#1
|
||||
|
||||
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐
อบรมที่เกาะพระฤๅษี วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ถ้าหากว่าพระเขากราบกัน เณรหรือฆราวาสอย่ากราบพร้อมพระ เพราะว่าที่รับไหว้รับกราบเณรมีแต่อาตมาคนเดียว คนอื่นเขาถือว่าศีลไม่เท่ากัน กราบพร้อมกันเท่ากับว่าให้พระรับไหว้ ถ้าเป็นที่อื่นเขาจะ "โบ๊ะ" ให้ ต้องระวังไว้นิดหนึ่ง จวนจะเข้าพรรษาแล้ว ใครอยู่ต่อก็แปลว่าเอาจริงละนะ ช่วงนี้เรื่องการศึกษาของคณะสงฆ์ มีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ช่วงประมาณ ๓ ปีที่ผ่านมานี้เปลี่ยนเร็วจริง ๆ เริ่มจากการที่เขาปรับวุฒิพระสังฆาธิการ โดยการให้ไปเรียนหลักสูตร ป.บส. (ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์) ใครจบนักธรรมเอกแล้ว ปีเดียวได้วุฒิ ม. ๖ เลย ของเณรก็เลยสบาย เพราะเรียนจบนักธรรมเอกแล้ว เรียนปีเดียวก็จบ ม. ๖ ง่ายไหม ? แล้วยังมีการปรับให้สอบนักธรรมตรีในพรรษา เพราะส่วนใหญ่ที่ผ่านมา ออกพรรษาแล้วจะสึกกัน ที่ลงชื่อไว้ว่าจะสอบนักธรรมตรีจึงไม่ได้สอบ โดยส่วนใหญ่จะสอบนวกะสองอาทิตย์ก่อนออกพรรษา ก็ได้ประกาศนียบัตรชั้นนวกภูมิ ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้งานได้ เพราะว่าถือว่าเป็นการสอบภายใน ไม่ได้การรับรองจากทางการ แต่ถ้านักธรรมตรีนี่ได้รับการรับรอง เอาไปผ่อนผันการเกณฑ์ทหารได้ด้วย แต่ว่าเดี๋ยวจะไปโดนแบบท่านมหาประโยค ๙ ไปขอผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร เอาวุฒิบัตรประโยค ๙ ไป เขาบอกว่า “ไม่ได้..ต้องเอานักธรรมตรีเท่านั้น..!” เปรียญธรรม ๙ ประโยคนี่ เลยนักธรรมตรีไปหลายสิบกิโล แต่สัสดีเขายืนยันว่าระเบียบบอกว่าต้องเอานักธรรมตรีแค่นั้น แล้วกว่าจะสอบประโยค ๙ ได้ ไม่รู้ว่าประกาศนียบัตรนักธรรมตรีหายไปแล้วหรือยัง ? ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ต้องผ่อนผันกันพอดี เขาจึงให้สอบในพรรษา แปลว่าเวลาดูหนังสือเราน้อยลง เพราะว่าหลาย ๆ สำนัก ถ้าไม่ใช่สำนักเรียนใหญ่จริง ๆ ป่านนี้ยังไม่ได้เริ่มต้นเลย แต่ว่านักธรรมโท นักธรรมเอก เขาถือว่า คนที่จะสอบคือคนที่ตั้งใจอยู่ ก็ไปสอบวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ เหมือนเดิม พวกวันสอบของพระนี้ ขึ้นแรมจะตายตัว ทุกปีจะตรงกับวันเดิม แต่ว่าไม่ตรงกับวันที่เดิม เพราะว่าเขานับเป็นขึ้นแรมกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-09-2010 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
แล้วปัจจุบันนี้ พระสังฆาธิการนับตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เขาให้ปรับวุฒิการศึกษา ใครยังไม่ได้ปริญญาตรี ต้องเรียนให้ได้ เขาต้องการความรู้มากขึ้นทุกที
