View Full Version : เก็บตกงานบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร ช่วงเช้าวันเสาร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘
ช่วงนี้โดยปกติแล้วฝนจะตกทั้งวันทั้งคืน โดยเฉพาะเวลานี้ ซึ่งเป็นเวลาที่พระกำลังบิณฑบาต เขาก็จะเมตตาช่วงสรงน้ำให้พระอีกรอบหนึ่งเป็นประจำ ยังดีที่มีการเว้นว่างให้บ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วญาติโยมจะไม่มีที่อยู่ทางด้านนอกเลย..!
แบบเดียวกับงานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีของปีที่แล้ว ฝนตกจนกระทั่งไม่มีสถานที่ให้อยู่ ญาติโยมเข้ามาในศาลาแล้วออกไปไม่ได้ อาตมาต้องกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์เป่ายันต์รอบพิเศษให้ เพื่อระบายโยมออกไป ปีนี้ก็เลยต้องขอท่านเอาไว้ว่า "ถ้าเป็นไปได้ ช่วงเป่ายันต์ขอให้หยุดตกชั่วคราว" ไม่อย่างนั้นก็จะมีเหตุการณ์เหมือนเดิมอีก
บางคนสงสัยว่าใส่หน้ากากแล้วอาตมภาพยังจำคนได้อยู่ มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่เก่งขนาดเห็นใบหูข้างเดียวแล้วจำคนได้ อาตมายังไม่ได้ระดับนั้น..!
คณะศิษย์หลวงปู่แก่น วัดเขื่อนท่าทุ่งนามาออกโรงทาน ญาติโยมขากลับแวะไปกราบสังขารหลวงปู่ท่านได้ มรณภาพไปแล้ว ยังไม่เน่าไม่เปื่อยเหมือนกัน
อีกสักครู่ตอนใกล้พิธีไหว้ครู จะอนุญาตให้นั่งบนทางเดินเลย ตอนนี้เบียด ๆ กันไปก่อน ทำความรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกันก่อน สมัยก่อนอยู่ที่วัดท่าซุง ปี ๒๕๒๕ วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ หลวงพ่อวัดท่าซุงจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งแรก ใช้ศาลาพระพินิจอักษร ปรากฏว่าคนต้องผลัดกันเข้าถึง ๔ - ๕ รอบ ท่านจึงเร่งสร้างศาลา ๒ ไร่
พอวันเสาร์ที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ศาลา ๒ ไร่ยังไม่เสร็จดี เพิ่งจะเทพื้นแล้วกลัวแห้งไม่ทัน ช่างก็เลยเอาผงปูนซัดเพื่อที่จะให้ช่วยดูดน้ำ สรุปว่าต้องเปิดใช้งานทั้งแบบนั้น ทุกคนที่ไปงานชุดจะประทับใจมาก เพราะว่าคลุกฝุ่นปูนกันทุกคน..! โดยเฉพาะเมื่อเบียดกันมาก ๆ เข้า โยมบางคนหายใจไม่ทัน เวียนหัว อาเจียนรดหลังเพื่อน..! เพื่อนก็ขยับออกไม่ได้ เพราะว่าแน่นพอ ๆ กับที่วัดนี้ สรุปก็คือต้องปล่อยให้อาเจียนแห้งคาหลังไปเลย..! ถึงได้บอกว่าพวกเราทำความรู้จักกันไปก่อน เดี๋ยวอีกสักครู่ถ้าอาเจียนใส่กันจะได้ไม่โกรธกัน..!
ถ้าเห็นแก่ตัวมาก ที่ว่างรอบตัวก็จะมาก เป็นอะไรที่วัดง่ายที่สุด ใครที่เห็นแก่ตัวน้อย หรือไม่มีความเห็นแก่ตัว ก็แทบจะนั่งบนตักคนอื่นเลย
เห็นเจ้าหน้าที่ถ่ายทำวิดีโอ เขาใช้ไม้ยาว ๆ ในการต่อไมโครโฟนเพื่อรับเสียง อาตมาเห็นเป็นคนถือทวน เวรกรรม..! เขาถึงได้บอกว่าจิตมีสภาพจำ เคยทำอะไรไว้ก็ปรุงแต่งไปอย่างนั้น ดังนั้น..พอถึงเวลาคนใกล้จะตาย ญาติพี่น้องก็ใจดี ช่วยบอกทางให้ บอกว่า "ให้ท่องพระอะระหัง พระอะระหังไว้" ปรากฏว่าคนป่วยหนักถามว่า "พระอะไรวะมีหาง !?" ถ้าลักษณะนั้น แสดงว่าจิตไม่ยอมรับ
พอบอกว่า "พุทโธ พุทโธไว้นะ" คนป่วยหนักเคยแต่หาปลาทั้งชีวิต แทนที่จะว่าพุทโธ ก็ว่า "ไอ้โด..ไอ้โด" ก็คือปลาชะโด ถ้าอย่างนั้นมีคติแน่นอนว่าไปข้างล่างแน่..! อย่างที่ภาษารุ่นเก่า ๆ เขาว่า "พระโปรดไม่ได้" บุคคลที่พระโปรดไม่ได้ถือว่าน่าสงสารมาก เนื่องเพราะว่ามีคนช่วยบอกช่วยกล่าวแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะกำหนดใจให้เป็นไปตามที่เขาบอกเขากล่าวได้
ส่วนญาติโยมบางท่านน่าสงสารกว่านั้นอีก เห็นหลวงปู่ดุลย์ อตุโล (พระราชวุฒาจารย์) อดีตเจ้าอาวาสวัดบูรพาราม อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ (ธรรมยุต) ใกล้จะหมดลมแล้ว อุตส่าห์ไปกระซิบข้างหูว่า "หลวงปู่..พุทโธ..พุทโธนะ จะได้ไปดี" ทำเอาหลวงปู่ท่านยิ้มแฉ่ง ประมาณว่า "กูนะไปดีแน่ แต่มึงจะไปไหนไม่รู้ ?" ไปสอนพระอรหันต์ให้พุทโธ แต่ก็ดีนะ..ทำให้หลวงปู่ท่านยิ้มก่อนมรณภาพ ไม่รู้ว่ายิ้มสมเพชเวทนาคนสอนหรือเปล่า ?
เครื่องบวงสรวงที่จะไหว้ครูของทุกปีและทุกครั้ง ได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์มหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ. ๖) วัดปากน้ำภาษีเจริญและคณะศิษย์บ้านสุมโน ช่วยกันจัดทำให้ โดยที่อาตมภาพไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว
เครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ขนาดนี้ปัจจุบันราคาชุดหนึ่งเป็นแสนแล้ว แต่ว่าท่านอาจารย์เอถือว่าทำถวายครูบาอาจารย์ ท่านเองก็ได้อานิสงส์ด้วย คณะศิษย์ก็ได้อานิสงส์ด้วย อาตมภาพก็ได้รับความสะดวกไปด้วย ขอให้ทุกคนตั้งใจอนุโมทนา ถือว่าเราเป็นเจ้าของร่วมกัน ถึงเวลาก็ไหว้ครูพร้อมกัน
ครูของเราทั้งหมด นับเริ่มจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์บนพระนิพพาน ลงมาถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พรหม เทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ในชาติปัจจุบันนี้ ให้ตั้งใจว่า เราน้อมบูชาครูด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้ วิชาการหรือสิ่งหนึ่งประการใด ที่ครูเคยอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้ได้เล่าเรียนมา ก็ขอให้เราสามารถเข้าใจแตกฉาน และทำได้เช่นเดียวกับครูด้วย
ถ้าใครศึกษาเรื่องคาถาอาคมมา จะเห็นว่าพระคาถาหลายบท มีการเอ่ยถึงครูก่อน อย่างเช่น "พระคาถาโองการมหาทมื่น" ก็จะมีประโยคที่ว่า "เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้กูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา..ฯลฯ" แล้วก็เริ่มต้นเข้าเนื้อหาไป
หรือถ้าหากอย่างในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน เมื่อถึงเวลาจะรบกัน ก็มีการไต่ถามชื่อเสียงเรียงนาม นอกจากเขาจะบอกชื่อบอกตำแหน่งแล้ว ยังบอกด้วยว่าเป็นลูกศิษย์ใคร พูดง่าย ๆ ว่าถ้าครูเก่งจริง ชื่อเสียงโด่งดังจริง จะเป็นการข่มฝ่ายตรงข้ามไปในตัวว่า ขนาดครูเก่งปานนั้น ลูกศิษย์ต้องมีดีอย่างแน่นอน..!
