากสิ่งที่ไม่ดีได้ใช่ไหม ?
ตอบ : วัตถุมงคลก็จะช่วยผ่อนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย เหมือนโจรจะปล้นบ้านเรา แต่เรายืนคุยกับตำรวจอยู่ แล้วใครจะกล้าปล้น..!
การอาศัยคุณพระรัตนตรัยถือเป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก เมื่อใจเรายึดมั่นก็จะเกิดกำลัง ทำให้ปัจจัยแปรเปลี่ยน ทำให้สิ่งที่ไม่ดีนั้นทำอะไรเราไม่ได้ หรือเลื่อนออกไป หรือรอส่งผลใหม่
ยึดมั่นวัตถุมงคลเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติช่วยได้ แต่ถ้าเผลอเมื่อไรก็โดน..!
ถาม : โสดาปัตติมรรค และโสดาปัตติผล ต่างกันอย่างไร
ตอบ : มรรคคือเข้าถึง ผลคือได้แล้ว
โคตรภู กำลังใจมุ่งหน้าอย่างเดียว ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี ยึดพระนิพพานเป็นที่พึ่ง โคตรภูแต่ละระดับก็เหมือนขาก้าวข้ามไปหนึ่งข้างแล้ว โอกาสเสื่อมถึงจะมี แต่ถ้าถึงขั้นนั้นมีแต่วิ่งขึ้นหน้าแล้ว เสื่อมไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ เสื่อมในที่นี้คือ ฌานเสื่อม อาจเนื่องมาจากร่างกายป่วยมาก หิวมาก ฌานจึงเสื่อม แต่กำลังใจไม่เสื่อม ถ้าหล่นอย่างไรก็ไม่เกินนี้ เหมือนกับมีตัวกั้น
ถ้าเข้าถึงผลแล้วจะเป็นการทรงตัวแบบอัตโนมัติ กติกามีอย่างไรก็ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป พิจารณาธรรมเพื่อความอยู่เป็นสุข กิเลสจะเบาบางลง สมาธิจะทรงตัวอัตโนมัติ เป็นสมาธิใช้งาน จะเบากว่าปกติเยอะเลย แต่กิเลสกินไม่ได้
ตอนที่อาตมาป่วย พอใกล้หายจะมีนิมิตปรากฏให้เห็น มีครั้งหนึ่งเคยเกิดเป็นสิงโตตัวเมีย ถ้าลงมือเมื่อไรไม่เคยพลาดเป้า ตอนที่ล่าเหยื่อ จะรู้เลยว่า ถ้าเหยื่อหนีแล้วเราจะกระโดดใส่ตรงไหน งับคอ ขาหนึ่งตะปบจมูก อีกขาตะปบเข้าคอ กระดูกลั่นดังกร๊วบเลย ตอนเป็นสิงโตฆ่าไป ๒๐๐ กว่าศพ สิงโตมีกำลังสูงมาก สามารถพาวัวกระโดดข้ามรั้วสูงได้สบาย ๆ ตรงนั้นเราต้องหากินตามประสาสัตว์ กรรมเลยไม่หนักมาก
ตอนที่เป็นหมูป่าจ่าฝูง ก็รู้สึกถึงรัก โลภ โกรธ หลงหมดเลย พาลูกฝูงเดินหาอาหารอยู่กลางป่า มีเสือโคร่งตามหลังอยู่ตัวหนึ่ง เสือจะมาคว้าหมูตัวท้ายแล้ววิ่งหนีไป จ่าฝูงอย่างเราก็โกรธ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยหาทางล่อเสือเข้าไปในหุบเขา เป็นหุบที่มีลักษณะเป็นหน้าผาตัดทุกด้าน ทางเข้าก็แคบ หมูทั้งฝูงเข้าไปซุ่มอยู่ ๓ วัน เสือที่ตามมาก็หิว ทนไม่ไหวเลยถูกล่อเข้าไป
พอเสือรู้ว่าไม่รอด ก็ยอมสู้ โดนเสือตบเข้าไป ๗ - ๘ ครั้ง เจ็บมาก ๆ แต่ปกติหมูหนังเหนียวอยู่แล้ว ตอนนั้นเสือเป็นแผลจากการต่อสู้จึงเลยหาทางหนี ปะทะกันครั้งสุดท้าย ตัดใจว่ายอมตายแล้ว ปรากฏว่าเสือพลาดท่าเพราะหมูเร็วกว่า หมูเข้าขวิดใต้ท้องสะบัดทิ้งไปเลย มั่นใจว่าเสือตายแน่ ๆ แล้วหมูมือรองอีก ๘ - ๑๐ ตัวก็มารุมยำ กินเสือกันด้วย ไม่น่าเชื่อว่าหมูป่าก็กินเนื้อเหมือนกัน
สัตว์ทั้งหมดก็คือคนนั่นแหละ รู้จักวางแผน เห็นสถานที่ก็รู้เลยว่าต้องทำการ ณ ที่นี้
พระราหู โดยสภาพแท้จริงแล้วท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แปลว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า พระราหูเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ ในสมัยนั้นสามพี่น้องได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้าลงมาเกิด ก็เลยตั้งใจจะไปทำบุญ พระอาทิตย์ถวายข้าวด้วยขันทอง เลยสว่างเหมือนทองคำ ส่วนพระจันทร์ถวายข้าวด้วยขันเงิน เลยสว่างเหมือนแผ่นเงิน ส่วนพระราหูถวายข้าวด้วยกะบุง
ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระราหูเป็น ๑ ใน ๘ จอมอสูร มีร่างใหญ่มาก ระหว่างคิ้วซ้ายไปขวากว้าง ๑ โยชน์ พระราหูได้ยินคุณของพระพุทธเจ้า อยากจะไปหา แต่ตัวเองตัวใหญ่ กลัวว่าไปแล้วต้องก้มมองพระพุทธเจ้า เป็นการไม่เคารพ พระพุทธเจ้าทรงทราบ เลยเสด็จไปขวางทาง เนรมิตพระวรกายท่านใหญ่กว่าราหูอีก
พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใดก็มีความพอดีอยู่เสมอ ไปไหนท่านก็ไม่ต้องก้มพระเศียรให้ใคร ราหูจึงตรัสสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า “ตัสสะ ตัสสะ” จึงเป็นที่มาของคำว่า ตัสสะ ในบทบูชาพระพุทธเจ้า (นะโมตัสสะฯ)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.