|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
โอ๊ย...สมัยนั้นพระครูแสงท่านพาบุกทั่วประเทศไทย หลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนมีชื่อเสียงท่านพาไปถึงหมด ที่ไม่นึกเลยก็คือ หลวงพ่อดำ วัดตุยง ที่ปัตตานี ยังอุตส่าห์ตะเกียกตะกายไป นั่งรถไฟถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ข้ามวันกันเลย
ตอนนั้นที่ไปไม่ใช่ปัตตานีอย่างเดียว พัทลุงเป็นเป้าหมายหลัก แต่หลวงพ่อดำท่านดังมากก็เลยไปกันต่อ ไปเอาพระปิดตาของท่าน ตอนแรกอยากได้มีดหมอแต่ไปแล้วของหมด เสร็จแล้วก็มาเอาเหรียญพระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา หลวงปู่คลิ้ง วัดถลุงทอง หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ พระครูแสงพาลุยเละหมด กลับมาก็ทำงานกันหน้ามืด...เงินหมด..! ที่เสียดายก็คือ ก่อนบวชรวบรวมใส่ลังไว้ ไปไล่แจกญาติโยมเพื่อนพ้อง เพราะว่าเมื่อตั้งใจบวชก็คือสละหมด ปรากฏว่าแต่ละคนทำท่าเหมือนไม่อยากได้ ในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องมานั่งอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเก็บเอาไว้มาให้บูชา ป่านนี้คงรวยอื้อเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2018 เมื่อ 03:47 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในจูฬราหุโลวาทสูตร พระพุทธเจ้าเทน้ำล้างพระบาท แล้วก็คว่ำขันจนหมด ตรัสถามสามเณรราหุลว่า “ดูก่อน...ราหุล เธอเห็นว่ายังมีน้ำเหลือติดก้นขันนี้หรือไม่ ?” สามเณรราหุลทูลตอบว่า “ไม่มีเหลือเลยพระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ฉันนั้นแหละราหุล บุคคลที่โกหกมดเท็จต่อผู้อื่น ย่อมไม่มีคุณความดีหลงเหลืออยู่ เหมือนอย่างกับขันเปล่าใบนี้” ดังนั้น...ถ้าใครยืมนาฬิกาเพื่อนมาก็โปรดทราบว่า อย่าพยายามทำตัวเองให้เป็นผู้ล้มละลายทางเกียรติยศเลย คุณความดีที่สร้างสมมาทั้งชีวิตจะเป็นขันเปล่าไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2018 เมื่อ 03:48 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริง ‘ชา’ ฝรั่งไม่ได้เขียนว่า ‘ที’ (Tea) นะ เขาเขียนตามภาษาจีนว่า ‘แต๊’ เลย แต่คราวนี้พอไปถึงบ้านเขาแล้วไม่ได้ยินเสียงที่เขาออก เลยอ่านเป็น ‘ที’ ถ้าสงสัยว่าทำไมเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วทั้ง ๆ ที่ฝรั่งเข้าไป เพราะว่าการติดต่อสมัยก่อนต้องเป็นเมืองท่าชายทะเล ในเมื่อเป็นเมืองท่าชายทะเลก็ไปขึ้นเอาตรงมณฑลกวางสี กวางตุ้งก่อน ก็ต้องเจอกับพวกแต้จิ๋ว"
ถาม : ในราชวงศ์จีนใช้ภาษาอะไรคะ ? ตอบ : อาตมายังไม่สามารถบอกได้ว่าราชวงศ์ของเขาใช้ภาษาอะไร ยกเว้นมองโกลราชวงศ์ชิง ราชวงศ์ชิงเขาก็พยายามศึกษาภาษาจีนวัฒนธรรมจีนจนกระทั่งกลืนกลายเป็นจีนไป แบบเดียวกับภาษากรุงเทพฯ คือภาษากลางในปัจจุบันนี้ นักวิชาการเขายืนยันว่าเป็นเหน่อจีน ภาษาราชสำนักอยุธยาก่อนนั้นคือสำเนียงสุพรรณ แล้วคราวนี้คนจีนมาพูดไม่ชัด กลายเป็นภาษากลางอย่างทุกวันนี้ ไปนึกถึงเพื่อนสมัยก่อน พอพูดไทยกรุงเทพฯ ด้วยกันสักพักก็ “โอ๊ย...ไม่ไหวแล้วหลวงพี่ ขอพูดสุพรรณเถอะ เหนื่อยฉิ_หายเลย” ฝืนพูดภาษากลางนาน ๆ แล้วเหนื่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2018 เมื่อ 03:50 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
ถาม : เห็นในพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน เขายอมรับคำว่า "พึ่ง" ให้ใช้แทนคำว่า "เพิ่ง" ?
