#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ก็อย่างที่ได้บอกกล่าวไปแล้วว่า พวกเราแต่ละคนนั้นมีวงจรกรรมไม่เหมือนกัน ในช่วงที่กุศลกรรมเข้ามาสนอง เราก็อยากถือศีลปฏิบัติธรรม พอถึงช่วงที่อกุศลกรรมเข้ามาสนอง แม้กระทั่งกราบพระให้ครบ ๓ ครั้ง บางคนก็ยังทำไม่ได้เลย สักแต่ว่าแปะ ๆ ให้ครบ ๓ ครั้งไปเท่านั้น..!
แล้วเรื่องของวงจรกรรมนั้น ช้าเร็วก็ต่างกัน ใครทำความดีไว้บ่อย ๆ กุศลกรรมก็มาสนองมาสนับสนุนบ่อย วงจรกรรมก็จะถี่และสั้น แต่ถ้าท่านที่สร้างกุศลกรรมไว้น้อย สร้างอกุศลกรรมไว้มาก วงจรกรรมก็เชื่องช้ามาก หลายเดือน หลายปี หรือหลายสิบปีก็ยังพอทน บางท่านถึงขนาดหลายชาติ และหลายกัปหลายกัลป์..! จึงเป็นเรื่องที่พวกเราไม่ควรประมาท มีโอกาสแล้วต้องเร่งรัดตัวเองให้เต็มที่ กอบโกยคุณงามความดีใส่ตัวให้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาที่อกุศลกรรมส่งผล เราจะได้มีต้นทุนในการต่อต้านได้บ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะกลายเป็นปลาตายลอยน้ำ โดนกระแสกรรมฉุดกระชากลากถูไปอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะต่อรองหรือแก้ไขอะไรได้เลย ดังนั้น..การที่ท่านทั้งหลายสมัครบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ จึงไม่ใช่เรื่องที่เรามาทำแก้บน แต่ว่าต้องทุ่มเทปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสที่เราจะได้ดีก็น้อยมาก โดยเฉพาะในเรื่องของกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง โจมตีเราอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยวางมือ ไม่เคยปรานี แต่พวกเราทั้งหลายกลับสงสารกิเลส ถึงเวลาปฏิบัติธรรมจนเกิดตบะ คือความร้อนที่มาจากความเพียรในการแผดเผากิเลส เมื่อกิเลสรู้ตัวว่าถ้าเราทำต่อ จะต้องตายแน่ ก็หาทางหลอกเรา ให้ละจากสมาธิภาวนา ไปห้องน้ำบ้าง ไปดื่มน้ำบ้าง ไปรับโทรศัพท์บ้าง สารพัดที่จะเอามาหลอกล่อให้เราเลิกการปฏิบัติ แล้วเราก็เชื่อทุกครั้ง โดยเฉพาะท่านที่มีกำลังสมาธิสูง ถึงเวลาเข้าสมาธิแล้วกิเลสจะตาย ก็ทำให้เราเข้าใจผิดว่าที่จะตายคือตัวเรา แล้วเราก็เลิกความเพียร ตามใจกิเลสทุกครั้ง เพราะกลัวว่ากิเลสจะตาย..! กิเลสนั้นอาศัยขันธ์ ๕ คือร่างการนี้เป็นที่อยู่ เราเกิดมาจึงมี รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ แต่ทำอย่างไรที่จะให้เรา อย่างน้อย ๆ ก็ลดความ รัก โลภ โกรธ หลง ให้น้อยลง ก็ต้องตีกรอบด้วยศีล ไม่ว่ากิเลสจะชักชวนอย่างไร เราต้องมั่นคงอยู่กับศีล ถ้าหากว่าทำให้เราละเมิดศีล เราไม่ไปด้วย หลังจากนั้นแล้วก็พยายามละ ก็คือผละห่างจากกิเลสออกมาด้วยกำลังของสมาธิ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2023 เมื่อ 03:14 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
โดยเฉพาะถ้าสมาธิทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ คือทรงฌานได้ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ถ้ากำลังทรงตัว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "มารจักมองไม่เห็น" เนื่องเพราะว่าบริวารของมารก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง โดนอำนาจสมาธิกดจนดับนิ่งสนิท ไม่สามารถที่จะเกิดได้ชั่วคราว
ในเมื่อไม่มีบริวารของมารคอยส่งข่าวว่าเราอยู่ที่ไหน ต่อให้เรานั่งอยู่ตรงหน้า มารก็มองไม่เห็น จากนั้นเราก็เพียรพยายามใช้ปัญญาที่เกิดจากความสงบระงับของกิเลส ทำให้จิตใจผ่องใส ปัญญาก็จะแหลมคมแกล้วกล้า ในการเลิกคบหากับกิเลส การที่เราเลิกคบหากับกิเลส มีปัญญาเป็นหลัก แต่ก็มีศีลกับสมาธิเป็นเครื่องช่วย พวกเราส่วนใหญ่แล้ว พอถึงเวลาปฏิบัติธรรมจนกำลังใจทรงตัวแล้ว มักจะรักษาเอาไว้ไม่เป็น เมื่อถึงเวลาเลิกปฏิบัติ ลุกขึ้น เราก็ทิ้งหมดเลย ทำให้กิเลสเจริญงอกงามใหม่ บางคนก็ "วนลูป" ตามภาษาวัยรุ่น ก็คือครั้งแล้วครั้งเล่า วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ขยันมาก เจริญสมาธิทุกวัน แต่หาความก้าวหน้าไม่ได้เลย แทบจะโดนรุ่นหลังเขาตราหน้าว่า ปฏิบัติธรรมมานานขนาดนี้ ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย ก็เพราะว่าเราทำแล้วเรารักษาอารมณ์ใจนั้นไม่เป็น ในเมื่อรักษาอารมณ์ใจไม่เป็น ไม่สามารถที่จะละ คือผละห่างจากกิเลสได้ ก็ไม่ต้องพูดว่าเราจะเลิก ก็คือไม่คบหากับกิเลสอีก ดังนั้น..