เข้าระบบ

View Full Version : เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม วันอาทิตย์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๘


ตัวเล็ก
07-10-2025, 00:04
เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม วันอาทิตย์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๘

KXQ61DISv_c

เถรี
14-10-2025, 17:39
ขอถวายความเคารพพระเดชพระคุณพระพรหมวัชรธีราจารย์, ศ.ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, ป.ธ. ๙) องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่เคารพอย่างสูง กราบขอโอกาสพระเถรานุเถระทุกรูป มีท่านพระครูศรีพัฒนบัณฑิต, ดร. ท่านอาจารย์พระมหาไพโรจน์ กนโก พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ, ผศ.ดร. ตลอดจนกระทั่งพระเถระผู้เข้าร่วมรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมครั้งที่ ๒๑๗ นี้ทุก ๆ รูป และขอเจริญพรผู้บริหาร คณาจารย์และญาติโยม ที่เข้าร่วมรายการฝ่ายฆราวาสทุกท่าน

ก่อนอื่นขอแจ้งว่าตำแหน่ง ๑ ใน ๓๐ กว่าตำแหน่งที่เป็นอยู่ และเป็นตำแหน่งของทางคณะสงฆ์นั้น กระผม/อาตมภาพเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีครับ ทางด้านตำแหน่งรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมินั้น พ้นตำแหน่งไปนานแล้วครับ แต่ว่าคนจะชินกับตำแหน่งนั้นมากกว่า

ในส่วนของวัดท่าขนุนที่กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้น ต้องบอกว่าถ้าคนไม่เคยไปจะคิดว่าอยู่ใกล้ เพราะว่ามักจะคิดกันว่าแค่จังหวัดกาญจนบุรีเท่านั้นเอง แต่ว่าบุคคลที่ไปแล้ว มักจะเข็ดหลาบไปตาม ๆ กันว่า ทำไมถึงเดินทางไกลขนาดนี้ ?

ถ้าถามว่าไกลขนาดไหน ? จากวัดท่าขนุนลงมาแค่ตัวจังหวัดกาญจนบุรี เป็นระยะทาง ๑๔๐ กิโลเมตรเข้าไปแล้วครับ ถ้าท่านยังไม่แน่ใจว่า ๑๔๐ กิโลเมตรจะไกล ลองนึกถึงว่าจากกรุงเทพฯ ท่านจะวิ่งผ่านจังหวัดนครปฐม วิ่งผ่านอำเภอบ้านโป่งของจังหวัดราชบุรี จนกระทั่งเข้าถึงตัวจังหวัดกาญจนบุรี เป็นระยะทางแค่ ๑๒๖ กิโลเมตรเท่านั้นครับ

แต่เมื่อความที่ว่าเมื่อเวลาทางด้านมหาวิทยาลัยมีงาน ไม่ว่าจะเป็นที่วังน้อยหรือว่าส่วนกลาง แม้กระทั่งที่มหาจุฬาอาศรมก็ตาม กระผม/อาตมภาพมักจะไปร่วมงานได้ด้วยเกือบทุกครั้ง จนกระทั่งคนคิดว่าอยู่ใกล้ ถ้าหากว่าจากวัดท่าขนุนวิ่งไปมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใช้เวลาประมาณ ๕ ชั่วโมงครับ บางท่านก็นึกไม่ถึงว่าจะไกลขนาดนั้น

เถรี
14-10-2025, 17:41
แม้กระทั่งหลวงพ่อองค์อธิการบดียังบอกว่า "ท่านอาจารย์พระครูจัดเป็นบุคคล ๑ ใน ๑๐๐" ก็คือประมาณว่าสัก ๑๐๐ คนจะมีสักคนหนึ่งที่ทุ่มเทตนเองให้กับงานต่าง ๆ ได้ขนาดนี้ กระผม/อาตมภาพได้เรียนถวายท่านกลับไปว่า "ผมใช้วิธีเดียวกับหลวงพ่อครับ ก็คืออยู่กับกรรมฐาน"

กรรมฐานก็คือการที่เราปฏิบัติสมาธิภาวนาบ้าง พิจารณาวิปัสสนาบ้าง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในจิตในใจของเรา โดยเฉพาะจะช่วยเสริมบารมีของเราให้เข้มข้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยเฉพาะสัจจบารมี คือความจริงจังจริงใจในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลก หรือว่าเรื่องทางธรรมก็ตาม และอธิษฐานบารมี คือกำลังใจที่ปักมั่นต่อเป้าหมายของเรา ถ้าหากว่าไม่ถึงเป้าหมาย จะไม่เลิกง่าย ๆ

ตรงส่วนนี้ ถ้าทุกท่านที่เข้าร่วมรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมมาตั้งแต่ต้น พวกเราใช้เวลากับรายการนี้มาแล้ว ๒๑๗ อาทิตย์ด้วยกัน กระผม/อาตมภาพมีส่วนเข้าร่วมด้วย ๑๙๕ ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๑๙๖ ก็แปลว่าขาดแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น นี่คือส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรม ที่พวกเราทำไปแล้วกำลังใจของเราจะดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น บารมีของเราจะเข้มข้นขึ้น ทำให้รักในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น สัจจบารมีคือความจริงจัง จริงใจกับงานต่าง ๆ อธิษฐานบารมีคือความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย และวิริยบารมีคือความพากเพียรที่จะทำให้สำเร็จ ก็จะมีพร้อมตรงนี้

ไม่ว่าจะเป็นพระเถรานุเถระ น้องสามเณร หรือว่าคุณแม่ชี และญาติโยมทั้งหลาย ที่เข้าร่วมรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมนี้ก็ตาม ขอให้ทุกท่านพิจารณาตนเองเลยว่า ในส่วนที่เราปฏิบัติธรรมมานั้นจะมีผลหรือไม่ ? ไม่ต้องดูคนอื่นคนไกลที่ไหน ไม่ต้องให้ใครมาทำนายให้กับเรา แต่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้แหละ เป็นเครื่องวัดตัวตนของเราที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำแล้วมีความก้าวหน้า ก็วัดจากสิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดไปเมื่อครู่นี้ก็จะรู้เอง

เถรี
14-10-2025, 17:42
ในขณะเดียวกัน ความมุ่งมั่นของท่านทั้งหลายจะมีมากหรือว่ามีน้อย พูดง่าย ๆ ว่าบารมีจะเข้มข้นหรือว่ายังอ่อนอยู่ เรื่องเหล่านี้เราสามารถที่จะเร่งรัดได้ภายในชาตินี้เอง อย่าไปคิดถึงชาติอื่น ๆ ในส่วนนี้ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่า "ของท่านในชาติก่อนปฏิบัติมามาก ชาตินี้ท่านจึงมีอุปนิสัยที่มาทางด้านนี้"

อยากจะเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราและญาติโยมทั้งหลายว่า ตัวกระผม/อาตมภาพเอง สมัยก่อนนี้ก็เป็นบุคคลที่ไร้ศีลไร้ธรรมเช่นกัน อาจจะเพราะว่าเป็นเด็กบ้านนอก ถึงเวลาก็ต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเอง เรื่องของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ล่าสัตว์เพื่อมาเป็นอาหารนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าเมื่อเริ่มรู้ว่าศีลคืออะไร ก็เพียรพยายามรักษา ขาดบ้าง บกพร่องบ้าง

แต่ว่าด้วยความที่ตนเองนั้นโชคดี มีครูบาอาจารย์ที่เป็นนักปฏิบัติ ซึ่งสมัยก่อนนั้นเรียกกันว่า "พระธุดงค์" สายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หรือที่เรียกว่า "สายวัดป่า" ท่านมาจำพรรษาอยู่แถวบริเวณใกล้บ้าน ได้ให้คำแนะนำในการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ก็ดี และครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนหนังสือหนังหาอยู่ ท่านก็เพียรพยายามที่จะสอนในการปฏิบัติธรรมก็ดี โดยที่ครูบาอาจารย์ท่านนั้นคงจะปฏิบัติธรรมจนเห็นผลแล้ว จึงได้บอกกับเด็ก ๆ อย่างพวกกระผม/อาตมภาพว่า "ถ้าอยากรู้ทุกวิชาโดยไม่ต้องเรียนมาก ให้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากว่าปฏิบัติได้จริง ๆ แล้ว การเรียนทุกอย่างจะเป็นเรื่องง่าย"

เถรี
16-10-2025, 00:46
ต้องขออภัยถ้าหากว่ามีการขัดจังหวะลงในช่วงนี้ ขออนุญาตแจ้งว่าฝนฟ้าทางทองผาภูมินี้ไม่ค่อยปกติ กระผม/อาตมภาพเองก็หวั่นเกรงว่า ทางด้านบริษัทเทเลคอมอาจจะทำการปิดสัญญาณโทรศัพท์เมื่อไรก็ได้ เพราะว่าถึงเวลา ถ้าฝนฟ้าคะนองเปรี้ยงปร้าง ท่านก็มักจะปิดการบริการเอาดื้อ ๆ กระผม/อาตมภาพอาจจะใช้เวลาไม่ครบถ้วน หรือถ้าหากว่าโชคดี ใช้เวลาได้ครบถ้วน ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของบุญพาวาสนาช่วยเลยทีเดียว..!

ขออนุญาตกล่าวต่อถึงในเรื่องของการรักษาศีลปฏิบัติธรรม ซึ่งเมื่อสักครู่ ท่านพระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ, ผศ.ดร. ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า การสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ซึ่งหลายต่อหลายแห่งบางทีท่านก็ไม่เอาเรื่องนี้เลย โดยใช้คำพูดประมาณว่า "ไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์" ก็มี เรื่องทั้งหลายเหล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า ท่านทั้งหลายจะเห็นประโยชน์หรือไม่ ?

ตัวกระผม/อาตมภาพเองนั้น ต้องบอกว่าได้ดีมาเพราะการสวดมนต์ เนื่องเพราะว่าทันทีที่รู้ภาษา น่าจะอายุราว ๆ ๒ ขวบ หรือ ๒ ขวบเศษเท่านั้น โยมพ่อก็จับนั่งสวดมนต์ด้วยทุกคืน หลับคอพับคออ่อนไปบ้าง หูได้ยินเสียงบ้าง เป็นแบบนี้ไปโดยตลอด แล้วสมัยนั้นการเรียนหนังสือก็ไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไม่มีเด็กประถมวัย ไม่มีอนุบาล หากแต่ว่าเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่ ๑ เลย

การที่เราเข้าเรียนนั้น สมัยก่อนก็มักจะเป็นโรงเรียนวัด กระผม/อาตมภาพเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ และประถมปีที่ ๒ ถึงเทอมกลาง เหตุที่ใช้คำว่าเทอมกลาง เพราะว่าสมัยนั้นเรียนหนังสือกันถึง ๓ เทอม ก็คือเทอมต้น เทอมกลาง และเทอมปลาย และโรงเรียนก็มักจะเป็นศาลาวัด

เถรี
16-10-2025, 00:48
โรงเรียนที่กระผม/อาตมภาพเรียนอยู่ ถึงเวลาจะหยุดวันโกน - วันพระ ไม่ได้หยุดวันเสาร์ - วันอาทิตย์เหมือนทุกวันนี้ จนกระทั่งเทอมกลางของชั้นประถมปีที่ ๒ ทางอำเภอถึงได้ประกาศให้หยุดวันเสาร์ - วันอาทิตย์ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเองก็ไม่รู้จักว่าวันเสาร์ - วันอาทิตย์คืออะไร ? เพราะว่ารู้จักแต่วันโกน - วันพระ รู้จักแต่วันขึ้นแรม หลายท่านอาจจะสงสัยว่ากระผม/อาตมภาพอายุเท่าไร ? ถึงได้อยู่ในสมัยดึกดำบรรพ์ดังที่เล่ามา ก็ขอบอกว่าปีนี้ย่างอายุ ๖๗ ปีแล้ว ต้องบอกว่าเกินเกษียณมาหลายปี ดังนั้น..ถ้า "เล่าความหลัง" อะไรบ้างก็ต้องขออภัยด้วย..!

ด้วยความที่คิดไม่ถึงว่าการร่วมสวดมนต์กับโยมพ่ออยู่ทุกวัน จะเป็นการสร้างสมาธิให้ตัวเองได้ขนาดนั้น ก็คือสมัยก่อนการเรียนนั้น มักจะมีการแข่งขันกันอยู่ในระหว่างบ้านต่อบ้าน ก็คือถ้าลูกบ้านไหนเรียนเก่ง ก็จะเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่พี่น้องเชิดหน้าชูตาได้ โดยเฉพาะถ้าหากว่านั่งรถเมล์ไปแล้วผู้ใหญ่ถามว่า "ถึงไหนแล้วไอ้หนู ?" ถ้าเราสามารถอ่านป้ายแล้วบอกได้ว่าถึงตรงไหน ก็มักจะได้รับคำชมเชยจากผู้ใหญ่ว่า "ไอ้หนูบ้านนี้มันเก่งจริง อ่านหนังสือแตกเสียด้วย" ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็เลยทำให้เด็ก ๆ มีการแข่งขันกัน ก็คือถึงเวลากลับจากโรงเรียนแล้ว ทำการบ้านเสร็จแล้วก็มาท่องหนังสือ

