#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๖
|
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ บ้านเราทั้งเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ และไข้เลือดออกระบาดหนัก จะนั่งนอนอะไรก็ระมัดระวังเอาไว้หน่อย โดยเฉพาะพวกยุง ถ้าหากว่ากินตามเวลาแปลว่ามีเชื้อโรคทั้งนั้น สรุปเอาง่าย ๆ อย่างนี้ได้เลย ถ้าหากว่ากินพร่ำเพรื่อทั้งวัน โอกาสติดเชื้อก็น้อยหน่อย โดยเฉพาะยุงมาลาเรีย มักจะกินช่วงเช้า ๆ เย็น ๆ ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วก็หายไปเลย
เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย แม้ว่าจะเกิดจากเศษกรรมปาณาติบาตก็ตาม แต่ของบางอย่าง ถ้าหากว่าเราระมัดระวังก็พอที่จะหลีกเลี่ยงกันได้ ไม่ใช่อะไรก็ปล่อยไปตามกฎของกรรมอย่างเดียว คือบางคนก็ตีความการใช้ธรรมะผิดไป สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุง มีโยมคนหนึ่งเลี้ยงหมาเอาไว้หลายตัว เนื่องจากว่าเขาพักอยู่ที่ห้องกรรมฐานซึ่งตนเองเป็นเจ้าภาพสร้าง บรรดาหมาทั้งหลายก็อาศัยนอนตรงระเบียง คราวนี้เส้นทางนั้นเป็นทางที่พระจะต้องเดินไปเจริญพระกรรมฐานหลังทำวัตรเย็นที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการสร้างวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร พอเดินผ่านก็มักจะโดนหมากัด ถ้าหากว่าหมากัดทั่วไปก็ไม่มีปัญหา แต่ปรากฏว่าไปเจอหมาติดเชื้อพิษสุนัขบ้าเข้า ก็คือหมาเป็นโรคกลัวน้ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลก ปกติถ้าหากว่าหมาข้ามถิ่น เจ้าของถิ่นก็จะรุมกัด แต่เจ้าตัวนั้นพอเดินไป เจ้าของถิ่นวิ่งหนีกันหมด กระผม/อาตมภาพก็ยังสงสัยว่าพวกหมารู้ได้อย่างไรว่าไอ้ตัวนั้นบ้า..! หรือว่าเหมือนกับคนเรา มองดูก็รู้ว่าใครดีใครบ้า พระเจ้าก็ต้องช่วยกันจับเพื่อที่จะขังเอาไว้ ไม่ให้ไปกัดคนกัดหมาอื่น จนกระทั่งจะติดเชื้อบ้าตามไปด้วย พอเอาไปขัง เจ้าของก็ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย จะเปิดกรงปล่อยหมาให้ได้ กระผม/อาตมภาพก็ยังถามว่า "แล้วถ้าหมาไปกัดคนเขาเล่า ?" เขาบอกว่า "ก็เป็นกฎของกรรม" ถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาส มีหวังโดนตบร่วงคามือเลย..! เสียดายว่าเจ้าอาวาสก็คือหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือของที่ป้องกันได้ แก้ไขได้ แต่ไม่ทำ ปล่อยให้เป็นกฎของกรรม นั่นไร้ปัญญาชัด ๆ เลย..! เพราะฉะนั้น..พวกเราเองถ้ารู้จักป้องกันโรคภัยก็รอดนานหน่อย ทุกวันนี้เวลาไปงานไปอะไร กระผม/อาตมภาพใส่หน้ากากไป เกือบจะเป็นตัวประหลาดไปแล้ว..! เพราะว่าคนอื่นเขาไม่ใส่กัน แต่พอเขาติดเชื้อ คนโน้นป่วย ๔ วัน คนนี้ป่วย ๕ วัน แล้วกระผม/อาตมภาพไม่เป็นอะไร เขาออกจากโรงพยาบาลมา เขาก็ยังคงไม่ใส่ต่ออยู่ดี..! เออ..