เมื่อทุกท่านปฏิบัติภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ให้ตั้งสติประคับประคองกำลังที่เราทำได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสมาธิระดับไหนก็ตาม พยายามรักษาให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ใหม่ ๆ นาที ๒ นาทีก็พังแล้ว แต่หลังจากที่พยายามประคับประคองไปก็ได้ ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ได้ครึ่งชั่วโมง ได้ ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ได้เป็นครึ่งวัน ได้เป็นวัน ได้หลาย ๆ วัน ได้เป็นอาทิตย์ ได้เป็นเดือน ได้เป็นปี ยิ่งสภาพจิตของเราปราศจากกิเลสกำเริบมาทำให้ขุ่นมัวนานเท่าไร ปัญญาเราจะยิ่งเกิดมากเท่านั้น รู้ว่าทำอย่างไรที่เราจะเลิกกับกิเลสได้ ไม่ได้ง่ายเหมือนกับส่งไลน์บอกเลิกแฟน..! ต้องขึ้นอยู่กับ สติ สมาธิ ปัญญา ทั้งหมดของเรา ที่จะทุ่มเทลงไปชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2023 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เนื่องเพราะว่าถ้าเราสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ชาตินี้ ต่อให้เอาชีวิตเข้าแลกก็สุดแสนที่จะคุ้ม ถึงไม่สามารถที่จะเข้าสู่พระนิพพานชาตินี้ ให้เราผละ ละ ห่าง จากกิเลสมาได้ หนทางในวัฏสงสารที่พาเราเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบก็จะสั้นลง
จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อกระทำสมาธิภาวนาแล้ว ต้องรักษาอารมณ์ใจนั้นไว้ให้ได้ แล้วใช้กำลังสมาธิมาช่วยปัญญาในการพินิจพิจารณาตัดกิเลส ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเอง..! เพราะว่าถ้าทำสมาธิแล้วไม่ใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส เราจะโดนกิเลสขโมยเอากำลังสมาธินั้นไปใช้งาน คราวนี้เราก็จะฟุ้งซ่าน รัก โลภ โกรธ หลง อย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เพราะเขาได้กำลังสมาธิเราไปใช้ ทุกวันนี้ ให้เราพิจารณาดูว่ากำลังเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเองหรือเปล่า ? ฝรั่งบางคนถึงขนาดบอกว่า อยากรู้ว่าตัวเองมีราคะจัดแค่ไหน ให้ไปนั่งสมาธิ นั่นคือลักษณะของการเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเอง เพราะถึงเวลาเลิกแล้ว ก็ไม่ได้ประคับประคองรักษากำลังใจเอาไว้ ยิ่งถ้าปฏิบัติต่อเนื่องหลาย ๆ วัน เท่ากับเราเก็บกด เมื่อมีโอกาส กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างระเบิดกลับมา จะรุนแรงกว่าปกติมาก ดังนั้น..กิเลสตัวไหนปรากฏขึ้นมาก็จะทำให้เขาเข้าใจว่า นั่งสมาธิแล้วกิเลสตัวนั้นจะกำเริบหนัก ความจริงหนักเท่ากันทุกตัว แต่คราวนี้ท่านทั้งหลาย ศีลก็ไม่มั่นคง สมาธิก็ไม่ทรงตัว ปัญญาก็ไม่ค่อยจะมี อะไรจะน่าสงสารปานนั้น..! วิธีที่ดีที่สุดก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า เอาสติประคับประคอง ให้เรากำหนดดูกำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้าออก อย่าให้หลุดไปไหน หลุดเมื่อไรให้รีบวิ่งกลับมาที่ตรงนี้ทันที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2023 เมื่อ 03:19 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เราเป็นคนตกเหว แล้วถ้าพลาดมักจะเลยเหว คือตกนรกด้วย..! ตอนนี้เราคว้าเถาวัลย์ช่วยชีวิตเอาได้ คือลมหายใจเข้าออก ต้องยึดไว้สุดชีวิต ตราบใดที่ความรู้สึกของเรายังผูกติดกับลมหายใจเข้าออก ตราบนั้น รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มาในอดีต ก็ไปในอนาคต ถ้าเรารู้ระมัดระวัง ก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน
วิธีที่เราจะอยู่กับปัจจุบันดีที่สุด ไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่าลมหายใจเข้าออก หรืออานาปานสติอีกแล้ว เผลอหลุดไปเมื่อไร รีบกลับมาโดยเร่งด่วน ต่อให้สู้กันชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง ก็ต้องกลับมาให้ได้ ต่อให้มีคนพยายามถีบเราลงเหว ก็ต้องยึดเถาวัลย์ช่วยชีวิตเส้นนี้ไว้ให้ได้ เมื่อใจของเราสงบ ปัญญาจะค่อย ๆ เกิด เราจะเห็นช่องทางเองว่าจะสามารถประคับประคองกำลังใจอย่างไรให้ยืนยาวกว่านี้ ให้ละ ผละ ห่างจากกิเลสได้มากกว่านี้ และท้ายที่สุดเลิกรากับกิเลสได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาส่งไลน์ไปบอก..! สำหรับวันนี้ก็ขอบอกเล่าให้แก่ญาติโยมและพระภิกษุสามเณรของเราแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2023 เมื่อ 03:21 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|