การท่องหนังสือนั้นก็คือการตะโกนอ่านนั่นเอง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ส่วนใหญ่แล้วต่างจังหวัดก็จะมีที่ดินคนละหลาย ๆ ไร่ แต่ละบ้านก็มักจะอยู่ค่อนข้างจะห่างกัน ในเมื่ออยากจะอวดบ้านโน้นว่าลูกตัวเองเรียนหนังสือ ก็ต้องให้ลูกอ่านหนังสือเสียงดัง ๆ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการตะโกนใส่อีกบ้านหนึ่ง แม้กระทั่งบ้านของกระผม/อาตมภาพ บรรดาพี่ ๆ ก็ตะโกนกลับไปเช่นกัน

เถรี
16-10-2025, 00:49
แต่ผลดีของการสวดมนต์ก็ทำให้เรามีสมาธิดี แม้กระทั่งยังไม่ทันจะเข้าเรียนหนังสือก็ตาม กระผม/อาตมภาพจำตำราเรียนไปแล้ว ๒ เล่ม ก็คือ ปฐม ก.กา กับ แบบเรียนเร็วใหม่ ทำให้ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ถ้าหากว่าคุณครูชี้ตัวแรกให้ว่าอ่านว่าอย่างไร ? กระผม/อาตมภาพสามารถที่จะท่องต่อได้ทั้งเล่มเลย โดยที่ยังไม่ทันจะรู้ว่า ก.ไก่ ข.ไข่ หน้าตาเป็นอย่างไรเสียด้วยซ้ำไป..!

จนกระทั่งเมื่อครูบาอาจารย์ท่านสอนให้รู้จักพยัญชนะ รู้จักสระ รู้จักการประสมตัวอักษร การเรียนจึงเร็วเป็นติดปีกเลย ประกอบกับการที่ตนเองสวดมนต์ได้ คุณครูก็เลยตั้งให้เป็นหัวหน้าชั้น แล้วเป็นหัวหน้าชั้นที่ตัวเล็กมาก จนกระทั่งเพื่อนฝูงเรียก "ไอ้เล็ก" บ้าง "ไอ้จ่อย" บ้าง

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าการเรียนสมัยก่อนนั้น ถ้าหากว่าสอบไม่ผ่าน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ก็ต้องตกซ้ำชั้น กระผม/อาตมภาพมีเพื่อนร่วมห้องเรียนที่โตเป็นหนุ่มเป็นสาว อายุ ๑๗ - ๑๘ ปีแล้ว ครึ่งค่อนห้องทีเดียว แต่ด้วยความที่เรียนหนังสือเก่ง จากบรรดาที่เขาเรียกในสมัยนั้นว่า "เจ้าพ่อโรงเรียน" บ้าง "เจ้าแม่โรงเรียน" บ้าง เพราะว่าเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ยังสอบไม่ผ่านเสียที พอเด็กใหม่เข้าไปก็มักจะข่ม แล้วก็บีบให้อยู่ในอำนาจของตนเอง

แต่พอดีกระผม/อาตมภาพเรียนเก่ง ความจำดีจากพื้นฐานของการสวดมนต์ไหว้พระ จึงทำให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นไม่กล้าข่ม หากแต่ว่าทำตัวเป็น "องครักษ์พิทักษ์เจ้านาย" ก็คือถ้าเราช่วยเขาทำการบ้าน หรือว่าสอนการบ้านให้ เขาก็จะตอบแทนด้วยการดูแลไม่ให้คนอื่นมารังแกเราได้ เป็นต้น

เถรี
17-10-2025, 01:09
ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ตอนที่เรียนในระดับประถมปลายและมัธยมต้น กระผม/อาตมภาพก็ได้ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมชั้นยอด ท่านเก่งถึงขนาดบอกได้ว่า ลูกศิษย์แต่ละคนนั้นก่อนมาเกิดในชาตินี้ เรามาจากไหน ? แล้วขณะเดียวกัน มีเป้าหมายของชีวิตในชาตินี้อย่างไร ?

แต่ว่าด้วยความที่ท่านพูดในเรื่องที่คนอื่นไม่เห็น ก็เลยทำให้เพื่อนครูบาอาจารย์ว่าท่าน "บ้า" แล้วขณะเดียวกัน บรรดาลูกศิษย์ก็ว่าท่าน "บ้า" ด้วย แต่กระผม/อาตมภาพไม่ได้เห็นว่าท่านบ้า เพราะว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นตรงกับสิ่งที่กระผม/อาตมภาพพบมาทุกอย่าง จึงคลุกคลีตีโมงกับท่าน แล้วท่านก็สอนการภาวนาให้ จนกระทั่งอาจารย์และลูกศิษย์ โดนเพื่อนฝูงครูและบาอาจารย์ แม้กระทั่งญาติพี่น้องที่บ้านบอกว่า "บ้าทั้งคู่..!"

แต่ด้วยความบ้านี่เองทำให้กระผม/อาตมภาพสอบได้คะแนน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มเป็นประจำ ซึ่งสมัยก่อนไม่ได้เป็นเกรด หากแต่ว่าสอบแล้วตัดเป็นเปอร์เซ็นต์ ของกระผม/อาตมภาพได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เป็นประจำ บอกเล่าให้คนไหนฟังก็ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งมาเรียนบาลี ครูบาอาจารย์ยังบ่นว่า "ทำไมเก็บลูกศิษย์ไม่ได้สักคะแนนเดียว ?" คำว่า "เก็บ" ก็คือ หาคำผิดของลูกศิษย์ไม่ได้เลย..!

จนกระทั่งมาเรียนในระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ เพราะว่าโดนบังคับให้เรียน เนื่องจากว่าตอนนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบล ท่านบอกว่าความรู้แค่มัธยมปีที่ ๓ เพราะว่าไม่ได้เรียนต่อ เนื่องจากว่าฐานะทางบ้านยากจนนั้น ไม่เพียงพอที่จะบริหารงานคณะสงฆ์ พอดีทางด้านคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีการเปิดหลักสูตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ เป็นหลักสูตรในระดับประมาณมัธยมปีที่ ๖ ซึ่งกระผม/อาตมภาพที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หรือที่รุ่นเก่าเรียกว่า ม.ศ. ๓ มีสิทธิ์ที่จะเข้าเรียนได้พอที จึงโดนผู้บังคับบัญชาทางสายการปกครองคณะสงฆ์บังคับให้ไปเรียน

ด้วยความที่เรียนเก่งเกินมนุษย์มนา เพื่อนฝูงเพิ่งจะเชื่อว่าการทำคะแนนได้เต็ม ๑๐๐ ในแต่ละวิชา สำหรับกระผม/อาตมภาพนั้นเป็นเรื่องเล็ก จึงได้ดึงให้เรียนต่อไปในระดับปริญญาตรี ทั้ง ๆ ตนเองไม่ได้สมัคร แต่พอถึงเวลา ทางมหาวิทยาลัยโทรมาเรียกให้ไปจ่ายค่าเทอม ก็ยังสงสัยอยู่ พอสอบถามแล้วถึงได้รู้ว่าเพื่อนฝูงได้ช่วยสมัครให้ แถมยังต่อรองด้วยว่าให้ส่งเอกสารต่าง ๆ ทีหลัง..!

