#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังวัดทรงธรรมวรวิหาร ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายท่านเจ้าคุณหมู ถ้าหากว่าฉายาในวงการพระเกจิอาจารย์ด้วยกัน ก็คือ "เจ้าคุณหมูเขี้ยวแก้ว" ท่านมีสมณศักดิ์ที่พระราชพัฒนสุนทร (ไพโรจน์ ชุติคุโณ) เจ้าคณะอำเภอพระประแดง เจ้าอาวาสวัดทรงธรรมวรวิหาร
ความจริงหลวงพ่อเจ้าคุณหมูท่านเกิดเดือนสิงหาคม แต่เนื่องจากว่าท่านเคยทำหน้าที่ในการตรวจประเมินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ มาก่อน งานนี้ไม่ได้รับการแต่งตั้งซ้ำ ท่านจึงผันตัวมาเป็นผู้สนับสนุนโครงการ เมื่อได้ยินว่าคณะกรรมขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ หนกลาง จะลงประเมินชุมชน ๔ ส.พัฒนา หมู่ที่ ๑๓ ตำบลบางหัวเสือ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นถิ่นของท่าน ท่านจึงนิมนต์มาทำบุญวันเกิด ซึ่งก็เลยวันเกิดมานานทีเดียว เมื่อพวกเราไปถึง ปรากฏว่าพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระราชมหาเจติยาภิบาล (ต่อศักดิ์ สุนฺทรวาที ป.ธ.๓) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามเดินมาสะกิด บอกว่า "หลวงพ่อเล็ก..ขอ ๑,๐๐๐ บาท" กระผม/อาตมภาพมองหน้าเป็นคำถาม ท่านเจ้าคุณชี้ไปที่เด็ก ๆ ซึ่งกำลังเล่นดนตรี ก็คือเครื่องดนตรีไทยหรือว่าเครื่องปี่พาทย์มอญนั่นเอง เมื่อเด็ก ๆ จากโรงเรียนทรงธรรม มีน้ำจิตน้ำใจมาเล่นดนตรีต้อนรับพวกเรา พวกเราก็เลยสะกิดกัน ควักกระเป๋าใส่ซองให้เป็นทุนการศึกษาเด็กด้วยประการฉะนี้ หลังจากนั้นก็ช่วยกันเจริญพระพุทธมนต์วันเกิด ถวายหลวงพ่อเจ้าคุณหมู โดยที่ท่านเองได้ตั้งโต๊ะจีนเอาไว้เสียมากมาย เลี้ยงทั้งพระ เลี้ยงทั้งโยม ฉลองวันเกิดไปในตัว จะว่าไปแล้ว หลวงพ่อเจ้าคุณหมูท่านเป็นบุคคลผู้ที่ให้ใจกับโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ เป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากว่าปีนี้เป็นปีแรกที่คณะกรรมการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้องมีมติเถรสมาคมในการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ และต้องรับพระบัญชาจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกอีกด้วย จึงทำให้มีการจำกัดจำนวนคณะกรรมการไว้ แต่ละหนมีได้ไม่เกิน ๑๕ รูป จึงทำให้หลายท่านที่เคยเป็นกรรมการเก่าหลุดวงโคจรไป และมีกรรมการหน้าใหม่อย่างกระผม/อาตมภาพเข้ามาสู่วงโคจร แต่หลวงพ่อเจ้าคุณหมูท่านก็ใจดี และรักโครงการนี้เป็นอย่างมาก จึงสนับสนุนด้วยการนิมนต์มาสวดมนต์ฉันเพล ก่อนที่จะเดินทางไปยังวัดบางหัวเสือ เมื่อไปถึงวัดบางหัวเสือ พวกเราก็เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการต่าง ๆ ซึ่งทางด้านนี้ "จัดเต็ม" เอาไว้อย่างดีมาก โดยเฉพาะบรรดาเด็ก ๆ ต่างมีความคล่องตัว ตอบปัญหาได้อย่างชัดเจน อาราธนาศีลได้คล่องแคล่วมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2023 เมื่อ 02:18 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
