#1
|
||||
|
||||
เก็บตกงานกฐินวัดเขาวง-วัดถ้ำป่าไผ่ ( ๓๑ ตุลาคม-๑ พ.ย. ๕๒)
ถ้าญาติโยมทั้งหลายสังเกตพระที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่นานผู้บังคับบัญชาจะมอบหมายงานต่าง ๆ ให้ และจะมากขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้เกิดจากการที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฝึกอบรมพวกเรามา
แม้ว่าพวกเราจะอยู่ในระดับกลาง ๆ ค่อนไปทางปลายแถว เพราะว่าตอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพ พรรษาพวกเรายังไม่เท่าไรเอง อย่างหลวงตาตอนนั้นก็ ๑๑ พรรษา อาตมา ๗ พรรษา ต้องไปนึกถึงสำนวนจีนกำลังภายในที่ว่า ถ้าหากเป็นขุนพลเข้มแข็งแล้วจะไม่อบรมทหารอ่อนแอ ดังนั้น แม้ว่าพวกเราจะเลียนแบบปฏิปทาของหลวงพ่อได้ไม่มาก แต่พอไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเขาแล้ว กลายเป็นว่าส่วนน้อยที่เราเห็น คือ ไม่มากเท่ากับพระพี่ ๆ แต่ก็ยังมากกว่าที่อื่นเขา ผู้บังคับบัญชาท่านก็จะไว้วางใจ แล้วก็มอบหมายหน้าที่การงานตลอดจนตำแหน่งต่าง ๆ ให้ ไม่รับก็โดนบังคับ กลายเป็นว่าในที่สุดก็ต้องรับจนได้ ถ้าพวกเราพอจะรู้ประวัติพระเก่า ๆ ในวัดท่าซุง สมัยที่หลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็จะเห็นคุณในส่วนของสังโฆอัปมาโณอย่างชัดเจน เพราะว่าแต่ละรูป แต่ละท่าน ถ้าไม่ใช่เด่นจนเกินเหตุ ก็เหลือเลือกมาจากที่อื่นแล้ว มีทั้งสูงสุดและต่ำสุด ที่สูงสุดนั้นก็มักจะมีความทะนงตัว ไม่ค่อยฟังใคร ส่วนที่ต่ำนั้น ด้วยความที่อาละวาดมาทั่วทั้งสิบทิศแล้ว ก็ไม่มีใครเอาอยู่เหมือนกัน แต่ว่าทั้งหมดนี้ ท้ายสุดก็ยอมสยบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงของเรา ขอบอกว่าแต่ละท่านที่หลุดออกไป สามารถไปเป็นผู้นำเขาได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าพระพี่พระน้องจำนวนมากไม่ได้ออกมาทำงานข้างนอก เพราะว่างานในวัดก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 04:54 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ในส่วนนี้เราจะเห็นได้ว่า การปกครองคนนั้นลำบากมาก ลำบากตรงที่ว่า ถ้าเขาไม่เชื่อเราอย่างแท้จริง หรือไม่มีศรัทธาอย่างแท้จริง สิ่งที่เราพูดหรือบอกจะไม่มีความหมายเลย
แต่สำหรับหลวงพ่อแล้ว ในสมัยที่พวกเราอยู่กับท่าน จะอยู่ในลักษณะที่มอบกายถวายชีวิต หลวงพ่อสั่งให้ไปตายก็พร้อมที่จะตาย ความรู้สึกชัดเจนแน่นอนขนาดนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง..ตอนนั้นตึกรับแขกใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ หลวงพ่อท่านไปตรวจงาน พอดีช่วงเช้าวันนั้นอาตมาเป็นเวรเฝ้าหน้าตึกให้ท่าน จึงต้องตามท่านไปตรวจงานด้วย เมื่อขึ้นไปที่ดาดฟ้า....