View Full Version : ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันสงกรานต์ วันที่ ๑๒ - ๑๖ เมษายน ๒๕๖๘
07aSFc2xBt4
ก่อนเทศน์ช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เมื่อตีสี่ครึ่ง เขาเปลี่ยนกาลโยค ไม่รู้เรื่องเลยเพราะหลับกัน..ใช่ไหม ? ไม่ใช่สิ..เวลานั้นของวัดเราเริ่มทำวัตรเช้า ก็แปลว่าเราทำวัตรเช้ารับปีใหม่กันพอดี ปีนี้กาลโยคมาเร็วมาก มาวันที่ ๑๓ เมษายนเลย บางปีไปถึงวันที่ ๑๖ หรือ ๑๗ ก็มี ปีนี้เป็นสัปปตศก จุลศักราช ๑๓๘๗ พุทธศักราช ๒๕๖๘
ช่วงเช้าพวกเราก็ทำบุญ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ ตอนบ่ายค่อยปฏิบัติธรรมกันตามปกติ ส่วนพรุ่งนี้หลังทำบุญเช้าแล้ว จะมีสวดสะเดาะเคราะห์ตอนเที่ยงครึ่ง ใครยังไม่ได้เขียนชื่อ นามสกุลโคตรเหง้าศักราชใส่โลง ก็รีบเขียน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย สะเดาะเคราะห์ให้คนเป็น
พรุ่งนี้บ่ายจะเป็นการแข่งขันก่อพระเจดีย์ทราย มีรางวัลเดียวเหมือนเดิม วันที่ ๑๕ นอกจากทำบุญปกติแล้ว จะมีการแห่หลวงพ่อทองคำให้ชาวบ้านสรงน้ำ พวกเราก็ไปสรงกันด้วยที่หน้าวัด แล้วก็มีทอดผ้าป่าสงกรานต์ที่ทางชุมชนจะจัดมาให้ เนื่องจากวัดท่าขนุนของเราไม่บอกบุญไม่เรี่ยไร ทางชุมชนก็เลยจัดผ้าป่าถวายตอนสงกรานต์ปีละครั้ง ก็ได้ปีหนึ่ง ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท เยอะอยู่เหมือนกันนะ..!
ดังนั้น..ช่วงนี้ค่าไฟเดือนหนึ่งหกหมื่นกว่าบาท ได้มาสองพันก็เบาไปเยอะ..! หลังจากสรงน้ำพระแล้ว ใครจะสาดน้ำก็ได้ แต่ระวังไว้ด้วย กฎหมายใหม่ออกมาแล้ว สาดน้ำคนที่ไม่เล่นด้วยโดนปรับหนึ่งหมื่นบาท ประแป้งคนที่ไม่เล่นด้วยโดนปรับห้าพันบาท เพราะฉะนั้น..ดูดี ๆ ก่อนนะจ๊ะ
สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง ขนาดวันนั้นเป็นวันที่ ๑๗ เมษายนแล้ว อาตมาต้องไปเบิกธนาณัติให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง สมัยก่อนไม่มีการโอนเข้าบัญชี เขาใช้วิธีส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงินไปที่วัด แล้วหลวงพ่อท่านก็จะเซ็นมอบฉันทะให้อาตมภาพเป็นคนไปรับแทน เมื่อเห็นว่าธนาณัติค้างมาก วันที่ ๑๗ หลังสงกรานต์แล้วก็นั่งรถสองแถวออกไป
แต่ด้วยความไม่ไว้วางใจสถานการณ์ อาตมาก็ยังอุตสาห์เอาแขนที่มีจีวรพันลูกบวบอย่างดี พาดไว้กับขอบหน้าต่างสองแถว ให้เขาเห็นว่าเป็นพระ แต่เขาไม่มอง ผ่านไปถึง เขาก็ยกสาดเข้ามาทั้งถังเลย แล้วก็มีเสียงร้องตามมาว่า "ว้าย..พระ..!" ร้องทำไม ?! อาตมาโดนไปเต็ม ๆ ถังแล้ว..!
เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการเล่นแบบนี้ ถ้าไม่มีกฎหมายห้ามไว้ก็จะลำบาก สมัยก่อนใครนึกอยากจะสนุกสนานก็มีการเอาถังน้ำใส่ท้ายรถไปไล่สาดคนอื่นเขา แต่เดี๋ยวนี้ปรับห้าหมื่นบาท..! สงกรานต์บ้านเราปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก ยูเนสโกพิจารณาจดทะเบียนเป็นวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ก็คือไม่มีตัวตน ยกเว้นจัดงานเมื่อไรถึงจะมีหน้าตาขึ้นมาให้เห็น
แต่คราวนี้บ้านเราเมืองเราจะไปหวังเอาการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าชาวโลกเขาเดือดร้อน ก็คงไม่มีใครมีอารมณ์ไปเที่ยวกัน
ตอนนี้เป็นสงครามการค้า สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีจีน ๑๔๕ เปอร์เซ็นต์ ทำให้จีนขายของวันเดียวได้เป็นหมื่นล้านเลย..! เพราะกลัวว่าถ้าประกาศขึ้นภาษีแล้วจะต้องซื้อของแพง บริษัทแอปเปิล (Apple) ที่ขายไอโฟน เลยรีบนำไอโฟนเข้าประเทศสหรัฐฯ ไอโฟนเป็นของบริษัทสหรัฐอเมริกาแต่ไปผลิตในจีน แอปเปิลส่งเครื่องบินบรรทุกสินค้าไป สั่งว่า "โกยมาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ ก่อนที่ราคาจะขึ้น" เขาบอกว่าถ้าเป็นภาษีใหม่อาจจะต้องซื้อเครื่องหนึ่งถึงหนึ่งแสนบาทไทย..!
ส่วนจีนก็เทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นการตอบโต้ สหรัฐฯ ทำท่าจะเจ๊งเพราะว่าเงินตัวเองทะลักออกตลาดมาก ค่าเงินดอลลาร์ก็ตก ก่อนหน้านี้ประเทศจีนถือพันธบัตรสหรัฐฯ สามแสนกว่าล้านเหรียญ แล้วก็ทยอย ๆ ขาย ซื้อเป็นทองคำเก็บ ตอนนี้แม้ว่าจะซื้อทองได้น้อยลงเพราะว่าราคาพุ่งทะลุโลกไปแล้ว แต่ก็ยังจะซื้อเพื่อที่จะเทเงินสหรัฐฯ ทิ้ง
สรุปว่าสหรัฐฯ หาเรื่องเดือดร้อนเอง เพราะว่าสหรัฐฯ แก้ไขปัญหาแบบคนรวย เราอย่าลืมว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนรวยมาก แล้ว อีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีก็เป็นคนโคตรรวยอันดับต้น ๆ ของโลก เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการขึ้นภาษี ประมาณว่า "ขึ้นเท่าไร กูก็จ่ายไหว" แต่ลืมไปว่าชาวบ้านจ่ายไหวไหม ? ในเมื่อตัวเองต้องอาศัยสินค้าของต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ แล้วไปขึ้นราคาภาษี ที่เดือดร้อนที่สุดก็คือชาวบ้านนั่นเอง..!
เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเป็นการพนัน เขาใช้คำว่า "บลัฟ" ประมาณว่าแหกตาว่ากูมีดี แต่ขอโทษ..ประเทศจีนเล่นหมากล้อมมาหลายชาติแล้ว หมากล้อมก็คือกลยุทธ์หรือยุทธวิธีในการรบเลย มีสารพัดวิธี ไม่ใช่แค่โปกเกอร์ที่จะมาบลัฟกัน หมากล้อมมีการปล่อยให้เขากิน เพื่อหลอกให้เขาถลำเข้ามา แล้วค่อยปิดล้อมทีหลัง บางทีก็เสียสละตนเองประมาณว่า "ยอมเสียแปดร้อยเพื่อที่จะกินเขาหนึ่งพัน" คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าใคร "สายป่าน" ยาวกว่ากัน
สำหรับประเทศจีนตอนนี้เงินล้นประเทศเลย เพราะว่ารัฐบาลบอกให้พ่อค้าจีน บริษัทจีน ถอนการลงทุนกลับบ้านเรา ซื้อเงินหยวนไว้อย่างเดียว แล้วก็เทหยวนดิจิตอลออกมา ในอัตราหนึ่งต่อหนึ่ง ซื้อหยวนดิจิตอลหนึ่งหยวนก็แลกในท้องตลาดได้หนึ่งหยวนเท่ากัน ไม่ใช่บิตคอยน์ที่หนึ่งดอลลาร์แลกแต่ละทีได้ ๗ - ๘ หมื่นดอลลาร์..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นสหรัฐอเมริกาเลยเจอแผน "ป่าล้อมเมือง" ในโลกนี้มีใครเดือดร้อนบ้าง ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร โอ้พระเจ้า..! สหรัฐฯ เดินหน้าหาศัตรูทั่วโลก ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเอง "กำปั้นใหญ่" อย่างไรก็ชนะแน่ แต่ตอนนี้ไม่แน่แล้ว เพราะดูท่าว่าจีนจะ "กำปั้นใหญ่" พอ ๆ กัน..!
สหรัฐฯ พยายามที่จะก่อสงครามเพื่อที่จะดึงศรัทธาประชาชนให้กลับมา และสร้างอิทธิพลต่อโลก พร้อมกับขายอาวุธ แต่ถ้าเห็นแผนการรบของจีนแล้วคุณจะหนาว สหรัฐฯ พยายามจะใช้ไต้หวันเป็นตัวจุดชนวน จีนยินดีให้จุด แต่จีนวางแผนรบไว้ว่า จะยึดไต้หวันภายในสามวัน..!
กูไม่ยืดเยื้อเป็นปีเหมือนยูเครนหรอก ยูเครนนั่นรัสเซียตั้งใจรบช้า ๆ ดึงเกมให้ยาวที่สุด ล้างผลาญทรัพยากรยุโรปให้มากที่สุด จนไม่มีใครมีทรัพยากรเท่าตัวเอง แล้วยุโรปก็ต้องไปคุกเข่าง้อรัสเซียเอง..! ตอนนี้ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เพราะว่าของถูกจากรัสเซียที่เป็นตัวขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซึ่งก็คือเชื้อเพลิงไม่มีแล้ว สหรัฐฯ ก็ไม่ขายให้ เพราะว่าต้องเก็บเอาไว้ใช้เอง..!
ประเทศจีนถ้าหากว่าจะยึดไต้หวัน เขาวางแผนรบว่าสามวันจบ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่ยอมแพ้ ขีปนาวุธทั้งหมดที่มีก็เทลงไปทีเดียว ต่อให้ไม่เหลือคนไต้หวันสักคนก็ไม่เป็นไร แล้วสหรัฐฯ จะสอดแทรกอย่างไรในเมื่อสามวันจบ ? เรือรบยังเดินทางไปไม่ถึงเลย..!