เถรี
17-10-2025, 01:12
กระผม/อาตมภาพเรียนระดับปริญญาตรี มีวิชาที่ต้องเก็บหน่วยกิตทั้งหมด ๗๕ วิชา แต่ว่าความจริงเราเรียนมากกว่านั้น ปรากฏว่าได้ A ไป ๖๘ วิชา วิชาที่เหลือครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "พระครูเล็ก ท่านได้ A มากแล้ว เพราะฉะนั้น..วิชานี้ผมไม่ให้" หรือไม่บางท่านก็บอกว่า "วิชานี้ผมจะให้ท่านคะแนนเต็ม ๑๐๐ ก็ได้ แต่ว่าท่านได้มากแล้ว ขออนุญาตตัดสัก ๒ คะแนน" เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้น..ญาติโยมทั้งหลายก็ดี พระภิกษุสามเณรของเราก็ตาม ถ้าหากว่าท่านมีพื้นฐานของสมาธิภาวนา การเรียนการศึกษาทุกอย่างจะไม่ใช่ของยาก

กระผม/อาตมภาพเรียนระดับปริญญาโทต่อ เพราะว่าเพื่อนฝูงลากไปอีกเช่นกัน ใช้เวลาในการสอบวิทยานิพนธ์ ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีการอนุญาตให้ทำสารนิพนธ์ ใช้เวลาสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาโทแค่ประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น..! จนกระทั่งอาจารย์ท่านยกให้เป็นนิสิตตัวอย่าง บอกให้รุ่นน้อง ๆ มาขอแบบวิทยานิพนธ์จากกระผม/อาตมภาพไปดูเป็นตัวอย่าง

พอรุ่นน้องมากันหน้าสลอน กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ไม่ได้หวงวิทยานิพนธ์ พร้อมที่จะให้เดี๋ยวนี้ แต่ขอเตือนทุกท่านว่า ถึงได้แบบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ ผมไปหาครูบาอาจารย์ โดนท่านแก้ยับแก้เยินมา ๑๘ ครั้งแล้ว..! พวกท่านได้ไปหาครูบาอาจารย์กันบ้างหรือยัง ?"

ส่วนในระดับปริญญาเอกนั้น ไหน ๆ ก็โดนเพื่อนลากจนเรียนปริญญาโทแล้ว ก็เลยตั้งใจเรียนเอง ปรากฏว่าทางด้านมหาวิทยาลัยทำหนังสืออนุญาตให้พวกเราทำสารนิพนธ์แทนวิทยานิพนธ์ได้ แต่เพื่อนทั้งรุ่น ๒๒ รูปปรึกษากันแล้วว่า ถ้าเราทำสารนิพนธ์ ยังต้องเรียนวิชาอื่นเพิ่มเติมหน่วยกิตอีก ไม่เหมือนกับเราทำวิทยานิพนธ์ เพราะว่าวิทยานิพนธ์นั้นได้ถึง ๓๖ หน่วยกิต ดังนั้น..ทุกคนจึงปฏิเสธการทำสารนิพนธ์ หันไปทำวิทยานิพนธ์กันทั้งรุ่น..!

เถรี
17-10-2025, 01:14
แล้วในขณะเดียวกัน ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็นัดพบท่านอาจารย์อาทิตย์ละครั้ง จนกระทั่งถึงวันสอบวิทยานิพนธ์ ปรากฏว่าอาจารย์ท่านแรก ก็คือท่านอาจารย์ ดร.สุรชัย พรหมพันธุ์ ท่านเป็นอาจารย์จากข้างนอก มาจากสภาผู้แทนราษฎร ท่านถาม ๔ คำถามแล้วปิดวิทยานิพนธ์ แจ้งประธานควบคุมการสอบว่า "ผมให้ผ่านโดยไม่มีข้อแม้..!" ท่านประธานถามว่า "ทำไมท่านอาจารย์ถึงให้ผ่านโดยไม่มีข้อแม้ ?" ท่านอาจารย์ ดร. สุรชัยบอกว่า "วิทยานิพนธ์ ๔๐๐ กว่าหน้า ลูกศิษย์ผมสามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ผมถามอยู่หน้าไหน ? ผมยอมให้ผ่านโดยไม่มีข้อแม้เลยครับ..!"

แม้กระทั่ง "ท่านอาจารย์ใหญ่" ของพวกเราก็คือ รศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม ซึ่งตอนนั้นท่านยังเป็น ดร.สุรพลเท่านั้น ท่านเองนั่งไม่มีคำถาม เมื่อประธานถามว่า "ท่านอาจารย์สุรพล ปกติเห็นถามอยู่ทุกครั้ง ทำไมวันนี้ไม่ถามอะไรเลย ?" ท่านอาจารย์สุรพลตอบว่า "ผมถามมาทุกอาทิตย์จนหมดคำถามแล้วครับ..!"

เมื่ออาจารย์ทุกท่านมีความเห็นร่วมกันว่าให้ออกไปรอนอกห้อง เพื่อที่ว่าอาจารย์จะได้ปรึกษากันว่าจะให้ผ่านหรือไม่ผ่านอย่างไร ? จนกระทั่งเรียกกลับมาข้างในแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงเห็นว่า ตนเองเปิดเครื่องบันทึกเสียงทิ้งเอาไว้ เผื่อว่าจดรายละเอียดที่ท่านให้แก้ไขวิทยานิพนธ์ไม่ครบ จะได้เปิดเครื่องบันทึกเสียงทบทวน เมื่อปิดเครื่องแล้ว ปรากฏว่าเครื่องระบุว่าใช้เวลาไป ๒๒ นาทีเท่านั้น ขณะที่เพื่อนฝูงท่านอื่นโดนคนละ ๓ ชั่วโมงบ้าง ๓ ชั่วโมงครึ่งบ้าง..!

