กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-11-2011, 11:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default กำลังใจไม่ดี

กำลังใจไม่ดี
ทำให้การเจริญพระกรรมฐานไม่ดีด้วย

สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ มีความสำคัญดังนี้

๑. “เมื่อกำลังใจไม่ดี ก็ทำให้การเจริญพระกรรมฐานไม่ดีไปด้วย ให้ถือว่าเป็นของธรรมดา ภาระหน้าที่อันมีต่อร่างกายก็เป็นภาระหนักอยู่แล้ว (ภาราหะเว ปัญจักขันธา) หากขาดปัญญาในจุดนี้ ก็จักเพิ่มปัญหา หรือเพิ่มทุกข์ให้กับกายและจิตยิ่งขึ้น งานทางโลกอันเป็นภาระหน้าที่ที่จักต้องทำ เราสามารถวางได้ชั่วคราว หากจิตมีกังวลกับมันเกินพอดี จิตก็เป็นทุกข์ มีผลเสียทั้งทางโลกและทางธรรม ให้เอาเหตุการณ์ที่ประสบอยู่นี้ศึกษาให้ดี เหตุการณ์เหล่านี้ จักเป็นครูสอนอารมณ์ของจิตได้อย่างดีที่สุด” (สาเหตุเพราะเพื่อนของผม ท่านเอาจิตไปยึดติดกับการเจ็บป่วยของพระที่ท่านเคารพ และนับถือจนเกินพอดี ไปเกาะกายท่าน มิได้เกาะความดีหรือพระธรรมที่ท่านมีอยู่ เหมือนกับตอนขันธ์ ๕ ของหลวงพ่อฤๅษีท่านป่วย และที่สุดก็ทิ้งขันธ์ ๕ ไปสู่พระนิพพาน แต่จิตที่ยังมากอยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม มันก็ย่อมวุ่นวายอยู่เป็นธรรมดา ขออธิบายสั้น ๆ ว่า ล้วนเป็นอารมณ์ตัณหา ๓ หรือสมุทัยทั้งสิ้น)

๒. “เรื่องเวทนาของปุถุชนกับเวทนาของพระอริยเจ้าต่างกันมาก ปุถุชนยังคิดว่ากายเป็นเรา เป็นของเรา ดังนั้น เมื่อเวทนาเกิดก็ยึดเวทนานั้นเป็นของตน แต่พระอริยะ ท่านเห็นกายท่านเกิดดับ ๆ เป็นสันตติ เวทนาที่เกิดก็เกิดดับ ๆ ตามกายเป็นสันตติตามกาย หากจิตไปยึดเวทนาเข้า อัตตาตัวตนก็เกิด ทุกข์เกิดที่จุดนั้น เพราะสัญญาหรือความจำเป็นพิษเป็นภัย คือจำไม่ยอมลืม จิตฝืนความจริงของกาย ซึ่งประกอบด้วยรูป ๑ นาม ๔ คือ เวทนา-สัญญา-สังขารและวิญญาณ

ทั้ง ๕ อาการหรือขันธ์ ๕ นี้ โดยปกติธรรมจะเกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา นาม ๔ อาศัยรูปอยู่... เมื่อรูปเกิดดับ ๆ เป็นสันตติ นาม ๔ ที่อาศัยรูปอยู่ย่อมเกิดดับ ๆ ตามรูปกายอยู่เป็นธรรมดา แต่จิตไปฝืนความจริง ไม่ยอมให้มันเกิดดับ ๆ ไปตามรูป เวทนาและสัญญาจึงเป็นพิษเป็นภัยกลับมาทำร้ายจิตตนเอง อุปาทานหรือสังขารคืออารมณ์ปรุงแต่งธรรม ก็เป็นพิษตาม ผลทำให้เวทนาไม่ดับ เพราะสัญญาหรือความจำเป็นพิษ ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ทุก ๆ ครั้งที่เวทนาเกิดก็ยึดไว้หมดไม่ยอมให้ดับ เวทนาเก่าก็ยังอยู่ เวทนาใหม่ก็เพิ่มเข้ามา ทุกข์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุก ๆ ครั้งที่เวทนาเกิด เป็นเวทนาซ้อนเวทนา เป็นเวทนากำลัง ๒-๓-๔ ตามลำดับ เหตุจากความหลงของจิตที่ไม่ยอมวางสัญญาเดิม บุคคลใดที่เข้าใจพระกรรมฐานในจุดนี้แล้ว เมื่อยกเอากายคตา ฯ บวกอสุภกรรมฐานขึ้นมาพิจารณาใหม่ ก็จะเห็นความจริงว่า ร่างกายนี้มันไม่เที่ยง เกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะความไม่เที่ยงนี่แหละ จึงทำให้ทุกข์ และเห็นความจริงว่ามันแสนสกปรก จิตที่หลงยึดกายว่าเป็นตัวเป็นตน จึงเท่ากับหลงอยู่ในดงของกิเลส มีผลทำให้จิตที่ยังหลงยึดเกาะกายไว้ ต้องเกิดมามีร่างกาย วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่รู้จบ