มองลงไป ความสูงของตึกสามชั้นก็ไม่ใช่น้อย ๆ หลวงพ่อท่านก็เล่าเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้างให้ฟัง แล้วก็เล่าเรื่องที่ท่านทุ่มเททำงานถวายหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อาตมาฟังแล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ถ้าหลวงพ่อสั่งให้เรากระโดดลงไปเดี๋ยวนี้ เราจะกระโดดไหม ? ตึกสามชั้นนี่ถ้ากระโดดลงไปคิดว่าไม่ตาย ด้วยสมรรถภาพร่างกายตัวเองที่ฝึกฝนมา มั่นใจว่าไม่ตาย แต่แข้งขาคงจะหักสะบั้น ส่วนใหญ่คนเราไม่ค่อยกลัวตาย แต่กลัวเจ็บ แต่ขอบอกว่าความกลัวเจ็บจริง ๆ ก็คือ กลัวตาย ความกลัวทุกอย่างจะไปลงตรงคำว่าตายทั้งหมด กลัวเจ็บ...เจ็บมาก ๆ เป็นอย่างไร ?...ตาย กลัวผี....กลัวทำไม ? เดี๋ยวผีจะมาบีบคอ แล้วเป็นอย่างไร ?...ตาย กลัวงู.....งูจะกัด กัดแล้วเป็นอย่างไร ?...ตาย สรุปแล้วทุกอย่างลงตรงกลัวตายทั้งหมด ตอนนั้นความรู้สึกตอบตัวเองอย่างชัดเจนเลยว่า ถ้าหลวงพ่อสั่งให้กระโดดลงเดี๋ยวนี้ก็จะกระโดด เพราะมั่นใจว่าท่านเป็นผู้ที่นำทางเรา เป็นผู้ที่ชี้ทางเรา ท่านจะบอกในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอ เพราะฉะนั้น..ถ้าท่านบอกให้กระโดดลงไป ก็แสดงว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ดีที่สุดสำหรับเราตอนนั้น ท่านบอกมาก็จะกระโดดเลย ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าพวกเราเอาเป็นอุทาหรณ์สอนใจตัวเองว่า ปัจจุบันนี้ในส่วนของความเคารพในพระรัตนตรัยที่พวกเราสมาทานพระกรรมฐาน อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจะชามิ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า..นั้น เราได้มอบกายถวายชีวิตจริงหรือไม่ ? ส่วนใหญ่การปฏิบัติของพวกเราแล้ว พอไปเจออารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ลำบาก เหนื่อย ง่วง ก็มักจะท้อเสียแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-03-2011 เมื่อ 18:58 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
จริง ๆ แล้ว พระที่ได้รับการครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรมีอยู่ ๙ รูปด้วยกัน แต่ว่าสึกไปหลายรูป ส่วนที่เหลืออยู่นั้นอาตมามีอาวุโสน้อยที่สุด ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมพระท่านสั่งให้ทำการเป่ายันต์เกราะเพชรมาจากข้างท้ายก่อน อาจจะเป็นเพราะว่าพระท่านแบ่งสรรปันส่วนงานให้ก็ได้ ก็เลยกลายเป็นว่าเริ่มเป่ายันต์จากข้างท้ายมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:01 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ญาติโยมทั้งหลาย..วันนี้เป็นงานเทวาภิเษกเทวรูปพระนารายณ์ทรงฤทธิ์
เจ้าพ่อนารายณ์ทรงฤทธิ์นั้นเป็นใครที่ไหน ? เราไม่ต้องไปนึกถึง เรามานึกถึงในจุดที่ว่า ปัจจุบันนี้ท่านมีศักดิ์เป็นพี่ของลูก ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงทุกคน อาตมาขึ้นไปที่พระจุฬามณีเจดีย์สถานครั้งแรกในชีวิต เจอเทวดาองค์ใหญ่เท่าภูเขาเลย ท่านเฝ้าประตูอยู่ ถามท่านว่าชื่ออะไร ? ท่านบอกว่า "ชาวบ้านเรียกผมว่าพระนารายณ์ครับ แต่ท่านเรียกผมว่าพี่ก็พอ" ดังนั้น..