View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๗
cLUTsISoFLo
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๖๗  งานสำคัญของกระผม/อาตมภาพก็คือไปทำพิธีบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย  และอธิษฐานจิตปลุกเสกพระสมภารคู่ชีวิต  ให้กับทางธุดงคสถานกองทุนหลวงปู่ปานโสนันโท  ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า  จังหวัดสุพรรณบุรี   
คำว่า สมภาร ในที่นี่พระท่านอธิบายว่า  หมายถึง บุญบารมีที่สั่งสมมา   โดยเฉพาะโพธิสมภาร  คือการสั่งสมบุญเพื่อการตรัสรู้ แต่ขณะเดียวกัน สมภารอีกความหมายหนึ่งก็คือ เสมอด้วยภาระ ยิ่งมีบุญมีบารมีมากเท่าไร  ก็ต้องแบกภาระรับผิดชอบมากเท่านั้น  
เพียงแต่ว่าเมื่อหลังงานแล้วมาเจอคลิปที่ญาติโยมส่งมาให้ดู   เป็นคำถามที่มีผู้สงสัยถามว่า "พระสงฆ์มีประโยชน์อะไร ?  มีหน้าที่อะไรคะ ? เห็นแต่นอนกลางวันแข่งกับหมาไปวัน  ๆ เท่านั้น"
เมื่อได้ยินคำถามนี้แล้ว  รู้สึกสงสารคนถามมาก เหตุเพราะว่าน่าจะไม่เคยเจอพระสงฆ์ที่แท้จริงมาก่อนเลยในชีวิต  ถ้าถามว่าพระสงฆ์มีหน้าที่อะไร ?  ก็ต้องไปนึกถึงสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  ธุระในพระพุทธศาสนานี้มีสองอย่าง  
อย่างแรกคือ คันถธุระ  ศึกษาพระคัมภีร์ก็คือพระไตรปิฎก อย่างที่สองก็คือ วิปัสสนาธุระ   เมื่อศึกษาแล้วก็มากระทำให้รู้แจ้งเห็นจริง  หลังจากนั้นพระองค์ก็ให้บุคคลที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว เที่ยวไปเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก  เพื่อความสุขของคนหมู่มาก  เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก  นี่คือภาระหน้าที่ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มอบเอาไว้ให้พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
จะว่าไปแล้วในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ก็ศึกษากันไม่ครบถ้วน   ท่านที่ปฏิบัติบางทีก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปอย่างเดียว   ครั้นถึงเวลาจะนำมาสั่งสอนแก่ญาติโยม  บางทีก็กล่าวอ้างผิดพลาดไปบ้าง เพราะว่าขาดการศึกษาทางปริยัติธรรม
ส่วนฝ่ายที่ศึกษาพระปริยัติธรรมก็ขาดการปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริง  เมื่อมีบุคคลสงสัยข้องใจ ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายข้อธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลึกซึ้งได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น  พระองค์ท่านฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔  ก็คือ  ภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา ปัจจุบันนี้ภิกษุบริษัทของเราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นบุคคลด้อยโอกาส  ก็คือ เป็นบุคคลที่ขาดโอกาสศึกษาทางโลก อาจจะเป็นเพราะฐานะทางครอบครัวยากจนบ้าง   จำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานตั้งแต่เด็กบ้าง  เมื่อต้องการที่จะศึกษาจึงบวชเข้ามาเป็นพระภิกษุสามเณร  เพื่อที่จะให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา   
อีกจำพวกหนึ่งก็คือบุคคลที่เหลือเลือกจากสังคมแล้ว  เป็นผู้ที่เกเรที่ทางบ้านเอาไม่อยู่แล้วบ้าง  เป็นบุคคลที่เสพยาเสพติดบ้าง   เป็นบุคคลที่มีปัญหาทางจิตใจบ้าง  ญาติโยมทั้งหลายก็นำมาฝากไว้ในพระพุทธศาสนา  เพื่อหวังที่จะให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ ช่วยกล่อมเกลาให้เขาทั้งหลายเหล่านี้ กลายเป็นคนดีในสังคม  ก็คือมาบวชเพื่อ "ชุบ" ตัวเอง
แต่ไปเจอพระอุปัชฌาย์อาจารย์ทอดธุระ  เมื่อทำการบรรพชาอุปสมบทแล้วก็ไม่มีการอบรมสั่งสอนใด ๆ  จึงทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ขาดความรู้ความเข้าใจ  นอกจากพระอุปัชฌาอาจารย์จะไม่อบรมสั่งสอนแล้ว ตนเองยังไม่คิดที่จะศึกษาค้นคว้าและทำการปฏิบัติจริงอีกด้วย  จึงไปออกอาการฉันเช้าแล้วเอน  ฉันเพลแล้วนอน  ตอนบ่ายพักผ่อน  ตอนค่ำจำวัด  ที่ญาติโยมใช้คำแรง ๆ ว่า "นอนกลางวันแข่งกับหมาเท่านั้น..!"