๓. “เมื่อเข้าใจเรื่องเวทนาของพระอริยเจ้าแล้ว ก็จงอย่าไปกังวลกับร่างกายของพระอริยเจ้าท่าน ควรจักต้องหันมาสำรวจจิตและกำลังใจของตนเองเข้าไว้ ให้มีอินทรีย์สังวรณ์ คือ สำรวมอายตนะทั้ง ๖ ทั้งภายนอก ๖ และภายใน ๖ กระทบกันอยู่เป็นปกติธรรม ห้ามไม่ได้ กระทบแล้วให้อยู่ในอารมณ์สักเพียงแต่ว่า โดยเฉพาะโลกธรรม ๘ ซึ่งไม่มีใครหนีพ้น แล้วให้เห็นเป็นธรรมดาของโลก อะไรมันจักเกิดมันก็ต้องเกิดขึ้นด้วยกฎของกรรม อย่าไปกังวลใจให้มากนัก ดูแต่ความถูกต้องและความพอดี หรือทางสายกลางของจิตเข้าไว้ โดยอย่าทิ้งพรหมวิหาร ๔ เป็นหลักตัดสินปัญหาทุกชนิด ใครจักคิดอย่างไร พูดอย่างไร เราห้ามเขาไม่ได้หรอก มีแต่เราพึงสำรวมความคิด สำรวมวาจา พูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่พึงปล่อยตัว อย่าตามใจกิเลสอีกต่อไป ให้มีสติ-สัมปชัญญะกำหนดรู้เข้าไว้ โดยให้ยึดหลักรักษาผลประโยชน์ของจิตให้มาก อย่าให้เห็นสิ่งอื่นสิ่งใดสำคัญกว่าจิต