คนจีนโบราณเขาบอกว่า "สามสิบปีสายน้ำไหลไปตะวันตก อีกสามสิบปีสายน้ำย้อนกลับมาตะวันออก" พูดง่าย ๆ ก็คือวิวัฒนาการโดยปกติธรรมชาติเป็นแบบนั้น ผลัดกันใหญ่ ผลัดกันรวย ผลัดกันครองอำนาจ สหรัฐฯ วางแผนใช้ดอลลาร์ผูกติดกับน้ำมัน จนทุกประเทศในโลกต้องใช้ดอลลาร์เพื่อซื้อน้ำมัน จีนตั้งกลุ่มมิตรขึ้นมาให้ใช้เงินของประเทศคุณนั่นแหละซื้อ ไม่ต้องไปหาดอลลาร์ เงินดอลลาร์ก็ค่อย ๆ โดนลดความสำคัญลง
คราวนี้ประเทศไทยเราน่าสงสารที่สุด อยู่เฉย ๆ ก็เป็นมหาอำนาจ มีรัฐบาลโง่ ๆ แต่ประเทศดันเป็นมหาอำนาจ..!เพราะว่าพื้นฐานที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ วางเอาไว้ แล้วรัชกาลที่ ๑๐ มาสืบสาน รักษา และต่อยอด ปัจจุบันนี้ประเทศรอบด้านเราที่ต้องพึ่งพาชาติอื่น พม่า ลาว เขมร ทุกประเทศแทบจะใช้เงินไทยกันหมด เงินไทยเป็นดอลลาร์ของเอเชีย ก็คือใหญ่และแข็งค่าขึ้นมาด้วยตัวเอง..!
ปัจจุบันนี้เงินไทย ๑ บาทแลกพม่าได้ ๑๐๐ กว่าจั๊ด แลกลาวได้ ๗๐๐ - ๘๐๐ กีบ ส่วนแลกเงินเขมรก็ ๑ ต่อ ๑๐๐ โดยประมาณ เขาบอกว่าธนบัตรเขมรเอามาลบศูนย์ออกสองตัวก็เท่ากับเงินไทย แล้วประเทศเหล่านี้เขาก็นิยมใช้เงินดอลลาร์หรือไม่ก็ต้องเงินไทยไปเลย แต่ประเทศพม่าไม่ค่อยรับดอลลาร์เพราะว่าเกลียดอเมริกัน..!
ใครเอาดอลลาร์ไปแลกอย่างเป็นทางการที่พม่าจะได้ประมาณดอลลาร์ละ ๕ จั๊ด แต่เอาเงินไทยไปแลกได้ ๑๐๐ จั๊ด ในพม่าเงินไทยใหญ่กว่าดอลลาร์ แต่ถ้าในตลาดมืด ๑ ดอลลาร์แลกได้ ๑,๐๐๐ กว่าจั๊ด คนไทยได้ยินแล้วก็อยากที่จะแลกในตลาดมืด
มีคนไทยเดินดุ่ย ๆ ไปถามพนักงานโรงแรมกันดอจีพาเลซที่ย่างกุ้ง ด้วยเสียงดังฟังชัดว่า "ผมจะแลกดอลลาร์ในตลาดมืดได้ที่ไหนครับ ?" พนักงานตกใจ..ช็อก เพราะว่าของเขานี่ถ้าไม่ใช่อาชีพที่รัฐบาลอนุญาต แล้วถือดอลลาร์อยู่นี่ติดคุกเลย..! เพราะว่าผิดกฎหมาย พนักงานโรงแรมกระซิบบอกว่า "เบา ๆ คุณ..แลกกับผมก็ได้" เป็นอะไรที่ตลกดี..!
ที่โยมเห็นว่าพระเหลือน้อย เพราะว่าไปอบรมบาลีก่อนสอบกัน ส่วนสามเณรเปิดเทอมก็สึกกันหมดแล้ว เมื่อวานลงทบทวนพระปาฏิโมกข์เฉพาะพระ ๔๑ รูป
วันนี้เท่ากับเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ เข้าฤดูร้อนมาหนึ่งเดือนแล้ว บ้านเราแต่โบราณฤดูร้อนเริ่มวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ จำง่าย ๆ ว่าเป็นวันที่ในหลวงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต จากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน เดี๋ยวพอแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ก็เปลี่ยนเครื่องทรงจากฤดูร้อนเป็นฤดูฝน แล้วไปแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ก็เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนเป็นฤดูหนาว ของเราทำกันแค่นี้
แต่หลวงพ่อมหามัยมุนีที่ประเทศพม่า พอตี ๔ จะมีเสียงดนตรีปลุก เป็นวงปี่พาทย์มอญ หลังจากนั้นก็เป็นพิธีสรงพระพักตร์ เรียบร้อยแล้วก็ถวายข้าวพระ มีการโบกพัดอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ประมาณว่าพระองค์เสวยเสร็จแล้ว ก็จะปล่อยให้คนเข้าไปสักการะได้ แล้วก็จะมีเสียงดนตรีกล่อมอยู่ทั้งวัน
เขาปฏิบัติเหมือนกับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าจัดเป็นพุทธานุสติที่สามารถเข้าถึงได้ ถ้าไปเจอพวกรู้มากเขาก็จะตำหนิเอาอีกว่า "ทำให้ยึดติด พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง"
ไอ้พวกรู้เกินนี่บ้านเรามีเยอะจริง ๆ อยากจะถามว่า"ถ้าไม่ถืออะไรไว้ แล้วจะเอาอะไรมาวาง ?" คนจะวางได้แปลว่าต้องมีสิ่งของที่ตนเองยึดถืออยู่ ก็แปลว่าเราต้องยึดเกาะในด้านดี อย่างเช่นว่า ทาน ศีล เป็นต้น พอถึงเวลาตอนช่วงท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มสมบูรณ์แล้ว เขาก็จะปล่อยวางไปเอง
คนกินข้าวอิ่มไม่มีใครจะตะบี้ตะบันกินต่อไปหรอก นี่ยังไม่ทันกินเลยดันบอกให้อิ่มแล้ว..! อาตมาขี้เกียจด่า..! พวกโง่ ๆ แบบนี้ต้องให้ไปเกิดใหม่ เกิดอีกสักหลาย ๆ ชาติ จะได้ฉลาดกว่านี้ ไม่มาเสียเวลาทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ดูท่าว่าจะเกิดยากนะสิ..!
เพราะฉะนั้น..แทนที่จะโกรธ ก็สงสารเขาเถิด ยังไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กว่าที่จะได้ผุดได้เกิดขึ้นมาเห็นธรรมะของพระพุทธเจ้าอีกสักครั้งหนึ่ง..!
ก็เป็นเรื่องแปลก เพราะว่าตั้งแต่สมัยพุทธกาล ก็คือพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็มีบุคคลที่ฟังเทวทัตมากกว่าพระพุทธเจ้า ก็คือถ้าพระพุทธเจ้าพูดนี่..กูสงสัยทุกเรื่อง..! แต่ถ้าเทวทัตพูดนี่..กูเชื่อ..! ก็คือลักษณะของบุคคลที่สร้างบารมีมาร่วมกัน ต่อให้หัวแถวนำออกนอกทุ่งนอกท่า เข้ารกเข้าพงอย่างไรไม่รู้ ? กูตามอย่างเดียว..!
แต่ถ้าหัวแถวนำไปทางเตียน ๆ ประมาณซูเปอร์ไฮเวย์แปดเลน..กูก็จะสงสัยว่าข้างหน้าจะรกหรือเปล่า ? จะตกเหวหรือเปล่า ? คนประเภทนี้ก็ปล่อยเขาไปเถิด อย่าไปยุ่งกับเขามาก แล้วชีวิตเราจะเจริญกว่านี้..!
แม้กระทั่งการสวดมนต์เขายังพูดออกมาได้ว่า "ไม่ได้บวชมาสวดมนต์" อาตมภาพพูดถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ไปแล้วทุกระดับ ขี้เกียจมาสาธยายใหม่
พูดถึงคำว่าสาธยาย การสวดมนต์นั่นแหละคือการสาธยาย คือการท่องจำหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ใครท่องจำได้มากแปลว่าจำหลักธรรมของพระพุทธเจ้าได้มาก ถึงเวลาก็สามารถสอบทวนกันได้ว่าถูกต้องเที่ยงแท้หรือเปล่า ? ดังนั้น..การสวดมนต์หรือว่าสาธยายมนต์
อันดับแรกเลย เป็นการรักษาพระไตรปิฎก
อันดับต่อไป สร้างสมาธิให้เกิด
อันดับต่อไป บุคคลสาธยายถ้าเข้าใจแล้วพิจารณาตาม สามารถบรรลุมรรคผลได้
แล้วเขาบอกว่า "สวดไปทำไม ? แม้กระทั่งสวดศพก็ทำให้ผู้ตายตกนรก..!" ไม่รู้ว่าเอาแนวคิดแบบนี้มาจากไหน ? ถ้าเขารู้ว่าก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ นี่เขาสวดพระอภิธรรมในงานแต่งงาน ในงานขึ้นบ้านใหม่ ในงานทำบุญอายุ คงเป็นลมตายกันหมด..!
เพราะว่าตอนนั้นเขาเอามาสวดในงานพระบรมศพของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ คนเขาถึงได้ถือว่าเอาไว้สำหรับงานศพ พระอภิธรรมเป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าเทศน์แล้ว มีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด ถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นมงคลที่สุด กลายเป็นอวมงคลไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘
ที่เหลือไปไหนกันหมด ? เรื่องของการปฏิบัติธรรม ครูบาอาจารย์บางท่านใช้ว่า "ทำหน้าที่" ในเมื่อเป็นหน้าที่ก็แปลว่า เป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ คราวนี้การที่พวกเราจะรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต้องใช้คำว่า ทำให้ดีที่สุด แต่ดูจากที่นั่งที่ว่างเสีย ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ดูท่าว่าจะทำหน้าที่ไม่ได้เรื่อง..! เรื่องพวกนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่า กำลังใจของเราคู่ควรต่อการปฏิบัติธรรมหรือไม่ ?
ครูบาอาจารย์สายวัดป่า ท่านบอกไว้ว่า "ธรรมะอยู่ฟากตาย" ก็คือจะต้องแลกกันด้วยชีวิต แม้แต่ในพระไตรปิฏก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า "พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และพึงสละทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต เพื่อรักษาธรรม"
ดังนั้น..ต่อให้พวกเราทุกคนมีกำลังใจที่ถือว่าอยู่ในด้านดี ก็คือแม้ว่าจะเป็นช่วงสงกรานต์ ที่คนอื่นเขาถือว่าเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ว่าพวกเรามาปฏิบัติธรรมกัน แต่ก็อยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นการอยู่ในส่วนของการคัดเลือก ก็คือจัดลำดับตัวเองด้วยการกระทำ ว่าตัวเราเองอยู่ใกล้ไกลต่อมรรคผลเท่าไร ?
บุคคลที่ยิ่งใกล้ต่อมรรคผล กำลังใจในการตัดละจะยิ่งเข้มข้น ประเภทนี้จะมุ่งตรงอย่างเดียวโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้ว ทำอะไรก็รวดเร็วกว่าคนอื่นเขา เพราะว่าสิ่งที่ให้ห่วงให้พะวง สิ่งรกรุงรังมีน้อย เป็นคนตัวเบา ก็คือเบาด้วยการปล่อยวางภาระต่าง ๆ ลงไปได้มาก
ส่วนท่านทั้งหลายที่รอจนถึงเวลาแล้วค่อยมา ไม่ใช่คนตรงเวลา หากแต่ว่าเป็นบุคคลที่ยังเชื่องช้าอยู่ ที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสเอาไว้ว่า "เราเป็นผู้ไม่ปรารถนาในธรรมอันเนิ่นช้า" ก็คืออะไรที่ทำให้ช้าต่อมรรคต่อผลจะไม่เอา
พวกเราจึงสามารถที่จะวัดตัวเองได้ว่า ต่อให้เราก้าวข้ามมาอยู่ในข้างดี สมมติว่าเราเหยียบอยู่ตรงกลางคือ ๕๐ ออกซ้ายมือคือ ๔๙ - ๐ ออกขวามือคือ ๕๑ - ๑๐๐ ตอนนี้เราอยู่ในระดับไหน ? จะมองเห็นอย่างชัดเจน คราวนี้ต่อให้ท่านออกถูกทางและอยู่ในระดับ ๑๐๐ ขอยืนยันว่าถ้าเอามาปฏิบัติธรรมแบบนี้ยังไม่พอกิน..!
พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเป็นการคัดเลือกทหาร อยู่ในดี ๑ ประเภท ๑ ก็คือรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง เหมาะแก่การที่จะเป็นทหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทหารที่ดีได้ เพราะว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทหารหลายคนกระทั่งข้างไหนซ้าย ข้างไหนขวาก็แยกไม่ถูก จนกระทั่งครูฝึกต้องให้ถือสิ่งของเอาไว้ อย่างเช่นถ้าบอกว่าซ้ายก็คือหญ้า ถ้าบอกว่าขวาก็คือกิ่งไม้..! กว่าจะสอนให้เข้าใจซ้ายกับขวา ครูฝึกก็แทบจะหมดกำลังใจ
คราวนี้การปฏิบัติธรรมยากกว่านั้นหลายเท่า เพราะว่าเป็นการฝืนกระแสโลก ถ้าหากว่ากำลังของเราไม่เพียงพอ ก็มีแต่จะไหลตามกระแสไป จนฝืนตัวเองไม่ได้
หลายท่านกำลังเพียงพอแต่ปัญญาน้อย โดนคนอื่นว่านิดว่าหน่อยก็ถอดใจ สมัยนี้เขาเรียกว่า "บูลลี่" ประมาณว่า "จะรีบเข้าวัดเข้าวาไปทำอะไร ? อายุเพิ่งจะแค่นี้เอง" หรือว่า "ปฏิบัติธรรมแล้วได้อะไร ? เหาะได้หรือยัง ?"
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่เราจะต่อสู้เพื่อให้เข้าถึงมรรคถึงผล จึงเป็นเรื่องที่ยากหนักหนาสาหัส มักจะมีแต่สิ่งมาบั่นทอนกำลังใจอยู่เสมอ บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น จึงต้องใช้กำลังใจมากกว่าคนปกติหลายเท่า
พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงกล่าวกับกระผม/อาตมภาพง่าย ๆ ว่า "อย่างน้อยแกต้องบ้ากว่าคนปกติ ๔ เท่า ไม่อย่างนั้นก็ยังเอาตัวไม่รอด"
อาตมภาพปฏิบัติธรรมตั้งแต่เด็ก ๆ ยังเรียนหนังสืออยู่ ครูทุกท่านบอกว่า "บ้า" เพื่อนทุกคนบอกว่า "บ้า" พ่อแม่พี่น้องบอกว่า "บ้า" แต่อาตมภาพรู้อยู่ว่าตัวเองทำอะไร ? ทำแล้วจะได้อะไร ? จึงไม่ได้สนใจคำพูดคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่า มีปัญญาก็พูดไป เดี๋ยวเหนื่อยมึงก็เลิกเอง..!
ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าการที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลก และมีแต่สิ่งที่บั่นทอนกำลังใจของเรา จะมัวไปท้อถอย จะมัวไปซึมเศร้า แล้วท้ายที่สุดก็กลายเป็นทำร้ายตัวเอง ทำลายตัวเอง ก็คือละทิ้งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไป เพราะยังอาศัยลมปากของคนอื่นเป็นประมาณ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด
เพราะว่าเมื่อถึงเวลา คนพูดลงนรก เราก็เต็มใจกระโดดลงไปกับเขา..! ทั้ง ๆ ที่เรามีโอกาสไปสวรรค์ ไปพรหม ไปพระนิพพาน ก็ต้องบอกว่าเพื่อนเขาโง่..แต่เราโง่กว่า..! เพราะว่าเราไปละโอกาสอันดีของตนเองเสีย
ยิ่งบรรดาผู้ที่เข้ามาบวช เป็นพระภิกษุ เป็นสามเณร เป็นแม่ชี ถือว่าเป็นปูชนียบุคคลที่คนอื่นเขาเคารพบูชา คนอื่นเขาหวังพึ่งพา แต่เรากลับทำตัวเหลวไหล แค่หน้าที่ของตนก็ทำให้ดีไม่ได้ แล้วจะนำคนอื่นเขาให้ดีได้อย่างไร ?
เรื่องพวกนี้นอกจากที่ต้องใช้สติ ระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ต้องใช้สมาธิเพื่อระงับยับยั้งตนเองไม่ให้ตกไปในทางที่ชั่ว ยังต้องมีปัญญาเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้พินิจพิจารณากระทำในสิ่งที่สมควรต่อภาวะของตน
อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านกล่าวเสมอว่า "รู้จักหน้าที่ ทำตามหน้าที่ อย่าทำเกินหน้าที่ และอย่าละทิ้งหน้าที่" ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนกับง่ายแต่ไม่ใช่ของง่าย เพราะว่าแต่ละคนไม่ได้มีหน้าที่อย่างเดียว
หลายคนอายุมากเป็นปู่เป็นย่า เป็นตาเป็นยาย เราทำหน้าที่ปู่ยาตายายได้ดีแล้วหรือยัง ? บางคนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นป้า เป็นน้าเป็นอา เราทำหน้าที่ของความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นป้า เป็นน้าเป็นอาดีแล้วหรือยัง ? บางคนเป็นลูก บางคนเป็นหลาน เราทำหน้าที่ของความเป็นพี่น้องลูกหลานดีหรือยัง ? แล้วส่วนใหญ่ก็มีครอบครัว เราทำหน้าที่ต่อครอบครัวดีแล้วหรือยัง ?
หลักเกณฑ์หลักการทั้งหลายเหล่านี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอาไว้หมดแล้ว ว่าแต่ละคนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่อะไร ? สมควรที่จะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร ? ถ้าอยากรู้ไปเปิดดูในเรื่องสิงคาลกสูตร หรือไม่ก็พิมพ์ไปค้นไนกูเกิ้ลว่า ทิศทั้ง ๖ แล้วก็จะรู้ว่าเราต้องปฏิบัติอย่างไรถึงจะถูกต้องตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีประโยชน์น้อย ถ้าหากว่าเราไม่สามารถเอามาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ แต่ว่าจะมีประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล และเสริมความก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างยิ่ง ถ้าเรารู้จักเอามาปรับใช้กับชีวิตประจำวันของเรา จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องศึกษาเรียนรู้ให้ดี
เริ่มตั้งแต่สีลสิกขา การศึกษาเรียนรู้ในศีลว่ามีคุณงามความดีอย่างไร ? นำเราไปสู่สุคติอย่างไร ? เป็นสมบัติที่ทำให้เรามั่นคงอยู่ในความเป็นมนุษย์และเทวดาอย่างไร ? เป็นบันไดให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานอย่างไร ?
จิตสิกขา ศึกษาในเรื่องของสมาธิ ว่าทำให้เราสามารถระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ในเบื้องต้นได้อย่างไร ? ช่วยให้เราหักห้ามตนเองไม่ให้ตกลงไปในทางที่ชั่วได้อย่างไร ? เป็นเครื่องช่วยปัญญาในการตัดละกิเลสได้อย่างไร ?
แล้วก็ปัญญาสิกขา ศึกษาในเรื่องของปัญญา มองให้เห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ มองให้เห็นความเป็นจริงของโลกนี้ มองให้เห็นความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงว่า เกิดในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้ ยึดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ยึดมากก็ทุกข์มาก ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย ปล่อยวางไม่ยึดก็พ้นทุกข์
เพียงแต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องอาศัยมัชฌิมาปฏิปทา ความพอเหมาะพอดีพอควร ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า "เราไม่เพียร แต่เราไม่พัก" ก็คือไม่ขยันจนเกินพอดี แต่ก็ไม่ขี้เกียจจนไม่ทำอะไรเลย
เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในการพากเพียรปฏิบัติ เหมือนกับลองผิดลองถูกไปเรื่อย โดยมีศีลเป็นกรอบ มีสมาธิเป็นห้ามล้อ มีปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ถ้าตราบใดที่เรายังไม่หลุดจากกรอบของศีลห้า ตราบนั้นถึงเราทำผิดก็ผิดน้อย มีโทษน้อย
แต่ถ้าหลุดจากกรอบของศีลห้าเมื่อไร เรามีโอกาสพลาดลงอบายภูมิทันที เพราะว่าคุณสมบัติของศีลห้าอย่างหนึ่งก็คือ ป้องกันไม่ให้เราตกสู่อบายภูมิ
ท่านทั้งหลายอุตสาห์เสียสละเวลา ที่จะแสวงหาความสุขให้แก่ตนเอง มาปฏิบัติธรรมในช่วงเทศกาลที่คนอื่นเขาไปสนุกรื่นเริงกัน ก็ขอให้ทำแบบจริงจัง เพราะว่าเวลามีน้อย เราจะเห็นว่าตั้งแต่ช่วงเช้ามา ถ้าไม่ใช่การปฏิบัติธรรมในช่วงเช้ามืดแล้ว ส่วนที่เหลือก็แทบจะเป็นพิธีกรรมพิธีการไปหมด ถ้าเราไม่ฉลาดในการแสวงบุญ บางคนอาจจะไม่ได้อะไรเลย..!
แล้วมาช่วงบ่ายที่เราจะปฏิบัติธรรมกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ หลายท่านก็ยังมาช้า มาล่า มาไม่ทัน แบบนี้ต่อให้ท่านเพียรพยายามก้าวข้ามเส้น ๕๐ ไป ก็คาดว่าห่างไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น..! ไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะก้าวไปถึง ๑๐๐ และถ้าหวังความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมยังต้องไปให้เกิน ๑๐๐ อีกอย่างน้อยสี่เท่า..!
ท่านทั้งหลายจึงต้องสังวรเอาไว้ว่า "วันเวลาล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ?" "ตัวเราติเตียนตัวเราโดยศีลได้หรือไม่ ?" "ผู้รู้ติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่ ?" "คุณวิเศษของเรามีบ้างหรือไม่ ? เพื่อที่จะได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม" เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องถามตัวเองและต้องตอบตัวเองให้ได้..!
ลำดับต่อไปก็ให้พวกเราสมาทานพระกรรมฐานและเข้าสู่การปฏิบัติในช่วงบ่ายกันต่อไป
หลังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ก่อนสวดมนต์ถวายหลวงปู่สาย เย็นวันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘
ต้องบอกว่าวันเวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วมาก..ใช่ไหม ? เล่าอะไรให้ฟังหน่อยเดียวปาไปเกือบตั้งครึ่งชั่วโมง..!
ลืมบอกไปว่าสมัยเด็ก ๆ ทางบ้านจนมาก ข้าวปลาอาหารแทบจะไม่พอกินในแต่ละวัน เพราะว่าแม่มีลูกตั้ง ๑๓ คน..! ไม่ได้เยอะนะ ข้างบ้านเขาเยอะกว่า "อาเจ็ก" ข้างบ้านเขามี ๑๘ คน..! สองคนสุดท้ายเป็นรุ่นพี่ เขาเรียก "อาจับฉิก" กับ "อาจับโป้ย" ก็คือ "ไอ้สิบเจ็ด" กับ "ไอ้สิบแปด" เพราะไม่มีชื่อแล้ว ตั้งเสียจนไม่มีชื่อเหลือ ต้องประเภทติดหมายเลขแทน..!
ของเราทุกวันที่ ๑๓ จะมีการสวดมนต์เย็นแทนที่จะมีการทำวัตร ก็เพื่อที่จะถวายกุศลให้กับหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งท่านมรณภาพวันที่ ๑๔ กันยายน คราวนี้ทางวัดจะทำบุญถวายหลวงปู่สายทุกวันที่ ๑๔ ของเดือน ยกเว้นในช่วงพรรษาที่มีการทำบุญทั้ง "วันพระใหญ่" และ "วันพระเล็ก" อยู่แล้ว ก็เลยจัดให้วันใดวันหนึ่ง ที่ตรงกับวันพระหรือใกล้วันพระที่สุด เป็นวันทำบุญถวายหลวงปู่สายแทน ไม่จำเป็นต้องตรงกับวันที่ ๑๔ ก็ได้
(ถามมัคนายก) อาราธนาธรรมแบบใหม่ได้หรือยัง ? ไม่ใช่แบบใหม่นะ..นี่คือแบบเก่า แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราผิดแล้วไม่แก้ไข พอนาน ๆ ไป ผิดจะกลายเป็นถูก แต่กลายเป็นความถูกแบบผิด ๆ ก็คือคนส่วนใหญ่ทำตาม ๆ กันไป
รุ่นของพวกเรามีใครที่กราบพระแล้วลงมือทีละข้างบ้างไหม ? ที่ผู้ชายต้องลงมือขวาก่อน ผู้หญิงต้องลงมือซ้ายก่อน มีใครเจอมาแล้วบ้าง..ยกมือขึ้น ? นั่นเกิดจากหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดรูปหนึ่ง ที่ท่านมีชื่อเสียง เป็นพระเกจิอาจารย์ด้วย ท่านเป็นโปลิโอ แล้วท่านกราบพระไม่ถนัด ท่านเลยลงทีละข้างอย่างนั้น คนก็ถือเป็นขลัง กราบตาม ๆ กันมา
อาตมภาพตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนเข้ามัธยมแล้ว ยังกราบท่านั้นกันอยู่เลย ก็คือไม่ได้ดูว่ามาจากไหน ? ทำไมกราบแบบนั้น ? อย่าเอ่ยถึงชื่อหลวงพ่อท่านเลย เพราะว่าชื่อเสียงท่านดีมาก แล้วท่านก็ไม่ได้เจตนาให้ทำตาม แต่ลูกศิษย์ไปตามเอง ท่านก็กราบแบบคนเป็นโปลิโอก็คือลงทีละข้าง แต่คนดันเห็นดีเห็นงามเป็นขลังไปได้..!
นั่นก็คือการทำอะไรผิด ๆ ตามกันไปจนคนคิดว่าถูก เหมือนกับที่เขาเล่ากันขำ ๆ ว่า พ่อแม่พาพวกเด็กวัยรุ่นไปวัด ไม่มีอะไรหรอก เริ่มไปอวดบ้านอื่นว่า ตัวเองมีลูกสาวสวยมีลูกชายหล่อนั่นแหละ ให้ไปเล็ง ๆ กันดูว่าเผื่อจะชอบใจใครเข้า
คราวนี้ส่วนใหญ่ไปวัดก็ไปวันพระกัน ถึงเวลาก็ต้องรับศีล คุณยายแกก็พนมมือรับศีล ถึงเวลาก็กราบพระ สมัยก่อนเขานุ่งโจงกระเบนกัน หางกระเบนเหน็บอยู่ เวลาก้มกราบถ้าหางกระเบนตึงเพราะโดนดึงก็จะหลุด ยายก็จะปลดชายกระเบนก่อนกราบ หลานสาวเห็นก็ "อ๋อ..ถ้าจะรับศีลต้องปลดชายกระเบนก่อน ศีลจะได้เข้าได้" หลานก็เลยดึงชายกระเบนออกบ้าง..!
เรื่องพวกนี้อย่าเล่าเลย โดยเฉพาะ "นิทานตาเถร - ยายชี" สมัยก่อนเยอะมาก แต่ละเรื่องดี ๆ ทั้งนั้น..! ถ้าเล่าไปความสุขความเจริญจะมาถึง..! สมัยก่อนก็ไม่รู้หรอก สนุกตามเขาไป มารู้ว่าปรามาสพระรัตนตรัยก็ตอนปฏิบัติธรรมจริง ๆ จัง ๆ แล้ว ดังนั้น..ปล่อยคนอื่นเขาปรามาสกันต่อไป เราไม่ยุ่งด้วยแล้ว บอกแล้วว่า "บวชนานนิทานมาก" วันละนิดวันละหน่อยสะสมไปเรื่อย แค่สิบปีก็เล่ากันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว..!
การที่พระของเราห่มดอง พาดสังฆาฏิ รัดอก นั่นเกิดจากหลวงพ่อเจ้าคุณกี - พระธรรมเจดีย์ (กี มารชิโน ป.ธ. ๙) วัดทองนพคุณ ท่านเป็นครูบาอาจารย์สอนบาลี ท่านรำคาญที่พอถึงเวลาห่มผ้า ม้วนลูกบวบ พอผ้าเลื่อนลงก็ต้องดึงขึ้นมาแล้วก็เหน็บไว้ เอาแขนหนีบไว้อย่างนี้ มีใครเคยชินกับการเอาแขนหนีบผ้าไว้บ้าง ?
คราวนี้ท่านต้องใช้มือเขียนแล้วท่านดันถนัดซ้ายด้วย พอถึงเวลาเขียน ผ้าก็หลุด ที่อุตส่าห์เอาแขนหนีบไว้ก็หล่นเลื่อนลงไปอีก ท่านก็รำคาญ ท่านก็เลยเอาผ้ารัดอกเสีย ปรากฏว่าดูทะมัดทะแมง ทำอะไรคล่องตัวดี ก็เลยมีคนเลียนแบบมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็เลยกลายเป็นชุดอย่างที่เห็นนี่
เพราะฉะนั้น..ถ้าญาติโยมไปเจอพระวัดไหนที่ม้วนลูกบวบแล้วพาดสังฆาฏิเฉย ๆ นั่นคือกันห่มแบบเก่าที่ถูกต้องเลยนะ อย่างอาตมาห่มแบบนี้ไปพม่า เขาเรียกว่า "ภิกษุณี" เจอหน้าพระพม่าอาตมภาพโดนแซวทุกครั้งว่า "ภิกษุณีมาแล้ว" เพราะว่าในพระวินัยมีแต่ภิกษุณีเท่านั้นที่ใช้ผ้ารัดอก
ก็คือสมัยก่อนเขาไม่ได้มียกทรงไม่ได้มีบิกินี่อะไรทั้งนั้น คราวนี้พอใช้ผ้าผืนเดียวห่มไป บางคนแม่ให้มาเยอะ ไปสะดุดตาคนอื่น เขาเกรงว่าจะมีปัญหากันในวัด ก็คือถ้าผู้หญิงอิจฉากันเองก็ไม่เป็นอะไรหรอก กลัวแต่ว่าพระเณรจะพลอยเพ่งเล็งไปด้วย พระพุทธเจ้าก็เลยกำหนดให้ว่า ถ้าภิกษุณีออกนอกเคหะสถานเมื่อไรต้องใช้ผ้ารัดอก ก็คือต้องใช้ผ้าแถบพันเอาไว้ อย่าให้แผ่นดินไหวง่ายนัก..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น..เวลาพระพม่าเขาแซวเอาว่า "ภิกษุณี" อาตมภาพก็ได้แต่ยิ้ม ไม่รู้จะทำอย่างไร ? เพราะเราชินแบบนี้แล้ว พอเถิด..เรื่องแบบนี้ล่อแหลมเกินไป เล่าแล้วไม่โป๊นี่ยากมากเลยนะ..!
ก่อนเทศน์ช่วงเช้า วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ตรงกับแรม ๒ ค่ำเดือน ๕ ปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๓๘๗ สัปตศก ตอนตีสี่ครึ่งถ้วนเมื่อเช้ามืด เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ยกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ
คำว่า ราศี ในที่นี้ก็คือกลุ่มดาวแต่ละกลุ่ม ที่จะปรากฏชัดที่สุดในแต่ละเดือน อย่างราศีมีนก็เป็นกลุ่มดาวปลาคู่ ราศีเมษก็เป็นกลุ่มดาวหัวแกะ ราศีพฤษภก็เป็นกลุ่มดาววัว เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งจะมีสารพัดชื่อในตำราโหราศาสตร์ ใครสนใจให้ไปศึกษาเอาเอง
พระอาทิตย์ก็โคจรตามปกติลัดเลาะไปเรื่อย ๆ แต่โบราณมาเขาถือว่าพระอาทิตย์นั้นเป็นผู้สร้างชีวิต ตั้งแต่ยุคโบราณผู้คนจึงให้ความเคารพนับถือพระอาทิตย์กันแทบทั้งนั้น อย่างเช่นสมัยกรีก โรมัน ในสมัยอียิปต์ก็จะมีเทพรา (Ra) ซึ่งก็คือพระอาทิตย์
แม้กระทั่งมายุคหลัง ๆ ก็ยังมีสุริยเทพทางด้านวัฒนธรรมอินเดีย หรือถ้าหากว่าเป็นประเทศจีนก็มี สุริยเทพ - จันทราเทวี ญี่ปุ่นที่แตกแขนงไปจากจีนก็มี "อาม่า" อามาเทราสุ (Amaterasu) สุริยเทพพอไปถึงประเทศญี่ปุ่นกลายเป็นผู้หญิง กลายเป็น "อาม่า"
คนไทยเราเรียกสุริยเทพบ้าง เรียกสหัสรังษีก็คือผู้มีรัศมีเป็นพันบ้าง รังสิมันต์คือผู้มีรัศมีไม่มีที่สิ้นสุดบ้าง อังศุมาลินก็คือดอกไม้ประดับฟ้าบ้าง พรานบูรพ์ หรือพรานบูรพาก็คือนายพรานผู้มาทางทิศตะวันออกบ้าง
งง ๆ ไหมชื่อเหล่านี้ ? เคยได้ยินอยู่แต่ไม่รู้ว่าหมายถึงพระอาทิตย์กันใช่ไหม ? "กฤติกาแจ่มกระจ่างอยู่กลางหาว เป็นหนึ่งดวงในปวงดาวที่พราวแสง รังสิมันต์เจิดจ้าว่าร้อนแรง ไม่อาจแข่งรัศมีรังสีธรรม"
อาตมภาพเขียนเอาไว้นานแล้วตั้งแต่สมัยยังแก้ผ้าวิ่งอยู่ ซ้อมแต่งกลอนเอาไว้
คราวนี้ในส่วนของบ้านเราเมืองเรา โบราณเขาพิจารณาว่าช่วงที่พระอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษ เป็นช่วงที่มีอากาศร้อนที่สุด แต่ว่ากลับเป็นช่วงที่พืชผลต่าง ๆ อุดมสมบูรณ์ที่สุด ผลไม้ก็สุกหน้านี้ ข้าวก็แก่ให้เกี่ยวได้ประมาณหน้านี้ แล้วต้นไม้ใบหญ้าต่าง ๆ ก็ผลิดอกออกผลใหม่กันในหน้านี้ ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุด จึงได้กำหนดเป็นวันเปลี่ยนปี จากปีเก่าเป็นปีใหม่
คราวนี้การเปลี่ยนปีนั้นเขาเปลี่ยนทางจันทรคติ ก็คือขึ้นแรมตามพระจันทร์ คำว่า จันทรคติ ก็คือเป็นไปตามพระจันทร์ เพราะว่าของเราเองรับวัฒนธรรมอินเดียไว้มาก
วัฒนธรรมอินเดียสมัยก่อนมาจากกาญจนบุรี ฟังแล้วตกใจไหม ? เพราะว่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าสมัยก่อนที่ต้องบอกว่าเป็นนักผจญภัย เดินเรือจากทางด้านอนุทวีปอินเดียบ้าง เกาะลังกาบ้าง มาผจญภัยที่บ้านเรา ถึงขนาดมีกล่าวเอาไว้ว่า "ไปสุวรรณภูมิ ที่บนพื้นมีแต่ทองคำ ใครรอดกลับมาได้ก็ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี" ไปอ่านดูในมหาชนกชาดก เป็นสิ่งที่เล่าลือกันมากตั้งแต่โบร่ำโบราณ
กาญจนบุรีตรงตัวเมืองปัจจุบันใกล้ ๆ บริเวณที่เขาทำสกายวอล์คไว้ ถ้าใครมองจากที่สูงจะเห็นว่าเป็นแม่น้ำแควใหญ่ไหลมาชนกับแม่น้ำแควน้อย แล้วกลายเป็นแม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำแควใหญ่ถ้าหากว่าย้อนทวนขึ้นไปก็จะมาทางด้านอำเภอศรีสวัสดิ์ แล้วก็ทะลุเข้าอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ขึ้นไปด้านที่เขาเรียกว่าแม่กลองคี
คำนี้เป็นภาษากะเหรี่ยง คำว่า คีหรือคี่ แปลว่ายอดหรือแปลว่าต้นทาง ก็คือต้นทางของแม่น้ำแม่กลอง แต่ที่สำคัญก็คือที่ด้านหลังอาตมภาพนี้ ซึ่งคือแม่น้ำแควน้อย ย้อนทวนน้ำขึ้นไป ไปแม่น้ำสามประสบ จากสามประสบย้อนทวนไปจะออกทะเลอันดามัน
สมัยนั้นบรรดานักผจญภัยต่าง ๆ มาเจอแม่น้ำใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ไม่รู้ว่าไปไหน ? แต่กูมุดไว้ก่อนเผื่อฟลุครวยก่อนเขา..!
บรรดาวัฒนธรรมอินเดียต่าง ๆ ก็เลยหลุดลงมาสายลุ่มน้ำแม่กลองนี่ เสร็จแล้วก็แยกเป็นสองสาย สายหนึ่งไปตามแม่กลอง มีหลักฐานก็คือเมืองโบราณคูบัวที่ราชบุรี อีกสายหนึ่งแยกไปเป็นแม่น้ำที่ปัจจุบันนี้เขาเรียกว่าลำตะเพิน ที่ทะลุไปออกอู่ทอง เรามีเมืองโบราณอู่ทองเป็นหลักฐาน
เรื่องแบบนี้อย่าไปคุยให้คนอื่นเขาฟัง เขาจะหาว่าเราเพ้อเจ้อ มีหลักฐานครบถ้วนแต่เขาไม่ค่อยฟังหรอก เพราะบางอย่างตรงกันข้ามกับที่นักประวัติศาสตร์เขาเรียนมา
พอ ๆ กับ "ชัวร์ก่อนแชร์" อาตมาบอกว่าโบราณงานศพเขาแต่งชุดขาวกัน เพิ่งจะมาฮิตแต่งชุดดำภายหลัง แล้วก็บอกว่า หลักฐานอยู่ในหนังสือเล่มนั้นอยู่ในตำราเล่มนี้ แต่เขาไม่ดูหรอก ไปถามอาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว ว่า "ใช่ไหมครับ ?" พออาจารย์ล้อมบอกว่า "ไม่ใช่" ก็สรุปจบเลย..! แล้วเขาก็บอกว่าอาตมาภาพพูดผิด..!
ต่อไปจะแชร์อะไรให้ชัวร์ก่อน เป็นผู้สื่อข่าวแต่ทำข่าวได้เฮงซวยมาก ขอชมเชยไว้ ณ ที่นี้ หลักฐานอะไรสักอย่างไม่ไปดู แต่อาศัยไปถามคนแก่คนเดียว..!
ไปถึงไหนแล้ว ? ไปถึงวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาประเทศไทย จากอู่ทองพอเกิดโรคระบาดก็โยกย้ายไปตั้งกรุงศรีอยุธยา จากเมืองโบราณคูบัวพอเจริญรุ่งเรืองเต็มที่ สายที่ลงใต้ไปก็ตั้งเป็นเมืองพริบพลี ซึ่งอยู่ระหว่างราชบุรีกับเพชรบุรี อีกสายหนึ่งขึ้นเหนือไปไม่ไกล อยู่แถวลุ่มน้ำนครชัยศรี ที่เป็นแม่น้ำสารพัดชื่อ ก็คือเมืองทวารวดี
ทำไมถึงบอกว่าแม่น้ำนครชัยศรีสารพัดชื่อ ? ก็เพราะว่าเริ่มต้นที่สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ชื่อแม่น้ำท่าจีน ทะลุมาถึงนครปฐมเขาเรียกแม่น้ำนครชัยศรี ข้ามไปอีกหน่อยเข้าสุพรรณบุรีเขาเรียกแม่น้ำสุพรรณ ทั้งที่เป็นแม่น้ำสายเดียวกันนั่นแหละ..!
สมัยอาตมภาพเด็ก ๆ ยังนั่งเรือล่องแม่น้ำสุพรรณกันอยู่เลย จะมาทางคลองงิ้วราย ที่เป็นคลองขุดใหม่ ทะลุไปคลองมหาสวัสดิ์ เข้าแม่น้ำเจ้าพระยา มองไม่เห็นภาพกันใช่ไหม ? อาตมภาพเล่าไปก็บ้าอยู่คนเดียว..! เกิดไม่ทันกันนี่นะ เกิดไว ๆ หน่อยจะได้คุยกันรู้เรื่อง..!
คราวนี้เมื่อไปถึงอยุธยาก็เป็นสถาบันมหากษัตริย์แล้ว วัฒนธรรมทั้งหลายเหล่านี้พอรับเอาไปใช้งานก็กลายเป็นค่านิยม อะไรที่กษัตริย์หรือผู้นำทำ แปลว่าดี แปลว่าถูก ชาวบ้านก็ทำตาม บรรดาประเพณีต่าง ๆ วัฒนธรรมต่าง ๆ ของทางด้านอินเดียก็เข้าไทยมาด้วยวิธีนี้
ส่วนอีกสายหนึ่งเขาลงเรือเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าไม่รู้จักทางหรือว่าไปตามลมมรสุม หลุดไปท่าเรือตะโกลา เมืองตามพรลิงค์ แต่ว่าคนไทยเรียกเมืองนี้ว่าศรีธรรมมาโศกราช ปัจจุบันนี้เรียกว่านครศรีธรรมราช
คราวนี้เส้นนั้นส่วนใหญ่มาจากทางเกาะลังกา ซึ่งตอนนั้นพระพุทธศาสนาในลังกาเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะว่าพระมหินทเถระเป็นเจ้าชาย นางสังฆมิตตาเถรีเป็นเจ้าหญิง เป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ เป็นโอรสธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช นำเอาพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ที่เกาะลังกา อะไรที่พระเจ้าแผ่นดินหรือว่าพระราชินีเป็นผู้นำ คนมักจะเห่อตามเยอะมาก..!
พวกบรรดานักปราชญ์ต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้นเยอะมาก เพราะว่ามีการแปลพระไตรปิฎกจากภาษาบาลีเป็นภาษาสิงหล ในเมื่อแปลไปจากบาลีเป็นสิงหล จากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง หลายสิ่งหลายอย่างที่คนไม่เข้าใจ จึงต้องมีครูบาอาจารย์มาอธิบายขยายความพระไตรปิฎก เขาเรียกครูบาอาจารย์รุ่นนี้ว่า อรรถกถาจารย์ บรรดาอรรถกถาจารย์ตอนนั้นก็แข่งขันกันมาก มีสำนักอภัยคีรีวิหาร สำนักมหาวิหาร แต่ละสำนักมีพระภิกษุ ๗,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ รูป..!
คราวนี้บรรดาพระที่ท่านศึกษาเจนจบแล้ว ก็ออกธุดงค์ แต่เป็นการธุดงค์ทางทะเล ทางบกก็ติดตามกองเกวียนไป ถ้าหากว่าเดินมาจากทางด้านเหนือ ก็ทะลุไปเข้ายะไข่ของประเทศพม่า อีกสายหนึ่งเลาะลงมาภาคกลางก็ลงมาตามลุ่มแม่น้ำอิรวดี ลงมาย่างกุ้ง พะสิม สายที่ขึ้นเหนือก็เข้าตองยีข้ามเขาเข้าประเทศไทย ถ้าธุดงค์สายเรือก็มาขึ้นที่ท่าเรือตะโกลา
แต่ละท่านที่มานี่เป็นนักวิชาการ ประมาณจบด็อกเตอร์ ๒ - ๓ ใบทั้งนั้นเลย..! ใครสงสัยเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ท่านสามารถอธิบายได้จนลิงหลับ แต่ละท่านจึงมีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือมาก
เมืองสุโขทัยตอนนั้นตั้งขึ้นมาแล้วโดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เมื่อรู้ว่ามีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่อาณาจักรตามพรลิงค์ คำว่า ตามพ (ตามพะ) ก็คือทองแดง อย่างประเทศศรีลังกาชื่อโบราณเรียกว่าตามพปัณณิทวีป ก็คือทวีปที่มีทองเหลืองทองแดงเยอะแยะ พอถึงเวลาขนมาขาย ขึ้นที่ท่าเรือตะโกลา เข้าศรีธรรมมาโศกราช แล้วก็เลยเรียกตรงนั้นว่าตามพรลิงค์ ก็คือความเชื่อมโยงระหว่างเมืองทองแดงเมืองทองเหลืองสองเมืองนั้น
ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเอาไก่ทองเหลืองไปหรือยัง ? นั่นคือทองเหลืองศรีลังกาที่อย่างไรก็ไม่หมอง สีสดใสอยู่แค่ไหนก็สดใสอยู่แค่นั้น จนเขาเรียกว่าทอง ทองเหลืองบ้านเรานี่ทิ้งไว้หน่อยก็หมองแล้ว ต้องเอามาขัดกันใหม่
ไก่ทองเหลืองนั้นหลวงพ่อพระมหานายกะ ฝ่ายอัสคีริยะ ท่านประทานให้วัดท่าขนุนมา เพิ่อมีอะไรที่เป็นเครื่องโยงให้ถึงลังกาไว้บ้าง เผื่อที่จะขอช่วยเหลืออะไรจะได้มีข้ออ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวพระอาจารย์เล็กเอาไปหล่อพระเสียหมด..!
ทางด้านกรุงสุโขทัยจึงแต่งทูตมาเชิญพระเถระ ขึ้นไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่โน่น เราจะเห็นในศิลาจารึก ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า "ปู่ครูทุกตนลุกมาแต่เมืองศรีธรรมราช"
"ปู่ครู" ในที่นี้ก็คือ "พระสังฆราช" ก็แปลว่าสังฆราชของพระพุทธศาสนาของเราที่สุโขทัยทุกรูป ได้รับการอัญเชิญจากพระมหากษัตริย์ขึ้นไปจากนครศรีธรรมราชทั้งนั้น ไปรับตำแหน่ง ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นั่น พอเผยแผ่แล้วก็กระจายกว้างออกมา บรรดาอาณาจักรใกล้เคียง ด้านบนเป็นล้านช้าง ล้านนา ด้านล่างก็ละโว้ อยุธยา จึงรับเอาวัฒนธรรมมาส่งต่อกันด้วยวิธีผจญภัยนี่เอง..!
ถึงเวลาก็ข้ามไปข้ามมาค้าขายกัน อย่างเช่นถึงเวลานายฮ้อยต้อนควายมา มาทำลาบทำก้อยกิน คนเห็น เฮ้ย..อร่อยนี่หว่า..! ก็ทำตาม นี่แค่วัฒนธรรมอาหารอย่างเดียว อย่างอื่นก็แบบนี้เหมือนกัน
พอถึงเวลาก็มีการไหว้ผี มีการไหว้พระ มีการสวดมนต์ คนเห็นสนใจเข้าไปสอบถาม พอเขาบอกเขากล่าวก็ศึกษาเล่าเรียนเอาไว้ ถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา ปรับให้เข้ากับบริบท ก็คือความเป็นอยู่ของตน ไม่ได้เอามาทั้งหมด อะไรว่าดีกูเอาด้วย แต่ถ้าหากว่ายากกูไม่เอา เพราะฉะนั้น..วัฒนธรรมแต่ละอย่างก็เลยมีขาดมีเกิน แต่จะเห็นเค้าอย่างชัดเจนว่ามาจากไหน
ทางประเทศอินเดียเขาถือว่าในช่วงนี้เป็นช่วงของความเจริญ ความรุ่งเรือง เขาก็เลยมีเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการสงกรานต์ด้วยสี เรียกเทศกาลโฮลี ถึงเวลาเอาสีไปไล่สาดกัน น้ำก็ไม่ค่อยจะมีแล้วยังจะไปสาดสีใส่กันอีก คราวนี้จะไปล้างไปเช็ดกันอีท่าไหน ?
ใครอยากเห็นสีที่เป็นสีจริง ๆ ให้ไปดูที่อินเดีย เนปาล แดงคือแดงแปร๊ดแสบตาเลย เหลืองก็เหลืองแจ๊ดไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้อย่างไร ? แต่บ้านเราทำไม่ได้ ลอง ๆ ไปดู เดิน ๆ ไปในตลาดน่ะ เขามีขาย อาตมาชอบเดินดูตลาด เป็นคนตื่นเช้า ถึงเวลาก็ท่อม ๆ ไปเรื่อย อาศัยความจำดี ถึงเวลาจำได้ว่าต้องกลับทางนี้ ต้องกลับทางโน้น จึงเดินดูไปเรื่อย
บางทีคนอื่นที่เดินทางไปด้วยก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรบ้าง แต่ของเราเดินดูไปครึ่งบ้านครึ่งเมืองแล้ว หลงทางก็ถามชาวบ้านเขา ชาวบ้านบอกไม่ได้ก็ถามผี ถามไปถามมา โดนพวกประท้วงว่า "ผมไม่ใช่ผีครับ" เออ..เข้าท่า ทำไมมาหน้าตาธรรมดา ๆ ? มาแบบนี้เราก็นึกว่าผี..ใช่ไหม ? จะเป็นเทพบุตรเทวธิดาก็มาให้หล่อ ๆ สวย ๆ หน่อย หรือกลัวคนขโมยสตางค์ก็ไม่รู้สินะ ?! มาถึงแต่งตัวมาเสียโทรมเชียว คงกลัวว่าจะแปลกแยกจากชาวบ้านเขา
คราวนี้วัฒนธรรมพวกนี้พอมาถึงบ้านเรา บ้านเราน้ำเยอะ แต่สีหายาก ก็เลยมาสาดน้ำแทน โอ้โห..เข้ากับบริบทมากเลย กำลังร้อนอยู่พอดี เรื่องพวกนี้ก็เลยส่งผ่านกันไป ส่งผ่านกันมาแบบนี้
แบบเดียวกับที่ญาติโยมหลายท่านตามอาตมภาพไป ไม่ว่าจะขึ้นไปทิเบต ขึ้นไปเนปาล ออกไปทางด้านสิกขิม แคชเมียร์ เลห์ ลาดัก ถึงเวลาเขาจะมีผ้ามาคล้องคอต้อนรับให้ ถ้าเป็นบ้านเราก็คือพวงมาลัยนั่นเอง
แต่ที่บ้านเขาหนาวมาก ปีหนึ่งหนาวถึง ๘ - ๙ เดือน ดอกไม้หายากสุด ๆ เขาก็เลยปรับเอาผ้าที่เป็นของหายาก เพราะว่าทอมากับมือกว่าที่จะได้แต่ละผืน เอามามอบให้กับแขกหรือว่ามาต้อนรับแขก ในลักษณะที่ว่าให้ของดีให้ของแพงแสดงน้ำใจของเจ้าของที่ นี่คือการปรับวัฒนธรรม หาดอกไม้ไม่ได้แล้วจะไปเอาจากไหน ? จึงเปลี่ยนเป็นผ้าแทน บ้านเราหาสียาก สีแพงก็ใช้น้ำแทน
สมัยก่อนเขาไม่เรียกว่าสี เขาเรียกว่า "รงค์" เคยได้ยินไหม ? บางอย่างที่เอามาทำสีได้เขาเรียก "รงควัตถุ" วัตถุสำหรับทำสี เอาง่าย ๆ เลยก็ สีน้ำเงินจากดอกอัญชัน สีส้มจากดอกฝ้ายคำ สีครามจากต้นคราม เป็นต้น
สมัยอาตมภาพเด็ก ๆ ไม่มีคำว่าสีน้ำเงินนะ มีแต่ "สีขาบ" กับ "สีคราม" สีขาบก็คือสีฟ้าเข้มที่สมัยนี้เรียกว่าสีน้ำเงิน สีครามก็คือสีฟ้าอ่อน ส่วนประเภทสีฟ้าน้ำทะเล โอเชียนบลู (ocean blue) หรือสีเทอร์คอยส์ (turquoise) ไม่มี สีพวกนี้ตามฝรั่งมาทีหลัง สมัยนั้นมีแต่สีขาบกับสีคราม สมัยนี้ถ้าเรียกว่าสีขาบเราก็ไม่รู้จัก..ใช่ไหม ?
อย่าง "สีกากี" นี่รู้จักกัน แต่ไม่รู้ว่าสีกากีมาจากไหน..ใช่ไหม ? "กากี" เป็นภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีน้ำตาล" คนไทยพอได้ยินว่าเขาเรียกกากี ก็เรียกกากีตามเขาไปด้วย บ้านเราเรียกสีน้ำตาล
คราวนี้ปวดหัวอีกเพราะว่าน้ำตาลที่กินกันสีขาวจ๋องเลยนี่นา ? แล้วที่เรียกว่าสีน้ำตาลทำไมสีออกมาเป็นแบบนี้ ไม่เป็นสีขาว ? ก็คุณเกิดไม่ทัน สมัยก่อนน้ำตาลไม่ได้ฟอก เขากวนน้ำตาลมาจากอ้อยสีก็เลยออกมาเป็นสีแบบนั้น ดีไม่ดีไหม้หน่อยก็เป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เป็นสีช็อกโกแลตไปเลย ถ้าหากว่าใครฝีมือดี ๆ หน่อยใจเย็น ๆ ใช้ไฟอ่อน ๆ ค่อย ๆ กวนก็ออกมาเป็นสีน้ำตาลอ่อน นั่นคือสีของน้ำตาลจริง ๆ
ปัจจุบันนี้ที่เห็นเป็นสีน้ำตาลทรายขาว ก็เพราะเขาฟอกสีแล้ว ถ้ากินเข้าไปเยอะ ๆ พร้อมที่จะเกิดมะเร็ง บอกแล้วว่าอย่าให้ "เล่าความหลัง" คนแก่มีเรื่องให้เล่าเยอะมาก..!
สงกรานต์จึงเข้ามาในบ้านเราเมืองเราโดยวัฒนธรรมอินเดีย โดยมักจะมากับพวกนักบวชที่ติดไปกับกองคาราวานทางบกทางน้ำต่าง ๆ ที่เขาเรียกกันว่าพราหมณ์ พวกนี้ส่วนใหญ่มีความรู้มาก ศึกษาจบไตรเพทมา มีฤคเวท ยชุรเวท สามเวท เหล่านั้น
พวกเวททั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ ก็คือคำโคลง คำกลอน ที่เขาไว้สรรเสริญพระเจ้าของเขา เอาไว้สำหรับอ้อนวอนขอความสำเร็จจากพระเจ้าของเขา เขาก็ถ่ายทอดกันเฉพาะในวรรณะของตัวเอง พวกพราหมณ์ก็เลยเป็นเจ้าพิธีกรรม พวกกษัตริย์ก็มีหน้าที่ป้องกันประเทศ รบรากับประเทศอื่น ๆ
พวกไวศยะหรือแพศย์ ซึ่งปัจจุบันนี้มียี่ห้อสินค้าแพศยา นั่นก็คือคำว่าแพศย์ที่แปลว่าพ่อค้า ก็มีหน้าที่ค้าขายนำเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ เผยแผ่ไปกับกองเกวียนของตนเอง กองเกวียนสมัยก่อนไปกันแต่ละทีก็ ๒๐๐ เล่มเกวียน ๓๐๐ เล่มเกวียน ๕๐๐ เล่มเกวียน บรรดาพ่อค้าส่วนใหญ่ก็เป็นมหาเศรษฐี เรานึกถึงเกวียน ๑ เล่ม มีคนขับเกวียน ๑ คน คนคอยดูแลวัวดูแลสินค้า ๒ คน ตีว่าเอาแค่นี้ เกวียน ๑ เล่มมี ๓ คน ถ้ามีเกวียน ๕๐๐ เล่มปาไปกี่คนแล้ว ? กองทัพส่วนตัวดี ๆ นี่เอง..!