เถรี
17-10-2025, 01:16
กระผม/อาตมภาพจึงขอยืนยันกับทุกท่านว่า การที่เราสวดมนต์ภาวนานั้น เราสามารถที่จะใช้งานในชีวิตจริงได้จริง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการเรียน การจำ ไม่มีอะไรที่เกินไปจากความสามารถของเราไปได้เลย แล้วในขณะเดียวกัน การสวดมนต์นั้น ถ้าเราสวดเป็น สามารถที่จะก่อประโยชน์ให้มหาศาลจนคิดไม่ถึง

อันดับแรกเลยก็คือที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สร้างสมาธิให้แก่พวกเราทั้งหลาย ถ้าสมาธิของเราไม่ดี เราจะสวดมนต์ผิด ถึงเวลานั้นเราจะรู้ตัวทันที ต้องหันกลับมาจดจ่อกับสมาธิใหม่

อันดับที่สอง ถ้าท่านมีความชำนาญมากขึ้น ก็อาศัยคำสวดมนต์นั่นแหละเป็นคำภาวนา เพียงแต่ว่าเป็นคำภาวนาที่ค่อนข้างจะยาวอยู่สักหน่อย ก็คือสวดมนต์พร้อมกับควบลมหายใจเข้าออกไปด้วย ก็จะสามารถทำให้เราทรงสมาธิได้มากยิ่งขึ้น ถ้าท่านที่มีวิสัยทางด้านนี้มาก็ดี หรือว่าปฏิบัติได้ถูกต้องก็ตาม ท่านจะสามารถทรงอัปปนาสมาธิ ที่เรียกว่าการทรงฌานได้อีกด้วย

ส่วนการทรงฌานแล้วคนอื่นมักจะคิดว่าต้องนั่งนิ่ง ๆ นั้นไม่ใช่ เพราะว่าการที่เราทรงฌานทรงสมาบัตินั้น มีถึง ๕ วิธี ๕ รูปแบบด้วยกัน ที่บาลีเรียกว่า นวสี มีทั้งชำนาญในการเข้า ชำนาญในการออก ชำนาญในการเข้าฌานตามลำดับ ชำนาญในการที่สลับฌานของเราก็ได้ เหล่านี้เป็นต้น ตลอดจนกระทั่งสามารถที่จะทรงสมาธิตั้งเวลาได้ ว่าเราจะเอากี่ชั่วโมง

เถรี
18-10-2025, 00:59
พูดถึงตอนนี้แล้วก็ขออนุญาตแจ้งกับทุกท่านว่า วันนี้ความจริงเป็นวันที่กระผม/อาตมภาพเข้ากรรมฐานประจำปี ๓ วัน ๓ คืน ซึ่งถ้าหากว่าโดยปกติแล้วก็จะไม่รับงานใคร แต่ว่าท่านอาจารย์พระมหาไพโรจน์ กนโก แจ้งว่าวันที่ ๒๘ กันยายนที่ผ่านมานั้น ไม่สามารถที่จะให้เวลากับกระผม/อาตมภาพได้ เนื่องเพราะว่าได้นิมนต์ท่านอื่นไว้แล้ว

กระผม/อาตมภาพพิจารณาว่า ด้วยความที่เราฝึกสมาธิภาวนามามาก การเข้ากรรมฐานแล้วสามารถทำงานอื่น ๆ ไปได้ด้วย จึงได้รับปากว่า แม้จะอยู่ในช่วงเข้ากรรมฐานประจำปีก็ตาม ก็จะสามารถที่จะบรรยายธรรมไปได้ด้วย

เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายที่มีประสบการณ์เองก็ดี หรือว่าท่านทั้งหลายที่รู้จักสังเกตก็ตาม จะเห็นว่าบุคคลที่เข้าสมาธิ แล้วพูดคุยหรือว่าทำงานกับเรานั้น จะอยู่ในลักษณะของ "บุคคลไร้อารมณ์" ก็คือ จะมีน้ำเสียงเดียว อยู่ในลักษณะที่ว่าทรงตัวในระดับนั้นไปโดยตลอด ไม่มีขึ้น ไม่มีลง ซึ่งเรื่องพวกนี้ กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่าพระปลัดสรวิชญ์, ผศ.ดร. ของเราก็ทำเองแบบนี้ หรือแม้กระทั่งพระครูปลัดอุทัย พลเทโว, ดร. ก็ทำแบบนี้

ซึ่งก็แปลว่าในเรื่องของการทรงสมาธิภาวนานั้น ไม่ใช่นั่งนิ่ง ๆ เป็นหัวตอ แต่ว่าเราจะ เดิน ยืน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ อย่างไรก็ตาม เราก็จะสามารถทรงสมาธิภาวนาไปได้ด้วย

ขอย้อนกลับมาถึงขั้นตอนการสวดมนต์ของเราที่ว่ามีประโยชน์อีกมากมาย ก็คือ นอกจากสร้างสมาธิในเบื้องต้นแล้ว ต่อมายังสามารถที่จะใช้การสวดมนต์เป็นคำภาวนา แล้วทรงอัปปนาสมาธิได้

เถรี
18-10-2025, 01:00
ลำดับต่อไป บางสายธรรม บางสายกรรมฐาน ท่านสามารถที่จะถอดจิตตนเองไปตามภพภูมิต่าง ๆ กระผม/อาตมภาพขอแนะนำท่านว่าส่งจิตไปกราบพระ จะไปกราบพระที่พระจุฬามณีเจดียสถาน บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกก็ดี หรือว่าไปกราบพระบนพระนิพพานก็ตาม

เรื่องพวกนี้ท่านใดที่ไม่เชื่ออย่าเพิ่งคัดค้าน แต่กระผม/อาตมภาพขอบอกว่า ให้ไปสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชาที่นั่น โดยเฉพาะสถานที่ซึ่งมีความละเอียดมาก สภาพจิตและภพภูมิของเราที่หยาบกว่า มักจะไม่สามารถเกาะติดสถานที่นั้นได้นาน เพราะว่าความละเอียดของท่านมีมาก โดยเฉพาะในแดนพระนิพพานนั้นละเอียดที่สุด ท่านที่ฝึกมาสายนี้จะรู้ทันทีเลยว่า บางทีเราไม่ทันจะทำอะไร ก็หลุดกลับมาอยู่ในกายหยาบนี้แล้ว ต้องตั้งหน้าตั้งตาส่งใจขึ้นไปใหม่ ได้ไม่กี่วินาทีก็หลุดกลับมาอีกแล้ว..!

ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ กระผม/อาตมภาพขอแจ้งให้ท่านได้ทราบว่า การที่เราไปสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชาที่นั่นนั้น เป็นสิ่งที่จะทำให้เราอยู่ในที่นั้นได้นาน เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าจิตมีสภาพจำ เมื่อรู้ว่าเราต้องทำหน้าที่ตรงนั้นให้สำเร็จ เมื่อยังไม่สำเร็จ จิตก็จะปักมั่นอยู่ตรงนั้น เรายิ่งสวดมนต์ได้มาก ทำวัตรได้มาก เราก็สามารถทรงอยู่ในสถานที่นั้นได้นาน

การทรงตัวอยู่ในสถานที่นั้นได้นานเท่าไร สภาพจิตของเราก็จะปลอดจาก รัก โลภ โกรธ หลง ได้นานเท่านั้น เหตุเพราะว่าเราจะไปได้ก็ด้วยการทรงฌานทรงสมาบัติ บุคคลที่ทรงฌานสมาบัติ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ จะกินใจของเราไม่ได้

เถรี
18-10-2025, 01:05
ลำดับต่อไปก็คือ ถ้าท่านเข้าใจภาษาบาลี สิ่งที่เราสวดมนต์นั้น นอกเหนือจากบทสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ยังมีคำสอนต่าง ๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราถ้าแปลออก หรือว่าอย่างที่ท่านอาจารย์พระมหาไพโรจน์ท่านได้สวดมนต์แปล เราก็ดึงเอาหลักธรรมเหล่านั้นมาพิจารณา หรือว่ามาปฏิบัติให้เกิดผลแก่เรา ก็แปลว่าการสวดมนต์นั้นจะมีประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ตลอดจนกระทั่งในส่วนสุดท้ายที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ การสวดมนต์ของเรานั้น ถ้าหากว่าเราทำดีทำถูกตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาจจะนำให้เราหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้เลย เพราะว่าเรายกเอาข้อธรรมคำสอนเหล่านั้นมาพินิจพิจารณา แล้วถ้าสามารถตัดสินใจได้เด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน กำลังสมาธิที่เพียงพอต่อกำลังใจในระดับที่เราต้องการตัดนั้น ก็จะช่วยตัดหั่นฟันทิ้งกิเลส ทำให้เราสามารถก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าตามลำดับ ๆ ไป ท่านที่กำลังสูงสุด ปัญญาเข้าถึงระดับสูงสุด ก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานไปเลย

นี่คือประโยชน์ในการสวดมนต์ที่หลายท่านไม่เห็นคุณค่า แล้วยังมีประโยชน์ทางโลก ๆ อีกด้วย ก็คือการสวดมนต์ โดยเฉพาะภาษาบาลีนั้น จะเข้าไปสั่นสะเทือนโมเลกุล หรือว่าอณูในร่างกายของเรา ซึ่งนักปฏิบัติวิปัสสนานั้น ถ้าท่านแยกรูปแยกนามออก สามารถแยกธาตุต่าง ๆ ออก ก็จะเห็นว่าร่างกายของเรานี้ ความจริงแล้วไม่มีอะไรเลย สักแต่ว่าเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันเข้ามาชั่วคราวเท่านั้น

เถรี
18-10-2025, 01:06
ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ประกอบกันขึ้นมา ก็เหมือนอย่างกับรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีสนิมเกาะกินบ้าง การที่เราสวดมนต์ภาวนานี่แหละ ที่จะเข้าไปสั่นสะเทือนโมเลกุลต่าง ๆ ในร่างกายของเรา ทำให้บรรดาสิ่งที่เกาะอยู่ในโมเลกุล เปรียบเสมือนสนิมที่กินพวกเราอยู่ ทำให้ร่างกายนี้เจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าด้อยสมรรถภาพลง ก็จะทำให้สนิม หรือว่าสิ่งที่เกาะอยู่ในร่างกายของเรานั้น โดนอำนาจเสียงสวดมนต์ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ในความถี่ที่สม่ำเสมอ เขย่าจนกระทั่งหลุดออกไป ก็อาจจะทำให้หลายท่านหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ทำให้หลายท่านหายจากการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า

แล้วเมื่อเห็นประโยชน์แล้ว มักจะทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะว่าคราวนี้ไม่ได้ทำเนื่องจากถูกบังคับ หากแต่ว่าท่านทั้งหลายได้ทำ เพราะว่าเห็นประโยชน์จากสิ่งนั้นจริง ๆ

ดังนั้น..ในวันนี้ที่กระผม/อาตมภาพมาบอก มาเล่า มากล่าวถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการปฏิบัติธรรมแก่ทุกท่านก็ตาม หรือว่ามาเสริมในส่วนที่ท่านทั้งหลายยังขาดอยู่ก็ตาม คาดว่าบางท่านก็คงจะมีคำถาม ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าท่านที่สามารถส่งเข้ามาในช่องแช็ตนั้น จะส่งได้ถูกต้องหรือไม่ ?

แต่ว่าอยากจะมอบเวลาที่เหลืออยู่ประมาณ ๒๐ นาทีนี้ให้เป็นเวลาของคำถาม ถ้าท่านทั้งหลายสามารถที่จะกด Unmute แล้วถามเข้ามาได้ ก็ถามผ่านเข้ามาได้เลย หรือถ้าไม่สามารถที่จะใช้งานระบบ Zoom ได้ดีมากนัก ก็ใช้วิธีพิมพ์ข้อความเข้าถามเข้ามาในช่องแช็ตได้ ขอเชิญทุกท่านได้เลยจ้ะ

เถรี
18-10-2025, 18:15
ถาม : การเพ่งกสิณแตกต่างจากการทำสมาธิไหมคะ ?

ตอบ : การเพ่งกสิณนั่นคือการทำสมาธินั่นเอง แต่เป็นการทำสมาธิโดยอาศัยวัตถุจากภายนอก เป็นเครื่องโยงใจของเราให้เป็นสมาธิ

ตรงจุดนี้ทำให้กระผม/อาตมภาพไปคิดถึงที่บางสำนักท่านบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องสร้างพระพุทธรูป ไม่จำเป็นต้องกราบไหว้พระพุทธรูปก็ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ยึดติดกับรูปของพระองค์ท่าน เราควรที่จะกราบไหว้พระธรรมดีกว่า

ตรงจุดนี้มาโยงเข้ากับเรื่องของการเพ่งกสิณตรงที่ว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น บุคคลผู้ที่เพียบพร้อมด้วยบารมี มีปัญญามาก ฟังธรรมแล้วบรรลุมรรคผลได้ทันที หรือว่าท่านที่เป็นผู้ที่ฟังแล้วพิจารณาต่อเพียงเล็กน้อยก็บรรลุมรรคผลได้ ถ้าท่านทั้งหลายเหล่านั้นระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจัดเป็นพุทธานุสติ ก็สามารถที่จะระลึกได้ชัดเจน เพราะว่าได้พบพระองค์ท่านมาด้วยตนเอง

เพียงแต่ว่าคนรุ่นหลัง ๆ พอนานไป ไม่มีโอกาสพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์จริงประการหนึ่ง ในเรื่องของอนุสติไม่ได้มีหลักยึดที่มั่นคง เพราะว่าไม่มีสิ่งภายนอกเป็นเครื่องโยงอีกประการหนึ่ง จึงได้เริ่มมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา

อยากจะบอกกับทุกท่านว่า การที่เราเห็นพระพุทธรูปก็เป็นพุทธานุสติ การระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จัดเป็นกองกรรมฐานใหญ่ ๑ ใน ๔๐ กองที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนให้กับพวกเรา ดังนั้น..ในส่วนนี้ไม่ว่าคนอื่นจะบอกกล่าวอย่างไรก็ตาม ทุกท่านต้องพินิจพิจารณาว่า พระพุทธรูปนั้นมีประโยชน์ต่อเราอย่างไรบ้าง ? ถ้าหากว่ามีประโยชน์ในการที่ทำให้กาย วาจา และใจ ของเราดีขึ้น มีความยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัยได้มากขึ้น เราก็กราบก็ไหว้ของเราไป ส่วนท่านใดจะบอกว่าไม่ดีไม่งามอย่างไร ก็แล้วแต่ทิฏฐิของท่านไปก็แล้วกัน

เถรี
18-10-2025, 18:16
ถาม : การปฏิบัติธรรมเริ่มต้นจากอะไรครับ ?

