|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนงานฉลองวัดหนองบัวเสร็จแล้ว ญาติโยมสามสี่หมู่บ้าน ทั้งหนองบัว ป่าหวาย สามพระยา บ้านใหม่ เขาแห่มาส่งเราเต็มหน้าวัด แต่ละคนก็เอาดอกไม้ ยอดหว้า ที่เขาถือว่าเป็นสิ่งที่บูชาพระ บูชาสิ่งที่เคารพมาให้
คนนี้ก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า คนนั้นก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า มานั่งดูใจของตัวเองว่า อารมณ์ความรู้สึกที่เขายึดเราเป็นที่พึ่ง แต่ยึดเป็นที่พึ่งในลักษณะของการยึดตัวบุคคล ทำให้เรารู้สึกว่าอาลัยบ้างหรือไม่ ? ปรากฏว่าไม่มี..แต่ก็ระวัง ระวังว่าจะเป็นแบบนั้น ที่ขำก็คือ พอเรือออกมา ท่านอาจารย์ใหญ่ยานิกะมาโบกมือบ๊ายบายอยู่ตรงหน้าเจดีย์ เออ..ท่านอาจารย์ก็เป็นไปกับเขาด้วย อาจารย์ใหญ่ยานิกะ ความจริงหลักการท่านดีหมด เพราะท่านจบธัมมะจริยะ (เทียบเท่าประโยค ๙ ของไทย) ตั้งแต่ท่านยังเป็นสามเณร ความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนาท่านแน่นมาก แต่ว่าในเรื่องหลักการปฏิบัติท่านยังน้อย ท่านบอกว่า ท่านเองตายแล้วไม่หวังจะเกิดใหม่ ก็เลยพยายามจะทำทุกอย่างให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม ลูกศิษย์ของท่านคือ หลวงพ่อเมียงจีงู ทหารกะเหรี่ยงทั้งประเทศขึ้นอยู่กับลูกศิษย์ท่าน แต่ท่านอาจารย์เองต้องมาขอไม้เก่าของวัดหนองบัวไปสร้างศาลา ท่านบอกว่า ท่านไม่แน่ใจว่า ถ้าให้ทหารเอาไม้มา จะถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า ? ถ้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เดี๋ยวท่านจะโดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระโดยไม่รู้ตัว นั่นท่านระวังมากนะ ยอมมาขอไม้เก่าจากวัดหนองบัวไปสร้างศาลา แม้ท่านจะระวังขนาดนั้นก็ตาม เราต้องเข้าใจว่า ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นได้เปรียบ เพราะเรารู้ว่าอารมณ์พระอริยเจ้าเป็นอย่างไร มีกติกาเท่าไร เราปฏิบัติได้เลย แต่ว่าสายอื่นเขาไม่รู้ ในเมื่อเขาไม่รู้ ก็เปะปะไปเรื่อย ถ้าหากว่าตรงทางก็ดีไป แต่ถ้าหากหลงทางก็ต้องเกิดมาทนทุกข์อีกหลายชาติ..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2019 เมื่อ 11:31 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
||||
|
||||
"อะไรที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ จะไปไม่มั่นใจไม่ได้ แม้ว่าผ่านการทดสอบไปแล้วก็อย่าเพิ่งมั่นใจ เพราะเราอาจจะรอดแค่ครั้งนั้น
ตอนออกจากวัดท่าซุงมา มีโยมหลายคนที่เขารู้ เขามายืนส่ง น้ำตาไหล น้ำตาร่วง อาตมาก็คิดว่า เกิดมาชาติหนึ่ง อยู่แล้วเขาเกรงใจ ไปแล้วเขาคิดถึงก็พอ ไม่เอาอะไรมากมายไปกว่านี้อีกแล้ว สิ่งที่จำเป็นที่สุดที่ต้องทำก็คือ ชำระใจของเราให้ผ่องใส เพื่อจะได้หลุดพ้นจากกองทุกข์เสียที ถ้าหากมัวแต่ไปให้คนอื่นเขายึดมั่นถือมั่นในตัวของเรา และมาดึงให้เราติดอยู่ด้วย ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ถูกต้อง ตั้งแต่ฆราวาสแล้ว อาตมาไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่มีการมาอำลาอาลัยกับเขาหรอก สมัยนั้นมีพี่อยู่คนหนึ่ง รู้จักมักคุ้นสนิทกัน มักจะไปคุยหลักธรรมกัน บางทีนั่งคุยจนถึงครึ่งค่อนวัน เราบอกว่า "ไปแล้วนะ" บอกแล้วลุกไปเลย "ไปแล้วนะ" แล้วก็ไปเลย พอเขาเจอไปสองสามครั้ง เจอหน้าครั้งใหม่ เขาบอกว่า "น้องนี่เป็นคนแปลกนะ บอกไปเป็นไปเลย" ความจริงไม่แปลกหรอก แต่เป็นปกติของเรา ปัจจุบันนี้เวลาพรรคพวกเพื่อนฝูงเขามาหา เราทักทายพูดคุยกันตามปกติ ไม่มีที่จะไปถามเขาว่าสบายดีหรือเปล่า หรือไปไหนมา มีธุระอะไร เรื่องจุกจิกซอกแซกไม่เคยถามสักคำเดียว ดู ๆ แล้ว ถ้าคนที่ยังติดพิธีรีตองทางโลกอยู่ เขาก็จะว่าอาตมาไร้มารยาท แต่ความรู้สึกของอาตมาคือไม่มีอะไรจะคุย ส่วนเขาเองก็ถามนั้นถามนี่ไปเรื่อย อยากจะบอกเขาว่า เราเสียเวลามาคุยด้วยก็ยุ่งพอแล้ว ถ้ายังต้องมาถามสารทุกข์สุขดิบของเขาอีก ก็ออกจะมากเกินไปสำหรับเรา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2010 เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
||||
|
||||
"การปฏิบัติธรรมเป็นการสวนกระแสโลก พอเราทำไปเท่ากับวิ่งสวนทางคนอื่น ทีนี้พอเราต่างจากคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่ก็เลยมักจะว่าเราบ้า
ในเพชรพระอุมา แงซายพูดว่า "หลวงปู่สอนว่า เจ้าจงตื่นในขณะที่โลกหลับ" แต่ทีนี้ถ้าเราตื่นอยู่คนเดียว ก็จะกลายเป็นบ้าในความรู้สึกของคนอื่น ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมที่ว่า โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บางทีก็ต้องให้โลกช้ำหน่อย ๆ ไม่อย่างนั้นธรรมจะเสียเยอะ อย่างไร ๆ พวกเราก็ให้เกรงใจกันหน่อย อย่าให้ช้ำมาก" ถาม : ทำเขาช้ำไปเสียเยอะค่ะ ตอบ : เขาคงจะช้ำจนชินเสียแล้วกระมัง ? บางทีเพื่อการอยู่สุขของเรา ก็เป็นสิ่งจำเป็น เรารู้ว่าดี..เราต้องการอย่างนี้ แต่เขาไม่ดีด้วย ก็ต้องช้ำกันไปข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์ เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายจิตใจของคนในครอบครัว แต่พระองค์ท่านไปเพื่อความสำเร็จ แล้วค่อยกลับมาสงเคราะห์ เพียงแต่ว่ารอพวกเราสำเร็จแล้ว ยังจะมีคนเหลือให้สงเคราะห์อยู่อีกหรือเปล่า ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2010 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมจิตมันถึงมีความสะเทือนเลื่อนลั่น ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าอย่างไรก็ไม่ปรุงแต่งไปมากกว่านี้ เราไม่ได้คิดจะก่อเหตุให้มากกว่านี้ ?
ตอบ : แรงกระทบยังมีอยู่ถึงเป็นเช่นนั้น ยกเว้นว่าเราจะเลิกรับแรงกระทบเหล่านั้นเสียได้ ถาม : บางทีเราก็เห็นว่ามันก็แยกออกจากเรา แต่มันก็ยังมีการสะเทือนอยู่ ตอบ : ถึงแยกออกจากเราก็จริง แต่ก็ยังอยู่ในลักษณะแยกได้เป็นพัก ๆ ถ้าแยกออกจากกันเด็ดขาด ก็จบไปนานแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2010 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
||||
|
||||
ถาม : นิพพิทาญาณ เราจะแก้ตรงจุดนี้อย่างไร ?