อย่างธนัญชัยเศรษฐีถึงเวลาย้ายไปอยู่เมืองสาวัตถี ปรากฏว่าขนคนไปสองแสนคน..! แทบจะไปรบราฆ่าฟัน แย่งบ้าน ปล้นเมืองเขาได้เลยนะนั่น..! ยังดีที่ไม่ได้มีนิสัยอย่างนั้น เป็นแค่พ่อค้า ก็เลยทำให้คิดว่าถ้าเข้าไปในตัวเมือง คนอื่นจะเดือดร้อนเยอะ เพราะอยู่ ๆ มีสองแสนคนมาแย่งกันกินแย่งกันใช้
ธนัญชัยเศรษฐีเห็นที่เหมาะ ๆ อยู่ก่อนที่จะเข้าเมือง เป็นที่ว่างกว้างใหญ่มาก จึงกราบทูลถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า "ตรงนี้เป็นที่ของใคร ?" แล้วก็ให้เหตุผลว่าถ้าเข้าไปในเมืองจะสร้างความวุ่นวายขนาดไหน ? แต่ถ้าอยู่ตรงนี้จะสะดวกกว่า
พระเจ้าปเสนทิโกศลบอกว่าเป็นที่ของตนเอง สมัยนั้นใช้คำว่า "พระเจ้าแผ่นดิน" คือแผ่นดินทุกตารางนิ้วถ้าไม่ทรงอนุญาต เป็นของพระองค์ทั้งหมด เพราะว่า รบรา ฆ่าฟัน แย่งชิง ป้องกัน มาด้วยตนเอง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงมอบให้ธนัญชัยเศรษฐี สร้างเมืองสาเกตขึ้นมาเป็นคู่แฝดกับสาวัตถี ไปไกลแล้ว..อยู่เมืองไทยยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย ไปไกลถึงอินเดียแล้ว..!
เวลาไปไหนไม่ค่อยอยากคุยเพราะว่าเหนื่อยอยู่คนเดียว ถึงเวลาไม่มีแรงจะเดินเที่ยว คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ของเอ็นซีทัวร์ ก็มักจะส่งไมค์มาให้ "หลวงพ่อเจ้าคะ เอาเรื่องโน้นหน่อย เอาเรื่องนี้หน่อย" ไม่เอา..ตอนนี้เที่ยวอย่างเดียว เล่ามาก ๆ คนแก่หมดแรง เดินไม่ไหว..!
อีกประมาณ ๔ นาทีพระท่านจะขึ้นอาสน์สงฆ์ กำหนดการคร่าว ๆ วันนี้ คือ ๙ โมงเช้าเป็นการแสดงพระธรรมเทศนา แล้วก็ต่อด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ รับถวายภัตตาหารสังฆทาน พออปโลกน์ให้พรเสร็จ ช่วงเช้าของเราก็จบแค่นี้ ไปเริ่มอีกทีตอนเที่ยงครึ่ง เป็นการสวดพระอภิธรรมสะเดาะเคราะห์ และบังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ใครต้องการจะสะเดาะเคราะห์ให้ตนเอง ให้คนอื่น ก็เขียนชื่อเขียนนามสกุลใส่โลงใบน้อยนั้นไป
ถ้าจะให้บังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้อง ก็เขียนชื่อเขียนนามสกุลผู้ที่ล่วงลับไปแล้วใส่โลงเข้าไป ใบเดียวกันนั่นแหละ พอบังสุกุลเสร็จก็จะเอาไปเผา ถือว่าเป็นการตัดเคราะห์ตัดโศก อาศัยแม่พระเพลิง หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ช่วยตัดเคราะห์ให้
ห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่มี แม่ธรณี สรรพชีวิตทั้งหมดเกิดบนอกแม่ โตบนอกแม่ ตายบนอกแม่
แม่คงคา ไม่มีสายน้ำช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตไม่รอดสักราย ไม่กินข้าว ๑๔ วันอยู่ใต้ตึกอยู่ได้ แต่ถ้าขาดน้ำนี่ ๗ วันตายแน่
แม่พระเพลิง ให้ความร้อนให้ความอบอุ่น ช่วยทำอาหาร แม้กระทั่งในร่างกายของเราก็ยังช่วยสันดาปย่อยอาหาร กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ขณะเดียวกันก็เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง
พระพุทธเจ้าบอกมา ๒,๕๐๐ กว่าปี กว่าที่ฝรั่งจะเรียนทันตรงนี้ ฝรั่งเขาเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานนี้เองว่าออกซิเจนกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นขึ้นได้ แต่ทำลายเซลล์เร็วมาก ใครที่นิยมใช้ออกซิเจนสร้างเอาไว้ในห้องตัวเอง รับประกันได้ว่าตื่นมาหน้าเหี่ยวไม่รู้ตัว เพราะเซลล์ถูกทำลายเร็วมาก ก็คือกระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโตและทำลายร่างกายให้ทรุดโทรมลง นี่คือแม่พระเพลิง
แม่โพสพ ให้อาหาร เครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต
แม่พระพาย ขาดลมหายใจก็ตาย ขาดลมช่วยก็ร้อนมาก ก็ตายอีก..!
เราอาศัยอำนาจของแม่พระเพลิง หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ช่วยในการตัดเคราะห์ตัดโศกให้ แต่ความจริงก็คือการสร้างความดีนั่นเอง เพราะว่าเราต้องสมาทานศีล ฟังพระเจริญบทพระอภิธรรม แล้วก็นึกถึงมรณานุสติ พุทธานุสติ หรือว่าอุปสมานุสติ ซึ่งปกติเป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก ทำยาก แต่ว่าช่วงนั้นทำกันง่าย เพราะคิดว่าเป็นพิธีกรรม
ไม่รู้กันว่าโดนหลอกให้กินยา หลอกให้เห็นว่าอร่อย เหมือนสมัยนี้เวลาป้อนยาแมวเขาเอาขนมแมวเลียหุ้มก่อนแล้วค่อยยัดใส่ปากแมว แมวก็กลืนอึ๊ก สมัยก่อนกว่าจะยัดยาเข้าปากได้นี่โดนแมวข่วนลายไปทั้งตัว คราวนี้ก็เลยหลอกให้กินยาด้วยการมาสะเดาะเคราะห์
หลังจากนั้นก็มีการแข่งขันก่อพระเจดีย์ทราย น่าจะไปตัดสินกัน ๔ - ๕ โมงเย็น เดี๋ยวรอดูกรรมการตัดสินนำโดยพระมหาพัฒน์ก่อน ว่าจะตัดสินกี่โมง หลวงพ่อมีหน้าที่ควักกระเป๋า มอบรางวัลให้เท่านั้น พอตอนค่ำของพวกเราก็มาทำวัตรสวดมนต์กัน หมดไปอีกหนึ่งวัน
ตอนช่วงบ่าย ๆ ทางด้านเทศบาลตำบลทองผาภูมิโดยท่านนายกปาล์ม (นายศราวุธ ศรีทันดร) ก็จะส่งคนมารับพระพุทธรูปไปเตรียมขบวนแห่ พรุ่งนี้ไม่เกินเที่ยงครึ่ง น่าจะเคลื่อนขบวนออกมาจากสำนักงานเทศบาลตำบลทองผาภูมิ เพราะฉะนั้น..พรุ่งนี้เป็นวันที่มีโอกาสเปียกแน่นอน
คราวนี้ในเรื่องของแม่คงคา หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นสรรพชีวิต เขาถือว่าสร้างความชุ่มชื่น สร้างความเจริญงอกงาม ให้ความร่มเย็น บ้านเราก็เลยปรับจากการสาดสีแบบแขกมาสาดน้ำแทน ถือว่าน้ำคือความสะอาด ชำระล้างสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีออกไปได้
ในทุกศาสนาเราจะเห็นว่ามีน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้ววิทยาศาสตร์เขาก็พิสูจน์ได้แล้วว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์จริง โดยเอาน้ำมนต์ที่พระเสกแล้วกับน้ำที่ไม่ได้เสกมาจากแหล่งเดียวกัน ตักเวลาเดียวกัน ภาชนะเดียวกัน จำนวนน้ำเท่ากัน เอาส่วนที่เสกแล้วไปแช่แข็งแล้วมาส่องดูโมเลกุล จะเห็นว่าจับตัวเป็นระเบียบสวยงามมาก เหมือนดอกไม้บาน ส่วนที่ไม่ได้เสกแช่แข็งแล้วมาส่องดู เห็นโมเลกุลขาด ๆ วิ่น ๆ
หรือไม่ก็การถ่ายภาพออร่า ซึ่งพัฒนามาจากการถ่ายภาพก่อนหน้านี้ที่เรียกว่าเกอร์เลียน ก็คือถ่ายภาพพลังชีวิตของคน ของสัตว์ ของพืช
ตอนแรก ๆ นักวิทยาศาสตร์ทดลองด้วยการตัดใบไม้เป็นสองท่อน แล้วเอาไปถ่ายรูปแบบเกอร์เลียน ปรากฏว่าภาพที่ออกมาเป็นใบไม้เต็มใบ เพราะว่าพลังจากโคนใบยังส่งไปอยู่ ภาพที่ถ่ายออกมาเป็นรูปใบไม้เต็มใบเหมือนเดิม พอนาน ๆ ไปหน่อยพลังขาดช่วงลง แผลโดนปิดแล้ว ก็เหลือภาพใบไม้แค่ครึ่งใบ เขาก็เลยปรับมาถ่ายภาพออร่าในปัจจุบัน เพื่อที่จะศึกษาว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยจะมีออร่าสีอะไร ? บริเวณไหน ? ป่วยด้วยโรคอะไร ? จนป่านนี้ก็ยังมั่วกันอยู่นั่นแหละ..! ทายถูกบ้างผิดบ้าง
เนื่องเพราะว่าบุคคลที่นอกเหตุเหนือผลมีเยอะ ไม่ไปคร่ำครวญอยู่กับอาการเจ็บป่วย ตั้งหน้าตั้งตาสร้างบุญสร้างกุศลพร้อมที่จะตาย ในเมื่อไม่ไปคร่ำไปครวญ อาการเจ็บป่วยที่คนอื่นเห็นก็มีน้อย แม้กระทั่งเครื่องก็ยังโดนหลอกไปด้วย เพราะสภาพจิตเขาไม่ได้ไปกังวลกับความเจ็บป่วย ออร่าที่เปล่งออกมาสดใสกว่าคนปกติเสียอีก..!