ตอบ : ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ส่วนใหญ่แล้วคนมักจะคิดว่าเป็นการสร้างสมาธิภาวนา ต้องนั่งกรรมฐาน แต่ความจริงแล้วการปฏิบัติธรรมของเรานั้น หลักใหญ่ ๆ ก็คือควบคุมกาย วาจา และใจของเรา

ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมจึงต้องเริ่มต้นที่ศีลก่อน ถ้าหากว่าเราสามารถรักษาศีลทุกสิกขาบทได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ กำลังใจของเราที่จดจ่อ ระมัดระวังไม่ให้ศีลบกพร่อง จะทำให้สมาธิเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว มาส่งเสริมให้การปฏิบัติสมาธิภาวนาของเราทรงตัวได้ง่าย

เมื่อศีลของเราสมบูรณ์ สมาธิภาวนาของเราทรงตัว คราวนี้เราก็ยกเอาหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพิจารณาได้ง่าย เพราะว่าศีลและสมาธิจะทำให้จิตใจของเราสงบระงับ ดวงปัญญาก็จะชัดเจนแจ่มแจ้ง มองเห็นทุกอย่างให้รู้แจ้งแทงตลอดได้ง่าย ประกอบกับมีศีลและสมาธิเป็นเครื่องหนุนเสริม กำลังใจของเราก็จะก้าวล่วงในสิ่งที่กีดขวางเราต่าง ๆ ไปได้ง่ายอีกด้วย

เถรี
18-10-2025, 18:18
ถาม : ผมเป็นผู้ปฏิบัติธรรมใหม่ ขณะนั่งสมาธิ จิตใจฟุ้งซ่าน กำหนดอะไรไม่ได้เลย ควรแก้อย่างไรครับ ?

ตอบ : ถ้าหากว่าจิตใจฟุ้งซ่านตอนนั่งสมาธิ ให้เปลี่ยนไปสวดมนต์ออกเสียงก็ได้ หรือว่าเปลี่ยนไปเดินจงกรมก็ได้ ถ้าเอาไม่อยู่จริง ๆ แล้ว เราจะไปดูหนังฟังเพลงอย่างไรก็ได้ แต่ต้องเป็นคนมีสัจจะ ก็คือปล่อยให้ใจของเราฟุ้งซ่านภายใน ๑ ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้น เราจะกลับมาภาวนาใหม่

ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ ตอนแรกที่กำลังสมาธิของเรายังอ่อนอยู่ ก็จะยื้อแย่งกัน ในลักษณะที่ว่าภาวนาไปก็ฟุ้งซ่านไป แต่พอกำลังของเราค่อย ๆ เข้มแข็งขึ้น กำลังในการที่จะทรงตัวอยู่กับสมาธิก็จะได้นานขึ้น จากได้ไม่กี่วินาที ก็ได้เป็นนาที ๒ นาที ๓ นาที ยืนระยะยาวขึ้นไปเรื่อย ๆ พอกำลังสมาธิของเรามั่นคงขึ้น ตัว รัก โลภ โกรธ หลง ที่มากวนให้เราฟุ้งซ่านก็มีกำลังน้อยลงไปเรื่อย

อยู่ในลักษณะเหมือนน้ำขึ้นน้ำลง ถ้าสมาธิเป็นน้ำขึ้น กิเลสต่าง ๆ ก็เป็นน้ำลง เราเองก็ต้องรีบกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วก็ทำให้ต่อเนื่อง ถ้าเผลอไม่ต่อเนื่องเมื่อไร เรากลายเป็นน้ำลง ตัวกิเลสกลายเป็นน้ำขึ้น เราก็จะฟุ้งซ่านต่อไป

ดังนั้น..วิธีแก้ที่ดีที่สุดก็คือเปลี่ยนจากการภาวนาไปสวดมนต์บ้าง ไปเดินจงกรมบ้าง โดยที่พยายามเอาใจจดจ่อกับการสวดมนต์หรือการเดินจงกรม หรือไปทำงานบ้านอื่น ๆ ก็ได้ แต่ถ้าหากว่าไม่ไหวจริง ๆ ฟุ้งซ่านสุดขีด เราจะไปดูหนังฟังเพลงอะไรก็ได้ แต่ต้องกำหนดเวลาไว้ ว่าต้องไม่เกินครึ่งชั่วโมง ไม่เกิน ๑ ชั่วโมง แล้วบังคับกลับมาในการปฏิบัติภาวนาใหม่

ความจริงแล้วท่านที่ภาวนาแล้วฟุ้งซ่านแปลว่าเริ่มได้ผลแล้ว เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติภาวนานั้น จะเกิดกำลังใจการเผาผลาญกิเลสที่เรียกว่า "ตบะ" ในเมื่อตบะเผาให้ร้อน กิเลสก็จะดิ้นรนหาทางออกไปทุกทิศทุกทางที่ตนเองจะออกได้ ถ้าในลักษณะนี้ ท่านข่มใจชนิดเอาชีวิตเข้าแลก เชื่อว่าจะสามารถเข้าถึงธรรมได้เร็วกว่าบุคคลที่ไม่ฟุ้งซ่านเสียด้วยซ้ำไป..!

เถรี
19-10-2025, 20:14
ถาม : ทำไมกสิณถึงมีแค่ ๔ สีครับ ถ้าทำกสิณ สีอื่นจะสำเร็จหรือไม่ครับ ?