ตอบ : นิพพิทาญาณเป็นของดี ถ้าอยู่กับเรานานเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ ของโลกนี้ เนื่องจากเราไปคิดว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่ดี เพราะเราไม่ชอบ ก็เลยทำให้เราดิ้นรน อยากจะพ้นไป ทำให้เรายิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ มีทุกข์เพิ่มเข้าไปใหญ่ ให้ทำใจสบาย ๆ คิดว่าธรรมดาของร่างกายก็เป็นอย่างนี้ ธรรมดาของโลกเราก็เป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์จะมีสำหรับเราแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น พ้นจากตรงนี้ไป เราก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะเราจะไปนิพพาน ถ้าคิดว่าชาตินี้ยังมากเกินไป ก็คิดแค่วันนี้ พ้นจากวันนี้เราก็ไม่ต้องมาเกิดลำบากอย่างนี้อีกแล้ว หรือถ้ายังไกลเกินไป ก็เอาแค่หมดลมหายใจนี้ เราก็ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากกับร่างกายนี้อีกแล้ว ในเมื่อเรามีเวลาอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียว ชั่ววันเดียว ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้ไม่ได้ ในเมื่อเราวางกำลังใจอย่างนี้ จิตก็จะคลายออกมา ถ้าเห็นเป็นธรรมดาได้เมื่อไร ก็จะก้าวเป็นสังขารุเปกขาญาณแบบปล่อยวางได้เอง แต่ถ้ายังวางไม่ได้ ก็จะเบื่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ให้รู้เลยว่าความเบื่อเป็นของดี เพราะถ้ายังไม่เบื่อเราก็ยังอยากจะเกิดอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2010 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
||||
|
||||
ถาม : คุณแม่ไปปฏิบัติธรรม กลับมารอบนี้เขาจะพูดเยอะ พูดมาก
ตอบ : ช่วยฟังท่านหน่อย เราคอยถามให้แม่พูดไปเรื่อย ๆ ให้ท่านระบายออกมาให้หมด นักปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะอยู่ลักษณะอย่างนี้ พอเก็บกดอยู่หลาย ๆ วัน เขาจะระบายออก เราไปอยู่ช่วงที่เขาระบายออกพอดี ชวนท่านคุยเยอะ ๆ พอระบายจนเหนื่อยเดี๋ยวก็เลิกไปเอง ถาม : แปลว่าเขามีโอกาสที่จะก้าวไปใช่ไหม ? ตอบ : ตอนนี้รั่วหมดแล้ว เมื่อกำลังรั่วหมด ไม่มีกำลังไปละกิเลส แล้วจะเอาอะไรมาก้าวหน้า ต้องทำบ่อย ๆ พอชินเข้าก็จะรักษากำลังเอาไว้ได้ ถึงตอนนั้นจึงจะมีความก้าวหน้า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2010 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
||||
|
||||
ถาม : ผมควรจะไปบวชไหม ?
ตอบ : ถ้ายังถามอยู่ชาตินี้ก็ไม่ต้องบวชหรอก..! ถ้าจะทำอะไรก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด มัวแต่ไปถามคนอื่น เพื่อให้คนอื่นช่วยตัดสินใจ จะไปเอาความดีอะไรขึ้นมาได้ จะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไปเลย..! ถาม : วัดไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : วัดไหนก็ได้ สำคัญว่าเราทำจริงหรือเปล่าเท่านั้น ถาม : เวลาภาวนา นะมะพะธะ ทำไมรู้สึกว่าขัดอยู่ในอก ไม่เหมือนตอนภาวนาพุทโธ ตอบ : คำภาวนามีหลายคำเกินไป แล้วเรายังไปบังคับให้ตรงกับลมหายใจ จึงเป็นอย่างนั้น ให้หายใจยาวไปเลยโดยที่ไม่ต้องไปบังคับตามจังหวะคำภาวนา ให้สนใจลมหายใจมากกว่าคำภาวนา ถาม : ใช้มโนมยิทธิแล้วกราบพระ เห็นพระไม่ชัดเจน ตอบ : ไม่จำเป็นต้องชัด ให้รู้สึกว่ามีก็ใช้ได้แล้ว ถาม : ถ้ามโนมยิทธิเรายังไม่แจ่มใส แปลว่าจิตยังไม่ดีใช่ไหมครับ ? ตอบ : มโนมยิทธิจะแจ่มใสได้ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นแหละ ของเราเป็นหรือยัง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2010 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