ถ้าหากญาติโยมมีกำลังใจที่เข้าถึงธรรมสักหน่อย  ก็จะไม่ใช้คำพูดที่แรงแบบนี้  แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าภาพพจน์ที่ญาติโยมเห็นเกี่ยวกับพระสงฆ์นั้น  เป็นภาพพจน์ที่ท่านทั้งหลายจำฝังใจไปเสียแล้ว  
จนกระทั่งมีการกล่าวกันว่า "บวชพระแล้วสบาย  บ้านไม่ต้องเช่า  ข้าวไม่ต้องซื้อ  ภาษีไม่ต้องเสีย  ถึงเวลาก็มีคนเอาปัจจัยสี่มาทูนหัวทูนเกล้าถวายเอาไว้ให้อีก"   ซึ่งจะว่าไปแล้วภาพพจน์ทั้งหลายที่ท่านได้เห็นนั้น  เป็นในช่วงท้าย ๆ นี้เท่านั้น
ก่อนหน้าสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่นั้น  เมื่อเข้าเรียนชั้นประถมปีที่  ๑  คุณครูก็เริ่มอบรมสั่งสอนว่า "สินค้าออกสำคัญของไทย ประกอบไปด้วย  ข้าว ข้าวโพด  ยางพารา  ไม้สัก แร่ดีบุก"  ซึ่งเด็กประถมชั้นปีที่  ๑  เพิ่งจะอ่าน ก.ไก่  ข.ไข่ ก็ต้องฟังเอาไว้เต็มหู  
กระผม/อาตมภาพนั้นยังต้องหยุดวันโกนวันพระ  เมื่อถึงวันโกนครูจะให้หยุดเรียนครึ่งวัน  ไปช่วยตักน้ำใช้น้ำฉันใส่โอ่งใส่ไหที่วัด  เอาไว้เพื่อให้พระท่านใช้งาน  ไปช่วยกันกวาดวัดถูศาลา  ล้างถ้วยล้างชามล้างปิ่นโต  ทำความสะอาดห้องส้วม  เพื่อรองรับศรัทธาญาติโยมที่จะมาใช้สถานที่ในวันพระ คือมาทำบุญนั่นเอง
ครั้นถึงวันพระ  พ่อแม่ก็พาไปวัด  เพื่อที่จะได้ทำบุญใส่บาตร  โดยเฉพาะเด็ก ๆ มักจะชอบไปวัดมาก  เพราะว่าข้าวปลาอาหารที่เหลือจากพระภิกษุสามเณรนั้น มักจะดีกว่าที่บ้านมาก  เนื่องเพราะว่าญาติโยมทั้งหลายพยายามทำในสิ่งที่ดีที่สุด  เพื่อที่จะถวายทานเอาไว้ในพระพุทธศาสนา   
แล้วบรรดาหลวงปู่หลวงตาหลวงพ่อท่านก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ไม่ว่าจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาปรึกษา  ท่านก็พยายามชี้ทางออก  บอกทางถูกให้   เจ็บไข้ได้ป่วยมาท่านก็รักษาด้วยยาสมุนไพรบ้าง ด้วยคาถาอาคมบ้าง  เมื่อมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านก็เป็นกรรมการตัดสินให้   
เราจะเห็นว่าสมัยนั้น  เมื่อถึงเวลาจะมีการสร้างกุฏิ  สร้างศาลา  ญาติโยมทั้งหลายก็ไปช่วยกัน  ผู้ใหญ่บ้านท่านนั้นออกเสาหนึ่งต้น  กำนันท่านนี้ออกเสาหนึ่งต้น  เถ้าแก่โรงสีท่านนั้นออกเสาหนึ่งต้น  ไอ้ทิดบ้านนี้ให้ไม้กระดานหนึ่งแผ่น  คุณยายบ้านโน้นให้สังกะสีหนึ่งแผ่น    
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้พระภิกษุของเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปรบกวนญาติโยมในเรื่องของเงินทอง  เพราะว่าระบบของสังคมในยุคนั้นช่วยบริหารจัดการให้   ไม่ว่าจะเป็นศาลาการเปรียญ  หอระฆัง  หรือโบสถ์  ล้วนแล้วแต่ญาติโยมทั้งหลายช่วยกันออกปัจจัย  ช่วยกันออกเรี่ยวแรงสร้างให้