จริง ๆ แล้วนี่เป็นการแก้ปัญหาในทางที่ผิด เขาคิดว่าความผิดพลาดต่าง ๆ ที่มีมาในวงการสงฆ์ เกิดจากพระไม่มีความรู้ แต่ผมว่าไม่ใช่..พวกที่รู้มากนั่นแหละ เลี่ยงบาลีเก่ง ทำผิดอยู่เรื่อย ถ้าหากว่าเราสอนพระให้รู้จักละอายชั่วกลัวบาป ให้รักศีลของตัวเอง ผมว่าทุกอย่างจบเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนมาก แต่ในเมื่อเป็นนโยบายของทางผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ผมก็ต้องไปเรียนกับเขา บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าเรียนไปแล้วได้อะไร เพราะว่าสิ่งที่เราต้องการรู้คือธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ว่าการเรียนระดับปริญญา โดยเฉพาะปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เขาสอนให้สงสัยทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ให้คิด ให้วิเคราะห์ แล้วจะเอาอัจฉริยะที่ไหนขนาดนั้นไปสอน คิดว่าจะมีคนเก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร ? จริงอยู่..การศึกษาทุกอย่างจะต้องเปิดกว้าง ต้องให้มีการคิดการโต้แย้งได้ แต่นั่นต้องเป็นความรู้อย่างอื่น ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า อัจฉริยะมนุษย์อย่างพระพุทธเจ้า เวลา ๔๕ ปี ที่สอนคนมา เป็นธรรมะทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทุกอย่างผสมกลมกลืนเข้ากันได้หมด สมบูรณ์บริบูรณ์ ตัดออกก็ขาด เติมเข้าก็เกิน แล้วใครจะเก่งขนาดไปวิเคราะห์ธรรมะของพระพุทธเจ้า จะเสียเวลาตายเปล่าไม่ได้อะไรขึ้นมา ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ เรามีหน้าที่ทำตามอย่างเดียวก็พอแล้ว ถ้าอยากจะเก่ง โน่น..รอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเองแล้วค่อยว่ากัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-09-2010 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
วันที่ปิดการศึกษา เขาเรียกว่าอะไร ? จะเรียกว่าเป็นปัจฉิมนิเทศก็ได้ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ* ท่านกล่าวสัมโมทนียกถากับพวกผม ที่รับประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ว่า เราอยู่กับโลก เราก็ต้องเคารพสมมติทางโลก ในเมื่อโลกเขาต้องการเช่นนี้ เราก็หาให้เขา
ตัวนี้เป็นการรวมกำลังใจในการปฏิบัติครบถ้วนจริง ๆ อยู่กับโลกเราไม่ติดในโลก แต่เราต้องเคารพสมมติทางโลก ถ้าคุณปล่อยวางไม่ได้ ไม่มีทางหรอกที่จะไปเคารพสมมติทางโลก มีแต่เอาความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ การศึกษายิ่งเร่งรัดเข้ามาทุกเวลา ปัจจุบันนี้ปริญญาโทเริ่มเกลื่อน ต่อไปคงต้องให้เรียนปริญญาเอกกันทั้งประเทศ สมัยที่ผมยังเด็กอยู่ จบ ป.๔ ออกมาก็เป็นครูได้แล้ว เสร็จแล้วก็ไปเรียนวิชาชีพครูเพิ่มเติมเอาทีหลัง ไม่ว่าจะ ปกศ. หรือว่า พ.ม. ไปเรียนเพิ่มเอาทีหลัง แล้วครูบาอาจารย์ที่จบ ป. ๔ สมัยนั้น ท่านเก่งจริง ๆ คนไหนที่สำแดงความมีอัจฉริยภาพตั้งแต่ตอนเรียน ถึงเวลาใกล้จบ ครูบาอาจารย์เก่า ๆ หรือครูใหญ่ เขาจะไปทาบทาม ให้มาสมัครเป็นครูต่อ ผมเองยังมีครูที่จบ ป.๔ อยู่ ๒ ท่าน ท่านเก่งจริง ๆ ครูสมัยนี้ที่จบครุศาสตร์มา สู้ท่านไม่ได้เลย จิตวิทยาในการรับมือกับเด็กนี่สุดยอด พอสมัยต่อมาท่านว่าใครจบ ม. ๘ สมัยนั้นเป็นมัธยมศึกษาปีที่ ๘ ก่อนที่จะมาเป็นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ แล้วมันก็มาเป็นมัธยม ๖(ม. ๖) ในปัจจุบัน โดยที่ตัด ป. ๗ ออกไป สมัยนั้นลูกใครจบ ม.๘ คุยไปได้ทั้งจังหวัด แล้วถัดมาก็จบปริญญาตรี ภูมิใจ ได้รับปริญญาจากพระหัตถ์ของในหลวง ปลื้มใจมาก ภูมิใจมาก ปัจจุบันนี้ จบปริญญาตรีมาผมยังเห็นอีเหละเขละขละ หาความรู้ไม่ได้ ไม่รู้เขาเอาความรู้ไปโยนไว้ที่ไหนหมด จนกระทั่งบางคนเขาพูดเจ็บ ๆ ว่า ไปเรียนหาผัวหาเมียกัน..! หมายเหตุ : * สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ ป.ธ. ๙) วัดสระเกศราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-09-2010 เมื่อ 15:39 |
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ตั้งแต่เขากำหนดว่า เด็กสอบห้ามตก เมื่อรู้ว่าสอบเท่าไรก็ไม่ตก แล้วเด็กจะไปสนใจเรียนทำไม ? พอมาห้ามตีนักเรียน ยิ่งไปกันใหญ่เลย จำไว้เลยว่า อะไรที่โบราณเขาว่า นั่นเป็นความคิดที่ตกผลึกแล้ว เถียงยาก ของท่านถูกแน่ ๆ
ท่านบอก รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ไม่ตีก็เสียเด็กหมด..นะเณรนะ.. เอาซะหน่อยไหม ? (แหะ..แหะ..) รักมากต้องตีให้สะเด็ด ในเมื่อห้ามตี สอบก็ไม่มีการตก แล้วเด็กจะไปมีความรู้อะไร ? คุณสุรจักร กาญจนินทุ เป็นศึกษานิเทศก์ ออกไปตรวจตามโรงเรียน เขาบอกหลวงพี่เชื่อไหมครับ..เด็ก ป. ๖ ยังอ่านหนังสือไม่ออกสักตัว ไม่รู้เขาให้ผ่านไปได้อย่างไร ? ผมชี้ให้อ่าน เด็กอ่านไม่ได้เลย..! แต่ถ้าให้อ่านพร้อม ๆ กับเพื่อน เด็กจำได้ทุกตัว เพราะมาถึง ป. ๖ แล้ว ถึงเวลาตะโกนปาว ๆ พร้อมกันก็จำได้ แต่ไม่รู้ว่าแต่ละตัวหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะเขาห้ามตก เด็กก็เลยเป็นอย่างนี้ ถ้าหากว่าตกซ้ำชั้นหรือว่าซ่อมมาก ๆ ครูบาอาจารย์จะโดนพิจารณาอีก เขาก็คงรำคาญตรงจุดนี้ เลยผลักให้ผ่าน ๆ ไป ป. ๖ แล้วยังอ่านหนังสือไม่ออก แล้วจะไปทำมาหากินอะไรได้ ดังนั้นว่า ทางด้านของคณะสงฆ์เรา มีการปรับปรุงหลักสูตรต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาก ถ้าหากว่าเราตั้งใจเรียน สมัยก่อนแค่นักธรรมเอกก็รักษาตัวได้แล้ว เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เยอะแยะไปหมด ส่วนใหญ่จะมีแต่เจ้าคณะจังหวัดที่เป็นเปรียญธรรม ก็ไม่ใช่ว่าจะได้อะไรกันสูงนักหนา ประโยค ๔ ประโยค ๕ ก็เป็นเจ้าคณะจังหวัดกัน อย่างปัจจุบันหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี หลวงพ่อพระเทพเมธากรจบประโยค ๔ อย่างเณรอีก ๒ ปีก็ไล่ทันแล้ว เราก็ยืด..ผมจบเท่าหลวงพ่อ แต่ถ้ายืดไปใกล้ ๆ มีหวังโดนเตะ..! ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็พยายามเรียนกันไว้ เรื่องของบาลีนั้น ถ้าจะเรียนต้องเรียนให้ต่อเนื่อง อย่าทิ้ง ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีศาสนวงศ์** สอนกฎหมายคณะสงฆ์ให้กับผม ท่านเป็นสุดยอดอัจฉริยะเลย ถือเป็นมือกฎหมายของคณะสงฆ์ไทยก็ว่าได้ ทุกมาตราอยู่ในหัวท่านหมด ท่านสอบประโยค ๑ ถึง ๙ ใช้เวลา ๘ ปี เพราะว่า ประโยค ๑ ๒ เรียนรวมกัน ปีแรกได้ประโยค ๑ - ๒ ปีที่สองเป็นพระมหามีชัยแล้ว ไม่เคยตกเลย หมายเหตุ : ** พระศรีศาสนวงศ์(มีชัย วีรปญฺโญ ป.ธ. ๙) วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-09-2010 เมื่อ 15:44 |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ถามท่านว่า เจ้าคุณอาจารย์ดูหนังสือมากไหมครับ ? ท่านบอกว่า อย่าคิดว่าผมเก่ง ที่ผมทำได้นั้น ผมดูหนังสือวันละ ๑๐ ชั่วโมง..! เป็นอย่างไร ? เณรดูกี่ชั่วโมง ? นั่นอย่าลืมว่า เวลาเรียนท่านเรียนตามปกติ ไปเข้าห้องเรียนตามปกติ
เสร็จแล้วนอกเวลาเรียนยังมาดูหนังสืออีก พอเขาหยุดให้ดูหนังสือก่อนสอบ ท่านดูวันละ ๑๐ ชั่วโมง เห็นหรือยังว่าคนเก่งจริง ๆ เขาไม่ได้ประมาท เพราะเรื่องของการเรียนการศึกษานี่สำคัญมาก หลวงพ่อสมเด็จวัดชนะสงคราม*** ท่านว่า นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้ นกไม่มีขนบินได้ไหม ? คนไม่มีความรู้จะขึ้นไปปกครองเขาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถึงเราจะไม่ได้ใช้ ถึงเราต้องตัดใจภาวนาพิจารณา จะปฏิบัติกรรมฐานทุ่มเทของเรา ในด้านนี้ก็ให้เรียนเอาไว้ สมัยผมที่ผมเรียน นักธรรมตรีก็บอกแล้วว่าเทวดาไม่มี ฆฏิการพรหมนำเอาบริขาร ๘ มาถวายพระพุทธเจ้า ข้อสอบถามว่า ฆฏิการพรหมในที่นี้หมายถึงใคร ? เขาตอบว่าอย่างไรรู้ไหม ? เขาบอกว่า อาจจะเป็นศาสดาเจ้าลัทธิใดลัทธิหนึ่งที่ได้ฌานสมาบัติ เพราะว่าฌานสมาบัติเป็นคุณสมบัติของพรหม ศาสดาเจ้าลัทธิท่านนี้ มีความเลื่อมใสในการออกมหาภิเนษกรมณ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ถึงได้นำบริขารมาถวาย คุณลองไปตอบสิ ว่าพระพรหมนำมาถวาย เขาจะได้ปรับให้ตกไปเลย ทั้ง ๆ ที่ในบาลีบอกไว้ชัดเจน คุณไปหาดูได้ ในฆฏิการสูตร**** ฆฏิการพรหมสมัยก่อนท่านเป็นช่างปั้นหม้อ เป็นเพื่อนของพระพุทธเจ้า คบหาสมาคมกันมา ปรารถนาโพธิญาณมาด้วยกัน ท่านตายแล้วขึ้นไปอยู่ข้างบน เป็นท้าวมหาพรหม ลงมาคุยกับพระพุทธเจ้า บอกไว้ชัด ๆ แต่เขาไม่เชื่อ เขาจะเอาพระพุทธเจ้าลงมาเป็นคนธรรมดา เอาพรหมเทวดาลงมาให้จับได้ต้องได้ ผมถามหลวงพ่อ***** ว่า แล้วอย่างนี้ผมจะเรียนไปทำไมครับ ? ท่านบอกว่า เรียนเอาไว้หน่อย มีประกาศนียบัตรเอาไว้เป็นไม้กันหมากัดเรา ผมก็เลยไปเรียน ผมไม่ได้กันหมากัดอย่างเดียว ผมคุยทับได้ด้วยว่า กูเป็นพระปฏิบัติ แต่กูเรียนได้ที่ ๑ ด้วย เก่งกว่ามึงอีก..! เพราะฉะนั้น..เรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ โดยเฉพาะท่านที่อายุยังน้อยอยู่ เพราะว่าทางโลกเขาไปไกล เขาไม่เชื่อความสามารถของคน เขาเชื่อแค่กระดาษแผ่นเดียว เราจำเป็นต้องหามาให้เขาหน่อย หมายเหตุ : *** สมเด็จพระมหาธีราจารย์(นิยม ฐานิสฺสรมหาเถระ ป.ธ. ๙) วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานคร **** พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน : พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ : มัชฌิมนิกาย : มัชฌิมปัณณาสก์ : ราชวรรคที่ ๑ : ฆฏิการสูตร ***** พระราชพรหมยาน(วีระ ถาวโร ป.ธ. ๔) วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2010 เมื่อ 20:01 |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ต่างจังหวัดเวลาเขาสอบบาลี คุณเชื่อไหม ? เขาเข้าห้องน้ำกันเป็นว่าเล่นเลย อย่างจังหวัดกาฬสินธุ์ เขารวมกันสอบ ๕๐๐ กว่ารูป ไปเข้าห้องน้ำกันที ๓๐๐ กว่ารูป..! เดินกันให้พล่านไปหมด ตำราซุกอยู่ในห้องน้ำ
เจ้าคุณมีชัยไปถึงก็ต้องมานั่งคิด กูจะเล่นท่าไหนดีวะ ? ก็เขาทำกันอย่างนี้มาปีแล้วปีเล่า พอรุ่งขึ้นท่านก็เอาเลย ประกาศออกไมโครโฟนเลย... เมื่อวานนี้ผมคาดว่าอาหารคงจะเป็นพิษ ทำให้พวกท่านขอเข้าห้องน้ำกันมาก แต่วันนี้ผมลงไปฉันด้วย ผมคาดว่าไม่เป็นแล้ว เพราะตอนนี้ผมยังปกติดีอยู่ เพราะฉะนั้นก่อนเข้าห้องสอบวันนี้ ขอให้ทุกท่านเข้าห้องน้ำห้องส้วมให้เรียบร้อย ในเวลาสอบ ๓ ชั่วโมง ห้ามเข้าห้องน้ำอย่างเด็ดขาด ใครลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมตัดสิทธิ์จากการสอบเลย ผมถามหมอมาเรียบร้อยแล้ว การกลั้นอุจจาระปัสสาวะ ๓ ชั่วโมง ยังไม่มีอันตรายอะไร.. นั่น..เอาหมอมาอ้างอีก แล้วท่านเป็นเลขานุการเจ้าคณะภาค ๙ เลขาภาคนี่สำคัญกว่าภาคอีกนะ เลขาภาคบอกอะไร ภาคเชื่ออย่างนั้น ปรากฏว่า ไม่มีใครกล้าลุกไปเข้าห้องน้ำ บรรดาเจ้าคณะต่าง ๆ ๔ - ๕ จังหวัดที่พาลูกศิษย์มาสอบรวม ท่านบอกว่า ๑๐ กว่าปีมาแล้ว เพิ่งเห็นการสอบที่เรียบร้อยที่สุดวันนี้เอง ถามว่า ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะไปแก้ไข ทำไมถึงได้เลอะขนาดนั้น ? ก็เพราะว่า เขาไม่เชื่อในตัวคน ทุกคนจึงต้องพยายามดิ้นรนให้ได้มา ซึ่งประกาศนียบัตรใบหนึ่งที่เขาเชื่อ คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ผมไปช่วยเขาคุมสอบอยู่หลายปี คุณเชื่อไหมว่าทั้งอำเภอมีผมคนเดียวที่เฉลยข้อสอบปากเปล่าได้ คนอื่นนี่อยู่ในหนังสือเล่มไหนยังหาไม่เจอเลย เจ้าคณะอำเภอก็หาไม่เจอ มีท่านอาจารย์บรรเจิด****** กับท่านอาจารย์เอ๊ดดี้******* สองคนที่พอจะหาเจอ เพราะสองคนนี้สอนเด็กประจำ แล้วคิดดูว่า คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ๓๐๐ กว่ารูป มีที่รู้จริงอยู่หนึ่งเดียว ที่พอรู้บ้าง ๒ รูป รวมแล้ว ๓ รูป สรุปแล้ว ในร้อยคนมีอยู่คนหนึ่ง แล้วคณะสงฆ์จะไปรอดไหม ? ก็เพราะว่าเขาดิ้นรนเพื่อจะให้ได้ประกาศนียบัตรมา โดยไม่คิดที่จะเอาความรู้กันจริง ๆ หมายเหตุ : ******พระอธิการบรรเจิด เทวธมฺโม เจ้าอาวาสวัดประจำไม้ หมู่ที่ ๔ ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี *******พระปลัดสถิตย์ ฐิตธมฺโม เลขานุการเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ วัดทองผาภูมิ หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2010 เมื่อ 20:05 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
เราเรียนเราต้องรู้ให้จริง ปัจจุบันนี้ผมเรียนผมก็ทุ่มเทกับการเรียน บางทีเพื่อนฝูงเขาขาดบ้างไม่ขาดบ้าง ยุ่งไปหมด ผมไปทุกวัน ตั้งใจเรียนจริง ๆ ถ้าเขาถามผมว่าทำไม ผมบอกเขาได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ผมเรียนแล้วผมต้องรู้ ถึงเวลาคนอื่นถาม ผมต้องบอกเขาได้
จำไว้นะเณร.. เรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องสอนคนอื่นเขาได้ ต้องให้แตกฉานจริง ๆ อย่างเณรต้องปล้ำให้ได้ประโยค ๖ ถ้ารู้ว่าเรียนไม่ไหว เอาแค่ ๖ ก็พอ เพราะอะไรรู้ไหม ? ประโยค ๖ ขอสมณศักดิ์ได้เป็นพระครูชั้นพิเศษเลย ถ้าหากว่าความดีมากขอเป็นเจ้าคุณได้เลย แต่ถ้าประโยค ๗ รอไปเถอะ ประโยค ๗ ต้องรอเป็นเจ้าคุณเท่านั้น บางคนรอตั้ง ๒๐ ปี ยังไม่ได้เป็นเลย แล้วเขาใช้วิธีไหน ? พอได้ประโยค ๖ เขาก็ขอพระครูชั้นพิเศษไว้ก่อน หลับหูหลับตาสอบประโยค ๗ ไปอีกสี่ปีห้าปี ได้เมื่อไรก็ช่างหัวมัน พอได้ก็ปรับให้เป็นเจ้าคุณได้แล้วสิ สบายไป..เพราะฉะนั้น ถ้าเรียนแล้วรู้ว่าไม่ไหว เอาแค่ประโยค ๖ แต่ถ้าไหวเรียนเอาให้ยันประโยค ๙ ไปเลย ถ้าหากว่าเณรเรียนไม่ตกจริง ๆ เวลา ๘ ปี อายุ ๒๑ ขึ้น ๒๒ ได้เป็นนาคหลวง ในหลวงบวชให้ ชีวิตนี้เณรจะหาความภูมิใจอย่างนี้ได้ยากมาก เพราะว่าแต่ละปี พระทั้งประเทศ ๓ แสนกว่ารูป มีปีที่แล้วมากที่สุด ได้ประโยค ๙ ถึง ๔๐ รูปแต่ว่าเป็นเณรแค่ ๕ รูป ดังนั้น..เรื่องของการศึกษานั้นสำคัญมาก ปริยัติกับปฏิบัติเป็นของคู่กัน ถ้าไม่มีท่านที่ศึกษาปริยัติ รักษาพระพุทธวจนะคือคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ พระปฏิบัติจะเอาคำสอนที่ไหนมาปฏิบัติ เราปฏิบัติก็อย่าไปดูถูกพระปริยัติว่าท่านไม่ได้ศึกษาทางด้านนี้ แค่ท่องหนังสืออย่างเดียวก็หัวจะระเบิดแล้ว ถ้าเอาสมาธิกันจริง ๆ ต้องอย่าง หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน* ท่านท่องบาลี ท่องไป ๆ เฮ้ย..