||||
|
||||
ถาม : การกำหนดจิต หนูยังหาการกำหนดไม่เจอ
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก สภาพจิตก็จะสงบ พอสงบถึงที่สุด เราก็ตามดู ตามรู้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นอย่างไร ให้รับรู้เฉย ๆ ไม่ไปปรุงแต่งด้วย ถาม : ความรู้สึกที่กำหนดจิต ? ตอบ : สำคัญที่สุดอยู่ที่ลมหายใจ ถ้าไม่อยู่ที่ลมหายใจก็หาจิตไม่เจอหรอก ถาม : เวลาปฏิบัติแล้วสงสัยขึ้นเรื่อย ๆ ควรจะวางกำลังใจหรือทำอย่างไรดี ? ตอบ : ถ้าหากทำไปจริง ๆ ถึงระดับหนึ่งความสงสัยก็จะหายไป มีอยู่อย่างเดียวคือ พยายามวางกำลังใจของเราให้ทรงตัว ภาวนาให้ต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องกันได้แล้วจะหายสงสัยไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2010 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
||||
|
||||
ถาม : พอไปทำอะไรมา ไม่ได้อธิษฐานเพื่อส่วนตัวค่ะ
ตอบ : วิสัยเดิมที่เคยตามสายหลวงพ่อที่เป็นพุทธภูมิมา อะไร ๆ ก็ทำเพื่อส่วนรวมทั้งนั้นแหละ เรียกว่าเป็นพุทธภูมิแบบตกกะไดพลอยโจน ไม่ได้ตั้งใจจะเป็น แต่ทีนี้หัวแถวเป็น ลูกแถวตามมา จึงคล้าย ๆ กัน ถาม : สมมติภพชาตินี้หมดไปแล้ว ภพชาติหน้าต่อไปก็มีต่อเนื่องแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ใช่แล้ว..ของเก่าทำมา ทิ้งวิสัยเดิมไม่ได้หรอก พอถึงเวลาเราต้องการก็ปรากฏ พยายามเบนเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้าให้ได้ ถาม : ทางคณะจะลงใต้ไปที่วัดชัยชนะสงคราม ที่หาดใหญ่ ตอบ : ไปแล้วต้องฝึกกรรมฐานด้วยนะ อย่าทิ้งโอกาสไปเปล่า ๆ ถาม : ให้พวกเราไปฝึกด้วยหรือคะ เห็นว่าเป็นสายของหลวงปู่สดเหมือนกันหรือคะ ? ตอบ : เหมือนกัน แต่หลวงป๋าวิวัฒน์ท่านสอนมโนมยิทธิ แบบมโนมยิทธิปนกับธรรมกาย สองอย่างลงท้ายคล้ายคลึงกัน จึงไปด้วยกันได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2010 เมื่อ 02:45 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#130
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ก่อนนี้ที่กรุงเทพฯ ทรุด ปัญหาใหญ่ก็คือสูบน้ำบาดาลมากเกิน ข้างใต้ดินลงไปที่เป็นชั้น ๆ จะมีโพรงที่อัดน้ำอยู่เต็ม พอเราดูดน้ำขึ้นมา น้ำหนักดินก็จะกดลงไป เมื่อไม่มีสิ่งรองรับ ก็จะยุบลงไปเรื่อย
ระยะหลังปัญหาการสูบน้ำบาดาลคลี่คลายลง เพราะน้ำประปาพอใช้ แต่ไปหนักตรงสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตขึ้นทุกวัน น้ำหนักที่กดทับลงไปก็ยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าเดิม เพราะฉะนั้น..