แต่เมื่อครั้นถึงเวลาที่เราเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรม  ก็คือการใช้แรงงานจำนวนมาก  เพื่อจะได้สินค้าออกไปส่งต่างประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด  ไม้สัก  ยางพารา แร่ดีบุก ตามที่ครูได้สอนเอาไว้  เมื่อต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก  ก็ทำให้แรงงานทั้งหลายวิ่งเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม  พวกที่จะมาช่วยให้พระภิกษุสงฆ์ของเราได้กระทำงานต่าง ๆ เหมือนก่อนก็ไม่มี
ส่วนใหญ่บรรดาอุบาสกอุบาสิกาที่มีฐานะดี  ก็นำปัจจัยมามอบให้กับหลวงปู่หลวงพ่อ  บอกว่าต้องการเป็นเจ้าภาพสร้างสิ่งนั้น  ต้องการเป็นเจ้าภาพสร้างสิ่งนี้  รบกวนหลวงปู่หลวงพ่อช่วยจัดการให้ด้วย พวกกระผม/พวกดิฉันมีงานที่ต้องรับผิดชอบ  ไม่สามารถที่จะมาดูแลให้ด้วยตนเอง  
ดังนั้น..เมื่อสังคมเปลี่ยนไป  วัดวาอารามก็เปลี่ยนไป  ประกอบกับการศึกษาของพระที่สมัยก่อนปริยัติคือการเรียนตำรา  กับปฏิบัติคือการฝึกวิปัสสนากรรมฐานนั้น  เป็นสิ่งที่กระทำคู่กันมา  แต่ครั้นเมื่อโดนแยกหลักสูตรการศึกษาออกมา กลายเป็นว่าปริยัติเรียนในส่วนของนักธรรมและบาลี  ปฏิบัติไม่มีการสนับสนุน  
แถมในสมัยที่หลวงปู่มั่นท่านออกธุดงค์ใหม่ ๆ  ก็โดนกล่าวหาว่าเป็นผีบ้า ผีบุญบ้าง  โดนขับไล่บ้าง  จนกว่าญาติโยมจะเข้าใจก็ช่วงท้าย ๆ  ชีวิตของท่านแล้ว
ในเมื่อการศึกษาปริยัติและปฏิบัติโดนแยกออกจากกัน  หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะมีความรู้ครบถ้วนทั้งสองด้าน  ท่านที่ศึกษาปริยัติเมื่อมีความรู้ก็มักได้รับความไว้วางใจ  ให้เป็นพระสังฆาธิการฝ่ายปกครอง  เมื่อมีความเจริญก้าวหน้าในยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งแห่งที่ของตน  ด้วยความที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมมา  ก็เลยหลงไปกับ ลาภ ยศ  สรรเสริญ  สุข  ทั้งหลายเหล่านั้น 
ส่วนท่านที่ปฏิบัติ   เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งก็มีความมานะถือตัวถือตนขึ้นมา  ไม่สามารถที่จะละกิเลสให้หมดสิ้นได้อย่างแท้จริง จึงแบกมานะว่า "กูเป็นพระฝ่ายปฏิบัติ  กูเคร่งครัดกว่า  กูดีกว่า"  บางทีก็มีการเขม่นกันเอง  จนถึงขนาดขัดแข้งขัดขากัน  จนกลายเป็นอธิกรณ์ใหญ่  อย่างเช่นการที่กล่าวหาครูบาศรีวิชัยว่า ท่านตั้งตัวเป็นผีบุญ จะก่อกบฏแยกประเทศ  เหล่านี้เป็นต้น
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น  จึงทำให้ปริยัติปฏิบัติต่อกันไม่ติด  ฝ่ายที่ศึกษาเล่าเรียนก็มักจะเน้นไปในความก้าวหน้าเฉพาะทางโลก  ฝ่ายปฏิบัติที่ต้องการพ้นทุกข์  ถ้าได้ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีความสามารถ ก็หลงเตลิดเปิดเปิงนอกลู่นอกทางไปมากมาย  จนกระทั่งกลายเป็นสังคมสงฆ์ที่สับสนวุ่นวายอย่างในปัจจุบันนี้   