๔. “ให้รักษาจิตอย่าให้ตกเป็นทาสของกระแสเงินตรา เรื่องโลกธรรม ๘ นั้นไม่มีใครหนีพ้นอยู่แล้ว พึงระวังจิตให้ดี ๆ เพราะการหลงติดอยู่ในเงินตรา หรือลาภสักการะฆ่าคนให้ต้องลงนรกมามากแล้ว จงอย่าประมาทในทุกกรณี โดยเฉพาะในความตาย ในความไม่เที่ยงของร่างกาย แต่ความตายเป็นของเที่ยง จุดนี้จักต้องเตือนจิตของตนเองเข้าไว้อยู่เสมอ อย่าไปเห็นกายผู้อื่นไม่เที่ยงเป็นสำคัญ ให้เห็นกายเราไม่เที่ยงเป็นสำคัญ เพราะความตายอาจเกิดขึ้นได้ทุก ๆ ขณะจิต และจงอย่าไปยินดี-ยินร้ายกับความชั่วของผู้อื่น นั่นเป็นการวางอารมณ์ไม่ถูก เรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของเขา จงอย่าไปเสียเวลาปฏิบัติธรรมของเรา เวลาทุก ๆ ขณะจิตมีค่ามากสำหรับนักปฏิบัติธรรม การที่จิตเราไปนึกตำหนิกรรมชั่วของผู้อื่น ทำให้เกิดอารมณ์ไม่พอใจ-รังเกียจเขา ทำให้เกิดปฏิฆะขึ้นกับจิตเรา เป็นการเบียดเบียนจิตตนเองก่อนทั้งสิ้น เพราะขาดพรหมวิหาร ๔ สู้มีจิตเมตตา-อ่อนโยน-สงสารเขาแทน จักมิดีกว่าหรือ เพราะบุคคลที่ไม่มีศีลเหล่านี้ ยังแสวงหาภพชาติในการเกิด ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารอีกชั่วกาลนาน จักไปขุ่นข้องขัดเคืองกับเขา ยังจักไปเกิดตายกับเขาอีกทำไมกัน สู้อยู่รักษาจิต สำรวมอารมณ์ให้สงบมิดีกว่าหรือ ให้กลับใจเสียใหม่นะ”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2011 เมื่อ 15:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-12-2011, 11:16
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๕. “ให้ตรวจสอบสภาวะจิตของตนเองว่า ทำไมต้องไปทุกข์กับขันธ์ ๕ ของผู้อื่น ให้ศึกษาสัทธรรม ๕ ให้ละเอียด พิจารณาบ่อย ๆ จะทำให้จิตยอมรับความจริงในสัทธรรมทั้ง ๕ นี้อย่างจริงใจ มิใช่รู้แค่สัญญาอันเป็นอนิจจาอยู่เสมอ ต้องพิจารณาเนือง ๆ จนจิตเกิดปัญญายอมรับ ไม่ฝืนความจริงของกาย ว่าทุกคน ทุกภพ ทุกชาติที่เกิดมามีร่างกาย ก็จักต้องพบความจริงอันเป็นอริยสัจอยู่อย่างนี้ ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นไปได้ คือเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องป่วย ต้องตาย ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องพบกับอารมณ์พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง มีความปรารถนาไม่สมหวังอยู่เป็นธรรมดา จักต้องพบกับการพลัดพรากจากของรักของชอบใจอยู่เป็นธรรมดา ธรรมทั้ง ๕ ประการนี้ล้วนทำให้จิตเป็นทุกข์ แม้เราไม่ต้องการมัน แต่ก็หนีมันไม่พ้นทุกคน จุดนี้จึงต้องอาศัยปัญญาพิจารณา ให้จิตยอมรับความจริงหรืออริยสัจทั้ง ๕ นี้ให้ได้อย่างจริงใจ จึงจักเป็นการรู้ด้วยปัญญาอย่างแท้จริง สัญญาก็หมดไปโดยอัตโนมัติ”