เลี่ยงไม่ได้หรอก จะช้าจะเร็วกรุงเทพฯ น้ำก็ต้องท่วม ที่จริงแล้วสมัยรัชกาลที่ ๑ ย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพฯ เพราะต้องการสถานที่ที่มีฝนฟ้าอุดมสมบูรณ์ ประชากรต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยการปลูกข้าวเป็นหลัก บรรพบุรุษเขาเลือกสถานที่ได้ถูก แต่เราไปเปลี่ยนจากนามาเป็นตึก ฝนฟ้าไม่ได้เปลี่ยนด้วย ยังคงตกตามปกติ เรื่องก็เลยสาหัสอย่างในปัจจุบัน โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ มีการขุดคลองระบายน้ำเป็นจำนวนมาก พอถนนหนทางขยายขึ้น มีการถมคลองเพื่อสร้างถนนหนทางไปหลายสาย การระบายน้ำก็ไม่สะดวกเหมือนเดิม เพราะไม่ได้ใช้คลองเป็นทางสัญจร ไม่มีการขุดลอกก็ตื้นเขินไปเรื่อย พื้นที่รองรับน้ำในเบื้องต้นจึงไม่พอเพราะคลองตื้น จะระบายน้ำก็ไม่สะดวกเพราะว่าโดนถมไปเสียมาก คนโบราณเขาเก่งตรงที่ว่าคล้อยตามธรรมชาติ แต่คนในยุคปัจจุบันไม่ได้คำนึงถึงตรงนั้น ใช้วิธีขัดขวางหรือทำลายธรรมชาติ ถ้าเราสังเกตดูบ้านคนสมัยก่อนจะเป็นบ้านใต้ถุนสูง ชั้นล่างเขาเผื่อน้ำท่วม พอหน้าร้อนเขาก็ลงมาข้างล่าง เป็นที่ทำงานหรืออาศัยพักผ่อนเพราะว่าเย็นกว่าชั้นบน หน้าฝน หน้าหนาว ถ้าน้ำยังไม่ลด ยังไม่ถึงเดือนยี่ก็อยู่ชั้นบน แล้วผูกเรือไว้ใต้ถุน แต่พอเราไปเปลี่ยนรูปแบบ ไปนิยมการก่อสร้างแบบต่างประเทศ เห็นว่าเป็นความเจริญ ก็รับมาโดยไม่ได้ดูสภาพความเหมาะสมของบ้านเราเมืองเรา ปัญหาใหญ่จึงเกิดขึ้นไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครปลูกบ้านใหม่ โปรดเผื่อน้ำท่วมไว้ด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2010 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#131
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "นักปฏิบัติที่เอาดีได้ยากในปัจจุบัน เพราะว่าไปปล่อยกำลังให้รั่วไหลหมด การที่เราฝึกปฏิบัติควบคุมกาย วาจา ใจของเรา เพื่อสร้างให้จิตมีกำลัง แล้วนำกำลังนั้นไปใช้ในการตัดกิเลส แต่เรามักจะปล่อยให้รั่วไหลอยู่ตลอดเวลา
ตาเห็นรูป..ชอบใจก็ไหลไปแล้ว หูได้ยินเสียง..ชอบใจไหลไปอีกแล้ว จมูกได้กลิ่น..ชอบใจไหลไปอีกแล้ว ลิ้นได้รสชอบใจ..ก็ไหลไปอีก กายสัมผัส..ชอบใจไหลไปอีก ใจครุ่นคิด..เกิดความพอใจไม่พอใจ ดีใจเสียใจไหลไปอีกแล้ว จึงทำให้กำลังของเรา รวบรวมเท่าไรก็ไม่พอสำหรับเอามาใช้ในการตัดกิเลส เพราะว่ารั่วไหลอยู่ตลอด ถ้าใครสามารถสะสมกำลังเอาไว้ได้ โดยที่ไม่รั่วไหลเลย ขอบอกว่ากำลังนั้นมหาศาลขนาดเปลี่ยนฟ้าแปลงดินได้..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:06 |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#132
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้งานมาก เหมือนกับทดสอบกำลังว่าเราป่วยแล้วจะมีแรงพอทำงานไหม ? เพราะว่าวันที่ ๒๓ ตุลาคม ที่เคยทอดกฐินเป็นประจำ เป็นวันออกพรรษา และยังเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ไม่สามารถที่จะรับกฐินได้
ปกติจะรับกฐินต้องเป็นแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ คราวนี้โดยธรรมเนียม แรม ๑ ค่ำ จะเป็นวันตักบาตรเทโวฯ ก็แปลว่า วันที่ ๒๓ ตุลาคม ทำบุญออกพรรษา วันที่ ๒๔ ตุลาคม ตักบาตรเทโวฯ วันที่ ๒๕ ตุลาคม เป็นวันหยุดชดเชย ก็เลยทอดกฐิน เจองานติดกันไปสามวันรวด จะได้รู้ว่าอาตมายังไหวหรือเปล่า ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:07 |
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#133
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงลิเกให้ฟังว่า "ลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวสามล เรามักจะรู้จักแต่นางรจนาคนเดียว อีก ๖ ท่าน ชื่ออะไร มีใครรู้บ้าง ?