ในเรื่องของเทวรูปพระนารายณ์ อาตมาเชื่อว่าทั้งประเทศไทยและอาจจะทั่วทั้งโลกด้วย คงไม่มีที่ไหนทำแล้วขลังเหมือนกับวัดเขาวง เพราะว่าท่านเป็นพี่ของอาตมาทั้งสามรูป (หลวงตาวัชระชัย หลวงพ่อเล็ก และหลวงพ่อสมปอง) ถึงเวลาพี่ก็จะต้องสงเคราะห์น้องเป็นปกติ และก็ต้องเผื่อไปถึงลูกหลานของน้อง ๆ ด้วย จริง ๆ แล้วเทวรูปเจ้าพ่อนารายณ์ทรงฤทธิ์เป็นของเก่าแก่ มีโยมที่เขามีจิตศรัทธาถวายให้คู่กับวัดเขาวงมาตั้งแต่ต้น ถ้าหากที่ใดก็ตามมีของศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ การดูแลบริหารงานในสถานที่นั้น จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะพระนารายณ์ท่านอยู่ในฐานะผู้ปราบ คำว่า ปราบ คือ ทำให้เรียบเสมอกัน ก็แปลว่าอะไรที่โผล่เกินมา ก็โดนทำให้ยุบราบลงไปเสมอกัน เมื่อครู่ตอนทำบวงสรวง ท่านบอกว่า "ช่วยบอกพวกเขาด้วยว่า เทวรูปนารายณ์ทรงฤทธิ์ครั้งนี้ อันดับแรก ป้องกันภัยอันตรายให้ทุกอย่าง อันดับที่สอง ถ้าหากว่ามีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้น ก็จะช่วยให้กลับกลายเป็นดี อันดับที่สาม ถ้าหากว่าปรารถนาสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัย ให้อธิษฐานขอกับท่านได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:04 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
นาน ๆ ทีพี่น้องจะมาอยู่กันพร้อมหน้าสักทีหนึ่ง ถ้าเป็นที่วัดเขาวงแห่งนี้ก็เพิ่งจะเป็นครั้งที่สอง ที่พี่น้องได้มาอยู่พร้อมกันแบบนี้ เนื่องจากว่าพออยู่ไปนาน ๆ เรื่องของงานการคณะสงฆ์ เรื่องของพระศาสนา ก็จะกว้างออกไปทุกที ต่างคนต่างต้องทำงานในจุดรับผิดชอบของตนเอง โอกาสที่จะมาอยู่อย่างนี้จึงมีน้อย
เมื่อเดือนก่อนท่านเอ๊ด (พระลูกชายของหลวงตา) โทรไปบอกว่า "๑ พฤษภาคมปีหน้า หลวงพี่ว่างไหมครับ ? " ก็บอกว่า "ถ้าหากว่าข้ามปีแบบนี้ก็ยังมีโอกาส" จึงดูปฏิทินให้ ปกติแล้วจะเป็นวันรับสังฆทานที่กรุงเทพฯ ก็บอกว่า "นิมนต์ข้ามปียังทัน ขยับใหม่ได้ เพราะผมยังไม่ได้แจ้งกำหนดการไป" ดังนั้นว่า..วันที่ ๑ พฤษภาคม ปี ๒๕๕๓ ก็จะมานั่งรวมอยู่อย่างนี้อีกทีหนึ่ง ส่วนหลวงตาท่านจะใช้งานแบบไหน ตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:06 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ในเรื่องของการพุทธาภิเษกหรือเทวาภิเษกก็ตาม ถ้าหากว่าพระ หรือพรหม หรือเทวดา ท่านมาทำพิธีให้ จะเป็นเรื่องที่พวกเราสบายใจมาก เพราะว่าพวกเราไม่ต้องเหนื่อย ดังนั้น..พระลูกศิษย์สายวัดท่าซุง ถ้าปฏิบัติตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน การพุทธาภิเษกทุกงานจะไม่เหนื่อย มีหน้าที่นั่งดูอย่างเดียว ดูว่าพระท่านทำอะไร หรือว่าสั่งให้เราภาวนาหรือให้วางกำลังใจอย่างไร เราก็ทำตามที่ท่านสั่งเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:07 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นสายพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง พอถึงเวลาบวงสรวงพุทธาภิเษกเสร็จ จะมีการถวายน้ำหอมเป็นพุทธบูชา ของหอมเป็น ๑ ใน ๑๐ วัตถุทานอันเหมาะสมที่จะถวาย ไม่ว่าต่อพระสงฆ์หรือว่าบูชาพระรัตนตรัย
ในบาลีท่านบอกว่า อนฺนํ ปานํ วตฺถํ ยานํ มาลา คนฺธํ วิเลปนํ เสยฺยา วสฺถํ ปทีเปยฺยํ ทานวตฺถู อิเม ทส อนฺนํ = ข้าว ปานํ = น้ำ วตฺถํ = ผ้า ยานํ = ยานพาหนะ มาลา = ดอกไม้ คนฺธํ = ของหอม วิเลปนํ = เครื่องลูบไล้ สมัยนี้ถ้าพระท่านเจ็บป่วย จะถวายพวกครีมหรือยานวดก็ได้ เสยฺยา = เครื่องนอน วสฺถํ = เครื่องนั่ง มีอาสนะ เป็นต้น ปทีเปยฺยํ = เครื่องตามประทีป ทานวตฺถู อิเม ทส = ทั้งสิบอย่างนี้จัดเป็นวัตถุทาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:08 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
สำหรับคาถาอาราธนาพระนารายณ์ทรงฤทธิ์นั้น จะใช้ อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ฯ ก็ไม่ได้ ท่านบอกว่าท่านไม่ใช่พุทธนิมิต แม้ว่าจะเป็นการปลุกเสกด้วยบารมีของพระก็ตาม
คาถาอาราธนาพระนารายณ์ทรงฤทธิ์ก็คือ อุทธัง ครุโฑ เหฏโฐ เทโว พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง อิติ อุทธัง ครุโฑ = เบื้องล่างคือครุฑ เหฏโฐ เทโว = เบื้องบนคือเทวดา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง อิติ = ดังนี้ เราจึงขอยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ท่านแปลไว้เสร็จสรรพ ดังนั้น..ไม่ว่าอย่างไรเราก็ทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:09 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนสร้างพระปัจเจก เขาเอาซองไปเรี่ยไร เพื่อนเขาแต่ละสายก็เอาซองไปอีก ทีนี้เขาก็โทรมาบอกว่าเงินอยู่กับเขาหมื่นสอง แล้วเขาก็ยังไม่โอนเงินมาเสียที จะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตามไปทวงสิจ๊ะ เรื่องของเงิน ถ้าหากว่าเขาระบุเจตนาแล้ว จะอย่างไรต้องทำให้เขาอย่างนั้นจ้ะ เพราะว่าคนเขาตั้งใจอธิษฐานมาแล้ว ถ้าหากทำผิดเจตนา ท่านปรับโทษเท่าย้ายเจดีย์ มีสิทธิ์ลงอเวจีแน่นอน ถาม : ตามทวงก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหน ? ตอบ : ไม่ต้องหนักใจจ้ะ พระยายมท่านรู้อย่างแน่นอน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:10 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ญาติโยมทั้งหลาย..เมื่อครู่เราได้ชมการรำถวายเสด็จพ่อพระนารายณ์ทรงฤทธิ์นั้น หลายท่านพอถึงเวลาสนุกสนานก็เพลิดเพลิน ลืมการรักษากำลังใจตัวเอง อย่างนั้นถือว่ายังใช้ไม่ได้ เพราะว่าเราเผลอให้รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาอยู่ในใจของเราแล้ว จะต้องรักษากำลังใจให้อยู่ในลักษณะที่ว่า ภายนอกเป็นไปตามโลกก็จริง แต่ภายในต้องนิ่งอยู่ ไม่ได้ไหลตามโลกไป แต่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่ากำลังใจของพวกเรา ยังไม่ถึงขนาดที่แบ่งส่วนใช้งานกันได้
เมื่อเป็นดังนั้น ให้ทุกคนซักซ้อมการแบ่งกำลังใจออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่กับภาพพระ อยู่กับพระนิพพาน หรืออยู่กับองค์ภาวนาของเรา อีกส่วนหนึ่งก็แบ่งความรู้สึกออกมา เพื่ออยู่กับหน้าที่การงานตามปกติ ถ้าท่านทำอย่างนั้นได้ อาการภายนอกที่ตามโลกก็จะสักแต่ว่าเป็น ไม่ได้ยินดียินร้ายตามไปด้วย ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ กำลังใจของพวกเราก็จะผ่องใสอยู่นาน ถ้าหากว่ารักษาความผ่องใสได้นานเท่าไร ปัญญาก็จะเกิดได้มากเท่านั้น เมื่อปัญญาเกิดก็จะกลับไปควบคุม รักษากำลังใจของเราอีกรอบหนึ่ง ดังนั้น..ในทุกสถานการณ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องดูใจตัวเองก่อน ดูที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง ถ้าเห็นว่ากำลังใจจะไหลตามกระแสไปก็รีบรั้งกลับ วิธีรั้งที่ดีที่สุดก็คือ กลับเข้ามาอยู่กับลมหายใจเข้าออก หรือกลับมาอยู่กับภาพพระ อยู่กับพระนิพพานของเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:12 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ถ้าตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านว่า ก็คือ คนที่ตรงเวลาสัจจะบารมีจะเต็ม คนไหนที่นัดแล้วไม่เป็นนัดสัจจะบารมีพร่อง แล้วคำต่อไปที่น่ากลัวก็คือ ถ้าพร่องสักตัวหนึ่งแล้ว ก็พร่องไปทุกตัวเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:13 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ถาม : นิพพานเลยคาน ไปหน่อยหรือเปล่าคะ ? (คานทอง)
ตอบ : ไม่ใช่เลยคานจ้ะ แต่พอดีกับคาน เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา ภิกษุทั้งหลาย..นี่เป็นทางเอก เป็นหนทางของคนคนเดียว ที่จะนำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความบริสุทธิ์พ้นจากกิเลส ฉะนั้น...ถ้าหากอยู่บนคานนี่ไปนิพพานง่าย เพราะเป็นเรื่องของคนคนเดียวอยู่แล้ว ใครรู้ตัวว่าอยู่บนคานหรือขึ้นหลังคาไปแล้ว ก็รีบภาวนาให้มากไว้จ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:14 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ถาม : โกหกเพื่อมาทำบุญบาปไหมคะ ?
ตอบ : บาปเหมือนกันจ้ะ ถ้าหากเราทำผิดในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว...ไม่บาปนั้นไม่มี แต่เนื่องจากว่าเป็นการลงทุน ก็คือ เราโกหกเพื่อมาทำบุญ ถ้าเห็นว่าบุญใหญ่คุ้มกับที่ต้องโกหก ก็ทำได้เลยจ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:14 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ในเรื่องของพระเรา จะกินจุกจิกไม่ได้ เพราะว่าศีลตลอดจนอภิสมาจารที่บังคับอยู่ ทำให้ต่างไปจากฆราวาส
คำว่า ฆราวาส ก็คือผู้ครองเรือน ถ้าหากไม่มีส่วนต่างจากฆราวาส เขาก็จะไม่เกิดความเลื่อมใส เมื่อไม่เกิดความเลื่อมใสเขาก็จะไม่เข้าหาพระศาสนา ฉะนั้น..พระพุทธเจ้าท่านวางศีลก็ดี หลักการปฏิบัติต่าง ๆ ก็ดี ก็เพื่อสร้างความเลื่อมใสให้แก่บุคคลที่ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และสร้างความเลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไปแก่บุคคลที่เลื่อมใสแล้ว ดังนั้น..ญาติโยมมีศรัทธาถวายอาหาร ถวายข้าว ถวายขนมอะไรมาก็ตาม พระเต็มใจรับทั้งนั้นจ้ะ แต่ถ้าหากถวายนอกเวลา...รับแล้วต้องรอเวลา ถ้าหากถวายเลยเวลา....รับแล้วก็สละเสีย โยมตั้งใจถวายได้บุญตั้งแต่ตอนตั้งใจแล้วจ้ะ ไม่จำเป็นที่พระจะต้องใช้หรือฉัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:15 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในจูเฬกสาฎกว่า ตุลิฏะ ตุลิฏัง สีฆะ สีฆัง ทำอะไรให้ทำเร็ว ๆ ทำไวไว เพราะถ้าทำเร็ว ทำไว ทำด้วยความคล่องตัว ถึงเวลาได้สิ่งใด เราก็ได้เร็ว ได้ไว ได้ด้วยความคล่องตัวจ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ตอนที่ออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ ปกติเวลาขึ้นรถก็จะภาวนา เพราะไม่แน่ใจว่าอันตรายจะมาถึงเมื่อไหร่ กำลังภาวนาอยู่เพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเป่ายานัตถุ์ "พรืด..." อยู่ข้างหู กลิ่นหอมตลบ อยากจนน้ำลายยืดเลย
ตอนนั้นก็ตกใจ รีบกราบเรียนหลวงพ่อท่านว่า "หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ" ปกติแล้วการทำงานให้หลวงพ่อ ท่านจะมีสัญลักษณ์บางอย่างที่ท่านแสดงให้รู้ อย่างเช่นว่า จะต้องฉันหมาก จะต้องเป่ายานัตถุ์ เป็นต้น ในเมื่อบอกไม่เอาสักอย่าง เสียงท่านหัวเราะ "หึ..หึ.." แล้วถามว่า "ไม้เท้าจะเอาไหม ?" ถ้าอาตมาขืนตอบนี่หัวแตกแน่เลย เอาหรือไม่เอาก็โดนแน่นอน จึงเงียบเสียดีกว่า เคยตั้งใจไว้ว่า ถ้าสายตาแย่ อายุ ๔๘ แล้วถึงจะไปตัดแว่น ปรากฏว่าพออายุ ๔๖ ก็ไม่ไหวแล้ว เวลาดูหนังสือต้องยื่นสุดแขนแล้ว จึงต้องเข้าร้านแว่น ตอนตัดแว่นก็ไม่ได้คิดอะไร พอเสร็จเรียบร้อยคว้ามาใส่ เสียงท่านหัวเราะอยู่ข้างหู บอกว่า "คราวนี้เอ็งรู้แล้วใช่ไหมว่า ที่ข้าใส่แว่นนั้น ข้าอยากได้นักนี่..!" เป็นอันว่าสายตายาวมาเร็วกว่าที่คิดไว้สองปี พอได้แว่นมาคราวนี้มีความสุขมาก เพราะดูหนังสือได้อย่างเพลิดเพลิน อ่านวันละ ๕ - ๖ เล่ม เวลาผ่านไปแค่ ๓ - ๔ เดือนเท่านั้น รู้สึกสายตาชักจะเบลอ ๆ มองอะไรไม่ถนัด ก็เลยไปให้เขาวัดสายตาใหม่ เขาบอกว่าสายตาเพิ่มมาอีก ๕๐ เราจะเห็นได้ว่า สภาพของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรานั้น แสดงความเป็นอนิจจังมาโดยตลอด แต่เราเองดันไปค้าน กลัวว่าใส่แว่นแล้วจะไม่หล่อ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:17 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
หลังออกจากวัดท่าซุง อาตมาก็จะแวะไปที่วัดเดือนละครั้ง นอกจากไปกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ หลวงพ่อแล้ว ก็จะแวะหาคนเก่า ๆ ที่คุ้นเคย
