#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ช่วงเช้า การรับบิณฑบาตตามโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าไทย นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" ถือว่าอยู่รอดปลอดภัย เนื่องจากว่าฟ้าเปิด ไม่มีฝน ญาติโยมทั้งนักท่องเที่ยวและประชาชนในชุมชน ได้ใส่บาตรกันอย่างมีความสุข
สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพอยากจะพูดถึงหลายเรื่อง แล้วแต่ว่าเวลาจะอำนวยให้ได้สักกี่เรื่อง เรื่องแรกก็คือ คลิปภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบของกระผม/อาตมภาพ มีผู้ติดตามครบ ๑ ล้านวิวแล้ว ต้องบอกว่าระยะเวลาประมาณ ๑ ปีที่ผ่านมา มีญาติโยมจำนวนหนึ่งที่ติดตามการภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบจากยูทูบ โดยเปิดเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าจะภาวนาตามได้บ้าง ลืมไปบ้าง หรือว่าฟังแต่เสียงบ้างก็ยังดี เนื่องเพราะว่าสภาพจิตของเราเมื่อได้สติขึ้นมา ก็จะจดจ่ออยู่กับตัวบทพระคาถาที่เปิดอยู่ อย่างน้อย ๆ ในช่วงนั้นจิตของเราก็มีสมาธิ ถ้าทำบ่อย ๆ จนเคยชิน ผลของพระคาถาเงินล้านก็จะเกิดขึ้น อำนวยให้หลายต่อหลายท่านได้รับความสะดวกคล่องตัว ทั้งในเรื่องของการงานและการเงิน เพียงแต่ว่าพระคาถาเงินล้านนั้น มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง ก็คืออันดับแรก ต้องไม่คิดภาวนาโดยหวังจะรวย เนื่องเพราะว่าถ้าคิดแบบนั้น ตัวอยากที่นำหน้าจะตัดผลไปเกือบหมด ประการที่สองก็คือ ต้องทำอย่างจริงจังและสม่ำเสมอทุกวัน ถ้าหากว่าใครทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง สม่ำเสมอ ประมาณ ๒ เดือนก็เห็นผลแล้ว และข้อต่อไปก็คือต้องมีการให้ทานเป็นปกติ ถ้าไม่มีเวลาใส่บาตร ก็ให้ภาวนาพระคาถาเงินล้าน แล้วนำเงินจำนวนหนึ่งหยอดกระปุกเอาไว้ ตั้งใจว่าถวายเป็นภัตตาหารพระภิกษุสามเณร เมื่อได้จำนวนหนึ่งที่พอสมควร เราก็เปิดกระปุก นำไปถวายวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ เท่ากับว่าเรามีการให้ทานอยู่ทุกวัน เนื่องเพราะว่าผลของทานนั้น ย่อมทำให้เกิดโภคทรัพย์ต่าง ๆ ในเมื่อเรามีการกระทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องไประยะหนึ่ง ผลของทานก็จะส่งผลให้ได้อย่างที่เราต้องการ เป็นต้น อีกประการหนึ่งก็คือ พระคาถาเงินล้านนั้นต้องภาวนาด้วยความเคารพเลื่อมใสจริง ๆ ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า "ท่านปู่ - ท่านย่า" ซึ่งทางลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงทราบดีว่าเป็นใคร ได้บอกกล่าวเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าเป็นลูกหลานนอกสาย ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่เลื่อมใสศรัทธา และไม่ทำตาม แต่ถึงจะเป็นลูกหลานนอกสาย ถ้ามีความเลื่อมใส ศรัทธา และทำตามอย่างจริงจังสม่ำเสมอ ผลดีก็ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2023 เมื่อ 02:03 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้หลายท่านทำพระคาถาเงินล้านแล้ว "ไม่ขึ้น" คำว่า ไม่ขึ้น ในที่นี้ก็คือ ไม่บังเกิดผล ความจริงแล้วถ้าเรารู้จักสังเกตอารมณ์ใจตนเอง จังหวะไหน การวางอารมณ์ใจเท่าไร สมาธิอยู่ในขั้นใด ที่เราทำแล้วเกิดผลต่อพระคาถาบทใดบทหนึ่ง พระคาถาบทอื่น ๆ ก็ทำแล้วจะได้ผลเช่นกัน วางกำลังใจให้เท่ากัน ตั้งใจภาวนาในลักษณะเดียวกัน เท่านี้ทุกคาถาเราก็สามารถทำขึ้นได้