เรื่องนี้อาตมารู้ได้เพราะตลกลิเก พอท้าวสามลใช้ให้คนไปตามพี่ ๆ ทั้ง ๖ คนให้มาเลือกบรรดาเจ้าชาย ที่มาคัดตัวเป็นราชบุตรเขย ตัวตลกก็กล่าวว่า "ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระพี่นางทั้ง ๖ มีพระนามว่าอย่างไรบ้างพระเจ้าข้า ? ท้าวสามลบอกว่า "กูก็ไม่รู้เหมือนกัน" แล้วโบ้ยไปให้นางมณฑา นางมณฑาไหวพริบดีมาก สมกับที่เป็นลิเกตัวนำ นางมณฑานับนิ้วบอกเลยว่า "มีชื่อดังนี้ มะลิวัลย์ จันทนา สารภี ยี่สุ่นเทศ เกศเมือง เรืองยศ รจนา" ปฏิภาณสุดยอดจริง ๆ เรื่องการเล่นลิเก บางทีก็มีการทดสอบไหวพริบปฏิภาณ บางทีก็หักมุมไปในตัว บางทีเขาเล่นกันก็เบื่อบทตัวเอง อยากจะเล่นบทอื่นบ้าง ก็แกล้งเล่นบทนั้นเสียเลย ถ้าคนดูเห็นว่าตัวเองเล่นได้ดีกว่า เดี๋ยวเขาก็ได้เล่นบทนั้นเอง ก่อนหน้านี้ที่กาญจนบุรีจะมีวัดถ้ำเสือดาว ท่านอาจารย์บูรพา กับวัดเขาสามชั้น ท่านอาจารย์กระโจมทอง ท่านทั้งสองเคยเล่นลิเกวงเดียวกันมา ต่างคนต่างมาบวช ท่านอาจารย์กระโจมทองเล่นเป็นพระเอก ท่านอาจารย์บูรพาเล่นเป็นผู้ร้าย ไป ๆ มา ๆ รู้สึกเบื่อ ผู้ร้ายเวลาออกนอกโรงลิเก ชาวบ้านก็ด่า ขว้างด้วยรองเท้า ผู้ร้ายเลยอยากเป็นพระเอกบ้าง ปรากฏว่าท่านอาจารย์กระโจมทองไม่ยอม เพราะเล่นเป็นพระเอกอยู่แล้ว ท่านอาจารย์บูรพาเลยแยกวงไป ท้ายสุดก็เจ๊งทั้งคู่ ต่างคนต่างมาบวช ทุกวันนี้ท่านอาจารย์บูรพายังบวชอยู่ ส่วนท่านอาจารย์กระโจมทองสึกไปแล้ว ท่านอาจารย์กระโจมทองเคยโดนอธิกรณ์อยู่ครั้งหนึ่ง อาตมาตอนนั้นทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี จึงเป็นคนไปสอบสวนเอง สอบสวนและก็รายงานไปว่าเป็นการกลั่นแกล้งกัน ท่านอาจารย์กระโจมทองติดลีลาลิเกเก่า พอท่านเจอหน้าอาตมาในฐานะผู้บังคับบัญชาเหนือตน ท่านเล่นถวายบังคมเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นพระ แต่ท่านติดนิสัยถวายบังคม..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:13 |
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#134
|
||||
|
||||
"การที่เขาเล่นลิเกได้สมบทบาท แสดงว่าเขาต้องทุ่มเทเต็มที่ ในเมื่อลิเกยังทุ่มเทให้กับบทบาท จนกระทั่งชาวบ้านคล้อยตามไปด้วย เห็นว่าเป็นตัวโกงจริง ๆ ก็แปลว่าเขาทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่แล้ว
เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเราต้องทบทวนตัวเราเองดูว่า เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ? ในเมื่อเราเองตั้งใจปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเคยทุ่มเทชนิดตายเป็นตายบ้างหรือไม่ ? ส่วนใหญ่นอกจากจะไม่ทุ่มเทแล้ว เรายังไปปล่อยให้กำลังของเรารั่วไหลอีกต่างหาก เราจึงสู้กิเลสไม่ได้เสียที ลองดูสักครั้งสิ..ดูว่า..ตายเป็นตายเป็นอย่างไร แต่ส่วนใหญ่พอจะใกล้ตายหน่อยก็มืออ่อนตีนอ่อน ยอมแพ้ดีกว่า เดี๋ยวกิเลสตายเราจะเศร้าหมอง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:15 |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#135
|
||||
|
||||
ถาม : ในกรณีที่เราเคยลบหลู่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่อดีตชาติ ด้วยความคิดว่าเราเก่ง
ตอบ : ให้ขอขมา ถาม : ในปัจจุบันเราไม่รู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านไหนที่เราเคยลบหลู่มาก่อน ? ตอบ : ตั้งใจว่า ไม่ว่าจะเป็นท่านใดที่เราเคยล่วงเกินมา เราก็ขอขมา ถาม : อธิษฐานขอขมาต่อหน้าพระได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#136
|
||||
|
||||
ถาม : นั่งภาวนาไป สักพักหนึ่ง เผลอตัวคิดเรื่องอื่นครับ อยากทราบวิธีแก้ครับ ?