วัดบางหัวเสือแห่งนี้ต้องบอกว่าเป็นวัดอัศจรรย์มาก เนื่องเพราะว่ามีเจ้าอาวาสที่เป็นพระเกจิอาจารย์สืบเนื่องกันมาไม่ขาดสาย ตั้งแต่ยุคหลวงปู่บัว วัดบางหัวเสือ ซึ่งก็คือหลวงปู่บัว วัดรวก เจ้าของพระปิดตาหนึ่งพันแปดสิบไฟ หรือพระปิดตานั่งยองนั่นเอง หลังจากนั้นก็ยังมีหลวงปู่พิณ วัดบางหัวเสือ หลวงปู่เที่ยง วัดบางหัวเสือ หลวงปู่อยู่ วัดบางหัวเสือ มาถึงองค์ปัจจุบันก็คือหลวงปู่ถวิล (พระครูวิบูลสีลวัฒน์) ท่านเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "จำลอง" หรือว่าอย่างไร กระผม/อาตมภาพก็ไม่แน่ใจ แต่ชาวบ้านก็ยังเรียก "หลวงปู่ถวิล" อยู่ดี ปีนี้อายุกาลพรรษาของท่านก็ถึง ๘๘ ปีแล้ว
ในเรื่องของวัดวาอารามนั้น ที่จะมีพระเกจิอาจารย์อันเป็นที่นับถือของชาวบ้านต่อเนื่องกันมานับร้อย ๆ ปี อย่างวัดบางหัวเสือ ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าวัดบางหัวเสือแห่งนี้ก็ทำได้ โดยเฉพาะการเป็นเจ้าอาวาสนั่น ท่านแย่งกัน "ไม่เป็น" สมัยหลวงปู่เที่ยง หลวงปู่อยู่ วัดบางหัวเสือ ต่างคนต่างก็เกี่ยงให้อีกรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาส รูปที่เหลือจะอยู่ช่วยเหลืองานวัด เป็นต้น ดังนั้น..เราจะเห็นว่าท่านทั้งหลายสมกับเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง วัดบางหัวเสือจึงไม่ได้อยู่ใน "วงจรอุบาทว์" ซึ่งก็คือวงจรที่ว่า พออดีตเจ้าอาวาสมรณภาพ เจ้าอาวาสใหม่ถ้าเก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้ วัดก็โทรมทันตาเห็น ต่อให้เก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าได้ ญาติโยมก็ยังนึกถึงแต่เจ้าอาวาสเก่า เพราะว่าเขาอยู่ร่วมกันมานาน กว่าที่จะยอม "เทใจ" ให้กับเจ้าอาวาสใหม่ ซึ่งทุ่มเทพัฒนาวัด ช่วยเหลือญาติโยมต่าง ๆ มา ก็มักจะเป็นวาระสุดท้ายของเจ้าอาวาสรูปนั้นแล้ว เมื่อเจ้าอาวาสรูปนั้นมรณภาพ เจ้าอาวาสรูปใหม่ก็จะตกอยู่ใน "วงจรอุบาทว์" นี้ต่อไป แต่ว่าวัดบางหัวเสือไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้ เนื่องจากว่าหลวงปู่บัวท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่มาก ทั้งในการสั่งสอนลูกศิษย์ ตลอดจนกระทั่งสมัยนั้น วัดท่านอยู่กลางป่ากลางดง มีเสือปลาเป็นจำนวนมาก หลวงปู่ท่านถึงได้สร้างซุ้มประตูเป็นรูปหัวเสือ จนกระทั่งชาวบ้านเรียกกันว่าวัดบางหัวเสือ แล้วเมื่อชาวบ้านมีมากขึ้น ก็ขยายขึ้นเป็นหมู่บ้านบางหัวเสือ เป็นตำบลบางหัวเสือ ปัจจุบันนี้อยู่ในเขตเทศบาลเมืองปู่เจ้าสมิงพราย วัดบางหัวเสือจึงมีพระเกจิอาจารย์ในสมัยนั้น ทยอยกันธุดงค์มาอยู่ปฏิบัติธรรม รูปไหนจังหวะเวลาปะเหมาะเคราะห์ร้าย เจ้าอาวาสเก่ามรณภาพ ชาวบ้านเห็นความสามารถิก็นิมนต์ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสรูปใหม่ จนต้องเกี่ยงกันว่า "ท่านเป็นเถอะ..