ดังนั้น..พวกเครื่องมือวิทยาศาสตร์นี่อีกนาน ยังไม่สามารถจะไล่ทัน อาตมภาพรอดูสมัยพระศรีอริยเมตไตรย เขาบอกว่าคนเกิดมาหน้าตาสวยเหมือน ๆ กันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ลงจากบ้านแล้วจำกันไม่ได้เพราะหน้าตาเหมือนกัน กลับขึ้นบ้านเมื่อไรถึงจะจำได้ว่าเป็นคนในครอบครัวตัวเอง
หลวงพ่อสันนิษฐานไว้สองอย่าง อย่างแรกก็คือบุญเป็นตัวกำหนด ในเมื่อสร้างบุญมาใกล้เคียงกัน ก็เลยเกิดมาหน้าตาเหมือน ๆ กัน เหมือนพวกเทวดานางฟ้า ประการที่สอง วิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนด โคลนนิ่งขึ้นมาหน้าตาเหมือนกันหมด แต่คนละจิตวิญญาณกัน อีกประมาณล้านปีเท่านั้น ทนรอพักเดียวก็ได้เห็นแล้ว..! ตอนนี้ขอขึ้นธรรมาสน์ก่อน
ก่อนสวดพระอภิธรรม สะเดาะเคราะห์ บังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศล วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ โดยปกติทุกวันที่ ๑๔ เมษายน ทางวัดจะมีการสวดพระอภิธรรม ๗ บท และบังสุกุลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องของทุกท่านที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
ในส่วนของพระอภิธรรม ๗ บทนั้นมีอานุภาพมาก ถึงขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก พิจารณาว่าเราจะตอบแทนค่าน้ำนมและคำข้าวที่มารดาเลี้ยงดูเรามาอย่างไรถึงจะสมควร ? แล้วก็เห็นว่าพระอภิธรรมทั้ง ๗ บทนั้น เป็นสิ่งที่ทรงค่าที่สุด
พระองค์ท่านถึงได้นำไปเทศน์สอนพุทธมารดาจนบรรลุพระโสดาบัน แล้วยังมีพรหมเทวดาอีก ๘๐ โกฏิบรรลุตามไปด้วย ถ้าหากว่าเราใช้มาตราปัจจุบัน ไม่ไปนับตามมาตราโบราณ ตีง่าย ๆ ว่า สิบล้านเป็นหนึ่งโกฏิ ถ้าเป็นมาตราโบราณเขาจะนับ สิบล้านเป็นหนึ่งตึ่ง สิบตึ่งเป็นหนึ่งตื้อ สิบตื้อเป็นหนึ่งอสงไขย ไม่รู้เรื่องใช่ไหม..? พูดไปเหอะฟังอย่างเดียว..!
พระอภิธรรม ๗ บทจึงเป็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วมีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด
สมัยก่อนแม้แต่ในบ้านเราเมืองเรา ก็ใช้การสวดพระอภิธรรมในงานมงคลต่าง ๆ อย่างเช่นว่างานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานฉลองอายุ เหล่านี้เป็นต้น แต่ภายหลังเมื่อมีงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งพระมหาเถระทรงถวายพระอภิธรรม ๗ บทในงานพระบรมศพครั้งนั้น ทำให้ชาวบ้านเห็นเป็นค่านิยมว่าพระอภิธรรม ๗ บทควรที่จะใช้สวดในงานศพ
จากเรื่องมงคลจึงกลายเป็นอวมงคล ทำให้เราท่านทั้งหลายไปเข้าใจว่าพระอภิธรรม ๗ บทหรือพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้นมีไว้ใช้สวดเฉพาะในงานศพ ของดีที่สุดก็เลยกลายเป็นของที่คนเกรงกลัวกันไป เพราะว่ามนุษย์และสัตว์มีความกลัวตายเป็นปกติ
ในเรื่องของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้นมีตัวอย่างก็คือ พระลูกศิษย์พระสารีบุตร แต่เดิมเป็นลูกชาวประมง ลูกศิษย์ทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ พระสารีบุตรรับเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ แล้วไปเรียนถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงพระอภิธรรมถวายพุทธมารดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก ว่าควรที่จะสงเคราะห์ด้วยพระธรรมบทใด ?
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้ว ย้อนไปในอดีตชาติเห็นว่าลูกศิษย์พระสารีบุตรในครอบครัวชาวประมงทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ ในอดีตเคยเกิดเป็นค้างคาวฝูงเดียวกัน อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีพระไปอาศัยถ้ำแห่งนั้นเป็นที่พักด้วย แล้วพระท่านก็ซ้อมสวดสาธยายพระอภิธรรม ๗ บทเพื่อความจดจำไม่หลงลืม ค้างคาวทั้งหลายฟังด้วยความเพลิดเพลิน ลืมไปว่าตัวเองเกาะห้อยหัวอยู่ ก็เลยปล่อยเท้าหลุดจากที่เกาะตกลงมาตายหมด
ด้วยอานุภาพของการตั้งใจฟังธรรมทั้งที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง รู้อยู่อย่างเดียวว่าสวดได้ไพเราะน่าฟัง ยังดลบันดาลให้ทั้งหมดขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ เสวยความสุขอยู่จนหมดอายุของความเป็นเทวดา แล้วก็ลงมาเกิดเป็นบุตรชาวประมง เมื่อได้บวชกับพระสารีบุตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำว่า "สารีปุตตะ ดูก่อน..สารีบุตร เธอจงนำอภิธรรมทั้ง ๗ บทนี้ไปสาธยายให้ลูกศิษย์ของเธอฟัง"
พระสารีบุตรจึงนำพระอภิธรรม ๗ บทที่พวกเราคุ้นเคยกันดีเพราะพระจะสวดว่า กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา เป็นต้น เพียงแต่ว่าเป็นแม่บทของธรรมทั้งหลาย ก็คือกินใจความสำคัญเอาไว้มาก ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมาแต่อดีต หรือว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดระดับอุคฆฏิตัญญู ที่ฟังแค่หัวข้อธรรมก็รู้ว่าหมายถึงอะไรแล้ว คนอื่นฟังก็จะไม่เข้าใจ
อย่างเช่นว่า กุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศลนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง ก็ประกอบไปด้วยกายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓
กายสุจริต ๓ ก็คือความดีพร้อมทางกาย ๓ อย่าง ได้แก่การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
วจีสุจริต ๔ ก็คือไม่โกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
มโนสุจริต ๓ ก็คือความไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทผู้อื่น ความไม่โลภอยากได้ของคนอื่น และความมีสัมมาทิฏฐิเห็นว่าศีลและธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นสิ่งดี ควรค่าแก่การปฏิบัติตาม เป็นต้น
อธิบายแค่ย่อ ๆ ยังยาวขนาดนี้ ถ้าอธิบายครบทั้ง ๗ คัมภีร์ เราก็เป็นลมตายกันหมดก่อน..!
พระสารีบุตรนำเอาพระอภิธรรม ๗ บทไปสอนกับลูกศิษย์ทั้ง ๕๐๐ รูป ปรากฏว่ากลายเป็นพระอรหันต์หมดทั้ง ๕๐๐ รูป เนื่องเพราะว่าในอดีต จิตของตนก็ผูกพันอยู่กับพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ มาถึงปัจจุบันวิสัยเดิมความชอบเดิม เมื่อฟังเข้าก็ชอบใจ น้อมนำเอาไปประพฤติปฏิบัติ กลายเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด
เราจะเห็นได้ว่าแม้แต่ค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานฟังพระอภิธรรม ๗ บทไม่เข้าใจ แต่อาศัยความเลื่อมใสว่าสวดได้ไพเราะน่าฟังอย่างเดียว สภาพจิตเกาะในธรรม คือเกาะความดี ไปเกิดเป็นเทวดาด้วยกันทั้งหมด เมื่อมาเกิดใหม่ ได้บวช ฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ซ้ำ กลายเป็นพระอรหันต์
วันนี้ญาติโยมทั้งหลายจะได้ฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ในการสวดบังสุกุลอัฐิเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องของท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว เราเองพอจะรู้บ้างว่าสิ่งนี้มีคุณงามความดีอย่างไร ก็ขอให้น้อมจิตน้อมใจฟังด้วยความเคารพเลื่อมใส
ขอพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ซึ่งเรายึดถือเป็นที่พึ่งที่ระลึก ดลบันดาลให้เคราะห์กรรมทั้งหลาย ที่พึงจะมีพึงเกิดแก่เรา จงหลุดพ้นไป ซึ่งความจริงเคราะห์กรรมทั้งหลายก็คือความชั่วเดิม ๆ ที่เราทำไว้ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำความชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ทำความดีย่อมได้รับผลดี ไม่สามารถที่จะหักล้างกันให้หมดไปได้
แต่ผู้รู้ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ถ้าความชั่วเป็นเหมือนกับเกลือ ความดีเป็นเหมือนกับน้ำจืด ถึงเวลาถ้าเราสร้างความดี ก็คือเติมน้ำจืดลงในภาชนะที่มีเกลืออยู่ ยิ่งเติมลงไปมากเท่าไร รสเกลือก็จืดจางลงไปมากเท่านั้น ความชั่วไม่ได้หายไปไหน รสเกลือไม่ได้หายไปไหน แต่ความดีมากมายจนกระทั่งความชั่วแสดงผลไม่ได้ หรือว่ากรรมนั้นแสดงผลไม่ได้ ตลอดจนกระทั่งความเค็มนั้นแสดงผลไม่ได้
การที่เราท่านทั้งหลายกำหนดจิตกำหนดใจด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือการที่เราท่านทั้งหลายได้ตั้งใจปฏิบัติในพุทธานุสติ..ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในธัมมานุสติ..ระลึกถึงพระธรรม ในสังฆานุสติ..ระลึกถึงพระสงฆ์
แล้วเรายังมีการสมาทานศีลเป็นสีลานุสติ ตั้งจิตตั้งใจฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์เป็นการสร้างสมาธิให้เกิด เพราะเห็นทุกข์เห็นโทษว่า การเวียนว่ายตายเกิดของเรานั้นมีแต่ความทุกข์มาทุกชาติทุกภพ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้จบการเวียนว่ายตายเกิดลงในชาตินี้ แปลว่าเราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่หลายกองซึ่งมีอานิสงส์มาก
อานิสงส์หรือว่าคุณงามความดีตรงนี้ จึงส่งผลให้เราห่างไกลจากเคราะห์กรรมไปชั่วคราว พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านกล่าวไว้ว่า "เคราะห์กรรมเหมือนกับหมาดุไล่กัดเรา เราสร้างคุณงามความดีเหมือนกับวิ่งหนีหมาไปเรื่อย ถ้าหยุดวิ่งเมื่อไร หมาไล่ทัน เราจะโดนกัดอีก จึงต้องสร้างความดีหนีความชั่วไปเรื่อย จนกระทั่งพ้นจากหมาตัวนั้นไป ซึ่งการพ้นไปได้จากเคราะห์กรรมทั้งหลายมีอย่างเดียว ก็คือกลายเป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน"
เราท่านทั้งหลายจึงต้องเข้าใจว่าเคราะห์กรรมไม่ใช่สิ่งที่สะเดาะคือโยนทิ้งไปได้ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถหักล้าง ก็คือไม่สามารถทำให้สูญหายไปได้ แต่เราสามารถสร้างความดีให้มีอำนาจมากกว่า จนความชั่วแสดงผลไม่ได้ เราท่านทั้งหลายก็จะได้พ้นจากเคราะห์กรรมเหล่านั้นชั่วคราว
แล้วก็เร่งปฏิบัติต่อในศีล สมาธิ ปัญญา อย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่ก็คือ รักษาศีล เจริญสมาธิ มีปัญญามองเห็นว่าตัวเราต้องตายแน่นอน ถ้าตายเมื่อไรเราขอไปสู่พระนิพพานที่เดียว ถ้าสามารถรักษากำลังใจเอาไว้อย่างนี้ได้บ่อย ๆ ทุกวัน โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะก้าวพ้นจากความทุกข์ก็จะมีขึ้นได้
ลำดับต่อไปให้ทุกคนตั้งใจสมาทานศีลแล้วจะได้ฟังพระอภิธรรมกันต่อไป
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.