ใครนั่งอยู่นั่นวะ ? แล้วนี่กูเป็นใคร ? ท่านท่องไปสมาธิทรงตัว จิตหลุดออกไปข้างนอกเฉยเลย เห็นตัวเองนั่งท่องหนังสืออยู่ นั่นมันกูนี่หว่า..! แล้วไอ้นี่เป็นใครวะ ? จะเอาอย่างนั้นบ้างก็ได้นะ พระปฏิบัติจริง ๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่า ต้องหลับตาภาวนาอย่างเดียว ท่องหนังสือก็เป็นสมาธิได้ ทำอะไรก็เป็นสมาธิได้ ข้อให้เอาจิตจดจ่ออยู่ตรงนั้น ของเณรอายุยังน้อย โอกาสยังมากอยู่ ถ้าหากว่าได้เปรียญตั้งแต่ประโยค ๓ ขึ้นไป แล้วมาเรียนพุทธศาสตรบัณฑิตอีก โอ้โฮ..คราวนี้เป็นทั้งคุณมหาเป็นทั้งพุทธศาสตรบัณฑิต จะไปไหนก็ไปได้ทั้งประเทศ ฉะนั้น..ขอให้ตั้งใจให้ดี โดยเฉพาะแม่ก็ดี หลวงพ่อก็ดี ตั้งความหวังอยู่กับเณรมาก เพราะว่าเณรเป็นคนแรกจริง ๆ ที่เรียนอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่แรก อย่างหลวงพี่มหาเอ** หลวงพี่มหาเค*** ท่านเรียนที่นี่ก่อน แล้วถึงเข้าไปต่อในกรุงเทพฯ หมายเหตุ: *พระราชสังวรญาณ(พุธ ฐานิโย ป.ธ. ๔) วัดป่าสาลวัน หมู่ที่ ๑ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา **พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ. ๓ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ***พระมหาธีรวุฒิ ธีรปญฺโญ ป.ธ. ๔ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-09-2010 เมื่อ 19:23 |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ของเราถือว่าเป็นลูกหม้อกรุงเทพฯ เกิดกรุงเทพฯ เลย ฉะนั้น..เอาดีให้ได้ ไปถึงก็ลุยให้หัวทิ่มหัวตำไปเลย ตอนช่วงนี้เพื่อนเณรทั้งหมด ส่วนใหญ่เริ่มเป็นวัยรุ่น ท่านจะประมาท กินบ้างเที่ยวบ้าง แอบดูโทรทัศน์บ้าง ซื้อวีซีดีมาดูกันบ้าง
บางทีอาจารย์โผล่หน้าเข้าไปในห้อง กำลังดูวีดีโอกันอยู่ หน้าซีดเหลือ ๒ นิ้ว เขาประมาทนะดีแล้ว เราเร่งสปีดให้เต็มที่ กว่าเขาจะรู้ตัว นี่ผม..สามเณรเปรียญครับ แซงพวกไปเลย ถึงเวลาเป็นเจ้าคณะแล้ว จะดูวีดีโอเท่าไรก็มี เดี๋ยวโยมเขาถวายให้เอง ขอให้ตั้งใจเรียนไว้ ปริยัติสำคัญ ปฏิบัติก็สำคัญ ถ้าเรารู้ครบทั้งสองอย่าง ก็ไม่มีใครสามารถที่จะว่าเราได้ เขาต้องการรู้ตรงส่วนไหน เราสามารถอธิบายให้เขาฟังได้ ต้องการทางโลก หัวข้อธรรมมีเท่าไร อย่างที่ผมท่องให้เณรฟังเมื่อครู่นั่น ผมท่องได้ตั้งแต่พรรษาแรก นวโกวาทนี่ผมท่องตั้งแต่พรรษาแรก นี่เข้าปีที่ ๒๒ แล้วผมยังจำได้ เณรเพิ่งจะท่อง บอกจำไม่ได้แล้ว..! ตั้งใจหน่อย..ถึงเวลาต้องรู้ให้จริงทั้งทางโลกและทางธรรม วันนี้ขอฝากไว้เท่านี้แหละ เลยเวลามามากแล้ว .................................
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-09-2010 เมื่อ 03:33 |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|