เหมือนอย่างที่วันนี้มีญาติโยมมารายงานว่า ตนเองนั้นโดนมีดบาดมือ แต่เนื่องจากว่าอยู่ในจุดที่ต้องใช้งานอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้บาดแผลไม่หายเสียที กระผม/อาตมภาพจึงบอกว่า "เดี๋ยวจะเป่าให้" ว่าแล้วก็ใช้คาถามหาประสานเป่าไปให้ ปรากฏว่าหลังจากนั้นหลายวันผ่านไป ญาติโยมมารายงานในวันนี้ว่า "บาดแผลหายสนิทตั้งแต่วันนั้นแล้ว" ก็คือการที่เราวางกำลังใจเท่ากันในการใช้พระคาถานั่นเอง ถ้าทำขึ้นบทหนึ่ง ก็แปลว่าอีกกี่สิบกี่ร้อยบท ท่านทั้งหลายก็จะทำขึ้นไปด้วย เนื่องเพราะว่าใช้กำลังใจเท่ากัน ใช้วิธีการเดียวกัน ใช้ระดับสมาธิเท่ากัน กระผม/อาตมภาพนั้น โดนพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฝึกมาตั้งแต่วัยรุ่น เนื่องเพราะท่านรู้ว่ากระผม/อาตมภาพชอบฤทธิ์เดชเวทมนตร์คาถา จึงมอบพระคาถามาให้ บอกว่า "พระคาถาบทนี้ดีอย่างนี้ ให้เอาไปภาวนาอย่างน้อยต่อเนื่องให้ได้สัก ๓๐ นาทีต่อครั้ง และที่แน่ ๆ ก็คือต้องรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ให้เวลาไปลองทำดู ๓ เดือน ถ้าได้ผลแล้วให้มารายงานด้วย" กระผม/อาตมภาพส่วนใหญ่แล้วไปทำแค่ไม่กี่วันก็เห็นผลแล้ว เมื่อมารายงาน ท่านก็บอกว่า "ดีแล้วลูก ต่อไปเอาบทนี้ไปลองทำดู จะมีผลแบบนี้ ๆ" ซึ่งบางบทนั้น กระผม/อาตมภาพภาวนาตรงนั้นก็ได้ผลอย่างนั้นแล้ว..! เมื่อโดนฝึกฝนในลักษณะอย่างนี้บ่อย ๆ ไม่ทราบว่าด้วยความที่เป็นคนขี้เกียจ หรือว่าเป็นคนที่ชอบทำของยากให้เป็นของง่าย จึงพยายามสังเกตว่า ตอนที่เราทำพระคาถาได้ผลนั้น เราวางกำลังใจอย่างไร เราตั้งสมาธิในระดับไหน เมื่อจับจุดได้ก็ใช้วิธีนั้นแล้วก็เกิดผล ไม่ต้องเสียเวลา ๓ เดือนหรือ ๑ เดือน ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกำหนดเอาไว้ บางอย่างทำตรงนั้นก็สามารถที่จะเห็นผลตรงนั้นเลย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงขอให้ญาติโยมทั้งหลายที่จะใช้พระคาถาเงินล้านนั้น ลองสังเกตอารมณ์ใจของเราดู ว่าเมื่อเราทำได้ผลนั้น วางกำลังใจลักษณะไหน เมื่อตนเองไปใช้พระคาถาบทอื่น ๆ ก็วางกำลังใจลักษณะเดียวกัน สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ต้องมีใจเป็นอุเบกขา ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่อยากให้เกิดผล แต่ก็ไม่ใช่ไม่ต้องการให้เกิดผล คือตั้งใจว่าจะให้เป็นอย่างไร แล้วลืมความตั้งใจนั้นเสีย มีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว ถ้าวางกำลังใจแบบนี้ได้ ก็จะได้ผลเร็ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2023 เมื่อ 02:07 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เรื่องต่อไปที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ "ดราม่า" ที่พระภิกษุสงฆ์ขึ้นรถไฟฟ้า ปรากฏว่าที่นั่งพิเศษสำหรับพระภิกษุสงฆ์ คนแก่ ผู้หญิงท้อง หรือว่าเด็ก โดนคนหนุ่มคนสาวแย่งกันนั่งจนเต็ม แล้วก็มีการเมิน ไม่สนใจว่าพระยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อมีเรื่อง "ดราม่า" ขึ้นในสื่อโซเชียล ก็ยังมีคนเข้าไปเถียงว่า "พระก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมถึงยืนไม่ได้ ? ในเมื่อพระยังหนุ่มแน่นแข็งแรง..ก็ยืนไปสิ..!" ผู้ที่พูดอย่างนี้แสดงว่าสภาพจิตใจหยาบมาก และไม่รู้เลยว่ากฎเกณฑ์กติกาในสังคมเป็นอย่างไร หรือถึงแม้ว่ารู้ก็ไม่สนใจ เอาแต่ตัวเองสบายเท่านั้น
กฎเกณฑ์กติกาในสังคมก็ระบุเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า การที่พระภิกษุ ผู้หญิงท้อง หรือว่าคนแก่ ตลอดจนกระทั่งเด็กเล็ก จะมีที่นั่งพิเศษไว้ให้ ในช่วงที่ว่างอยู่พวกคุณสามารถที่จะนั่งได้ แต่ถ้ามีบุคคลที่ระบุเอาไว้ขึ้นมา โดยกฎเกณฑ์ของสังคมก็คือ คุณจะต้องลุกให้เขาเหล่านั้นนั่ง ไม่ใช่หน้าด้าน ทำไม่รู้ไม่ชี้ นั่งเล่นโทรศัพท์ของเราต่อไป..! เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ที่ปรากฏขึ้นในสังคมไทยของเรา เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก สมัยที่กระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ อยู่นั้น พระขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟรีทุกรูป เข้าร้านอาหารร้านไหน เขาก็ถวายฟรี