ผมไม่เป็นหรอก" หรือไม่ก็ "ท่านเป็นไปเถอะ..เดี๋ยวผมจะช่วยงานเอง" ซึ่งเรื่องแบบนี้ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยได้พบเห็นแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2023 เมื่อ 02:23 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อทำการตรวจประเมินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ฝากเอกสารการประเมินไว้กับหลวงพ่อพระมหาประกอบ โชติปุญฺโญ ป.ธ.๗ รองเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี เจ้าอาวาสวัดโชติทายการาม ซึ่งท่านเองยังต้องอยู่จนกระทั่งเขาประเมินเสร็จ และยังต้องไปดูงานในจุดที่เขากำหนดเอาไว้ให้ด้วย
แต่กระผม/อาตมภาพนั้นเป็น "คนบ้านไกล" และวันนี้เป็นวันศุกร์ ถ้าไม่รีบออกจากกรุงเทพฯ มีหวังจะเกิดอาการที่เรียกกันว่า "นรกแตก" แน่นอน จึงได้ขออนุญาตทั้งในกลุ่มไลน์ และบอกกล่าวด้วยวาจา หลังจากนั้นก็หลบแวบออกมา ให้น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) พาฝ่ารถติด ข้ามสะพานภูมิพลออกมาทางด้านถนนพระราม ๒ ทะลุมาถนนวงแหวนอุตสาหกรรม มาถึงถนนกาญจนาภิเษก มาเร็วขนาดนี้แล้ว กว่าจะหลุดมาถึงถนนบรมราชชนนีได้ ก็ติดแล้วติดอีก แต่ยังโชคดีว่าหลุดออกมาได้ก่อน ๔ โมงเย็น จึงทำให้หลังจากนั้นแล้ว รถราก็วิ่งได้ค่อนข้างที่จะสะดวก แต่เนื่องจากว่าดูเวลาจาก "กูเกิ้ลแม็พ" แล้ว กว่าจะถึงวัดท่าขนุนคืนนี้ก็ทุ่มกว่าเกือบสองทุ่ม กระผม/อาตมภาพจึงต้องบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนตอนนี้บนรถยนต์ตามเคย ซึ่งขณะนี้กำลังวิ่งผ่าน "บ้านแม่" ก็คืออำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ถามว่าทำไมวิ่งผ่าน "บ้านแม่" ? เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพตอนอายุประมาณ ๒ ขวบนั้น ได้กินท็อฟฟี่แล้วติดคอ หมดลมหายใจไปถึง ๒ ชั่วโมง..! พ่อแม่ได้บน ยกให้เป็นลูกของเจ้าแม่เบิกไพรที่บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ว่าถ้าฟื้นคืนชีวิตมาได้ จะถวายกระผม/อาตมภาพให้เป็นลูกเจ้าแม่ ๑๐ ปี ปรากฏว่ากระผม/อาตมภาพนั้นฟื้นคืนมาได้จริง ๆ แต่เนื่องจากว่าขาดอากาศหายใจนานมาก จึงทำให้เซลล์สมองตายไปเป็นจำนวนมาก จนป่วยเป็นโรคลมชักอยู่หลายปี..! แล้วในแต่ละปี โยมแม่ก็ต้องพามาไหว้ท่านเจ้าแม่เบิกไพรที่บ้านโป่ง สมัยก่อนนั้นการเดินทางยากมาก เพราะว่าต้องนั่งรถเมล์ ซึ่งเรียกกันว่ารถหัวแตงโม ก็คือเป็นรถเมล์ที่มีตัวถังเป็นไม้ หัวรถใหญ่มาก แล้วก็ต้องใช้เครื่องมือในการหมุนเพื่อติดเครื่องบริเวณด้านหน้าหัวรถก่อน บางทีปั่นกันจนเหงื่อไหลไคลย้อย รถก็ไม่ติด จนต้องมีการราดน้ำมันเพื่อจะ "เผาหัว" ให้เครื่องร้อนก่อน จึงหลอกล่อให้เครื่องติดจนได้ จากทางด้านบ้านของกระผม/อาตมภาพ ซึ่งอยู่ที่ปากทางสนามบินกำแพงแสน วิ่งมาถึงตัวเมืองนครปฐม แล้วก็มาต่อรถไฟไปยังบ้านโป่ง หลังจากนั้นลงรถไฟแล้วก็ยังต้องข้ามเรือเมล์ เพื่อที่จะไปไหว้ท่านเจ้าแม่เบิกไพรที่ศาล ซึ่งสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก เพราะว่าอยู่กลางป่ากลางดง แต่ศาลท่านใหญ่โตอลังการเป็นพิเศษ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2023 เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
แล้วที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ ตลอดทั้ง ๑๐ ปี กระผม/อาตมภาพจะเสี่ยงเซียมซีได้แค่ใบเดียว ก็คือหมายเลข ๑๒ ซึ่งมีข้อความระบุอย่างชัดเจนว่า
"ใบที่ ๑๒ ต้องกันเหมือนจันทร์ฉาย เปรียบดังต้นพฤกษีคราที่ตาย แล้วกลับกลายฟื้นเป็นเหมือนเช่นเดิม ได้ผลิดอกออกใบไสวสว่าง ถูกน้ำค้าง ต้องลมประสมเสริม เหมือนกระจกบานเก่าเมื่อคราวเดิม ต้องเพิ่มเติมขัดถูจึงดูงาม ฯลฯ" ต้องบอกว่าปีแล้วปีเล่าก็เสี่ยงได้เซียมซีอยู่ใบเดียว อ่านจนขึ้นใจ แต่ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากครบ ๑๐ ปี ไม่ได้มาไหว้แม่ ปรากฏว่าเมื่อบวชแล้ว เป็นเวลาถัดจากนั้นมาเกือบ ๓๐ ปี กระผม/อาตมภาพได้เข้าไปสักการะ "ท่านแม่" อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้พาคณะญาติโยมไปด้วย แล้วที่เหลือเชื่อก็คือ "เสี่ยงเซียมซีได้ใบที่ ๑๒ เหมือนเดิม..!" ซึ่งจากที่ท่านระบุเอาไว้ชัดก็คือ กระผม/อาตมภาพนั้นตายแล้วฟื้นใหม่ เพราะอย่างที่บอกเอาไว้ว่า "เปรียบดังต้นพฤกษีคราที่ตาย แล้วกลับกลายฟื้นเป็นเหมือนเช่นเดิม"..! ดังนั้น..เมื่อถึงเวลาผ่านบริเวณสถานที่นี้ กระผม/อาตมภาพจึงสบายใจมาก ถวายกุศลต่าง ๆ ที่ทำมาให้แก่เจ้าแม่เบิกไพรและบริวารทั้งหลาย แล้วขอให้ท่านอำนวยความสะดวกให้ บางทีรถติดมาก ๆ กระผม/อาตมภาพไม่อยากจะติดด้วย ก็ขอให้ท่านแม่ช่วยสงเคราะห์ให้หน่อย แล้วเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก เพราะว่ามีน้องเล็กเป็นพยานอยู่ทั้งคน ก็คืออยู่ ๆ ถนนทั้งสายที่รถวิ่งแน่นขนัดไปหมด เหมือนอย่างกับว่างโล่งไปเฉย ๆ อย่างกับใครเอาไม้กวาดไปกวาดรถอื่นทิ้งไปทั้งถนน..! ปล่อยให้รถเราวิ่งได้อย่างสบายมาก แต่ว่าเรื่องพวกนี้ ถ้าไม่จำเป็นแล้วก็อย่าไปขอเลย เพราะเราไม่แน่ใจว่าท่านจะสงเคราะห์ให้ได้มากน้อยเท่าไร เอาไว้ตอนที่จำเป็นจริง ๆ แล้วค่อยว่ากัน ในเมื่อผ่าน "บ้านแม่" ทั้งที ก็เลยเล่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ให้แก่ญาติโยมได้ทราบเอาไว้ด้วย สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราและบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2023 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|