ตอบ : ความจริงคำว่า กสิณ แปลว่า การเพ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจดจ่อต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าการเพ่งนั้นเราปรารถนาอะไร ? ถ้าหากว่าต้องการแค่กำลังใจสงบระงับ ท่านจะเพ่งสีไหนก็ได้ผลเหมือนกัน

แต่ว่าในส่วนของวรรณะกสิณทั้ง ๔ ก็คือ สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว นั้น เวลาเรากำหนดแล้วสำเร็จขึ้นมา เราสามารถที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่โบราณาจารย์ได้ศึกษาความรู้มาอย่างช่ำชองแล้ว ท่านจึงได้กำหนดเอาไว้ว่า สีทั้ง ๔ นี้เป็นสีที่สำคัญ เป็นสีที่ชักจูงใจของเราให้สงบระงับได้ง่ายที่สุด

ถ้าหากว่าทุกท่านศึกษาในเรื่องฉัพพรรณรังสีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา จะเห็นว่าประกอบไปด้วย โอทาตะ (สีขาวเหมือนแผ่นเงิน) ปีตกะ (สีเหลืองเหมือนหรดาลทอง) มัญเชษฐ์ (สีแดงเข้มเหมือนดอกหงอนไก่) ตลอดจนกระทั่งนีละ (สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน) เหล่านี้เป็นต้น

เชื่อว่าการที่โบราณาจารย์ท่านกำหนดเอาไว้ก็ดี อรรถกถาจารย์ท่านกำหนดเอาไว้ก็ดี เป็นสิ่งที่ท่านสรุปมาจนเป็นภูมิปัญญาที่ตกผลึกแล้ว ว่าทั้ง ๔ สีนี้จะโยงใจของเราให้เข้าหาพุทธานุสติได้ง่ายประการหนึ่ง เป็นสีที่สามารถหนุนเสริมการใช้อภิญญาสมาบัติ จากอำนาจของกสิณได้อีกอย่างหนึ่ง จึงกำหนดเอาไว้ตามนี้

แต่ถ้าหากต้องการแค่ความสงบระงับอย่างเดียว เราจะเพียรเพ่งในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าหากว่าทำถูกต้อง ก็จะสามารถที่จะระงับกิเลสได้ชั่วคราวเช่นกัน

เถรี
19-10-2025, 20:16
ถาม : ถ้าเราอยากเลิกอาฆาตคนที่เคยแกล้งเรา ควรทำอย่างไรดีครับ ?

ตอบ : เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยาก เนื่องเพราะว่าความอาฆาตนั้นก็มีรากฐานมาจากในส่วนของโทสะ ถ้าหากว่าเราเพียรละโทสะแล้ว ก็ยังมีปฏิฆะ คือเวลากระทบแล้วกรุ่นขึ้นมา ส่วนความอาฆาตนั้นเป็นเรื่องของการฝังจิตฝังใจของเรา ค่อนข้างจะอยู่ลึกและถอนยากกันอยู่สักหน่อย

อันดับแรกเลย ถ้าเรายังกำลังน้อยอยู่ ก็คือพยายามที่จะหลีกให้พ้นหน้าพ้นตาของเขาไปเลย

ถ้ากำลังเราเริ่มมากขึ้น เราก็ค่อย ๆ แผ่เมตตาให้กับเขา อยู่ในลักษณะที่ว่า ต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เราจะโกรธเกลียดเขาก็ดี ไม่โกรธเกลียดเขาก็ตาม เขาก็ตาย เราก็ตายเช่นกัน ถ้าหากว่าเราตายในขณะที่โกรธเกลียดอาฆาตแค้นเขา ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาทำไม่ดีกับเรา หรือว่าเราไม่ชอบใจเขาก็ตาม เราเองอาจจะตกสู่อบายภูมิ ทำให้เสียชาติที่เกิดมาก็ได้ ดังนั้น..เราควรที่จะให้อภัยเขามากกว่า

ถ้าหากว่าค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แผ่เมตตาอยู่ในลักษณะนี้ มองลึกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นว่า ตัวเขาก็ดี ตัวเราก็ดี ต่างก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเลย ต่างก็เป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมาชั่วคราว ให้ตัวเขาและตัวเราซึ่งเป็นจิตได้อาศัย เป็นบ้านอยู่เพื่อทำความดีเท่านั้น

ถ้าหากว่าเขาเองไม่รู้ว่า สิ่งที่ทำให้เราโกรธเราเกลียดนั้น เป็นความไม่ดีไม่งามอย่างไร ? ก็แปลว่าเขานั้นยังปัญญาน้อย พูดง่าย ๆ ว่าเขายังโง่อยู่ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้น เป็นทุกข์เป็นโทษแก่ผู้อื่นและตนเองอย่างไร ดังนั้น..เราจะไปโกรธคนโง่ก็ย่อมไม่ใช่ที่ เนื่องจากว่าเท่ากับว่าเราโง่เอง เป็นการหอบไฟมาเผาใจของเราด้วย

ถ้าสามารถคิดลึกลงไปเรื่อย ๆ ในลักษณะนี้ กำลังใจของเราก็จะค่อย ๆ คลายออกมา จนกระทั่งท้ายที่สุดก็จะให้อภัยเขาไปได้เอง

เถรี
19-10-2025, 20:22
ท้ายนี้ขอโอกาสพระเถรานุเถระ น้องสามเณร คุณแม่ชี ตลอดจนกระทั่งญาติโยมโยคีผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน สิ่งที่อยากจะตอกย้ำกับทุกท่าน อยากจะยกตนเองเป็นตัวอย่างก็คือว่า ที่วัดท่าขนุนของกระผม/อาตมภาพนั้น มีการสวดมนต์ทำวัตรวันละ ๓ รอบ แล้วยังเจริญกรรมฐานร่วมกันอีก ทำขนาดนี้แล้ว ยังต้องมีเวลาปฏิบัติธรรมประจำปีของตนเองอยู่ เพราะว่าถ้าเราเผลอประมาทเมื่อไร กิเลสอาจจะมีกำลังสูงกว่า แล้วก็ฝ่าเกราะป้องกันเข้ามากินใจของเราได้

ดังนั้น..ทุกท่านเมื่อตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมกันแล้ว การรักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ใช้ปัญญาพิจารณาอย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกท่านพยายามทำให้ต่อเนื่องกัน แล้วขณะเดียวกัน ถ้ามีโอกาสควรให้เวลาตัวเองด้วย ก็คือหาโอกาสสัก ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมอย่างจริง ๆ จัง ๆ เพื่อเป็นการเสริมกำลังกายกำลังใจของตนเอง ก็คือร่างกายได้พักผ่อนจากความเครียดและการงานทั้งหลาย กำลังใจของเราก็จะได้ฟื้นกำลังสมาธิสมาบัติของเราคืนมา แล้วจะทำให้เราสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ ซึ่งกระแสกิเลสเชี่ยวกรากมาก ได้อย่างค่อนข้างจะมั่นคง ถ้าท่านสามารถทำได้มั่นคง สุคติเบื้องหน้าของท่านก็เป็นที่พึงหวังได้

ท้ายที่สุดนี้ กระผม/อาตมภาพขออ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พร้อมทั้งกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ ที่ท่านทั้งหลายได้กระทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จงมารวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้วไซร้ ขอความปรารถนาของทุกท่าน จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผลดังมโนรถจงทุกประการด้วยเทอญ

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม
วันอาทิตย์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)