ตอบ : ก็แค่เลิกคิด แล้วกลับมาภาวนาใหม่ แรก ๆ ก็ชักคะเย่อกันอย่างนี้แหละ จนกว่าอารมณ์ใจของเราจะทรงตัวจริง ๆ จึงจะอยู่กับการภาวนาตลอด หัดปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะเป็นอย่างนั้นแหละ รู้ตัวก็รีบดึงกลับเข้ามาอยู่กับการภาวนา ฟัดกันสักสามปีห้าปีเดี๋ยวก็ดีไปเอง ถาม : การที่เราภาวนาแล้วรู้สึกเหนื่อย เป็นเพราะเราภาวนาหรือเพราะว่าอะไร ? ตอบ : เกิดจากหลายสาเหตุ ๑. เป็นเพราะเราตั้งใจเกินไป ต้องวางกำลังใจสบาย ๆ ๒. ไปบังคับลมหายใจ เขาให้กำหนดรู้ลมหายใจไปเฉย ๆ ไม่ใช่ไปบังคับลม ต้องปล่อยให้ลมเข้าออกตามปกติ เราแค่เอาสติรู้ตามไปเท่านั้น ๓. กำลังใจรวมตัวจะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าแบบนี้หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นไปด้วย เหมือนคนที่ออกกำลังมาอย่างหนัก จึงรู้สึกเหนื่อย แบบนี้ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้าไม่กลัวตายจริง ๆ ก็จะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2019 เมื่อ 11:30 |
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#137
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาภาวนา เราสามารถนั่งภาวนาได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ต้องภาวนาได้ ถ้ามัวแต่ไปรอนั่งภาวนา ชาตินี้ก็เอาดีไม่ได้หรอก..! ถาม : พอนั่งสมาธิ ได้ยินเสียงจะตกใจง่าย ตอบ : แสดงว่าสติยังไม่มั่นคง ยังส่งจิตออกนอกไปคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ ถาม : วิธีแก้คือทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัวมากขึ้นเดี๋ยวก็หายไปเอง ถาม : ถ้าเราตกใจ ตอบ : ถ้าตกใจแสดงว่ากำลังใจของเราไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ไปคิดเรื่องอื่นอยู่ เวลาจิตกลับมาเร็วเกินไปก็จะเป็นอาการที่เราเรียกว่าตกใจ ตรงนี้เราทำผิดเอง ถาม : เวลาเราดูแผ่นกสิณสีขาว แล้วไฟเป็นสีอื่น จะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้ใส่ใจแค่สีขาวเท่านั้น ถาม : ถึงแม้ว่าตัวแผ่นกสิณจะเปลี่ยนไปตามสีใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่..ให้สนใจเรื่องเดียว ไปสนใจหลายเรื่องแล้วเมื่อไรจะได้อะไรสักที เหมือนกับพวกหลายใจ ทำอะไรก็ทำให้ได้ไปอย่างหนึ่งเลย ถ้าเปลี่ยนไปเรื่อยชาตินี้ก็ทำไม่สำเร็จหรอก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:25 |
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#138
|
||||
|
||||
ถาม : เรื่องการรักษาศีลแปดมีผลต่อสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ารักษาศีลแปดได้ ก็จะปฏิบัติได้ดีกว่า ถาม : แล้วข้อที่เขาบอกว่าห้ามฟังเพลง เขาห้ามเพลงทุกชนิดเลยหรือครับ ? ตอบ : ทุกชนิด ถาม : ถ้าเราฟังแล้วเราไม่ได้คิดอะไร ได้หรือเปล่าครับ ? ตอบ : ไม่ได้คิดแล้วจะฟังทำซากอะไร..! ถาม : เปิดเฉย ๆ ครับ ตอบ : หาเรื่องเดือดร้อน..! พอเสียงมาเข้าหู กำลังของเราก็รั่วไหล เราต้องสะสมกำลังจิตของเราให้มากพอ จึงจะสามารถปราบกิเลสได้ แต่มักจะรั่วออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็เลยกลายเป็นทาสกิเลสไปตลอดปีตลอดชาติ..! ถาม : แล้วปกติเวลาเขาบวช เขาใช้สบู่อะไรกันครับ ? ตอบ : มีอะไรก็ใช้ไป สักแต่ว่าใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ อย่าไปเลือกว่าต้องสบู่หอมยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2019 เมื่อ 11:30 |