แต่ว่ามาในระยะหลังก็เริ่มมีการเก็บสตางค์พระ จนกระทั่งท้ายที่สุด พระภิกษุสงฆ์ก็ต้องจ่ายสตางค์ตามปกติ ไม่มีการลดหย่อนอะไรให้อีก แล้วขณะเดียวกัน สมัยก่อนนั้นเมื่อเวลาเราเดินสวนกับพระ ผู้ใหญ่จะสอนให้เราหลีกลงข้างทาง พนมมือไหว้ ให้ทางพระไปก่อน เมื่อท่านเดินผ่านเลยไปแล้ว เราถึงได้เดินต่อ ซึ่งปัจจุบันนี้ทางทองผาภูมิ พี่น้องมอญพม่าที่ค่อนข้างจะมีอายุ ยังคงปฏิบัติแบบนี้อยู่ เมื่อเดินสวนกับพระ ผู้ชายจะหลีกลงข้างทาง ยืนตรงให้พระผ่านไปก่อน ส่วนผู้หญิงนั้น นอกจากหลีกลงข้างทางแล้ว ยังนั่งลงกับพื้นอีกด้วย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นความงดงามในวัฒนธรรมประเพณี ที่เราทำต่อเนื่องกันมา ก็คือ แสดงออกซึ่งความเคารพ ๑ ใน ๓ ของพระรัตนตรัยจากจิตจากใจของตนเอง บุคคลที่สามารถทำได้ โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะเข้าถึงธรรมก็มีมาก แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายกิเลสหนา บดบังจนดวงตาและจิตใจมืดบอด ไม่เห็นความสำคัญของพระรัตนตรัย ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าท่านเองนั้น นอกจากจะทำตัวให้ห่างไกลมรรคไกลผล จนต้องเวียนว่ายตายเกิดมาทุกข์ทรมานไม่รู้จบแล้ว ยังเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มให้แก่ตนเองด้วย เนื่องจากไปเห็นว่า ผู้ที่เป็นปูชนียบุคคลมีราคาเท่ากับตนเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2023 เมื่อ 02:11 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ในเมือง ระยะหลังนี้อย่าว่าแต่หลีกให้พระเลย ถ้าพระไม่หลีก บางทีก็เดินชนไปเลยก็มี..! เมื่อกระผม/อาตมภาพไปทำธุระ ก็ต้องคอยหลบ คอยระวังจนตัวลีบ ไม่มีความจำเป็นเรื่องใดก็มักจะไม่เข้าไปในที่ชุมชน เนื่องเพราะรู้ดีว่า คนสมัยนี้นั้นสภาพจิตหยาบกระด้างขึ้นมาก ไม่ได้ใส่ใจว่าพระภิกษุสามเณรเป็นบุคคลที่ควรเคารพแต่อย่างใด
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายก็ย่อมจะห่างจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ย่อมเป็นมงคลอันสูงสุด แม้กระทั่งสะมะณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การได้เห็นพระภิกษุสงฆ์ก็ถือว่าเป็นมงคลสูงสุด เนื่องเพราะว่าทำให้ใจของเราเกาะในอนุสติ ก็คือสังฆานุสติ ถ้าใครสามารถระลึกเลยไปถึงธัมมานุสติ และพุทธานุสติ ก็ยิ่งเป็นกำไรใหญ่ของตนเอง ดังนั้น..สิ่งที่สังคมในช่วงนี้กำลัง "ดราม่า" กันอยู่นั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นการสร้างความแตกแยกขึ้นในสังคมของเราอีกด้วย เนื่องเพราะว่าบุคคลที่มีจิตสำนึก มีความเคารพในกฎเกณฑ์ของสังคม ก็ไปตำหนิบุคคลที่ไร้จิตสำนึก ไร้ความเคารพในกฎเกณฑ์ของสังคม จนเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกัน สร้างให้เกิดประเด็นขึ้นมา ตรงกับคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวว่า เราไม่ควรกล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกัน เนื่องเพราะว่าวาจาอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกัน ย่อมทำให้ต้องพูดมาก บุคคลผู้พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่าน จิตย่อมห่างจากสมาธิ เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สอนสิ่งหนึ่งประการใด ก็หวังประโยชน์สุขในปัจจุบัน ประโยชน์สุขในอนาคต และประโยชน์สุขสูงสุด คือหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน ผู้ใดรู้ตัวสามารถกระทำตามได้ ก็บังเกิดคุณประโยชน์แก่ตนเองและคนรอบข้าง ผู้ใดไม่รู้ตัว ก็คงต้องปล่อยไปตามยถากรรม ถ้ามีโอกาส เราค่อยไปช่วยแนะนำเขาทีหลัง ถ้าไม่มีโอกาส จะก่อให้เกิดการถกเถียงกัน เราก็นิ่งเสียดีกว่า สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2023 เมื่อ 02:13 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|