กระผม/อาตมภาพนั้นมีนโยบายง่าย ๆ ที่วัดท่าขนุนว่า พระภิกษุสามเณรที่บวชเข้ามา  ขอแค่ให้ญาติโยมไหว้ได้เต็มมือเท่านั้น  จึงเน้นในเรื่องของการสวดมนต์  ทำวัตร  บิณฑบาต  กรรมฐาน ไม่ให้ขาด โดยเฉพาะการทำวัตรเช้าเย็นมีถึง  ๓  รอบด้วยกัน  การเจริญกรรมฐานก็ต้องเริ่มกันตั้งแต่ตีสี่ เป็นต้น  
จึงทำให้บุคคลที่อยู่รอบวัด ส่วนใหญ่ก็นำลูกหลานไปบวชที่วัดอื่น  มีความเคารพในตัวหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาส แบบสุดจิตสุดใจ   ถึงเวลาแห่ลูกหลานที่จะบวชมากราบขอขมาหลวงปู่แล้วก็ไปบวชที่อื่น   เพราะกลัวว่าลูกหลานจะลำบาก  โดยที่ใช้คำว่า "วัดท่าขนุนเคร่งเกินไป"   
ในเมื่อเป็นเช่นนี้  ญาติโยมที่ต้องการพระภิกษุสามเณรที่เคร่งครัดอยู่กับวัตรปฏิบัติ  แต่กลับไม่ยอมให้ลูกหลานบวช  เอาไปบวชในวัดที่ฉันเช้าแล้วเอน  ฉันเพลแล้วนอน  ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด  ก็เลยกลายเป็นจุดที่ก่อให้เกิดคำถามที่ว่า   "พระสงฆ์มีประโยชน์อะไร ?  มีหน้าที่อะไร ?  เห็นแต่นอนกลางวันแข่งกับหมาไปวัน ๆ เท่านั้น..!"
จะว่าไปแล้วก็เป็นการที่ญาติโยมทั้งหลายทำตัวเองทั้งสิ้น  ก็คือลูกหลานบวชก็เกรงว่าจะลำบาก  ไม่ยอมให้บวชในวัดที่เคร่งครัดต่อวัตรปฏิบัติ  แต่ให้ไปบวชในวัดที่สบายกับลูกหลานของตนเอง  ถึงเวลาก็มาเรียกร้องว่าอยากให้พระเคร่งครัด  กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ความต้องการที่ย้อนแย้งกันแบบนี้จะทำอย่างไร  ?!!
แต่ขอติงไว้นิดหนึ่งว่า  ท่านผู้ที่ตั้งคำถาม  ถ้าไม่ใช่ตั้งใจหายอดไลค์ก็หาเรื่องให้ทัวร์ลงชัด ๆ..! เพราะว่าคำถามนั้นแรงไป  ขณะเดียวกัน ท่านก็เป็นผู้ที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง  เพราะว่าไม่มีโอกาสได้เจอกับหลวงปู่หลวงพ่อที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  ไม่มีโอกาสได้เจอกับพระนักพัฒนาที่เสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา  เพื่อญาติโยมทั้งหลายอย่างแท้จริง  ได้แต่เจอกับบุคคลที่ทำให้ภาพพจน์พระพุทธศาสนาตกต่ำเท่านั้น  
 ต้องขอเอาใจช่วยให้ญาติโยมเจ้าของคำถาม  ซึ่งน่าจะได้อานิสงส์ในการ "ดึงสติ" พระภิกษุสามเณรขึ้นมานิดหนึ่งตรงนี้ว่า ขอให้ผลบุญส่วนนี้นั้น  ดลบันดาลให้ท่านได้พบพระภิกษุสามเณรผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างแท้จริง  จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาตั้งคำถามเหล่านี้อีก 
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวกับญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
 
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.