มีอยู่วันหนึ่งแวะไปหาคุณโยมเชย (แม่ของครูนนทา อนันตวงษ์) คุณโยมเชยก็บอกว่า "ไปหานนทาหน่อย โยมฝากอะไรไว้ให้ท่าน" อาตมาก็ไปดู ปรากฏว่าท่านฝากแว่นไว้ให้ ๓ อัน เป็นแว่นที่หลวงพ่อใช้รุ่นแรก ๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๑๑ ที่เป็นกรอบดำ ๆ พอมาตอนหลังอาตมาโดนเขาขอ จึงเหลืออยู่แค่อันเดียว ปี ๒๕๓๕ เมื่อหลวงพ่อเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย หลวงปู่สมเด็จวัดสามพระยา ได้แจ้งให้พวกเราทำการเผาศพจำลอง โดยเอาของใช้หลวงพ่อลงไปเผา พี่ ๆ เขาก็มาบีบคอเอาของจากอาตมาไปเผาเสียเกือบหมด อาตมาจะไม่ให้ก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่ให้...หลวงพ่อเกิดเป็นอะไรไป ก็จะโดนว่าเป็นเพราะเอ็งไม่ให้ แล้วก็จะโดนเหยียบแบนอยู่ตรงนั้น ก็เลยต้องให้ไป ตอนหลังได้มาก็ดีใจมาก เมื่อประมาณสามเดือนที่แล้ว มีโยมเอาไม้เท้าหลวงพ่อมาให้ ๑ อัน ใส่ถุงแดงมาอย่างดีเลย เขาบอกว่าไม้เท้านี้ได้มาจากช่างเชียร ช่างเชียรเป็นช่างที่ทำงานอยู่ในวัดท่าซุง เขาบอกว่า "หลวงพ่อตีหัวมัน เลยให้มันเป็นรางวัลด้วย" ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าโยมคนนี้ไปไถมาจากช่างเชียรได้อย่างไร ไป ๆ มา ๆ ก็เอามามอบให้อาตมาเอง ถ้าอาตมามีโอกาสทำพิพิธภัณฑ์ ก็จะเอาเครื่องใช้ไม้สอยของครูบาอาจารย์ในบางส่วน มาแสดงให้ญาติโยมเห็นว่า ก่อนหน้านี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ท่านใช้ข้าวของอย่างไร รับรองว่าไม่ได้วิเศษเลิศลอยเหมือนคนอื่นเขาหรอก ท่านก็ใช้ของธรรมดาเหมือนกับพวกเรานี่เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:19 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ทำหน้าที่ไปก็ให้ดูกำลังใจของตัวเองไปด้วย ถ้ายังยินดียินร้ายอยู่ สงเคราะห์คนได้ไม่เท่ากัน ก็ให้รีบทำกำลังใจเสียใหม่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:19 |
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
นาน ๆ ทีอาตมาจะมานั่งให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทำบุญกันเสียที เพราะว่าภารกิจทั้งงานหลวงงานราษฎร์นั้นเยอะเหลือเกิน
งานของพระศาสนานั้นจริง ๆ ก็คืองานของทั้งโลก ทั้งโลกนี้และโลกอื่น ๆ เพียงแต่ว่าในส่วนที่เราเห็นก็เฉพาะส่วนที่เรามาร่วมด้วยเท่านั้น งานของพระศาสนาเป็นงานของส่วนรวม ถ้าหากเรามองภาพรวมที่ทางภาษาราชการเรียกว่า มหภาค นั้น ถ้าหากไม่ใช่คนใจกว้าง ไม่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลจริง ๆ ก็มักจะเหลือ ตัวกู ของกู และพวกกู ซึ่งทำให้งานพระศาสนานั้นคับแคบและไปได้ยาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:19 |
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
วัดถ้ำป่าไผ่แห่งนี้ เป็นพุทธสถานที่มีความศักดิ์สิทธิ์ บรรดาท่านที่อยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ให้การดูแลรักษาอยู่เป็นปกติ ท่านใดที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมจริง ๆ ก็จะได้รับผลในส่วนที่ตนเองปรารถนาได้โดยง่าย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 05:20 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|