๖. “อุบายในการพิจารณาเพื่อละ ปล่อยวางขันธ์ ๕ หรือสักกายทิฏฐิ ซึ่งแปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย หรือขันธ์ ๕ มีอยู่มากมายหลายวิธี แต่ทุกอุบายก็หนีไม่พ้นกายคตานุสติ ซึ่งเป็นมหาสมุทรแห่งธรรม ซึ่งทุกคนที่เกิดมาก็มีอยู่แล้วทุกคน เพราะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ทรงตรัสสอนอยู่แค่กายกับจิต หากเข้าใจแล้วก็จักไม่ต้องไปหาธรรมนอกตัวเรา ไม่ต้องไปยุ่งกับจริยาของผู้อื่นอีกต่อไป เสียเวลาไปโดยใช่เหตุ การส่งจิตออกนอกตัวเป็นการหาทุกข์ เพิ่มทุกข์ให้กับจิต การเอาจิตอยู่กับตัว.. เป็นการหาทางพ้นทุกข์ได้อย่างประเสริฐสุด เช่น พิจารณาว่าร่างกายที่เห็นกันอยู่นี้ เป็นของใครก็ไม่ทราบ เพราะมันเป็นสมบัติของโลก ซึ่งไม่มีใครสามารถเอาไปได้ หรือร่างกายที่เห็นอยู่นี้ไม่ว่าของเราหรือของใคร ก็ประกอบขึ้นมาด้วยธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง มีความสลายตัวไปในที่สุด ให้มองและพิจารณาจุดนี้อยู่เสมอ เพื่อให้จิตทรงตัว จักได้คลายความเกาะติดร่างกายของตนเองและผู้อื่น รวมทั้งสัตว์และวัตถุธาตุด้วย แล้วให้พิจารณาจุดละเอียดลงไปอีกให้ยิ่งกว่านี้ คือเรื่องอารมณ์ของจิต ให้ดูกรรมที่เกิดอกุศล-กุศลหรือไม่เป็นกุศล-ไม่เป็นอกุศล ใช้สติ-สัมปชัญญะกำหนดรู้อยู่อย่าให้ขาด พยายามรู้เข้าไว้แล้วสักวันหนึ่ง การตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานก็จักเป็นของพวกเจ้าได้ แล้วจงอย่าทิ้งอานาปานุสติ เพราะจุดนี้เป็นตัวโยงให้เกิดกิเลส-สัมปชัญญะได้สมบูรณ์ ที่พวกเจ้ายังร้อนไปด้วยไฟปฏิฆะอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะขาดอานาปาฯ”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-12-2011, 11:17
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๗. “อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ อย่ากังวลใจกับอนาคตให้มากนัก ให้จิตอยู่ในธรรมปัจจุบันให้มาก เรื่องที่ยังมาไม่ถึงก็ปล่อยให้เป็นไป เป็นเรื่องของเบื้องหน้า เรื่องของธรรมอนาคตนั้นไม่เที่ยง จักไปยึดถืออันใดเป็นแก่นสาร รังแต่จักทำให้จิตมีความทุกข์ไปล่วงหน้าเสียเปล่า พยายามทำทุกอย่างตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ด้วยความใจเย็น ๆ ไม่คิดจักต่อกรกับใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะข่าวลือทั้งหลายอันเป็นโลกธรรม ๘ ซึ่งทุกคนในโลกหนีมันไม่พ้น ก็จงเห็นเป็นของธรรมดา โดยเฉพาะบุคคลที่ยังไม่มีศีล ไม่มีกรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ ยิ่งต้องเห็นเป็นของธรรมดาของบุคคลผู้นั้น รักษาอารมณ์ของเรา อย่าให้มีโทสะกับเขา เอาการกระทำของเขานั่นแหละมาเป็นครูสอนเรา จักได้ประโยชน์มาก หากยังทำไม่ได้ สังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ก็ผ่านไม่ได้ อธิจิตก็เกิดไม่ได้ พระนิพพานก็ไม่สามารถจักเข้าถึง ดังนั้นที่เจ้าคิดได้ว่า ควรให้อภัยทานกับพวกเขาที่ชอบใส่ร้ายป้ายสี ก็เป็นของดีที่ไม่แสดงอาการโต้ตอบ ยอมแพ้ความชั่วของผู้อื่นเพื่อที่จักชนะความชั่วของใจเราเอง บุตรของตถาคตทุกคนจงจำไว้ คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก ให้ยอมรับนับถือความเป็นจริงตามนี้ ให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา

๘. “อย่าฝืนธรรมจิตจักไม่ทุกข์ ขันธ์ ๕ มันจักตาย จิตจักฝืนให้มันอยู่ย่อมเป็นไปไม่ได้ เรื่องของขันธ์ ๕ เป็นเรื่องกฎของกรรม ซึ่งเที่ยงเสมอและให้ผลไม่มีผิดตัวด้วย ที่เจ้าไปเป็นทุกข์ เป็นกังวลเรื่องการเจ็บป่วยของพระที่เจ้าเคารพนับถือจนเกินพอดีในขณะนี้ เป็นการไม่ถูกต้อง เพราะไปเกาะเปลือกของท่าน ซึ่งไม่เที่ยง สกปรก หาสาระอันใดมิได้ แทนที่จะเกาะพระธรรมหรือความดีของท่าน ซึ่งเที่ยง.. นำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ตามลำดับ เรื่องนี้จักต้องเร่งการพิจารณากายคตาฯ และอสุภกรรมฐานให้มาก ก็จักพบความจริง เกี่ยวกับกายกับจิตได้ตามความเป็นจริงละเอียดขึ้น ๆ ตามลำดับ และมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน คือพระนิพพานเป็นที่ไป และจงอย่าทิ้งอานาปานุสติ ซึ่งเป็นตัวโยงให้เกิดสติ-สัมปชัญญะให้สมบูรณ์ได้ รู้ลม-รู้ตาย-รู้นิพพาน ก็จงอย่าลืม


ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:57



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว