|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
"ในเรื่องของพุทธบารมี จริง ๆ แล้วท่านป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง แต่ต้องไม่เกินกฎของกรรม ตอนที่สร้างสมเด็จศรีอินทราทิตย์ ญาติโยมเขากลัวแผ่นดินไหวและเขื่อนแตก วัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนพอดี จึงกราบขอบารมีพระท่านป้องกันเรื่องภัยธรรมชาติให้ด้วย
พระท่านบอกว่า ภัยธรรมชาติส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไปตีบ้านทำลายเมืองเขา ถึงเวลาก็ต้องโดนบ้าง ถ้าไม่รับเลยก็ฝืนกฎของกรรม ถ้ากรรมเก่ามาถึงจริง ๆ ทำให้ต้องเสียหายในส่วนทรัพย์สินและเงินทอง ก็จะให้ชีวิตปลอดภัย เพราะฉะนั้น..พระท่านจะทำแค่ไม่เกินกฎของกรรม ถ้าใครรู้ตัวว่าเคยเกเรไว้มากก็พกหลาย ๆ องค์หน่อย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 16:33 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ถาม : รถอะไรมี ๓๐ วัน ?
ตอบ : รถยนต์มี ๓๐ วัน ถ้ารถคม จะมี ๓๑ วัน ถ้ารถพันธ์ จะมีแค่ ๒๘ วัน..! เด็กเขาถาม ถ้าไล่ไม่ทันบางทีก็มึน บางทีเด็กเขามีคำถามแปลก ๆ คำถามประเภทลับสมองประลองเชาวน์เหมือนสมัยก่อนไม่ค่อยมี มีแต่คำถามที่กวนบาทา คำถามสมัยก่อนเขาว่า "สี่ขากินขาเดียว หัวเขียวกินปากอ้า เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย ต้นทายปลายบอก" คืออะไร ? เขาบอกว่าต้นทายปลายบอก สี่ขากินขาเดียว ก็คือเต่ากินเห็ด หัวเขียวกินปากอ้า ก็คือเป็ดกินหอย เขาเฉลยไว้เสร็จสรรพแล้ว กวนมากเลย ปล่อยให้เราคิดหัวแทบระเบิด หัวเขียวนี่แสดงว่าเป็ดตัวผู้ เป็ดตัวเมียหัวไม่เขียวหรอก ของโบราณเขาจะมีลักษณะที่ต้องให้คิด แต่ของเด็กปัจจุบันก็ให้คิดเหมือนกัน แต่ให้คิดแบบกวน ๆ ไม่เอาหลักความเป็นจริง ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ ในพระไตรปิฎกมีมากทีเดียว อย่างปัญหาที่นางนาควิกานำมาร้องเป็นเพลงเพื่อให้คนแก้ เรื่องมีอยู่ว่า ท่านเอรกปัตตนาคราชเคยบวชเป็นพระ จำพรรษาอยู่ชายทะเล ๒ หมื่นปี แต่บังเอิญท่านไปพรากตะไคร่น้ำที่เป็นของเขียว ของเขียว ก็คือต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังติดอยู่กับที่ ทำให้หลุดออกมาจากฐาน ทำให้ท่านโดนอาบัติ (ศีลขาด) คราวนี้ท่านอยู่คนเดียวไม่รู้จะไปแสดงคืนอาบัติกับใคร จิตใจเศร้าหมองเพราะว่าศีลขาด พอมรณภาพลงก็เลยได้ไปเกิดเป็นพญานาคเท่านั้น ท่านก็รอพระพุทธเจ้ามาโปรด รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ จนกระทั่งมีลูกโตเป็นสาว ก็เลยแต่งเพลงให้ลูกสาว คือ นางนาควิกา ไปร้องเพลงที่ชายหาด ท่านเองก็คืนเพศเป็นพญานาค ให้นางนาควิกายืนอยู่บนขนด ร้องเพลงอยู่ในทะเลใกล้ชายหาด ใครสามารถแก้ปริศนาเพลงนี้ได้ จะยกนางนาควิกาและสมบัติต่าง ๆ ให้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 02:01 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
หนุ่ม ๆ ไปกันมากมาย ปรากฏว่าอุตรมาณพในอดีตเคยสร้างบุญร่วมกับนางนาควิกา เป็นเนื้อคู่กัน พระพุทธเจ้าเล็งข่ายพระญาณตอนเช้ามืด เห็นว่าสมควรจะไปโปรด จึงเสด็จไปดักทาง อุตตรมาณพเห็นนักบวชก็เข้าไปกราบไหว้
พระพุทธเจ้าท่านก็แสดงให้ทราบว่าท่านเป็นใคร ถามว่า "ท่านอุตรมาณพจะไปไหน ?" นี่จำไว้เลยนะ..ลีลาของพระ..รู้ต้องทำเป็นไม่รู้ไว้ก่อน อุตรมาณพก็บอกว่าจะไปร้องเพลงแก้ปัญหานางนาควิกา พระพุทธเจ้าก็ถามว่า "ท่านจะแก้อย่างไร ?" อุตรมาณพก็ร้องเพลงให้ฟังว่าแต่งมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ถูก แล้วก็สอนให้ใหม่ อุตรมาณพนำเพลงที่พระพุทธเจ้าสอนให้ไปร้องแก้นางนาควิกาได้ เอรกปัตตนาคราชได้ยินก็ดีใจมาก สะบัดหางจนกลายเป็นคลื่นใหญ่ กวาดคนลงทะเลไปบานเลย ท่านต้องค่อย ๆ เอาหางช้อนคนขึ้นบกมา แล้วจึงแปลงเป็นคน พานางนาควิกาตามอุตรมาณพไป ด้วยความที่ในอดีตชาติเอรกปัตตนาคราชเคยเป็นพระมาก่อน ท่านบำเพ็ญภาวนามา ๒ หมื่นปี สิ่งที่ท่านแต่งเป็นเพลงคือหลักธรรม คนที่จะแก้ได้คือต้องรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้ามีคนแก้ได้ แปลว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้วในโลก เมื่อไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตรมาณพได้เป็นพระโสดาบัน นางนาควิกากับเอรกปัตตนาคราชไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำให้ทิพยสมบัติทุกอย่างดีขึ้น ตรงจุดนี้ เชื่อว่าพวกเราได้ยินมาเยอะแล้ว เคยสงสัยไหมว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ร้องเพลงด้วย ? ไม่ค่อยมีใครคิดกันนะ ถาม : นึกไม่ออกว่าท่านจะร้องเพลงแบบไหน ? ตอบ : อย่างไรท่านก็ต้องร้อง ถ้าไม่ร้อง คนหัดจะตามได้ที่ไหน อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการมา แล้วท่านได้ที่ ๑ ทุกอย่างด้วย นักร้อง AF สมัยนี้สู้ท่านไม่ได้หรอก..! แต่ว่าพระองค์ท่านทำอยู่ในขอบเขต จิตใจของบุคคลที่ปราศจากกิเลสแล้ว สิ่งที่แสดงออกก็เป็นแค่อาการเท่านั้น ไม่ได้เป็นกรรม พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ทำโดยกิริยา ไม่ได้ประกอบไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง กรรมจึงไม่เกิด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 17:27 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "รู้ไหมว่าปัจจุบันที่อาตมาหาสาวสวยไม่เจอ เพราะดันไปเห็นนางฟ้าเข้า สาวอื่นจึงหมดราคาไปเลย ภาษิตจีนบอกว่า ผ่านทะเล เห็นน้ำไร้ความหมาย คนที่เจอทะเลมาแล้ว แหล่งน้ำอื่น ๆ มีใหญ่เท่าทะเลไหมเล่า ? ไม่มีหรอก อาตมาดันไปเจอของดีเข้า สวยสุด ๆ ไปเลย
บางทีแม่เจ้าประคุณมาเป็นสาวตัดผมบ๊อบ นุ่งยีนส์มาก็มี ขอบอกว่า เวลาพรหมเทวดาท่านกวนเรานี่ ท่านกวนสุด ๆ อย่างที่มีผีหลอก เอาผ้ามาคลุมแล้วกางแขนวิ่งใส่ อาตมาถามว่า "ทำอะไร ?" "ท่านไม่กลัวหรือ ?" "ไม่รู้ว่าจะไปกลัวทำไม ?" "เห็นในหนังเขาทำอย่างนี้ แล้วคนกลัว" ไปเจอผีทันสมัย ดูหนังเสียด้วย โดยธรรมดา คาดว่าท่านก็คงต้องเรียบร้อย แต่วิสัยเดิมมีอยู่ ถึงเวลานอกทุ่งนอกท่าได้ ก็ไปกันครึกครื้นเลย มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาเดินทางกลับจากพระบรมธาตุอินทร์แขวนมาที่เมืองมะละแหม่ง แล้วต่อเข้าเมืองมุด่ง เพื่อเตรียมเดินทางกลับด่านพระเจดีย์ ๓ องค์ ท่านปู่พระอินทร์มาบอกว่า "เช้านี้พ่อติดภารกิจ เดี๋ยวจะให้พี่เขามาแทนนะ" อาตมาก็ว่า "ได้ครับ ใครมาก็ได้" ท่านก็ให้พี่ ๆ มา ๔ - ๕ คน มีพี่เกศแก้วมณี พี่พรทิพย์ พี่พวงทิพย์ พี่พรสวรรค์"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 17:27 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
"นาน ๆ พี่ ๆ เขาได้มาสนุกกันสักที ก็เลยแปลงเป็นพระพม่า ห่มจีวรสีแดงแปร๊ด เอาผ้าจีวรคลุมหัว หัวเราะกันคิกคัก ๆ อยู่บนหลังคารถ อาตมากับครูบาน้อย (พระนาวิน สจฺจญาโณ) เจ้าอาวาสวัดหนองบัว นั่งอยู่หน้ารถคู่กับคนขับ โยมก็อัดอยู่ท้ายรถจนเต็ม พระอาจารย์จันทร์ (พระวิลเลียม จนฺโทภาโส) เจ้าอาวาสวัดซายากง จึงต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังคาคนเดียว
พี่ ๆ ๔-๕ ท่าน ก็สนุกกันใหญ่ ปลอมเป็นพระพม่านั้นไม่มีปัญหาหรอก ไปมีปัญหาตอนจะเข้าเมืองมะละแหม่ง ตำรวจจราจรเขาโบกรถให้หยุด ยึดใบขับขี่ไป คนขับถามว่าข้อหาอะไร ? เขาบอกว่าให้พระอยู่บนหลังคารถมากเกินไป จนอาจจะเป็นอันตรายได้..! คนขับก็เซ่อรับประทาน เพราะเห็นพระนั่งอยู่รูปเดียว มาบอกว่าพระมากเกินไป คือ ท่านพี่ ๆ ทำให้จราจรเห็น แต่คนขับไม่เห็น คนขับก็บอกว่า "เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้ใบขับขี่ไว้ เดี๋ยวผมไปส่งผู้โดยสารที่มุด่งเสร็จแล้วค่อยกลับมาคุยกัน" ตำรวจก็ให้ไป ไม่รู้ว่าป่านนี้คุยกันรู้เรื่องหรือยัง ?!! คนทั่ว ๆ ไปจะเห็นท่านอาจารย์จันทร์นั่งอยู่รูปเดียว แต่ตำรวจจราจรเห็นพระ ๕-๖ รูปนั่งอยู่ข้างบนหลังคา จึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว ท่านก็อยากสนุกเหมือนกัน แต่ว่าพี่ ๆ เหล่านั้น เวลาอยู่ข้างบนเป็นผู้ใหญ่มาก เล่นก็ไม่ได้ คราวนี้พอมีน้องเชิญมา ก็เลยปล่อยเต็มที่ วิสัยเดิมเป็นอย่างไรก็มาอย่างนั้นเลย ชอบสนุก ชอบแกล้งคนอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-04-2011 เมื่อ 15:12 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเช็งเม้งหรือเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ท่านยังอยู่ เราก็ทำไปกับเขา อย่าไปขัดเขา ไปไหว้ร่วมกับเขา พอไหว้เช็งเม้งเสร็จ เราค่อยมาถวายสังฆทานกันทีหลัง
ในส่วนที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี แม้เราจะรู้ว่าไม่ค่อยได้บุญ หรือประเพณีบางอย่างก็แทบไม่มีประโยชน์อานิสงส์เลย แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติกันมานาน เพราะฉะนั้น..อย่าไปขัดเขา เราก็เช็งเม้งด้วย พอเช็งเม้งเสร็จเราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้บรรพบุรุษอีกทีหนึ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 02:15 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
"เรื่องของฮวงจุ้ยที่ทำให้เกิดสุสานต่าง ๆ ขึ้นมา คนจีนเขาจะถือว่า ความมั่นคงของสุสานบรรพบุรุษ ก็คือ ความมั่นคงของวงศ์ตระกูลหรือบุตรหลาน
เขาจะเลือกฮวงจุ้ยที่หลังพิงเขา หน้าหันลงน้ำ ถ้าซ้ายขวามีภูเขาขนาบด้วยยิ่งดี แต่ว่าฮวงจุ้ยของเขาจะเป็นแนวเหนือ-ใต้ ยิ่งถ้ามีแนวเขาวิ่งยาวจากเหนือลงใต้จะยิ่งดี และถ้ามาสิ้นสุดลงตรงหน้าแนวเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ยิ่งชอบใจ เพราะเขาถือว่าเป็นมังกรลงทะเล มังกรจะแผลงฤทธิ์ได้เต็มที่ก็ตอนอยู่ในทะเล..ใช่ไหม ? เขาจะเลือกหาที่ที่เหมาะสม แล้วไปตั้งฮวงจุ้ย ปี ๒๕๑๘ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ทองคำบาทหนึ่งยังราคาพันกว่าบาทอยู่ ขึ้นเต็มที่ก็ประมาณสองพัน ทางบ้านอาตมาซื้อฮวงจุ้ยหลังละสองหมื่นห้า..! แปลว่าใช้ทองสิบกว่าบาทซื้อพื้นที่แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ทำเลดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝรั่งเขาได้ทำวิจัยแล้ว พบว่าในเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ผู้หญิงจะมีความอดทนมากกว่าผู้ชายหลายเท่า เพราะธรรมชาติเขาสร้างความอดทนให้แก่ผู้หญิงมากกว่า
ตั้งแต่คลอดลูก สมัยก่อนเขาไม่มียาฉีด ไม่มีการบล็อกหลัง คลอดลูกแต่ละครั้งแทบปางตาย ก็เลยสร้างความอดทนให้เพศหญิงมากกว่า เพราะฉะนั้น..ถ้าอาการป่วยหนักเท่า ๆ กัน ส่วนใหญ่ผู้ชายจะตายก่อน ส่วนผู้หญิงตายยาก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 02:17 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
ถาม : อยากทราบรายละเอียดของพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ?
ตอบ : พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กว้าง ๓๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ เป็นหินสีแดงแต่ว่าเนื้ออ่อนเหมือนสำลี ถ้านั่งลงจะจมลงประมาณถึงสะดือ นิ่มขนาดนั้น พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์จะแข็ง ก็ต่อเมื่อบุคคลที่มีศีลมีธรรมในโลกมนุษย์ที่สร้างสมบารมีมาดี มีความเดือดร้อน พระแท่นจะแข็งขึ้นมา พระอินทร์ก็จะส่องทิพเนตรดูว่าเกิดจากอะไร และสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร ฉะนั้น..ถ้าใครอ่านวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง อาจจะเคยได้ยินว่า มาจะกล่าวบทไป.......................ถึงท้าวสหัสนัยน์ไตรตรึงษา
ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา...........กระด้างดั่งศิลาประหลาดใจ จะมีเหตุแม่นมั่นในแดนดิน...........อมรินทร์เร่งคิดสงสัย จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย........ก็แจ้งใจในนางรจนา ฯลฯ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 18:01 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "กาแฟเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ เพราะเวลากินเข้าไป จะไปทำให้จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้น พอหมดฤทธิ์ หัวใจก็กลับมาเต้นเท่าเดิม พอโดนเข้าบ่อย ๆ กลายเป็นว่า หัวใจเต้นผิดปกติโดยอัตโนมัติ ก็จะพังเร็ว เพราะเครื่องเดินรอบไม่เท่ากันบ่อย ๆ
ถ้าใครกินกาแฟเป็นประจำ เตรียมสตางค์ไว้รักษาโรคหัวใจด้วย รับรองว่าได้เจอแน่นอน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 18:02 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
ถาม : แผ่นดินจะไหวไปถึงเมื่อไร ? มีอะไรป้องกันได้ ?
ตอบ : วัตถุมงคลทุกอย่างที่เป็นคุณพระกันได้จ้ะ แต่ว่าเราต้องอาราธนาเป็นประจำ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 18:02 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในบาลีเขาบอกว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง
อาหาระ คืออาหาร นิททัง คือการนอน ภะยะ คือความกลัว เมถุนะ คือการเสพกาม สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง มีความเสมอเหมือนกันระหว่างบุคคลและสัตว์ ปะสุ ก็คือสัตว์ นะรานัง คือคนทั้งหลาย ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่ทำให้แตกต่างกันได้ ธัมเมนะ วีณา ปะสุภิสสะมานา เพราะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจึงทำให้คนต่างไปจากสัตว์ เพราะฉะนั้น..ถ้าเรากลัวภัยก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์มีความกลัวภัยเป็นเรื่องปกติของเขา เมื่อถึงเวลากลัวภัยก็ต้องหาวิธีหนีภัย หลบหลีก ป้องกัน ต่อสู้ แล้วแต่สถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร เมื่อรังสีจากญี่ปุ่นใกล้มาถึงไทย มีแต่คนโทรหา "มีวัตถุมงคลอะไรที่กันรังสีได้บ้าง ?" ท้ายสุดก็เลยต้องแนะนำพระสมเด็จหางหมากของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกไว้ชัดเจนสุดว่า "รัศมีสี่เมตร รังสีเข้าไม่ได้" ที่กล่าวไว้ชัด ๆ อีกจุดหนึ่ง ก็เป็นปฐวีธาตุของหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ตอนที่ท่านเสกเสร็จท่านบอกว่า มีอานุภาพกันรังสีได้ แต่ว่าปฐวีธาตุมีปลอมกันเยอะมาก เพราะในสายตาคนทั่วไปก็เป็นเม็ดกรวดล้างสะอาดหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าไม่ได้รับมาจากมือของคนที่เชื่อถือได้และมีประวัติชัดเจน อย่าไปเสี่ยงเลย เพราะอะไรที่ดังขึ้นมา ตลาดท่าพระจันทร์มีเป็นคันรถในเวลาที่ไม่นาน ตอนนี้ท่าพระจันทร์ปลอมพระกริ่งพิชัยสงคราม เหรียญทำน้ำมนต์ และ พระองค์ที่ ๑๑ ของวัดท่าขนุนกันแล้ว เพียงแต่ฝีมือหยาบไปหน่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-01-2019 เมื่อ 19:23 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดเจดีย์หลวง เขาเก็บพระธาตุของครูบาอาจารย์เอาไว้มาก เก็บไปเก็บมา เก็บของหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วย ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน"
ถาม : เอาไว้ที่ไหนครับ ? ตอบ : ถ้าเราเดินเข้าประตูหน้า จะอยู่ทางด้านหลังซ้ายของเจดีย์ เป็นหอเก็บพระธาตุ แต่งานของหลวงปู่จันทร์ อลังการจริง ๆ นกหัสดีลิงค์ของหลวงปู่งามมาก ตามความเชื่อของคนโบราณ เขาเชื่อว่านกหัสดีลิงค์จะปรากฏก็ต่อเมื่อมีผู้มีบุญมาเท่านั้น หัสดีลิงค์ แปลว่า นกที่มีเพศเหมือนช้าง หรือบางคนบอกว่านกที่ตัวใหญ่เท่าช้าง บางคนก็บอกว่าเป็นนกที่กินช้างเป็นอาหาร อย่างสุดท้ายนี่น่ากลัว ใหญ่ขนาดกินช้างเป็นอาหารได้..! เขาบอกว่าผู้มีบุญจะขี่นกหัสดีลิงค์เพื่อไปสู่ป่าหิมพานต์ นกเขาจะมารับ ดังนั้น..บุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ โดยเฉพาะบรรดาเจ้าเมืองหรือพระเถระผู้ใหญ่ เมื่อสิ้นชีวิตลง จะมีการสร้างที่ตั้งศพเป็นรูปนกหัสดีลิงค์เพื่อเผาส่งท่าน ในลักษณะว่าท่านเป็นผู้มีบุญขี่นกหัสดีลิงค์ไป กลายเป็นว่า สร้างสวยเท่าไหนก็ตาม ท้ายสุดก็ต้องเผาไปพร้อมกับท่านด้วย แต่งานของหลวงปู่พระพุทธพจน์วราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) มีใครได้ไปบ้างไหม ? เขาสร้างนกหัสดีลิงค์งามมาก ๆ สมกับเกียรติยศของท่านจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 18:13 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเราเอาภาพที่เคยติดตาเราในอดีตมาร่วมกับในเวลาที่เราฝึกสมาธิ และตามขั้นตอนไป แล้วก็ยกจิตค่อย ๆ นึกไปทีละขั้น อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นกสิณ ? เป็นอนุสติ ? หรือมโนมยิทธิครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา การที่เรายกภาพในอดีตขึ้นมาและคิดคำนึงตามไป อันดับแรกจะเป็นอนุสติก่อน ถ้าเราจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับภาพนั้นจริง ๆ โดยไม่ย้ายจิตไปไหน จะเป็นการกำหนดของภาพกสิณ แต่ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่ภาพที่เนื่องด้วยกองกรรมฐาน จะกลายเป็นว่าคุณไปฟุ้งซ่านเรื่องในอดีต จะทำให้กำลังของเราที่สั่งสมเอาไว้ใช้ในการตัดกิเลสเสียไปเปล่า ฉะนั้น...ถ้าไม่ได้เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติให้ตัดทิ้งไปเลย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถาม : เวลาผมมองพระแก้วใสหรือว่าพระสีทอง จะรู้สึกว่าจิตใจนั้นมีความสุขเบิกบาน คราวนี้ผมไปเอาภาพตรงนั้นมาเป็นอารมณ์ แล้วจิตคลาย ? ตอบ : คลายลักษณะไหน ? คลายจากการยึดภาพนั้น ? หรือว่าคลายในลักษณะโปร่งเบา ปล่อยวาง สบาย ? ถาม : พอเอาภาพนั้นมาเป็นอารมณ์แล้วคลายจากที่หนัก ๆ อยู่ครับ ตอบ : ลักษณะนั้นแปลว่าสมาธิทรงตัวมากขึ้น การที่เรากำหนดภาพพระแก้วแล้วเรามีความสุข ก็คือลักษณะของการกำหนดอาโลกกสิณ ก็คือ กสิณแสงสว่างนั่นเอง อย่างสมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสร้างพระแก้วแล้วฐานปิดทอง ท่านบอกว่าจะได้กสิณสองอย่าง ก็คือได้กสิณแสงสว่างจากเนื้อแก้วที่ใส และก็ได้ปีตกสิณ ก็คือกสิณสีเหลืองจากฐานพระที่ปิดทอง ได้สองอย่างรวมกัน คราวนี้เวลาเรากำหนดใจแล้ว ด้วยความที่ใจเรารักชอบ ก็เลยทำให้จิตใจเรายอมรับภาพนั้นได้ง่าย อารมณ์ปฏิบัติที่เคยผ่านอยู่ เพราะว่ายังเป็นขั้นตอนต้น ๆ ก็จะก้าวล่วงเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น ก็จะรู้สึกว่าเบาลง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-04-2011 เมื่อ 19:20 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
ถาม : พอจังหวะนั้น ตัวผมลองนึกตาม เช่น นึกถึงสวรรค์ ก็เบาขึ้นระดับหนึ่ง นึกถึงพรหมก็เบาขึ้นอีก พอนึกถึงพระนิพพานก็เบาสว่างดี
ตอบ : เพราะว่าแต่ละระดับ ความหยาบละเอียดไม่เหมือนกัน สวรรค์ละเอียดกว่าภพภูมิทิพย์ชั้นต่ำอื่น ๆ อย่างเช่น นรก เปรต อสุรกาย เป็นต้น พรหมละเอียดกว่าสวรรค์ ส่วนพระนิพพานละเอียดกว่าพรหมจนประมาณไม่ได้ ถ้าเรายกจิตขึ้นไปตามลำดับจริง ๆ ก็จะมีความเบาขึ้นไปตามลำดับที่เราไปถึง ถาม : แต่ว่าส่วนตัวผมไม่ทราบรายละเอียดต่าง ๆ ในสวรรค์ ในพรหม ตอบ : ไม่ต้อง..เอาใจไปจดจ่ออยู่ที่พระนิพพานถือเป็นอุปสมานุสติไปก่อน ถ้าเราไม่ดิ้นรนอยากรู้อยากเห็นมากนัก จิตใจปล่อยวาง พอนิ่งได้ระดับการรู้เห็นจะปรากฏเอง ถ้าหากว่าทำแล้วยังอยากรู้เห็น ก็เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ ยังไม่นิ่ง เมื่อไม่นิ่งก็ไม่สามารถที่จะมองอะไรเห็นได้ ถาม : ขณะที่เข้าสมาธิอยู่ เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ ผมรู้ว่าชาติที่เรานึกไปได้ จิตปัจจุบันเกิดสติขาดแล้วเราก็ไปตามในอารมณ์นั้น ถ้าจิตปัจจุบันกำลังคล้อยตามกับอารมณ์ในอดีต อย่างเรานึกว่าเราได้เป็นนักรบ มีโทสะตอนนั้น จิตเราดับตายตอนนั้น ก็คือไปตามอารมณ์ขณะนั้นที่ดับ ? ตอบ : ขอบอกว่า ถ้าคุณระลึกชาติแล้ว ความรู้สึกไม่ไปด้วยแสดงว่าเป็นของปลอม..! ถ้าระลึกชาติแล้วเห็นจริง ๆ ความรู้สึกของเราจะเป็นบุคคลหรือสัตว์นั้นจริง ๆ สิ่งที่เป็นรักโลภ โกรธ หลง ของคน ๆ นั้น เราจะรับรู้ได้อย่างเต็มที่เลย ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น ก็เชื่อว่าระลึกชาติได้จริง แต่ถ้าหากเราสักแต่ว่ามองเห็น ยังไม่แน่ว่าจะใช่ จริง ๆ แล้วอารมณ์ต้องเป็นไปตามนั้นด้วย แต่ขอให้คุณมั่นใจว่า ถ้าคุณเห็นจริง ๆ ตอนนั้น แปลว่าคุณใช้กำลังของฌานสมาบัติไปรู้เห็น ฌานสมาบัติที่คุมอยู่ถ้าเราตายตอนนั้นจะไปตามกำลังฌานที่เราได้ ยกเว้นว่าเกิดความบังเอิญ อดีตทำกรรมไว้เยอะ ถึงเวลาภาพปรากฏขึ้น แล้วไปรัก โลภ โกรธ หลงตามนั้น โดยที่ไม่ได้ตั้งท่าปฏิบัติ ไม่ได้ตั้งกำลังใจให้ทรงตัวก่อน ถ้าตายตอนนั้นก็ไปตามกำลังใจของตนเองตอนนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-04-2011 เมื่อ 12:38 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
ถาม : เคยมีโยมอยู่คนหนึ่งเขาฝึกกสิณลม เวลาเขาหิวข้าว เขาจะใช้กสิณลมแทน ผมอยากทราบว่า ในเมื่อเราไม่หิว ทำไมเราไม่จับภาพนิมิตอาหารเป็นอารมณ์ไปเลยครับ ?
ตอบ : ถ้าหากคนหิวแล้วไปนึกถึงภาพอาหาร ก็จะยิ่งกระตุ้นความหิวให้มากขึ้น แต่ลักษณะที่เขาทำ เป็นการย้ำตัวเองให้อยู่ในระดับปีติ ซึ่งจะทำให้อิ่มเอิบ ไม่หิว เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่แต่กสิณลมที่คุณว่าเท่านั้นจึงทำได้ ถ้าการปฏิบัติของคุณถึง สามารถรั้งอยู่ในระดับปีติได้ ก็จะรู้สึกอิ่มโดยไม่หิวเหมือนกัน โบราณเขาเรียกว่า อยู่ด้วยธรรมปีติ แต่ถ้าไปนึกถึงภาพอาหารก็จะยิ่งหิวหนักขึ้น เพราะอยากกิน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 02:20 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่ภาวนาคาถาเงินล้านบ่อย ๆ ความคล่องตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ความคล่องตัวในเรื่องของกิจการงาน หรือการทำมาหากินของเรา เพราะบทคาถาที่ว่า พรัหมา จะ มะหาเทวา สัพเพยักขา ปะลายันติ เป็นคาถาปัดอุปสรรคโดยเฉพาะ ทีนี้เราไม่ได้ภาวนาบทเดียว ภาวนาทุกบทเลย เอาให้รวยไปเลย
วันก่อนมีโยมคนหนึ่งถามปัญหา อาตมาฟังแล้วก็ขำ เขาบอกว่าตั้งแต่ภาวนาคาถาเงินล้านมามีความคล่องตัวทุกอย่าง แต่ไม่รวยสักที..! อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น นี่ยังไม่รวยใช่ไหม ? เขาคงอยากจะให้เงินทับตายก่อนจึงค่อยเรียกว่ารวย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่คนมาบ้านวิริยบารมีน้อย เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ มาตั้งแต่วันเปิดบ้านแล้ว สาเหตุที่สอง เพราะว่าทางสลับซับซ้อนก็เลยไม่คิดที่จะมากัน สาเหตุที่สาม แค่รู้ว่าไปยากก็ท้อแล้ว บ้านนี้ชื่อวิริยะ แปลว่า ต้องเพียรพยายามถึงจะมาได้"
ถาม : แต่ถ้าเป็นบ้านอนุสาวรีย์คนก็คงเต็มเหมือนกัน ตอบ : คนจะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร คนน้อยเป็นเรื่องดีเพราะเราไม่เหนื่อยมาก คนจำนวนมากเท่าไรก็ตาม ถ้าเขามาแล้วหวังพึ่งพาเราอย่างเดียว ก็เหมือนกับตู้รถไฟ พ่วงมากไปเรื่อย ๆ หัวรถจักรก็เหนื่อยตายชักเลย ยิ่งน้อยยิ่งดี โดยเฉพาะถ้าเขามามาก ทำบุญมาก ก็ยิ่งเหนื่อยมาก เพราะได้ปัจจัยมาเท่าไร ก็ต้องก่อสร้างเป็นบุญให้เขา มาน้อย ๆ อาตมาปลอดภัยที่สุด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 20-01-2019 เมื่อ 22:51 เหตุผล: โบกี้รถไฟ = ตู้รถไฟ |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่เกิดมาแล้วได้พบกัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ในอดีตไม่เคยเกิดมาเจอกันนั้นไม่มี แรงบุญแรงกรรมที่เคยสร้างร่วมกันมาในอดีต จะชักจูงกันมาให้เจอกันในชาติปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้น..ทุกคนมักจะรู้สึกว่า เรามีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2019 เมื่อ 08:31 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
ถาม : หนูดูทีวีแล้ว คุณผัดไทที่เป็นดารา เขาบอกว่าเขาเคยไม่สบายมากเหมือนเขาตาย เขาเห็นเป็นภาพอยู่ในโบสถ์สีขาว ๆ ทุกอย่างเป็นแบบศาสนาคริสต์ของเขา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตของเราหรือคะ ทำไมเขาเห็นเป็นแบบนั้น ?
ตอบ : การที่เห็นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อ และวัฒนธรรมประเพณีที่สืบต่อกันมา แต่ความจริงแล้ว ก็คือนรกเดียวกัน สวรรค์เดียวกัน ถ้าเป็นเทวดาของไทย เราเคยชินว่ามีสภาพไหน ถ้าท่านแสดงสภาพอื่น เราก็ไม่รู้ว่าเป็นท่าน จึงต้องแสดงแบบนั้น แต่ว่าเทวดาองค์เดียวกัน ถ้าไปหาคนคริสต์ เขาก็ต้องห่มผ้าขาว มีวงแหวนสว่างอยู่บนหัว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ต้องแสดงไปตามความเชื่อถือของเขา ถาม : ทำไมไปพระนิพพานจะต้องเป็นเครื่องทรงแบบไทยด้วย ตอบ : อยู่ที่เราเห็นอย่างนั้น บางทีเราขึ้นไปท่านก็แต่งตัวธรรมดา ถือว่าเราเป็นลูกเป็นหลาน แต่งตามสบายก็ได้ แต่ถ้าเต็มสูตรเต็มบารมีของท่านจะเป็นอย่างนั้น และเต็มสูตรเต็มบารมีของแต่ละท่านก็ไม่เท่ากันด้วย ถาม : ทำไมเครื่องทรงต้องเหมือนประเทศไทย ทำไมไม่เป็นแบบอินเดียที่ห่มส่าหรี ? ตอบ : บอกแล้วว่าของจริงก็คือของจริง ถ้าของจริงเราเห็นได้ละเอียดแค่ไหน เราก็จะเก็บรายละเอียดได้มากเท่านั้น และขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อถือของเขา บุคคลที่เป็นใหญ่ ผู้ที่สูงส่งอย่างกษัตริย์ของเขานิยมการแต่งตัวอย่างไร เขาก็จะเอาอุปาทานตรงนั้นไปจับด้วย ทำให้คิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อควรจะเป็นอย่างนั้น ท่านก็ต้องแสดงให้เห็นอย่างนั้นจึงจะเชื่อ แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าต้องแสดงองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อปราบพระยาชมพูบดี เพราะว่าถ้ายังแสดงองค์เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ พระยาชมพูบดีก็จะไม่เชื่อ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2019 เมื่อ 08:25 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|