ตอบ : พึ่งมีความหมายอีกความหมายหนึ่ง ในเมื่ออีกมีอีกความหมายหนึ่ง ถ้าเรายอมรับก็จะสับสน แบบเดียวกับคำว่ากินที่กลายเป็นทาน ทานก็คือให้ กินก็คือกิน ไปทานอาหาร คุณจะเอาอาหารไปให้ใคร ? แต่เนื่องจากว่าสมัยก่อนเวลาผู้ใหญ่หรือว่าเจ้านายให้อะไรแก่เด็ก ให้อะไรแก่บริวารคนรับใช้ ก็ถามว่า “รับไหม ?” อีกฝ่ายหนึ่งก็ “รับประทานครับ” “รับประทานเจ้าค่ะ” อย่างนั้นก็ได้อยู่ ส่วนใหญ่ที่ให้ไปก็คืออาหารที่เหลือจากเจ้านายกินแล้ว ในเมื่อรับประทานก็แปลว่าเอาไปกิน ถ้าความหมายนั้นได้ แต่ถ้ากินแล้วหดเหลือทานคำเดียวไม่ได้ เพราะว่าทานคือให้ คำว่าแพ้ก็แปลว่าชนะ จริง ๆ นะ ความหมายมาเปลี่ยนในยุคเรานี่แหละ อาวุโส แปลว่าผู้มีอายุ หมายถึงว่าคนแก่เรียกเด็ก ก็เหมือนกับ “เฮ้ย...ไอ้หนุ่ม” ทั้ง ๆ ที่ตัวเรายังเด็กอยู่เลย แต่มาสมัยนี้อาวุโสแปลว่าแก่กว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-02-2018 เมื่อ 20:09 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
บางทีภาษาโบราณที่เราใช้กันอยู่ปัจจุบันนี้เหมือนกับโดนสลับที่ อย่างเช่น คำว่าแพ้ ความหมายเดิมคือชนะ “มึงแพ้แก่กูแล้ว” ก็คือกูชนะมึง แต่สมัยนี้แยกความหมายออกมาชัด ๆ ว่าแพ้คือแพ้ ชนะคือชนะ ก็แบบเดียวกับพ่ายแพ้ พ่ายก็คือแพ้ แพ้ก็คือชนะ คำว่าพ่ายแพ้คือเอาแพ้ชนะกัน
ตีรันฟันแทง ตีความหมายจริง ๆ คือชกด้วยหมัด ที่เราฟาดด้วยไม้ ซึ่งเรียกกันทุกวันนี้ว่าตี นั่นเขาเรียกว่ารัน ฟันกับแทงยังความหมายเดิมอยู่ แต่ตีกับรันนี่แยกกันไปแล้ว รันแปลว่าตี ที่เขาบอกว่าอย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้ เคยได้ยินไหม ? ไปตีกองขี้เล่นก็กระจายใส่ตัว เพราะว่าไม้สั้นนิดเดียว แปลว่าอย่าไปหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ความหมายของคำว่าตีจริง ๆ ก็คือต่อยด้วยหมัด อย่างตีมวย ความหมายก็คือชกต่อยกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2018 เมื่อ 03:53 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ดินฟ้าอากาศเป็นใจให้กับหมอ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อย่างทองผาภูมิวันนี้ ๑๗ องศาเซลเซียส พรุ่งนี้อาจจะอยู่ที่ ๒๑ องศาเซลเซียส คนที่ร่างกายไม่แข็งแรงทนไม่ไหว ก็เจ็บไข้ได้ป่วย เท่ากับไปช่วยกันสนับสนุนกิจการของหมอ
