#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพวิ่งไปถึงวัดสามพระยาวรวิหาร ก่อนเวลา ๖ โมงเช้า เพื่อไปร่วมทำวัตรกับผู้เข้ารับการอบรมเป็นพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๖ ซึ่งพระเดชพระคุณพระเทพวิสุทธิดิลก (ละเอียด กิตฺติสุขุโม ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร เป็นผู้นำในการทำวัตรทุกวัน
หลังจากนั้นก็ได้ไปฉันเช้าร่วมกับพระเดชพระคุณพระพรหมวัชรเมธี (สมเกียรติ โกวิโท ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม เจ้าคณะภาค ๙ หรือที่กระผม/อาตมภาพเรียกท่านด้วยความเคารพว่าหลวงปู่สมเกียรติ แล้วก็ไปเดินให้กำลังใจบรรดาว่าที่พระอุปัชฌาย์จากคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งตอนอบรมอยู่ที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) มี ๒๐ รูปด้วยกัน แต่พอมาถึงที่นี่แล้ว เหลือรอดมาเพียง ๑๗ รูปเท่านั้น..! ที่นึกไม่ถึงก็คือ ได้เจอท่านอาจารย์พระมหาสุรชัย วราสโภ, ดร. ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนกระผม/อาตมภาพมา ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ที่หน่วยวิทยบริการ คณะสังคมศาสตร์ วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) แล้วก็ได้เจอหลวงพ่อเจ้าคุณอัครเดช (พระราชพัชรมานิต วิ.) วัดบุญญาวาส จังหวัดชลบุรี ซึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณอัครเดช ท่านได้ "พาสชั้น" จากเจ้าอาวาสขึ้นไปเป็นเจ้าคุณชั้นราชฝ่ายวิปัสสนาธุระเลย ด้วยความที่ไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารมาด้วยกัน ท่านจึงทักทายก่อน นึกว่ากระผม/อาตมภาพเป็นผู้อบรมรุ่นนี้เหมือนกัน แต่ปรากฏว่ากระผม/อาตมภาพกลายเป็นมาส่งรุ่นน้องเข้าอบรม ยังหัวเราะกันอยู่ว่า ไม่น่าที่จะต้องมาอบรมเลย เนื่องเพราะว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติ ไปไหนไม่ค่อยจะเป็น แต่ว่าท่านเองท่านก็พยายามที่จะศึกษาเรียนรู้ อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงพ่อช้าง วัดจุกเฌอ ซึ่งตอนนี้เลื่อนขึ้นเป็นรองเจ้าคณะอำเภอแปดริ้วแล้ว ท่านอยู่ในฐานานุกรมพระครูปลัดธรรมานุวัตร มาอบรมพระอุปัชฌาย์รุ่นนี้เหมือนกัน ส่วนที่เหลือนั้น กระผม/อาตมภาพก็รับไหว้บ้าง ทักทายบ้าง ตามแต่ที่ท่านทั้งหลายจะจดจำกระผม/อาตมภาพได้ จนกระทั่งหลวงพ่อเจ้าคุณอัครเดชยังว่า "หลวงพ่อเล็กรู้จักคนที่นี่เยอะมากเลย" กระผม/อาตมภาพก็เรียนถวายหลวงพ่อเจ้าคุณท่านไปว่า "ส่วนใหญ่แล้วท่านเป็นลูกศิษย์ที่เรียนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทั้งที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี และที่ส่วนกลาง" ในเมื่อเจริญเติบโตมาทางด้านสายการปกครอง ก็ต้องมาเป็นพระอุปัชฌาย์กันจนได้ จึงต้องรับไหว้กันไม่รู้จบในลักษณะอย่างนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2023 เมื่อ 01:41 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เมื่อได้เวลาแล้ว พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ, ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการมหาเถรสมาคม ก็เป็นประธานในการเปิดการอบรม และปฐมนิเทศ หลังจากนั้นแล้วพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณยังเมตตาบรรยายถวายความรู้แก่พระอุปัชฌาย์รุ่นนี้อีก ๑ ชั่วโมงเต็ม ๆ ทำให้กระผม/อาตมภาพรู้สึก "อิจฉามารศรี" เป็นที่ยิ่ง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการที่จะมีครูบาอาจารย์ระดับสมเด็จพระราชาคณะมาบรรยายถวายความรู้ให้นั้น เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง
แล้วกระผม/อาตมภาพก็ออกมาบริจาคปัจจัย ร่วมถวายภัตตาหารเลี้ยงพระอุปัชฌาย์รุ่นนี้ ในนามขององค์กรพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ซึ่งรุ่นนี้ควรที่จะเป็นรุ่นที่ ๕๘ แล้ว แต่เนื่องจากว่าติดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดอยู่ ๓ ปี ทำให้อบรมมาได้ถึงรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ ๕๖ เท่านั้น หลังจากนั้นก็ยังบริจาคในนามของพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. อีกส่วนหนึ่ง แล้วก็ไปนั่งรอพรรคพวกเพื่อนฝูง ซึ่งจะมาสมทบในภายหลัง เนื่องเพราะว่าต่างคนต่างก็ติดธุระกันทั้งสิ้น เมื่อเสร็จสิ้นจากพิธีการรับถวายภัตตาหารพระราชทาน ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๑๐ พระราชทานอาหารเลี้ยงผู้เข้ารับการอบรมพระอุปัชฌาย์ ต้องถือว่าพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๖ นี้เป็นรุ่นที่มีบุญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าเป็นรุ่นแรกที่ได้รับการถวายภัตตาหารพระราชทาน เมื่อไปฉันเพลกันเรียบร้อยแล้ว พวกกระผม/อาตมภาพก็เข้าถวายสักการะพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ. ๙) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์คืนมา แล้วพวกกระผม/อาตมภาพเห็นว่า วันนี้เป็นวาระที่เหมาะสม จึงนัดกันมาถวายสักการะ คณะเพื่อนพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกันที่มาก็มีท่านเจ้าคุณดำเนิน (พระปริยัติวโรปการ) เจ้าอาวาสวัดนาคกลางวรวิหาร หลวงพ่อพระครูโสภิตปัญญากร (เชาวลิตร ชิตงฺกุโร) เจ้าอาวาสวัดป่าประดู่พระอารามหลวง เจ้าคณะอำเภอเมืองระยอง ท่านอาจารย์พระมหาชิต ฐานชิโต ป.ธ. ๗ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเขียนเขตพระอารามหลวง เจ้าคณะอำเภอธัญบุรี พระมหาสมคิด อตฺถสิทฺโธ ป.ธ. ๗ เจ้าอาวาสวัดหนองโพ รองเจ้าคณะอำเภอโพธาราม พระครูสิทธิวัฒนคุณ (พรพรหม ฐิตคุโณ) ที่ปรึกษาเจ้าคณะเขตตลิ่งชัน เจ้าอาวาสวัดกระจัง พระมหาศรีสมหวัง ธมฺมธีโร ป.ธ. ๕ วัดลานนาบุญ เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2023 เมื่อ 01:43 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อได้เข้ากราบถวายสักการะ หลวงพ่อพระพรหมดิลกดีใจมาก บอกว่า "เฮ้ย..เล็ก คิดถึงแกมากเลย อยากจะไปพักแถววัดท่าขนุนแล้วก็อยากไปนั่งแพด้วย" กระผม/อาตมภาพเรียนถวายว่า "หลวงพ่อพร้อมเมื่อไร ไปได้ทุกเวลาเลยครับ" ท่านเองยังหัวเราะ บอกว่า "ตอนนี้เป็นคนตกงาน พร้อมที่จะไปได้ทุกเวลา" เมื่อคุยกันจนหายคิดถึงแล้ว ก็ขออนุญาตท่านถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก จากนั้นขอตัวแยกย้ายกันไป
เรื่องของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมดิลกนั้น ต้องบอกว่าเป็นตัวอย่างของนักปราชญ์ที่แท้จริง คำว่านักปราชญ์ที่แท้จริงในที่นี้ก็คือ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทั้งทางโลกและทางธรรม โดยเฉพาะทางโลก ท่านเรียนจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค และจบด็อกเตอร์จากประเทศอินเดีย ต้องบอกว่าเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมรูปแรก ที่จบปริญญาเอกและจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่าเป็นมือแต่งฉันท์อันดับต้น ๆ ในประเทศไทย ขณะเดียวกันในทางธรรม ท่านก็ปฏิบัติตามที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ชุตินฺธรมหาเถระ ป.ธ. ๙) ซึ่งเป็นอดีตเจ้าคณะใหญ่หนกลาง อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร ได้สั่งสอนกรรมฐานเอาไว้ พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยานั้น หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงให้คำชมเชยไว้เป็นอย่างสูง ยกให้เป็นพระทองคำในกรุง ขนาดที่คุยอะไรไว้ที่วัดท่าซุง เมื่อมาถึงท่านสามารถที่จะพูดออกมาได้ทั้งหมด..! พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมดิลก ท่านรับเอาความรู้ความสามารถส่วนหนึ่งจากการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์มา จึงทำให้เวลาที่ท่านประสบกับการเสื่อมยศ ก็คือโดนถอดออกจากยศ แล้วซ้ำยังต้องไปติดคุกติดตารางอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อพวกกระผม/อาตมภาพเข้าไปเยี่ยม ท่านก็ยังสนุกสนานเฮฮาอยู่เหมือนเดิม บอกว่า "ข้าอยู่ข้างในนี้ปลอดภัยแล้ว พวกแกต่างหากที่อยู่ข้างนอก ระวังไว้เถอะ..จะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้..!?" แล้วท่านเอง เมื่อพ้นจากคุกจากตารางมา ท่านก็อยู่แบบสงบเสงี่ยมเจียมตน ทำหน้าที่เป็นครูสอนเปรียญธรรม ๙ ประโยคต่อที่วัดสามพระยาวรวิหาร อยู่ในลักษณะของปูชนียบุคคล จนกระทั่งศาลตัดสินว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีความผิดใด ๆ มีคำสั่งให้คดีสิ้นสุดลงไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์พระพรหมดิลกคืนให้ โดยถือว่าไม่เคยมีความผิดใด ๆ ทั้งสิ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2023 เมื่อ 01:46 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ในช่วงที่ท่านเสื่อมยศ กลายเป็นแค่พระมหาเอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ. ๙ ไม่มีตำแหน่งแห่งที่อะไรเลย ก็ไม่เห็นท่านจะรู้สึกรู้สาอะไร สามารถที่จะวางกำลังใจให้สงบร่มเย็นได้ตามปกติ ทำหน้าที่ของตนในฐานะศากยบุตรพุทธชิโนรสโดยไม่บกพร่อง เมื่อได้รับสมณศักดิ์คืนมาก็ไม่เห็นท่านจะดีใจอะไร แถมยังบอกว่าตอนนี้ไม่มีตำแหน่งสิดี สามารถที่จะไปไหนก็ไปได้
เรื่องนี้จึงเป็นตัวอย่างให้ทุกท่านได้เห็นว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ นั้นเป็นโลกธรรม คือธรรมะที่อยู่คู่กับโลกมา ใครสามารถที่จะรับมือได้โดยที่ไม่หวั่นไหว ก็แปลว่าเป็นบุคคลที่ต้องเข้าถึงธรรมในระดับหนึ่ง คือ ต้องมีสติ สมาธิ และปัญญา เพียงพอที่จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของนอกกาย มาได้ก็ไปได้ ตามหลักอนิจจังขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถทำกำลังใจแบบนี้ได้ กำลังใจของท่านก็จะมีความสุข นอกจากสภาพร่างกายที่มีสภาวะทุกข์ตามปกติแล้ว ก็ไม่ต้องไปแบกความเครียดอะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมดิลกนั้น กระผม/อาตมภาพรู้จักคุ้นเคยท่านมาตั้งแต่ยังเป็นพระศรีปริยัติบดี เป็นพระราชปริยัติบดี เป็นพระเทพสุธี เป็นพระธรรมคุณาภรณ์ จนกระทั่งเป็นพระพรหมดิลก ก็ไม่เห็นว่าความประพฤติปฏิบัติของท่านจะมีอะไรแตกต่างกันจากก่อนหน้านี้เลย ยังคงให้ความเมตตาอย่างสม่ำเสมอ มีสิ่งหนึ่งประการใดท่านก็เมตตาแนะนำสั่งสอน โดยเฉพาะวันนี้ ท่านบอกว่า "พวกแกรักกัน จับกลุ่มกันเหนียวแน่นแบบนี้เป็นการดีแล้ว ถึงเวลาจะทำอะไรจะได้มีกำลังมากพอ โดยเฉพาะการช่วยเหลืองานพระพุทธศาสนา" เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงขอถวายไว้เป็นอุทาหรณ์แก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายให้ทราบแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2023 เมื่อ 01:48 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|