ดังนั้น..แสนตรีเพชรกล้าจึงได้ตอบพลายงามว่า "ตัวเราเป็นเชื้อเจ้าท้าวคำแมน มียศเป็นแสนตรีเพชรกล้า" สมัยก่อนยศทางเหนือ เขาจะมียศเป็นหมื่น เป็นแสน อย่างเช่นว่าหมื่นหาญฟ้า เหล่านี้เป็นต้น
เขาบอกว่า "พระครูผู้บอกวิทยา ชื่อว่าศรีแก้วฟ้ากล้าแข็ง สถิตยังเขาคำถ้ำวัวแดง ทุกหนแห่งเลื่องลือนับถือจริง"
แสนตรีเพชรกล้าเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ศรีแก้วฟ้า ถ้าถามว่าแสนตรีเพชรกล้าเก่งขนาดไหน ? เขาบอกว่า "แต่เกิดมาอาวุธไม่พ้องแพว ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว" เหนียวตั้งแต่เกิด อะไรจะเก่งปานนั้น..?!
ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราไปศึกษาพวกวรรณคดีไทยโบราณ บางทีเขาจะก็มีบอกสารพัดวิธีการเอาไว้ในนั้น นั่นเป็นเรื่องจริงที่สามารถทำได้ทั้งหมด อย่างที่บอกว่า "ตำรามหาศาตราคม" ที่ขุนแผนใช้ตีดาบฟ้าฟื้น เป็นต้น มีส่วนผสมอะไรบ้างก็อยู่ในนั้นแหละ หรือไม่ก็จะสร้างกุมารทองต้องทำอย่างไร ? บอกไว้ชัดหมด แต่สมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว มัวแต่ไปปิ้งเด็กแบบ "เณรแอ" ก็ติดคุกหัวโตเท่านั้น..!
ดังนั้น..พวกวิชาการหลายต่อหลายอย่าง สถานภาพของสังคมเอื้อให้คนเก่ง ฟังแล้วงง ๆ ไหม ? อย่างสถานภาพในสังคมปัจจุบันของเราไม่เอื้อให้คนเก่ง เพราะเขาว่านายกรัฐมนตรียังไม่ได้เรื่องเลย ตูจะหาเรื่องเดือดร้อนแล้วกระมัง ?!
ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าสภาพสังคมจะเป็นเครื่องผลักดัน แบบวัดท่าขนุนของเรา พอมีพระสอบบาลีเป็นมหาเปรียญได้มาก ๆ รุ่นน้องก็มีกำลังใจ "เฮ้ย..ไม่ยากนี่หว่า พี่เขาคนโน้นก็สอบได้ คนนี้ก็สอบได้"
เราลองไปดูวรรณคดีขุนช้างขุนแผนตอนพลายแก้วบวชเณร หลายท่านที่แก่พอกับอาตมภาพต้องเคยเรียนมา ท่านว่า
"จะกล่าวถึงพลายแก้วแววไว
เมื่อบิดาบรรลัยแม่พาหนี
ไปอาศัยอยู่ในกาญจนบุรี
กับนางทองประศรีผู้มารดา ฯ"
สมัยนั้นขุนไกรอยู่ที่อู่ทอง สุพรรณบุรี ไม่ต้องยุคขุนไกรอยุธยาหรอก แค่ยุคอาตมานี่แหละ แถวนั้นเป็นป่าใหญ่ชนิดมีเสือมีช้างเลย..!
"อยู่มาจนเจ้าเจริญวัย
อายุนั้นได้ถึงสิบห้า
ไม่วายคิดถึงพ่อที่มรณา
แต่นึกตรึกตรามากว่าปี
อยากจะเป็นทหารชาญชัย
ให้เหมือนพ่อขุนไกรที่เป็นผี
จึงอ้อนวอนมารดาได้ปรานี
ลูกนี้จักใคร่รู้วิชาการ
พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี
แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน
ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์
อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้"
อยากจะเก่งแบบพ่อขุนไกร อยากจะเรียนวิชา ไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่าเรียนแล้วจะไม่สำเร็จ
"ครานั้นทองประศรีผู้มารดา
ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่
อันสมภารที่ชำนาญในทางใน
ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน"
วัดส้มใหญ่ตอนนี้อยู่แถวหนองขาว ท่าม่วงนี่เอง
"เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา
แม่จักพาไปฝากขรัวบุญท่าน"
ฝากหลวงปู่บุญ วัดส้มใหญ่
"จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน
ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร"
แม่ก็เหมือนกับลูก ไปเรียนแล้วต้องจบ ไปเรียนแล้วต้องสำเร็จ ก็คือสภาพสังคมเป็นอย่างนั้น ทุกคนเรียนได้ผลหมด คนก็เลยไม่คิดว่าวิชาการพวกนี้ยาก แม้แต่เด็ก ๆ อย่างพลายงาม ฝึกเองเรียนเองยังทำได้เลย
ท่านบอกว่า
"อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย
ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี
ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี
เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนต์
ปัถมังตั้งตัวนะปัดตลอด
แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน
หัวใจกฤตย์อิทธิเจเสน่ห์กล
แล้วเล่ามนต์เสกขมิ้นกินน้ำมัน
แอบเข้าห้องลองวิชาประสาเด็ก ฯลฯ"
ลองวิชา แอบเรียนเองไม่พอ แอบลองด้วย ใช้เหล็กแหลมแทงตัวเองจนปลายเหล็กงอหมด ไม่เข้าสักนิด..!
แต่ประโยคที่พวกเรามองข้ามไปก็คือ "ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี" ย่าสอนเอง..! แล้วลองคิดดูว่าป่าใหญ่ดงทึบสมัยนั้น จากอู่ทองกว่าจะมาถึงพนมทวน ระยะทางหลาย ๑๐ กิโลเมตร บุกป่าฝ่าดงไป พรานเก่ง ๆ ยังตาย..! คุณย่าพาเด็กน้อยพลายแก้วไปได้อย่างไร ? ไม่เก่งจริงเอาไปไม่รอดหรอก
ความมาแตกตอนเลี้ยงหลานนี่เอง ย่าเป็นคนถ่ายทอดวิชาให้..! แสดงว่าคุณย่าทองประศรีเป็นผู้หญิงที่ไม่ยึดติดสังคมสมัยนั้น สมัยนั้นเขาให้เรียนอะไร ? หุงข้าว ทอผ้า ทำการบ้านงานเรือนต่าง ๆ หนังสือไม่ต้องเรียน คุณย่าทองประศรีเรียนทั้งไทย เรียนทั้งขอม เรียนคัมภีร์พุทธเภท พระเวทมนตร์ กลับไปอ่านใหม่นะ ไม่อย่างนั้น..ให้แต่หลวงพ่อบอกให้ฟัง
ตอนแรกอาตมภาพก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนจำแม่น อ่านหนังสือรอบเดียว กี่ปีก็ไม่ไปไหน พอมาฝึกกรรมฐานแล้วถึงได้เข้าใจ ท่านบอกว่าผู้มีจิตตั้งมั่นย่อมมีสติ รำลึกถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วนาน ไม่ได้รำลึกแค่ชาตินี้นะ ระลึกย้อนหลังไปบางทีนับชาติไม่ถ้วน..! เพราะฉะนั้น..เรื่องเรียนแค่ชาติเดียวเป็นเรื่องเล็ก หรือว่าเรื่องใหญ่ ? ผมเรียนมา ๑๒ ปียังไม่จบเลย สมควรตายมาก..!
อาตมาเรียนปริญญาตรี ๓ ปีครึ่ง ปริญญาโท ๑ ปีกับ ๑ เดือน ปริญญาเอก ๒ ปีกับ ๑ เทอม จะขอจบตั้งแต่ปีแรกแล้ว ครูเขาไม่ยอมให้จบ เขาบอกว่า "ปริญญาเอกถ้าเรียนไม่ถึง ๓ ปี ถือว่าไม่มีคุณภาพ..!"
พอปี ๓ เริ่มขึ้นเทอม ๒ อาจารย์วิ่งมาถาม "คิดว่าสามารถทำวิทยานิพนธ์ให้จบในเทอมนี้ได้ไหม ? ถ้าทำได้ผมจะให้จบ" ก็ถามอาจารย์ว่า "ทำไมละครับ ? ตอนแรกบอกไม่ถึง ๓ ปีไม่ให้จบ" ท่านบอกว่า "รุ่นพี่ของท่านยังไม่จบแม้แต่คนเดียว..!" อาตมาเรียนปริญญาเอกรุ่น ๒ พี่รุ่น ๑ ไม่จบเลยสักคน แล้วเหลือเวลาแค่ ๒ เดือน อาตมาก็สบายใจ "ไม่ถึง ๓ ปี เขาไม่ให้เราจบ" วิทยานิพนธ์ก็เลยทิ้งไว้แค่บทที่ ๒ มีเวลาแค่ ๒ เดือนจะต้องปั่น ๓ บทสุดท้ายให้จบ เล่นเอาไม่ได้หลับไม่ได้นอน
มีอยู่ช่วงหนึ่งไม่ได้นอน ๑๑ วัน ๑๑ คืน..! ถามว่าทำไมไม่นอน ? อยากจะนอนเหมือนกันแหละ..พอนอนลงไป ดันคิดได้ว่าจะเขียนต่ออย่างไร ก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ เวรกรรมจริง ๆ เลย..! พอวันที่ ๑๑ จะผ่านไป อยู่ ๆ จอคอมพิวเตอร์ดับวูบ ไอ้เราก็ "อ้าว..น่าลืมเสียบปลั๊ก เลยแบตหมด..!" ก้มลงไปก็เห็นปลั๊กแดงโร่อยู่..! สรุปว่าทุกอย่างปกติ ยกเว้นอาตมา หน้ามืดเอง..! ๑๑ วันไม่ได้นอน ภาพตัดชั่วคราว แต่ไปนึกว่าจอคอมพิวเตอร์ดับ..!
อาตมาสุ้มเสียงไม่ค่อยจะมี ไปอินเดียเจออากาศหนาวแล้วก็ฝุ่นหนักมาก กลับมาได้เวลาเลือกตั้งท้องถิ่นพอดี ก็เลยขายเสียงไปชั่วคราว..! ไม่มีเสียงไปอาทิตย์กว่า จนป่านนี้สุ้มเสียงก็ยังไม่เข้าที่ ต่อไปตูจะไม่เชื่อใครง่าย ๆ อีกแล้ว
ไปกราบองค์ดาไลลามะที่ธรรมศาลา ถามเขาว่า "อากาศหนาวไหม ?" ผู้เชี่ยวชาญเขาบอกว่า อินเดียไม่มีหนาวหรอก ไม่ต้องเตรียมอะไรไปก็ได้ อาตมาอยู่ที่นั่น ๕ วัน เจอ ๑๒ องศาเซลเซียส เกือบตาย..!
แต่ก็ยังดีตรงที่ว่าท่านดาไลลามะท่านเมตตาออกมารับ ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่หลังปีใหม่ท่านไม่เคยรับแขกเลยแม้แต่คณะเดียว เพราะต้องระมัดระวังตัวเอง เนื่องจากว่ามีคนหมายหัวว่า ถ้าท่านมรณภาพแล้วจะได้ไม่มีผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ไม่ยอมมรณภาพเสียทีก็เลยจะมีคนช่วย..! ท่านเองก็ไม่ค่อยอยากรับความเมตตาคนอื่นแบบนั้น ช่วยเรื่องอื่นนี่พอจะรับได้ ช่วยให้มรณภาพท่านไม่อยากจะรับ..! ก็เลยต้องเก็บตัว
จะไปเรียนถวายท่านว่า "หลวงปู่..ถ้าไม่ไหวก็นิมนต์นะครับ" ปรากฏว่าไม่ได้กล่าวอะไรเลยแม้แต่คำเดียว จะนิมนต์ให้อยู่ต่อก็กลัวท่านชวนให้อยู่ด้วย เพราะฉะนั้น..หุบปากไว้ อยู่เงียบ ๆ จะดีกว่า..!
เข้ามาเลย..นั่งบนทางเดินไปเลย ด้านหน้าอาตมายังมีที่ว่างอีกเยอะ คาดว่าถ้ายัดกันเข้ามาจริง ๆ น่าจะได้อีกสัก ๒๐๐ คน
วัดเราน่าจะมีอาชีพแบบญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นเขามีอาชีพยัดคนเข้าตู้รถไฟ ไม่อย่างนั้นถ้าประตูปิดไม่ได้ รถจะไม่วิ่ง รถไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นไม่มีคนขับ เป็นระบบอัตโนมัติ ถ้าประตูไม่ปิดรถก็ไม่ออกตัว ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมคนญี่ปุ่นมีแต่ตัวเล็ก ๆ พอไปเห็นเขาจับยัดเข้าตู้รถไฟ อ๋อ..ต้องตัวเล็กจะได้ประหยัดที่..!
(พูดถึงแอพฯ เสบียงบุญ) ในหลวงขอให้เจริญกรรมฐานให้ท่านหน่อย คงจะมีทำจริงทำจังอยู่คนเดียวกระมัง ? คนอื่นพอ ๓ วันให้หลัง ก็เลิกกันหมดแล้ว..!
ญาติโยมเห็นอาตมาก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์ก็อย่าเพิ่งถ่ายรูปนะ สมัยนี้ "ดราม่า" เยอะ..! เขาไม่สนใจหรอกว่าเราจะส่งงานตามงานอะไร เอาแต่เรียกว่า "พระเล่นโทรศัพท์" อย่างเดียวเลย อาตมามีกลุ่มไลน์อยู่ ๑๐๐ กว่ากลุ่ม งานสงฆ์เกือบทั้งนั้น..!
ด้วยเหตุที่จะต้องติดตามงานในกลุ่มไลน์อย่างใกล้ชิด เพราะว่าวันที่ ๒ - ๓ - ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๘ นี้ จะมีโครงการ "สืบสานงานพ่อ ต่อยอดทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย" ของทางสำนักงานองคมนตรี ซึ่งกระผม/อาตมภาพเป็นทั้งกรรมการหลักและอนุกรรมการ ไม่รู้ว่าจะมีงานด่วนเข้ามาเมื่อไร มีเวลาก็เลยต้องก้มหน้าก้มตา กลายเป็น "สังคมก้มหน้า" กับเขาอยู่แบบนี้
ญาติโยมอย่าเพิ่งถ่ายรูปไป คนที่ไม่เข้าใจเขาจะด่าเอา สมัยนี้คนปากไวมีเยอะ เขาไม่สนใจเหตุผลต้นปลายอะไรหรอก มีมุมไหนด่าได้ก็ด่าเอาไว้ก่อน อยากจะไปนรกมาก..!
ท่านที่จะรับยันต์เกราะเพชรให้เตรียมธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่มเอาไว้ ยกเว้นว่าใครมีลูกอยู่ในท้องก็เตรียมเผื่อลูกอีกชุดหนึ่ง เครื่องบูชาครูในการรับยันต์มีแค่นี้ ถ้าตำราใครมีเกินกว่านั้น ก็ขอให้รู้ว่าแหกคอกครูบาอาจารย์ไปไกลมากแล้ว
ท่านใดที่ไม่ได้เตรียมธูปเทียนสำหรับรับยันต์เกราะเพชรมา มีอยู่ที่เต็นท์บริเวณหน้าโบสถ์ ไปหยิบเอาที่นั่นได้เลย ทำบุญหรือไม่ทำบุญก็ไม่เป็นไร
พระที่แจกไปอย่าคิดว่าไม่สวย อย่าคิดว่าองค์เล็ก อาตมภาพอยากจะบอกว่า "เป็นวัตถุมงคลที่สร้างยากที่สุดในยุคนี้" เนื่องเพราะว่ามีสังฆาฏิของพระเถระซึ่งเป็นที่เคารพนับถือกันทั่วประเทศ ผสมอยู่ด้วยถึง ๒๒ องค์ด้วยกัน อย่างเช่นว่า
หลวงปู่ครูบาพรหมจักร (พระสุพรหมยานเถร วิ.) วัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน
หลวงปู่ครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) วัดทุ่งหลวง จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ (พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน
หลวงปู่คำแสนใหญ่ (ครูบาคำแสน อินฺทจกฺโก - พระครูสุคันธศีล) วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่คำแสนเล็ก (ครูบาคำแสน คุณาลงฺกาโร) วัดดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร (พระญาณสิทธาจารย์) วัดถ้ำผาปล่อง จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค จังหวัดนครสวรรค์
แม้กระทั่งหลวงพ่ออุตตะมะ (พระราชอุดมมงคล วิ.) วัดวังก์วิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น ซึ่งคงไม่มีใครสามารถที่จะรวบรวมวัสดุสำคัญแบบนี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างนี้อีกแล้ว
โดยเฉพาะสังฆาฏิหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค ซึ่งท่านใช้มา ๔๐ กว่าปี ท่านบอกว่า "ใช้ทุกวันก็เสกทุกวัน" ถ้าถามว่า "หลวงปู่สีดีขนาดไหน ?" ชานหมากที่ท่านคายออกมา ลองยิงได้ทุกคำ ปืนดีแค่ไหนก็ยิงไม่ออก..!
พระที่แจกให้ตอนทำบุญสำคัญมาก ประมาณว่า "องค์เดียวเที่ยวทั่วโลก" มีติดตัวอยู่ไม่จำเป็นต้องมีองค์อื่นก็ได้ ยกเว้นว่าถ้าความสวยไม่ถูกกิเลส ก็ไปดูในตู้ที่ท้ายศาลา เผื่อว่าจะมีของแพงบ้าง แจกฟรีไม่ถูกใจ จะไปจ่ายแพง ๆ ก็ตามใจ..!
ระยะหลังญาติโยมถวายทองร่วมทำบุญ ส่วนใหญ่จะเป็นทองที่น้ำหนัก ๐.๐๑ กรัมบ้าง ๐.๐๒ กรัมบ้าง ๐.๐๓ กรัมบ้าง ทางด้านร้านค้าแนะนำว่า "อย่าซื้อทองประเภทนั้น เพราะว่าเป็นกระดาษดี ๆ นี่เอง เพียงแต่เขาเคลือบทองไว้เท่านั้น..!"
เขาบอกว่าทองที่จะมีราคาในท้องตลอดที่แท้จริง อย่างต่ำสุดน้ำหนักต้อง ๑ กรัมขึ้นไป ถ้าสงสัยว่า ๑ กรัมหนักแค่ไหน ? ก็ประมาณ ๔ กรัม หรือ ๓.๘ กรัม เท่ากับ ๑ สลึง
ส่วนใหญ่พอจะใช้งานจริงแล้ว ทองประเภทนั้นพอเอาลงเตาหลอมก็กลายเป็นควันหมด เพราะว่าเขาเคลือบทองไว้บนกระดาษเท่านั้น สมัยนี้เทคนิคการเคลือบทองก้าวหน้ามาก ต้องการหนามากหนาน้อยเท่าไร สั่งเขาได้เลย..!
อาตมภาพเพิ่งจะถวายทองที่รวบรวมไว้จากที่ญาติโยมถวายมาหลายปี ร่วมหล่อรอยพระพุทธบาท ๔ รอยจำลอง วัดพระบรมธาตุเชิงชุม ถวายไป ๑,๕๐๓.๖ กรัม ก็คือประมาณ ๑ กิโลกรัมครึ่ง เนื่องเพราะว่าท่านเจ้าคุณวินัย --พระราชวชิราทร (วินัย สจฺจวํโส ป.ธ. ๕) เจ้าคณะจังหวัดสกลนคร ท่านจะหล่อรอยพระพุทธบาทจำลอง ๔ รอยด้วยทองคำประมาณ ๑๐ กิโลกรัม อาตมภาพให้ไป ๑ กิโลกรัมครึ่ง เพราะว่ามีอยู่แค่นั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่า ต้องรวบรวมอีกนานเท่าไรถึงจะได้เท่านั้นอีก..!
ส่วนทางด้านญาติโยมจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นำโดยครูบาแก้ว สนฺติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีสว่าง (ท่าช้าง) เมืองปากงึม แขวงกำแพงนครเวียงจันทน์ ร่วมกันถวายมา ๑ กิโลกรัม รวมแล้วสองเจ้าได้ไป ๒ กิโลกรัมครึ่ง ก็แปลว่าถ้าเป็นรอยพระพุทธบาท ๔ รอยจำลองก็ได้ไปแล้ว ๑ รอย..!
ใครต้องการจะร่วมบุญนี้ สามารถร่วมบุญกับหลวงพ่อนิล (พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม) ประธานที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ตำบลพังขว้าง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ลองเข้าไปดูในเฟซบุ๊ก น่าจะมีวิธีติดต่อหรือว่าร่วมบุญอยู่ในนั้น
อาตมภาพเล่นเฟซบุ๊กไม่เป็น ไม่มีเฟซฯ ไม่มีไลน์ ไม่มีอินสตาแกรม มีแต่อีเมล์ให้ลูกศิษย์ส่งการบ้านเท่านั้น ในส่วนไลน์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ยืมมาจากน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) เพราะว่าโดนเจ้านายด่า โทษฐานที่เป็น "คนหลังเขา" สั่งงานแล้วไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว ความจริงเจ้านายน่าจะด่าลูกน้องตัวเองมากกว่า เพราะเลขานุการต้องรู้ว่าอาตมามีอีเมล์อยู่แต่ดันไม่ส่ง เขาส่งแต่ในกลุ่มไลน์เท่านั้น..!
ญาติโยมอย่าลืมไปหาอาหารกิน ไปเข้าห้องน้ำห้องส้วมให้ดีก่อน แล้วคำนวณเวลาดูว่าเราสามารถอั้นจนอย่างน้อย ๑๐ โมงครึ่งได้หรือเปล่า ?! เนื่องเพราะว่าพิธีอาราธนาบารมีพระ เพื่อเป่ายันต์เกราะเพชรสงเคราะห์ทุกท่าน จะเริ่มตอน ๑๐ โมงตรง โดยเฉพาะปีนี้ ญาติโยมทางราชอาณาจักรนอร์เวย์ ก็คือทางวัดสันโป่ง เมดิเตชั่น เซ็นเตอร์ ฮกซุน ขออนุญาตรับยันต์เกราะเพชรจากราชอาณาจักรนอร์เวย์
ญาติโยมที่รับยันต์เกราะเพชรในสถานที่อื่นนอกเหนือจากที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ พอมีเหตุการณ์แปลก ๆ บางทีก็จัดการไม่ถูก มีญาติโยมครอบครัวหนึ่ง ลูกสาวก็อายุ ๕๐ กว่าแล้ว ลองนึกว่าดูพ่อแม่จะอายุเท่าไร ? เมื่อรับยันต์ไปแล้ว ปรากฏว่าลูกสาวกรีดร้องโหยหวนลั่นบ้าน พ่อแม่ก็ไม่ฟังเสียงแล้วว่าอาตมาพูดว่าอะไร ทั้ง ๆ ที่บอกไปแล้วว่าให้ภาวนาไปเฉย ๆ ไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวเทวดาท่านจัดการให้เอง ปรากฏว่าพ่อกับแม่ลืมแก่ ช่วยกันเอาธูปเทียนที่รับยันต์ฟาดลูกเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะไปฟาดใส่หน้า ยังดีที่ไม่ทิ่มลูกสาวตัวเองตาบอดไปก่อน..!
สอบถามทีหลังได้ความว่า ลูกสาวมีสิ่งไม่ดีแฝงมากับตัว พอเห็นเทวดาที่มาควบคุมสถานที่ก็กลัว ส่งเสียงร้องขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ มีสติรู้อยู่แต่ห้ามตัวเองไม่ได้ บอกให้พ่อหยุดตี พ่อก็ไม่ฟังเสียง คิดว่าตีแล้วผีมันกล้ว ความจริงลูกสาวกลัวว่าจะโดนธูปทิ่มตาบอดมากกว่า..!
เพราะฉะนั้น..พอถึงเวลา ถ้ามีใครเป็นแฟนคลับพวกนักดนตรีหรือว่าดารา เริ่มเป่ายันต์ฯ แล้วกรี๊ดขึ้นมา..! ก็ปล่อยเขากรี๊ดให้พอ ไม่ต้องไปสนใจ แล้วญาติโยมเชื่อไหมว่า ศาลาที่นั่งกันแน่นจนไม่มีที่ให้ขยับ พอมีคนกรี๊ดขึ้นมา มีที่ว่างโล่งเลย..! ขยับไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? เพราะฉะนั้น..ถ้าอยากนั่งให้ได้เยอะ ๆ ก็ต้องกรี๊ดกันหลาย ๆ คนหน่อย..!
บรรดาไสยเวทย์อาคม คุณผีคุณคนต่าง ๆ เมื่ออยู่ในพิธี ไม่สามารถที่จะต้านพุทธานุภาพได้ ดังนั้น..ก็จะโดนทำลายไปในที่สุด ยกเว้นพวกผีที่โดนเขาใช้มา ต้องอาศัยบารมีท้าวมหาราชทั้ง ๔ ให้ลูกน้องลากกันออกไป มีอยู่รายหนึ่งวิ่งออกจากศาลานี้ไปที่ป่าช้า คิดว่าจะหนีรอด เขาไม่รู้ว่าการเป่ายันต์นั้นสามารถคลุมได้ทั้งโลก หนีไปที่ไหนก็ไม่รอด ก็เลยไปแหกปากร้องอยู่ในป่าช้าคนเดียว ไม่ต้องรบกวนใคร..!
ด้านหน้านั่งชิดเครื่องบายศรีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ขยับขึ้นไปเลย ข้างนอกยังอยู่กันอีกมาก ขยับเข้าไปใกล้เท่าไรก็ดีเท่านั้น เพราะว่าบายศรีเหมือนสัญลักษณ์การบูชาพระ ถึงเวลาท่านแผ่บารมีลงมาก็จะผ่านตรงนั้นก่อน เบียดขึ้นหน้ากันหน่อย เจ้าหน้าที่ไปไหนหมด เริ่มจัดระเบียบโยมได้แล้ว เพราะว่าด้านนอกยังมีอีกมาก
ระยะหลังต้องบอกว่าพวกบารมีสูงมาเกิดกันมาก คนโน้นก็ทำวัตถุมงคลรูปท้าวมหาราช คนนี้ก็ทำวัตถุมงคลรูปท้าวมหาพรหม ขอบอกว่ามีโอกาสขาดทุนสูงมาก เพราะอันดับแรก มีการบวงสรวงบอกกล่าว ขอกับท่านอย่างถูกต้องหรือเปล่า ?
ประการที่สอง เราขอบารมีท่านสงเคราะห์ หรือว่าใช้ให้ท่านทำงาน ? ต่อให้เทวดาหางแถว บารมีก็มากกว่ามนุษย์หัวแถว แล้วไอ้มนุษย์ท้ายแถวอย่างเราไปใช้ให้ท่านทำงาน..! โปรดระวังไว้ด้วย..วันไหนบุญไม่พาวาสนาไม่ช่วย ช่วงอกุศลกรรมแทรกพอดี จะมีของแถมหนัก ๆ ให้..!
คล้าย ๆ กับสมัยนี้ วัดโน้นก็สร้างสมเด็จองค์ปฐม วัดนี้ก็สร้างสมเด็จองค์ปฐม กระผม/อาตมภาพเคยถามว่า "สมเด็จองค์ปฐมเป็นเพื่อนคุณหรือเปล่า ? นึกอยากจะสร้างก็สร้าง นึกอยากจะทำก็ทำ ได้บอกกล่าวท่านสักคำหนึ่งไหม ?"
ที่จังหวัดกาญจนบุรีนี่เอง มีวัดแห่งหนึ่งสร้างรูปสมเด็จองค์ปฐมสูง ๘ ศอก ใช้ช่างคนเดียวกับวัดท่าขนุน ใช้ฤกษ์ในการหล่อฤกษ์เดียวกับวัดท่าขนุน แต่หล่อ ๔ ครั้ง พังบรรลัยทั้ง ๔ ครั้ง..! เนื่องเพราะว่าไม่รู้จักท่าน ไม่ได้ขออนุญาตท่าน เห็นแต่ว่ามีคนเคารพสมเด็จองค์ปฐมมาก กูก็จะสร้างบ้าง..! ดังนั้น..ในเรื่องของการสร้างวัตถุมงคลก็ดี การใช้วัตถุมงคลก็ตาม ถ้าหากว่าทำได้ถูกต้องก็เป็นคุณแก่ตัว ถ้าทำผิดพลาดอาจจะมีโทษที่คาดไม่ถึง..!
แต่ด้วยความที่ผู้คนสมัยนี้ สภาพจิตหยาบมาก ความเคารพในพระรัตนตรัยมีน้อย แล้วแถมยังไม่ถือโบราณอีกต่างหาก เราจะเห็นว่าโบราณทำอะไรจะมีการบอกกล่าวอยู่ก่อนเสมอ กระทั่งจะเข้าป่าเข้าดง ก็ยังมีการกราบไหว้ มีการเซ่นสรวง มีการบอกกล่าวว่าตนเข้าไปเพื่อทำอะไร แม้กระทั่งเข้าไปล่าสัตว์ ก็ยังขอว่า "สัตว์ตัวใดถึงอายุขัย ก็ขอให้มาเจอกัน"
สมัยหลังไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ถ้ายังบุญรักษาเทวดาคุ้มครองก็แล้วไป ถ้าหากว่าช่วงไหนดวงตก กุศลกรรมขาดช่วงลง อกุศลกำลังเข้าสนอง จะได้รางวัลใหญ่ที่นึกไม่ถึง..!
คนรุ่นก่อน ๆ ถึงได้มีคำพูดประเภทว่า "ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่" แต่สมัยนี้ก็มักจะลบหลู่กันไปเรื่อย มีคนถามว่า "พระที่มรณภาพแล้วไม่เน่า มีคุณงามความดีอะไร ?" เขาก็ตอบว่า "จะมีความดีอะไร หมาหมูตายแล้วไม่เน่ามีเยอะแยะไป..!"