เรื่องของท่านเถอะ เพราะว่าของแบบนี้ป้องกันได้ แต่คราวนี้เขาไม่ป้องกันเลย ไม่ทราบเหมือนกันว่ามั่นใจว่ามีวัตถุมงคลดีหรืออย่างไร ? แล้วก็เลยติดเชื้อกันได้บ่อย ส่วนกระผม/อาตมภาพเองรอดมา ๙ ระลอกแล้ว ยังไม่ติดกับใคร แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปโดนเข้าตอนไหน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2023 เมื่อ 00:53 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เพราะว่าเพื่อนพระสังฆาธิการหลายรูปก็บ่นกันว่า "ตอนเชื้อแรง ๆ ก็ไม่ติดสักที พอตอนเชื้อเริ่มเบาลงดันมาติด..!" ก็ต้องบอกว่า ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่งความไม่ตาย พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้ว ถ้าไม่รู้จักระมัดระวังก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะช่วยเหลือได้อย่างไร เพราะว่าเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย ก็เดือดร้อนถึงหมอ ถึงพยาบาล ประเทศชาติก็ต้องมาเสียงบประมาณในการรักษาพวกเรา
จึงเป็นเรื่องที่พวกเราพึงจะสังวรระวังเอาไว้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นเรื่องของบุคคลที่มีปัญญา คนผู้มีปัญญาจะไม่เลี้ยวผิดง่าย ๆ เพราะว่าจะพิจารณาแล้วพิจารณาอีก แต่ไม่เลี้ยวผิด ไม่ใช่แปลว่าจะเร็ว..! เราไปดูในเถรประวัติจะเห็นว่า พระมหาโมคัลลานะบรรลุอรหัตผลใน ๗ วัน พระสารีบุตรเถระบรรลุอรหัตผลใน ๑๕ วัน ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้มีปัญญามากที่สุด ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าตั้งให้เป็นเอตทัคคะทางเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา ก็เพราะว่าบุคคลที่มีปัญญามาก ก็ต้องเสียเวลาคิดอะไรให้รอบคอบ ตรองแล้วตรองอีก จนกระทั่งมั่นใจแน่นอนแล้วถึงจะปลงใจเชื่อ ขณะที่คนทั่ว ๆ ไป บางเรื่องก็ตัดสินใจตามอารมณ์ก็ได้ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ทำก็คือทำ ไม่ทำก็ไม่ทำไปเลย ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าสาวกภูมิทั่ว ๆ ไป สร้างบารมี ๑ อสงไขยกัปก็บรรลุได้แล้ว แต่อัครสาวกต้อง ๒ อสงไขยกัป มากกว่าเป็นเท่าตัว ถ้าเปรียบง่าย ๆ ก็คือพวกเราสักแต่ว่าสร้างบ้าน มีหลังคา มีข้างฝา มีพื้นก็เข้าอยู่ได้แล้ว แต่บรรดาท่านผู้มีปัญญานี่ต้องค่อย ๆ ตรวจสอบวัสดุ กว้างยาวสูงเท่าไร ? สร้างด้วยวิธีไหน ? ก็เลยทำให้ช้ากว่าปกติ แต่คราวนี้พวกเราต้องเข้าใจว่าหลายคนไม่ใช่ช้าเพราะมีปัญญา แต่ช้าเพราะโง่ พวกนี้จะเป็นประเภทวิตกจริต ตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด จด ๆ จ้อง ๆ อยู่นั่นแหละ จนกระทั่งบางคนสรุปว่า มีสติมากกว่าปัญญา ก็ทำให้ตัดสินอะไรไม่ได้ กลัวผิดกลัวพลาด มีปัญญามากกว่าสติ ก็บุ่มบ่าม ผิดพลาดได้ง่าย สติกับปัญญาจึงต้องไปเท่า ๆ กัน เราจะเห็นว่าในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ เขาจะมีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ทั้ง ๕ อย่างต้องเสมอกัน ไปด้วยกัน ยกเว้นเรื่องสติเรื่องเดียวที่ท่านใช้คำว่า ยิ่งมีมากยิ่งดี แต่คราวนี้ถ้าหากว่ามีมาก บางทีก็ทำให้ช้าลงได้ มีการปฏิบัติอยู่สายหนึ่ง ซึ่งท่านใช้คำว่า "ปฏิบัติแค่ขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิก็พอ เหมือนกับเราค่อย ๆ เก็บงาทีละเมล็ด นานไปก็ได้มากพอที่จะคั้นเอาน้ำมันมาใช้การได้" ดังนั้น..การปฏิบัติตามสายนี้จึงยากลำบากมาก เพราะว่าถ้าสมาธิให้แค่ขณิกสมาธิหรือว่าอุปจารสมาธิ จะไม่เพียงพอในการกดกิเลส โอกาสที่กิเลสตีกลับจะมีอยู่ตลอดเวลา เราก็จะโดน รัก โลภ โกรธ หลง รุมกระหน่ำอยู่ทั้งวัน แต่ท่านก็บอกว่าให้กำหนดรู้ตามความเป็นจริง โดยที่บอกว่านั่นคือวิปัสสนาญาณ บ้าชัด ๆ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2023 เมื่อ 00:57 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
วิปัสสนาญาณไม่ใช่รู้เท่าทันปัจจุบันว่ามีอะไรเกิดขึ้น หากแต่รู้ตามความเป็นจริงแล้วยอมรับได้ว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น คนละเรื่องเดียวกัน โดยเฉพาะในเมื่อตนเองใช้แค่ขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิ แล้วก็จะให้ไปลดศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา ให้ลงไปเท่ากับสมาธิอันน้อยนิดของตนเอง เพราะตำราระบุเอาไว้ชัด ว่าถ้าอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ไม่เสมอกัน โอกาสบรรลุมรรคผลจะไม่มี
กระผม/อาตมภาพก็ยังถามไปเลยว่า "ก็ในเมื่อผมมีเม็ดงาอยู่เป็นเกวียนแล้ว ทำไมไม่ให้ผมใช้ ?" ถ้าหากว่าคุณทรงฌาน ๔ สมาบัติ ๘ ได้ แล้วทำไมไม่ดึงเอาศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา ให้ขึ้นมาเสมอกัน ทำไมเราต้องลดลงไปอย่างเดียว ? เป็นการโง่เกินไปหรือเปล่า ? ที่เราไปประเภทถอดเกราะ วางอาวุธ แล้วก็ขึ้นไปชกกับไมค์ ไทสันด้วยมือเปล่า ก็หาที่ตายชัด ๆ เลย..! แต่ก็เสียเวลาที่จะไปนั่งเถียงกัน เพราะท่านเชื่ออย่างนั้นไปแล้ว ก็เป็นอันว่าถ้าหากว่าใครเจอกรรมฐานสายนี้ เราเองก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามเรื่อง ส่วนตัวเองรู้ว่าอะไรดีก็ทำตามแบบของเราไป แบบโน้นก็ทำแค่พอเป็นอุปนิสัย ถึงเวลาจะได้มีความรู้ไปส่งอารมณ์ได้ก็จบแล้ว เรื่องพวกนี้ก็คือการใช้ปัญญาอย่างหนึ่ง หลายคนใช้คำว่า "อยู่เป็น" เราจะเห็นว่ามีพรรคการเมืองบางพรรคอยู่ไม่เป็น เดินหน้าหาศัตรูทั่วประเทศไทย ถึงเวลาจ้องจะไปปิดสวิตช์เขา แต่พอจะโหวตนายกฯ ก็ต้องไปอาศัยเขา สรุปแล้วก็คือยกหินทุ่มใส่ขาตัวเอง แล้วก็ไปบ่นว่าคนอื่นเอาหินมาขวางทาง กระผม/อาตมภาพฟังแล้วก็เครียดเหมือนกัน ปล่อยให้การเมืองเป็นเรื่องของการเมืองไปก็แล้วกัน เรายืนดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ก็พอ.. สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2023 เมื่อ 01:00 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|