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#139
|
||||
|
||||
ถาม : สงสัยว่าอสุรกาย หน้าตาเหมือนผีทั่วไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขาแสดงให้เป็นแบบไหนก็ได้ แต่ของจริงมักจะผอม ๆ ดำ ๆ จะมีก็พวกที่ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ มีเครื่องเซ่นมากก็อ้วนหน่อย ถาม : สงสัยว่าเขาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตามต้นไม้หรือเปล่า ? ตอบ : เขาอยู่ได้หลายที่ แต่ชอบที่ซึ่งหลบซ่อนได้ง่าย เราอาจจะเจอมาหลายทีแล้วก็ได้ แต่ไม่รู้จักเขาเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#140
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่อง การถือมงคลตื่นข่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ว่าอย่าไปถือมงคลตื่นข่าว เมื่อครู่โยมโทรมาบอกว่าป่วย ไม่ค่อยสบายอยู่เรื่อย มีคนแนะนำให้ไปหาร่างทรง แล้วร่างทรงบอกว่า ต้องรับขันธ์จึงจะหาย เขาก็เลยสงสัยว่าเทวดามีหน้าที่ทำให้คนป่วยหรือ ? เขายังฉลาดที่รู้จักสงสัย แต่ใจก็ไปตั้งครึ่งตัวแล้ว
สำนักทรงต่าง ๆ หาของแท้ยาก คำว่า "ของแท้" ก็คือ เป็นเทวดา เป็นพรหม ที่มาสร้างบารมี หรือเป็นพระมาสงเคราะห์ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะถูกจำกัดไว้ด้วยเวลา ไม่ได้มาเปะปะ พวกประเภทที่ไปเมื่อไรทรงได้ทันที ขอให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า "ปลอม" ไว้ก่อน ของแท้ท่านมาตามเวลา มีข้อสังเกตง่าย ๆ ว่า ๑. มาตามเวลา ไม่ใช่มาเปะปะทั่วไป บางรายก็มาเฉพาะวันพฤหัสบดีหรือวันเสาร์ บางรายมาเฉพาะวันพระ บางรายมาเดือนละครั้ง มีอยู่รายหนึ่ง เป็นร่างทรงพระเจ้าตากสิน มาปีละครั้ง ๒. ถ้าหากว่าเป็นของแท้ ส่วนใหญ่แล้วไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากเรา นอกจากดอกไม้ธูปเทียนและเงินบูชาครูเล็ก ๆ น้อย ๆ สัก ๓ บาท ๙ บาท เพื่อแสดงว่าเราเคารพท่าน เคยเจอมากที่สุดคือ ๑๐๘ บาท แต่มีหลายสำนักเหมือนกัน ที่เราไปตัวเปล่าแล้วเขาจัดให้หมดทุกอย่าง นั่นแปลว่าเขาตั้งใจมาเพื่อสงเคราะห์จริง ๆ ๓. สิ่งที่เขารับปากช่วยเรานั้นจะมีผล ดังนั้น..ถ้าทิพจักขุญาณไม่ดี ก็ให้สังเกตสามข้อนี้ไว้ ข้อแรกคือมาเป็นเวลา ไม่ใช่ทรงได้ทุกเวลา ข้อที่สองคือไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ มาเพื่อสร้างบารมี ส่วนใหญ่ต้องการแค่ความเคารพ มีเครื่องบูชาครู เล็ก ๆ น้อย ๆ ข้อสุดท้ายคือ สิ่งที่เขารับปากช่วยจะมีผลตามนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:36 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|