เราจะเห็นว่าสภาพจิตของคนหยาบยังไม่พอ ยังขาดการศึกษาให้รู้จริง แล้วก็ไปสร้างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเพิ่มขึ้น เรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่จะไปรู้ตัวกันตอนตาย ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว ใครที่รู้ตัวล่วงหน้า กราบขอขมาพระรัตนตรัยได้ทันท่วงทีก็ดีไป ถ้าหากว่าไม่ทัน มีโอกาสอาตมภาพจะไปเยี่ยม แต่คงจะไม่มีโอเลี้ยงข้าวผัดไปส่ง เพราะว่าที่นั่นกินอะไรไม่ได้ ถึงเวลาอยู่ในเขตนั้นก็จะโดนลงโทษอย่างเดียว..!
ท่านใดที่ตั้งใจรับยันต์เกราะเพชร ถ้ายังไม่มีธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่มอยู่ในมือ รีบไปเอาที่หน้าโบสถ์โดยด่วน เครื่องมือรับยันต์เพียงหนึ่งเดียวที่กำหนดเอาไว้ บารมีพระที่แผ่ลงมาเหมือนกับสถานีกระจายคลื่น เครื่องมือในการรับคือธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม แสดงออกว่าเราตั้งใจที่จะรับ ก็เท่ากับว่าเป็นเครื่องรับสัญญาณ
ท่านที่อยู่ต่างประเทศเทียบเวลาให้ดี ถ้าเปิดถ่ายทอดสดอยู่ก็ไม่มีปัญหา แต่ว่าหลายประเทศเวลาต่างจากเมืองไทยมาก อาตมภาพยังหลงไปทีหนึ่ง ราชอาณาจักรนอร์เวย์เวลาช้ากว่าเรา ๕ ชั่วโมง ก็เลยไปคิดว่าเราเป่ายันต์รอบแรก ๑๐ โมงเช้า จะเป็นเวลาบ่าย ๓ โมงของที่นั่น แต่ความจริงแล้วเข้าใจผิด เวลา ๑๐ โมงเช้าบ้านเราก็เท่ากับตี ๕ ของที่นั่น..! ตอนนี้ก็นั่งตาตี่ สัปหงกไปตาม ๆ กัน เพื่อที่จะรอเวลารับยันต์ที่เมืองไทย
แต่ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายกำลังใจดีมาก ไม่เคยตื่นเวลานี้ก็ตื่นได้ ไม่เคยต้องมาลำบากลำบน ทนง่วงทนหนาวก็ทนได้ บุคคลประเภทนี้ถึงคู่ควรกับสิ่งที่ดีงาม เพราะว่ากำลังใจและความประพฤติของท่าน บ่งบอกให้รู้ว่าควรแก่งานประเภทนั้น
กระผม/อาตมภาพอยากจะผลักภาระเรื่องการเป่ายันต์เกราะเพชรให้พ้นตัวเสียที แต่พระและครูบาอาจารย์ก็ยังไม่ให้ครอบครูแก่ลูกศิษย์ ไม่ทราบเหมือนกันว่าต้องทนไปอีกกี่ปี ?
เรื่องของการ "ครอบครู" บางคนก็เรียกว่า "ยกขันครู" "รับขัน" แล้วแต่จะเรียกกันไป เป็นสัญลักษณ์ว่ายอมรับนับถือและปฏิบัติตามสายวิชาการนั้น ๆ โดยเฉพาะการครอบครูเพื่อเป่ายันต์เกราะเพชร ผู้ทำการครอบครูต้องบอกกล่าวฝากฝังกับครูบาอาจารย์ทั้งหลายให้กับลูกศิษย์ โดยเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยันต์เกราะเพชรเป็นวิชาการตามตำราพระร่วงตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เป็นส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงคราม ซึ่งเป็นธงออกศึกในยุคนั้น ใครที่มีสตางค์จะไปดูหนัง "พระร่วง..มหาศึกสุโขทัย" ก็ได้ แต่เห็นเขาแบนกันทั้งแผ่นดิน เพราะดันไปเอาคนเขมรมาเล่น..!
ธงมหาพิชัยสงครามนอกจากมีอานุภาพคุ้มได้ทั้งกองทัพแล้ว ในส่วนคอธงเป็นบทสรรเสริญพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โสฯ ทั้งบท ๕๖ ตัว โบราณาจารย์ท่านนำมาเขียนลงเป็นแถว ๆ แบบตัวหนังสือจีน แต่เวลาอ่านให้อ่านตามขวาง เขาเรียกว่า "อิติปิ โสฯ ๘ ทิศ" บ้าง เรียกว่า "อิติปิ โสฯ เกราะเพชร" บ้าง แต่ว่าต้องจัดการ "ชักสูตร" เสียก่อนถึงจะสำเร็จเป็นยันต์เกราะเพชร
ยันต์เกราะเพชรนั้นตามตำรากล่าวว่ามีอานุภาพมาก อันดับแรก คนที่รับไปจะไม่ตายโหง ก็คือจะไม่ตายแบบผิดปกติ อย่างเช่นว่าเครื่องบินตกตาย เพื่อนตายหน่อยเดียว พวกทำเป็นขนลุกขนพอง รีบมารับการเป่ายันต์กันใหญ่..!
ประการที่สอง จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษ อาตมภาพเองเจอมาทุกรายการ
ที่ว่าไม่ตายโหงนั้น ต้องยกตัวอย่างโยมแม่ตัวเอง โยมแม่อาตมภาพเป็นคนมีบุญมาก อยู่ห่างจากถนน ๒๐ กว่าเมตรยังมีราชรถสิบล้อวิ่งมาเกย..! รถจักรยานที่ขี่อยู่กลายเป็นเศษเหล็ก โยมแม่นั้นกระดูกข้างขวาตั้งแต่กรามลงไปถึงขาหักหมดทุกท่อน นอนห้องไอซียูไป ๑๘ วัน..!
อาตมภาพไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อฤๅษีฯ กราบเรียนท่านว่า "โยมแม่โดนรถชน อาการสาหัสมาก นอนห้องไอซียูมา ๑๘ วันแล้ว เกรงว่าจะไม่รอด จึงขอถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ฝากพระยายมราชล่วงหน้าไว้ก่อน ถ้าโยมแม่มีอันเป็นไป ขอพระยายมราชท่านช่วยแจ้งข่าวบุญนี้ให้ด้วยครับ"
หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านถามว่า "แม่แกรับยันต์เกราะเพชรไปบ้างหรือเปล่า ?" กราบเรียนหลวงพ่อท่านว่า "รับไปหลายครั้งแล้วครับ" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก คนรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ถ้ารักษาไว้ได้จะไม่ตายโหง" แล้วก็เป็นความจริง เพราะว่าโยมแม่รักษาตัวอยู่ ๓ ปี ก็กลับคืนดีมาอย่างเดิม
แล้วก็ขยันไม่เป็นเรื่องอีกเหมือนเดิม ถึงเวลากวาดขยะแล้วเดินข้ามถนนไปทิ้ง เพราะว่าเทศบาลเขาเอาถังขยะไว้อีกฝั่งถนน ไม่ใช่ฝั่งเดียวกับบ้าน โดนมอเตอร์ไซค์ซิ่งมาชน สะโพกหักอีก..! อะไรจะสร้างเวรสร้างกรรมไว้ขนาดนั้น ? สรุปก็คือโยมแม่สมกับที่เป็นผู้หญิง เขาบอกว่า "แก่ง่าย..ตายช้า" โดนรถชนกี่รอบรอดมาได้ทุกครั้ง หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่าเกิดจากอานุภาพของยันต์เกราะเพชร..!
อีกท่านหนึ่งเป็นดาราชื่อดังสมัยนั้น ก็คือจารุณี สุขสวัสดิ์ ไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง น่าสงสารมาก ซูเปอร์สตาร์ไปไหนมีแต่คนรุมเป็นร้อยเป็นพันเหมือนกับน้องลิซ่าสมัยนี้ แต่ไปวัดท่าซุงไม่มีใครแลเลย ทุกคนจะทำบุญกับหลวงพ่ออย่างเดียว ต้องนั่งเหี่ยว ๆ อยู่กลางศาลา ๔ ไร่
ปรากฏว่ารับยันต์ไปแล้ว ไปถ่ายหนังเรื่อง "ลูกสาวกำนัน" เขามีฉากที่ผู้ร้ายเอาน้ำมันราดลงบนแม่น้ำแล้วจุดไฟ จารุณีต้องขับเรือด่วนพุ่งข้ามกองไฟไป แต่ด้วยความที่ไฟลุกท่วมสูงมาก กะจังหวะไม่ถูก ข้ามไปแล้วจ๊ะเอ๋ตอหม้อสะพานเข้าพอดี..ตูมเดียวกระจายทั้งลำ..! ส่วนจารุณีก็กระดูกหลังหัก รักษาตัวอยู่เป็นปีกว่าจะกลับมาดีตามเดิม ไม่ตายเหมือนกัน..!
ส่วนในเรื่องของการไม่ตายด้วยสัตว์มีพิษ อาตมภาพเป็นคนลองด้วยตนเอง เจองูพิษชนิดไหนจับเล่นหมด ท้ายที่สุดก็เจอดีจนได้ เพราะว่างูกะปะจะมากินลูกไก่ตอนหัวค่ำประมาณ ๒ ทุ่ม อาตมภาพก็จับยัดเข้ากรงดักหนูไว้ พรุ่งนี้จะเอาไปปล่อย
ปรากฏว่าหลังบิณฑบาตฉันเช้าเสร็จแล้ว ก็น่าจะประมาณ ๘ โมงครึ่ง เจ้างูกะปะอดมาเกิน ๑๒ ชั่วโมงแล้ว พออาตมาล้วงออกจากกรงดักหนูมา ก็ดิ้นหนี หลุดจากมือขวา อาตมภาพก็เอามือซ้ายจับ หลุดจากมือซ้ายก็มือขวาจับ หลุดจากมือขวาอีกที เพิ่งจะยื่นมือซ้ายไป โดนฉกเข้าเต็มที่เลย ชีพจรข้อมือซ้ายพอดี ทุกวันนี้ ๔ เขี้ยวยังติดอยู่ชัด ๆ ใครต้องการดูมาขอดูได้..!
อาตมภาพบีบปากงูให้ง้างขึ้น กว่าจะเอาออกได้บาดแผลก็ฉีกยับเยิน เพราะว่าไอ้เจ้านี่กัดแล้วไม่ปล่อย เอางูไปปล่อยเสร็จ ก็จัดแจงเอาน้ำล้างแผล หยอดยาเบตาดีน พันผ้าก๊อซ แล้วก็ไปนอนภาวนารอเวลาตาย พวกลูกศิษย์ก็เป็นเดือดเป็นร้อนกันใหญ่
โดยเฉพาะพระที่ท่านมาจากปักษ์ใต้ บอกว่า "อาจารย์ครับ ไอ้นี่กัด ตัดแขนตัดขากันทุกคน" ก็บอกกับท่านไปว่า "ไม่เป็นไร ถ้าหากว่าผมรักษายันต์เกราะเพชรได้ ผมก็จะไม่เป็นอะไร ถ้ารักษาไม่ได้ ยันต์เกราะเพชรเขาห้ามขโมยกับห้ามกินเหล้า ถ้ารักษาไม่ได้แปลว่าผมละเมิดศีล ก็สมควรตาย..!"
ปรากฏว่าพิษงูวิ่งจากข้อมือขึ้นมาถึงศอก แล้วก็ถอยกลับไปที่แผลตามเดิม ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ ๔ - ๕ ครั้ง ก็หายไปเฉย ๆ สบายดีมาจนทุกวันนี้..! แต่ว่าท่านทั้งหลายไม่ต้องไปลอง เนื่องเพราะว่าพิษงูนั้นนั้นปวดสุดใจขาดดิ้นเลย เหมือนอย่างกับใครเอาเหล็กแหลม ๆ แทงเข้าไปใต้เนื้อ วิ่งถึงตรงไหนก็ปวดขาดใจถึงตรงนั้น..! แปลว่าไม่ควรที่จะทดลอง แต่อาตมภาพก็ไม่ได้เจตนาทดลอง ทว่าไปโดนกัดเอง อานุภาพยันต์เกราะเพชรที่ว่าถ้ารับไปแล้วจะไม่ตายโหง จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษ จึงผ่านการทดสอบเป็นที่ประจักษ์ด้วยตนเองมาแล้ว..!
ข้อต่อไปก็คือ ใครทำไสยศาสตร์ใส่คนที่รับยันต์เกราะเพชรไป จะโดนอานุภาพของยันต์เกราะเพชรสะท้อนคืนไปจนหมด ตั้งใจทำเขาหนักแค่ไหน ตนเองก็โดนหนักแค่นั้น..!
เรื่องนี้ต้องถามทิดสามารถ (นายสามารถ สุขสาธุ) อดีตหลวงพี่สามารถ ฐานิสฺสโร วัดท่าซุง ท่านธุดงค์ไปทางด้านเหนือ ไปพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีพระธุดงค์ท่านมาปักกลดอยู่ก่อนแล้ว เข้าไปพูดคุยทักทายท่านก็ไม่พูดด้วย หลวงพี่สามารถของกระผมก็สวดมนต์ไหว้พระ ภาวนาตามปกติ ปรากฏว่าใกล้สว่าง พระธุดงค์ท่านนั้นมาตะโกนอยู่ข้างกลดว่า "ท่าน ๆ ผมไม่สู้แล้ว..เลิกเถอะ..!" พี่สามารถก็ไม่รู้ว่าพูดถึงอะไร ? เพราะว่าตัวเองก็แค่สวดมนต์ไหว้พระตามปกติ
พี่สามารถออกจากถ้ำนั้นเพื่อหารถยนต์เดินทางต่อ ไปถึงท่ารถ เจอพระธุดงค์รูปนั้นแก้ผ้าแก้ผ่อนเดินอยู่ที่ท่ารถ..! ไม่ทราบเหมือนกันว่าตั้งใจจะลองของ แล้วไปทำอะไรใส่พี่สามารถก็ไม่รู้ ? ตนเองโดนอานุภาพยันต์เกราะเพชรสะท้อนกลับ กลายเป็นเสียสติ ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ แก้ผ้าอยู่กลางสาธารณชน พี่สามารถบอกว่า "ผมไม่ได้ดูว่ามันเป็นอย่างไรต่อไป เพราะว่าตัวเองจะรีบเดินทาง" แต่ก็เห็นชัดว่าถ้าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกัน ท่านคงไม่ได้มาบอกตอนเช้ามืดว่าให้เลิกเถอะ..ท่านไม่สู้แล้ว..!
ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว รักษาเอาไว้ได้ นอกจากจะไม่ตายโหง ไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษแล้ว บุคคลใดทำไสยศาสตร์มาจะโดนอานุภาพของยันต์เกราะเพชรสะท้อนไปหมด เขาตั้งใจทำเราหนักหนาเท่าไร เขาก็ได้รับคืนไปหนักเท่านั้น..!
การรับยันต์เกราะเพชรต้องมีธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท ๑ เล่ม ถึงเวลาอธิษฐานตั้งใจรับ บารมีพระท่านสงเคราะห์ลงมาอย่างไร เราตั้งใจรับไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะขอให้เลือดเนื้อและกระดูกทั้งหมดของเรา เป็นที่สถิตอยู่ของพุทธานุภาพด้วย ถ้าลักษณะแบบนั้นท่านไปไหนก็ไม่ต้องกังวล เพราะว่าเท่ากับพกยันต์ติดตัวไปตลอดเวลา
การรับยันต์นั้น บุคคลที่รับได้จะมีอาการต่าง ๆ ก็คือ บ้างก็รู้สึกร้อนหูร้อนหน้า หนักหัวหนักไหล่ บางคนปวดเมื่อยไปทั้งตัว มีหลายคนที่ไข้จับไป ๒ วัน ๓ วันก็มี โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพเอง ไข้จับไป ๓ วันเต็ม ๆ..!
ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ? ท่านบอกว่า "ยันต์จะเข้าตัว แต่แกฝึกสมาธิเอาไว้มาก กำลังใจก็เลยไปต้านเอาไว้ บารมีพระท่านกดลงมา ตัวเองไปต้านเอาไว้ ร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นไข้" อาตมภาพก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนดื้อได้ที่เหมือนกัน ก็คือขนาดพระท่านจะสงเคราะห์ ก็ยังจะสู้อีก แต่ว่าเรื่องของสมาธิภาวนาเป็นเรื่องที่ว่าไม่ได้ ผิดท่าผิดทางเขาจะป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะกันไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลง กินใจตัวเอง
เมื่อรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ต้องรักษาศีลอย่างน้อย ๒ ข้อ ก็คือห้ามกินเหล้ากับห้ามลักขโมย คำว่าห้ามกินเหล้านั้นก็คือสิ่งที่เป็นแอลกอฮอล์ ทำให้มึนเมาขาดสติ ส่วนการลักขโมยนั้นก็ถือเอาการหยิบเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้
โบราณขอศีล ๒ ข้อนี้ไว้ เพราะว่าการดื่มสุราหรือติดยาเสพติด เป็นการเบียดเบียนตนเอง สร้างความไม่สบายใจให้แก่คนรอบด้าน การลักขโมยเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น อย่างน้อยจึงควรรักษาศีลได้ ๒ ข้อ ถ้ารักษาได้ ยันต์เกราะเพชรจะคอยคุ้มครองป้องกันท่านตลอดชีวิต แต่ถ้ามีความสามารถก็รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ไปเลยยิ่งดี
บุคคลที่รับยันต์เกราะเพชร ถ้าหากว่าผู้ที่มารับยันต์มีท้องครั้งแรก ที่เรียกว่า "ลูกหัวปี" ก็คือลูกคนโต ไม่ใช่ลูกหัวปลี ไอ้นั่นมันลูกกล้วย..! ถ้าลูกคนโตเป็นลูกผู้ชาย คลอดออกมาจะมียันต์ติดตัวมาด้วย ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นรูปยันต์เกราะเพชร แต่เป็นอักขระไม่กี่ตัว บางท่านก็เป็นจุด เป็นขีด เป็นเส้น
ลูกศิษย์อาตมภาพคนหนึ่ง ลูกสาวคลอดออกมาลายพร้อยไปทั้งตัว หมอเรียกว่า "เด็กตุ๊กแก" พยายามเจาะเลือด เจาะไขสันหลัง ไปหาสาเหตุว่าทำไมเป็นอย่างนั้น เด็กเจ็บจนทนไม่ไหว พ่อแม่ก็สงสาร เพราะว่าหมอหาเหตุไม่ได้ก็ตรวจสอบไม่เลิก จึงกระซิบบอกว่าไปอุ้มออกมา อยู่บ้านไม่เกิน ๗ วันก็จะหายไปเอง
เนื่องเพราะว่ายันต์เกราะเพชรจะซึมเข้าไปอยู่ในกระดูกทั้งหมด แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือถ้าหากว่าเป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นผู้หญิง ต้องไปพิสูจน์กันตอนตาย ก็คือตายแล้วเผาจะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูกให้เห็น ล่าสุดเมื่อ ๒ ปีก่อนก็มีตัวอย่างให้เห็น อาตมภาพแนะนำว่าให้เอากระดูกกะโหลกของพ่อชิ้นนั้น เลี่ยมแขวนไว้เลย แต่ลูกไม่กล้า สมควรตาย..! ตอนอยู่ก็รักกันจัง พอตายหน่อยเดียว ขนาดมียันต์ติดอยู่บนชิ้นกะโหลก ยังไม่ยอมเอามาติดตัวเลย..!
ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่รับยันต์เกราะเพชร การเป่ายันต์เขาไม่ได้เป่าทีละคน บารมีพระท่านคลุมลงมาสามารถรับพร้อมกันได้ทั้งโลก แต่ใช้คำว่า "เป่ายันต์" เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ก็แปลว่าเป่ากันทีทั้งศาลา..! ถึงเวลาเราพนมมือ หลับตา นึกถึงภาพยันต์เกราะเพชร หรือภาพพระพุทธเจ้าที่เรารักเราชอบมากที่สุด ภาวนา "พุทโธ..พุทโธ" ไปเรื่อย บอกว่าพอแล้วเมื่อไรถึงลืมตาได้
แต่บางท่านมีสิ่งไม่ดีติดตัวมา ไม่ว่าจะเป็นไสยเวทย์อาคม วัตถุอาถรรพ์ หรือคุณผีคุณคนก็ตาม ถึงเวลาท้าวมหาราชท่านจะให้ลูกน้องจัดการให้ ถ้าพวกเราได้ยินใครออกอาการผิดปกติ ดิ้นตึงตังโครมคราม หรือว่าแหกปากร้องแบบสนุกสนานมาก..! ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ภาวนาของเราไปก็แล้วกัน เมื่อถึงเวลาเทวดาท่านจัดการเรียบร้อย คนที่เป็นเช่นนั้นก็จะสงบลงไปเอง
ท่านใดที่เป็นโรคซึ่งหมอหาสาเหตุไม่ได้ รักษาหมดเงินเท่าไรก็ไม่หาย ลองเอาน้ำมนต์เสาร์ ๕ ไปดื่มไปอาบดู ถ้ากรรมไม่หนักมากก็คงจะรักษาได้ หรือพอที่จะช่วยกันได้ มีจำหน่ายที่เต็นท์บริเวณด้านข้างโบสถ์ อย่าทำตัวน่าเกลียด ปีก่อน ๆ มีการเหมาไปจำหน่ายขวดละ ๑๐๐ บาท..! นั่นก็หากินกันเกินไป
ธูปเทียนรับยันต์เกราะเพชรที่ท่านถืออยู่ มีอานุภาพเหมือนมีดหมอ ผีเจ้าเข้าสิงที่ไหน เอาจี้ใส่ตัว แล้วว่า "นะ โม พุท ธา ยะ" สามารถที่จะช่วยไล่ผีได้ แต่อาตมามักจะใช้ในการจุดอธิษฐานขอพรพระท่าน เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ท่านสงเคราะห์แล้ว สามารถที่จะติดต่อกับท่านได้ง่ายกว่า ถ้าใครมีหลายชุดก็ยิ่งดี จะได้ขอกันบ่อย ๆ หน่อย แต่ถ้าขอมากเกินไปก็ระวังจะได้ของพิเศษแถมมาด้วย..!
ผีวันนี้ไม่ดื้อก็เลยไม่สนุก พอเห็นท้าวมหาราชกับริวารเท่านั้นแหละ แหกปากร้องซะไม่มี..! บอกแล้วว่าปล่อยให้เต็มที่ ก็ไปกั้นเอาไว้อีก..!
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกงานบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร ณ วัดท่าขนุน
ช่วงเช้าวันเสาร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.