อากาศลักษณะอย่างนี้จะว่าไปแล้วก็เกิดจากการกระทำของคน พวกเราสร้างกรรมดีกรรมชั่วเอาไว้ ถึงเวลาแรงกรรมที่เราทำ ถ้าความดีมีน้อยกว่า แรงกรรมชั่วมีมากกว่า แม้กระทั่งดินฟ้าอากาศก็เปลี่ยนแปลงไปหมด สมัยโบราณถ้าดินฟ้าอากาศไม่ปกติ อย่างเช่นว่าฝนแล้ง ก็จะมีการบังคับให้ผู้นำถือศีลเจริญภาวนาอย่างน้อยสัก ๗ วัน แล้วผู้นำสมัยก่อนส่วนใหญ่ก็คือพระมหากษัตริย์ แต่ในปัจจุบันนี้ถ้าจะบังคับผู้นำให้ถือศีลภาวนาก็ต้องบังคับ คสช. โบราณของเราเชื่อกรรม ก็คือเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ แต่คนรุ่นใหม่ ๆ ก็มักจะเชื่อเรื่องของวิทยาศาสตร์แทน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นการกระทำต่าง ๆ ของคนในปัจจุบัน จึงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของดีหรือชั่ว สนใจแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น ดังนั้น..ในเรื่องของฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลง ก็ต้องบอกว่าพวกเราทำกันเองแท้ ๆ พวกเราเองปัจจุบันนี้ ทั้งอาหารการกินก็ดี เรื่องอากาศก็ดี เรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นปนเปื้อนสารพิษเสียมาก ก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยได้ง่ายกว่าปกติ ต่อให้เทคโนโลยีทางการแพทย์ดีแค่ไหน ก็หนีโรคภัยไข้เจ็บไปไม่พ้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 02:58 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "จะหาของที่เป็นมหาอำนาจจริง ๆ ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าท่านทำเอาไว้เยอะ อย่างพวกตะกรุดหนังหน้าผากเสือ แต่ปัจจุบันราคาแพงมาก
โบราณาจารย์นิยมนำส่วนต่าง ๆ ของเสือ ที่ละสังขารแล้วซึ่งถือว่าเป็นของคงทนสิทธิ์ เป็นมหาอำนาจ ไปให้พระเกจิอาจารย์ที่มีสมาธิแก่กล้าลงอักขระคาถา ปลุกเสกตามตำรา จนอานุภาพครอบจักรวาล เช่น มหาอำนาจ แคล้วคลาดปลอดภัย มีโชคลาภ เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ เป็นต้น ตะกรุดหนังหน้าผากเสือ ดีทางมหาอำนาจสูงมาก ทั้งนี้เสือนั้นมีดี ๓ อย่าง คือ ๑. เป็นเจ้าป่า มีตบะเดชะเป็นมหาอำนาจ แค่ได้กลิ่นสาบเสือสัตว์อื่นก็หวาดกลัว ๒. ถึงแม้เสือจะเป็นสัตว์ที่ดุและน่ากลัว แต่คนก็อยากเห็นและอยากเจอเสือ ข้อนี้ท่านว่าเป็นเมตตามหานิยม และ ๓. หากินคล่องตัวไม่มีฝืดเคืองเรื่องอาหาร คือดีในด้านการทำมาหากิน ที่เขาจัดลำดับเอาไว้ก็มีของหลวงพ่อสว่าง วัดเทียนถวาย หลวงปู่นาค วัดอรุณฯ หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ถ้าหาไม่ได้ก็เอาของ หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก หรือไม่ก็ของหลวงพ่อทบ วัดชนแดน ของรุ่นนั้นยังหาง่าย เพราะป่ายังเยอะอยู่ สมัยนี้จับอะไรในป่าก็เดือดร้อนไปหมดแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:07 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
โยมเอาเชือกร้อยตะกรุดและปลัดขิกมาให้พิจารณาดู "ถ้าไม่ใช่ของหลวงพ่อทบก็ของหลวงพ่อมุ่ย ถ้าของหลวงพ่อคงมักจะมีชื่อของท่านอยู่ด้วย ต้องเล็งดูให้ดี ท่านจะเขียนอักขระขอมว่า "คง" ถ้าเป็นของหลวงพ่อโสก จะมีจาร
ดูความละเอียดของเชือกแล้วน่าจะเป็นของหลวงพ่อมุ่ยมากกว่า เพราะว่าของหลวงพ่อทบเชือกจะเส้นใหญ่กว่านี้ อันนี้เราดูกันแบบเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่มาจับพลังกัน เพราะว่าการจับพลังนั้นแหกตากันได้ ดูเป็นแล้วก็ต้องให้สากลเขายอมรับด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
ถาม : ตะกรุดเชือก ๑๖ ดอก ของหลวงปู่จง มีทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าตอนนั้นท่านจะหาวัสดุอะไรได้ สมัยหลวงปู่ไม่ใช่ประเภทที่วิ่งไปซื้อที่ตลาดก็ได้เลยเหมือนพวกเราเสียเมื่อไร บางทีก็รอกันนานกว่าจะได้มาพอทำวัตถุมงคล ถาม : เราควรพิจารณาดูของแท้จากอะไรบ้าง ? ตอบ : เชือก จำนวนตะกรุด ความเก่าของตะกรุด อักขระที่จาร การม้วน การตัดขอบ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:10 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาที่ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลให้ออกซิเจน แต่จิตเขาออกไปแล้ว ?
ตอบ : ไปก็คือไป ร่างกายโดนหล่อเลี้ยงไว้ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือของหมอ ตามวิชาการทางการแพทย์เขาเอาการหยุดทำงานของสมองเป็นหลัก ถึงปอดหรือหัวใจจะทำงาน แต่ถ้าสมองไม่ทำงานก็ถือว่าตายแล้ว ถาม : (ไม่ชัด) ? ตอบ : จิตส่วนจิต ถ้าออกจากร่างไป ก็ไปตามบุญตามกรรมของตัวเอง แต่สภาพร่างกายเหมือนกับรถ ดับเครื่องแล้วแต่แรงเฉื่อยยังมีอยู่ ก็ยังไหลต่อไปได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดแรงเฉื่อย ฉะนั้น...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ใครที่เห็นว่าเห็นพ่อแม่ตัวเองทรมานมาก แล้วสั่งหมอให้เอาออกซิเจนออก นั่นเท่ากับฆ่าพ่อฆ่าแม่เลย ถ้าไม่อยากทำอย่างนั้น ก็อย่าให้ใส่ตั้งแต่แรก ถาม : แต่ถ้าพ่อแม่สั่งว่าให้เอาออกละครับ ? ตอบ : สั่งไว้ก่อนก็รอให้คนอื่นทำ แต่อย่าไปทำด้วยตัวเอง บางทีสภาพร่างกายอยู่ด้วยออกซิเจน อยู่ด้วยเครื่องมือ แต่จิตไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ? แต่บางทีก็ทนทรมานอยู่ด้วยแรงกรรม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
พระอาจารย์พูดถึงวัด "คุณแก้ในบริเวณเล็ก ๆ แล้วบริเวณใหญ่จะดีไปด้วย เป็นเรื่องที่ง่ายที่จะทำ แต่คนรุ่นหลังไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ทำอะไรตามใจแล้วบ้านเมืองก็วุ่นวายไปหมด ต้องยอมรับว่าวาระกรรมของบ้านเมืองเรายังหนักอยู่ เข็นอะไรก็เข็นไม่ขึ้น
ทำดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ ทุ่มเทเต็มที่แล้วก็ถือว่ามีคำตอบให้ตัวเองแล้ว ส่วนวาระกรรมของประเทศก็เหมือนกับแบกช้าง ถ้าแบกไม่ไหวก็ต้องยอมวาง เราลองนึกดูสถานการณ์บ้านเมืองเหมือนกับเรือรั่ว ในเมื่อเรือรั่ว เราอุดทางนี้น้ำก็เข้าทางโน้น อุดทางโน้นน้ำก็เข้าทางนี้ อุดจนมือไม้เป็นระวิงไปหมด คนบนเรือแทนที่จะช่วยกันวิด ช่วยกันพาย กลายเป็นว่าเอาตีนราน้ำ คนที่ทำงานนี่ท้อเลย เราทุ่มเทเต็มที่ของเราก็ถือว่ามีคำตอบให้ตัวเองแล้ว ความรักชาติบ้านเมืองชนิดยอมมอบกายถวายชีวิตเราก็ทำแล้ว ทำจนกลายเป็นเป้ากระสุนตกอยู่แล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:14 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า นาก เขาใช้ ก.ไก่ นะจ๊ะ นาค ค.ควาย แปลว่างูใหญ่ก็ได้ แปลว่าผู้ประเสริฐก็ได้ แปลว่าช้างก็ได้ ดังนั้น...หลวงพ่อนาก ก.ไก่ สะกด นากตัวนี้คือโลหะที่ผสมจาก ทองคำ เงิน และ ทองแดง
สมัยอาตมายังเด็ก ๆ แถวบ้านเขานิยมทำขันข้าวใส่บาตรกันด้วยทองคำ ด้วยนาก ด้วยเงิน แล้วแต่ฐานะ คราวนี้ชาวบ้านก็จะเล็งว่า ถ้าใครใช้ขันนาก ขันเงิน บ้านไหนขันจะดำ บ้านไหนขันจะสะอาดเงางาม จะเป็นที่รู้กันว่าลูกสาวของบ้านนั้นขยันหรือขี้เกียจ เพราะว่าต้องใช้น้ำส้มมะขามหมัก ขัดกันจนเบื่อ ถ้าขี้เกียจหน่อย การที่ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับเนื้อโลหะ ก็จะทำให้นากหรือเงินหมอง แล้วก็ดำ ส่วนทองคำไม่เป็นไรหรอก ทองคำใช้ผ้าสะอาดเช็ดอย่างเดียวก็เงาวับแล้ว ตั้งแต่เกิดมาอาตมาก็ได้เห็นขันทองคำอยู่ครั้งเดียว หลังจากนั้นบ้านนั้นก็ไม่กล้าเอาออกมาใส่บาตรอีกเลย มีความเชื่อที่ว่าพระอาทิตย์ใช้ขันทองคําใส่บาตร พระจันทร์ใช้ขันเงินใส่บาตร จึงมีรัศมีสว่างไสว ส่วนพี่กลางคือราหูตื่นสาย คว้าอะไรไม่ทัน เอากระบุงใส่ข้าวไปใส่บาตร เกิดมาจึงดำปี๋ไม่เหมือนชาวบ้านเขา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
"ในเมื่อความเชื่อเป็นอย่างนี้ สมัยโน้นก็เลยนิยมกัน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นขันลงหิน ขันลงหินส่วนใหญ่จะตีขึ้นมาจากทองเหลือง หนามาก แล้วใช้หินขัด สมัยโน้นไม่มีเครื่องขัดเครื่องเจียรเหมือนกับสมัยนี้ ต้องใช้เชือกชัก แล้วเอาหินกลม ๆ ที่เป็นพวกหินลำห้วยลำธาร ขัดจนกระทั่งเรียบ ต้องใช้ความอดทนและพยายามสูงมาก ระยะหลังค่อยพัฒนาขึ้นมาเป็นหินลับมีด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหินทรายเอามาขัด
สมัยก่อนกรุงเทพฯ จะมีบ้านบุ บ้านบาตร บ้านหม้อ พวกนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทำอะไรก็เรียกตามนั้นเลย บ้านบาตรก็มีอาชีพตีบาตร หลอมบาตร รมบาตร บ้านบุก็มีอาชีพบุเงินบุทอง แล้วแต่เขาจะสั่งทำ บ้านหม้อก็ทำหม้อ ถ้าพวกเครื่องปั้นดินเผาก็ต้องที่เกาะเกร็ด จนป่านนี้เกาะเกร็ดก็ยังรักษาชื่อเสียงเรื่องเครื่องปั้นดินเผาไว้ได้ เพราะว่าสมัยโบราณเวลากวาดต้อนพวกเชลยศึกมา ก็จัดสรรที่ให้อยู่จะได้ทำกินกัน ถึงเวลาจะได้เกณฑ์แรงงานได้ง่าย เพราะว่าอยู่รวมกัน สมัยก่อนพวกมอญมีความชำนาญในการทำเครื่องปั้นดินเผา อย่างสามโคกที่ปทุมธานี แถวนั้นเขาทำเครื่องปั้นดินเผา มีการก่อเตาขึ้นมา คราวนี้ถ้าทำทีละมาก ๆ เตาก็ต้องใหญ่ ถึงเวลาเตาร้างไปก็กลายเป็นดินโคกสูงอยู่ ก่อไว้ ๓ เตาก็กลายเป็นสามโคก พอตอนหลังในหลวงรัชกาลที่ ๒ เปลี่ยนเป็นเมืองปทุมธานี ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว ตั้งแต่นั้นมาก็เปลี่ยนชื่อจากเมืองสามโคกมาเป็นเมืองปทุมธานี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:22 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
มีคนเอาวัตถุมงคลมาถวาย "ให้พวกเราเตรียมเงินไว้สองพันบาท เดี๋ยวจะให้ฝูเอาเหรียญทำน้ำมนต์หลวงพ่อกวยไปออกบูชา ราคาในท้องตลาดไป ๔,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ บาทไปแล้ว ไม่นึกว่าหลวงพ่อกวยมรณภาพแล้วศรัทธาของลูกศิษย์ยังแรงขนาดนี้ วัตถุมงคลรุ่นแรงครูทุกชิ้นหมดไปจากวัดในวันนั้นเลย พระสีวลีกับเหรียญน้ำมนต์เขาให้มาจำนวนใกล้เคียงกัน เหรียญน้ำมนต์ของหลวงพ่อกวยดูแล้วน่าจะเป็นเหรียญหล่อ ไม่ใช่เหรียญปั๊ม ...(เหรียญหล่อจริง ๆ ครับ)... เพราะว่าถ้าทำเหรียญปั๊มหนาขนาดนั้น รับประกันว่าไม่ถึงพันเหรียญก็เครื่องพัง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:24 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
พระอาจารย์พูดกับเด็กวัยรุ่นที่ถือน้ำหวานติดมือมาด้วย "ถ้าจะดื่มให้ดื่มน้ำเปล่า ถ้าดื่มพวกน้ำหวาน พวกชาเขียวที่เป็นขวดอะไรพวกนี้ มีแต่จะอ้วนเพราะว่าเขาใส่น้ำตาลเยอะ พอใส่น้ำตาลเยอะดื่มลงไปก็ไม่หายหิวน้ำ มีแต่จะหิวมากขึ้น เพราะว่าร่างกายต้องดึงเอาน้ำไปใช้ในกระบวนการย่อยสลายน้ำตาลอีก
ไม่ใช่แค่ญาติโยมนะ เราต้องสอนเด็ก ๆ ของเรา ด้วย ร่างกายของเราต้องการน้ำเปล่า เรื่องของน้ำตาลนั้น แค่ข้าวที่เรากินลงไป ร่างกายก็ผลิตออกมาเพียงพอแล้ว ถ้าไปดื่มน้ำหวานมาก ๆ เข้าก็จะกลายเป็นอ้วน พออ้วนขึ้นมาก็ลดได้ยากมาก ใครที่เคยลดน้ำหนักแล้วจะรู้ดีว่าสาหัสแค่ไหน เพราะฉะนั้น...พยายามเปลี่ยนนิสัยใหม่ ให้ดื่มน้ำเปล่าแทน น้ำเปล่าจะดื่มก็อย่าไปแช่เย็น โดยเฉพาะผู้หญิง การดื่มน้ำเย็นเป็นสาเหตุให้เป็นซีสต์ในมดลูก เราจะสังเกตว่าปัจจุบันเป็นเนื้องอกในมดลูกกันเยอะมาก เกิดจากสาเหตุการดื่มน้ำเย็น คนไทยไปประเทศจีนสั่งน้ำแข็ง คนจีนเขาตกใจว่ากินเข้าไปได้อย่างไร ?!! เราจะเห็นว่าคนจีนประชากรเป็นพันล้าน หาคนเป็นเนื้องอกในมดลูกยากมาก เพราะว่าเขากินน้ำร้อนกัน อะไรที่กินเข้าไปก็เป็นตัวตนของเรา กินไม่ถูก กินไม่ดีลงไป ก็เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ แล้วเราก็ต้องมาผ่าตัดกัน ฉะนั้น...เด็ก ๆ หัดเอาไว้นะลูก ไม่อย่างนั้นแล้วจะลำบาก ตู้เย็นมีอยู่ที่บ้านเก็บเอาไว้แช่เนื้อแช่ผักก็พอ อย่าไปแช่น้ำ ถ้าไม่ถนัดที่จะดื่มน้ำร้อน ก็เอาน้ำธรรมดา น้ำที่ใส่ขวดทั่ว ๆ ไป อย่าไปแช่เย็น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:27 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
"ครูบาอาจารย์ของอาตมาท่านหนึ่งก็คือ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง ท่านเป็นสุดยอดหมอแผนโบราณ ทั้งชีวิตหลวงปู่ธรรมชัยไม่ยอมฉันน้ำเย็นเลย ขนาดอยู่ในกิจนิมนต์มีแต่น้ำเย็น ท่านก็ไม่ฉันน้ำ ยอมอด พอดีวันนั้นพี่มุกดาพกน้ำร้อนไปด้วย ก็เลยมีโอกาสถวายหลวงปู่ เห็นท่านยิ้มดีใจเหมือนเด็ก ๆ คนถวายก็คงจะปลื้มจนตัวลอย วันนั้นเจ้าภาพจัดมาแต่น้ำเย็น
พระส่วนใหญ่ก็แล้วแต่โยมจะจัดให้ แต่ไม่ใช่อาตมา เมื่อรู้ว่าตัวเองแรงกรรมเยอะ โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากแรงกรรมก็มากอยู่แล้ว จะมาซ้ำเติมตัวเองนี่ไม่ใช่วิสัย เมื่อไม่กี่วันก่อนไปงานไหว้ครูประจำปีของบ้านผู้กำกับที่องธิ ไปถึงก็บอกเลยว่า "เอาน้ำร้อนมาถวายพระก่อน เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:28 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครตั้งเป้าหมายว่าบวชแล้วจะเป็นเจ้าอาวาสบ้างหรือไม่ ? ถ้ามีช่วยบอกมาที เพราะว่ามีโยมจะถวายที่ดินที่เชียงรายผืนหนึ่ง บอกว่าถวายให้สร้างวัด อาตมายังไม่กล้ารับ เพราะว่ายังหาเจ้าอาวาสให้เขาไม่ได้
โยมทำงานอยู่บาห์เรน พอตะวันออกกลางระอุในเรื่องของซีเรีย อิสราเอลด้วย...ใช่ไหม ? โยมดูแล้วว่าไม่ดีแน่ ก็ขนเครื่องไม้เครื่องมือกลับเมืองไทยหมด แต่คราวนี้บ้านเมืองเราจะไปตั้งโรงงานผลิตสิ่งต่าง ๆ นั้น ไม่ง่ายเหมือนอย่างกับต่างประเทศ บ้านเรานอกจากเส้นสายเบี้ยบ้ายรายทางแล้ว ยังต้องดูด้วยว่าเจ้าเก่าเขายินดีไหม ? ก็เลยต้องรอ มีแนวคิดที่ว่าจะทำรีสอร์ตธรรมะ แต่ขณะเดียวกันก็มีที่อยู่ผืนหนึ่งตั้งใจจะถวายให้สร้างเป็นวัดเลย คราวนี้อาตมาเองก็ยังไม่กล้ารับ เพราะว่าถ้าต้องไปทำ งานแรกก็คือต้องเดินทางไกล อันดับที่สองคือทำแล้วไม่มีใครอยู่ดูแล อย่างปัจจุบันนี้เวลาวัดในสาขาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพุทธบริษัท พุทธมณฑล วังปะโท่ เกาะพระฤๅษี หรือถ้ำทะลุซึ่งอยู่ไม่ไกล เต็มที่อย่างถ้ำทะลุหรือเกาะพระฤๅษี ก็แค่ ๒๗ - ๒๘ กิโลเมตร แต่พระก็ไม่ยอมที่จะไปกัน ขนาดให้ผลัดเวรกันไปดูแลสถานที่ก็ยังไม่อยากไป ที่ท่านไม่ไปเพราะว่าตอนเย็น ๆ เวลาพระอาจารย์อบรมพระ ตัวท่านเองจะไม่ได้ฟัง ก็ต้องบอกว่าน่าเห็นใจ เพราะว่าท่านบวชมา อยากจะได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ คราวนี้พอส่งไปอยู่ไกล ๆ ท่านเองท่านอยากได้คำสอน อยากได้แนวทางปฏิบัติ อยากได้รับการขัดเกลาอย่างใกล้ชิด ก็จะไม่ได้สิ่งเหล่านี้ การมีวัดในความดูแลหลายวัดจึงกลายเป็นเรื่องที่ลำบากใจ วันก่อนพระครูหน่อยบอกว่า ชาวบ้านซึ่งรุกที่ดินของวัด โดนคำสั่งศาลให้ย้ายออกแต่ไม่ยอมย้าย กลับไปปลุกระดมมวลชนจะมาขับไล่เจ้าอาวาส จะมาเผาวัด ขอให้หลวงพ่อส่งพระไปช่วยหน่อย เลยบอกกับท่านว่า คุณไปเกลี้ยกล่อมเองแล้วกัน ผมส่งก็คงไม่มีใครยอมไปหรอก อาตมาเองเป็นคนอยู่ไม่ติดที่ พร้อมที่จะทิ้งทุกอย่างไปได้ทันที แต่คนอื่นนั้นไม่ใช่ คนอื่นก็ยังยึดตัวครูบาอาจารย์ ยังยึดสถานที่อยู่ ถ้าจะให้ไปที่อื่นก็จะไม่ถูกใจของท่าน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:32 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ายังหนาวอยู่เลย ตอนนี้ร้อนแล้ว อากาศหมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวัน ถ้าใช้วิปัสสนาญานแบบธรรมชาติ ก็คือทุกอย่างไม่เที่ยง แต่เรามักจะไม่ค่อยมองกัน หนาวก็บ่น ร้อนก็บ่น ฝนตกยิ่งบ่นใหญ่เลย เพราะว่าทำให้น้ำท่วมแล้วรถติด ก็เลยลืมประโยชน์ที่ควรจะได้ ต้องบอกว่าหลักธรรมอยู่ตรงหน้า เหมือนกับทองคำเป็นภูเขา แต่เราไม่สามารถที่จะไขว่คว้าเอามาได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2018 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ผ่านมามีข่าวผู้อำนวยการโรงเรียนควงเด็ก ม.๒ ใช่หรือไม่ ? เรื่องนี้ถ้ามองก็คิดได้หลายแง่ด้วยกัน
ประการแรก โดยปกติแล้วในวิชาชีพของตัวเอง บรรดาครูบาอาจารย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้น เพราะว่าสังคมจะประณามมาก เราจะเห็นว่าผู้นำต่างประเทศบางประเทศ แต่งงานกับครูที่สอนตัวเองมา นั่นไม่ใช่เรื่องผิดเพราะว่าเขาเรียนจบมาแล้ว มีงานทำแล้ว กลับไปขอความรักคุณครู ไปแต่งงานกับคุณครูนั้นได้ แต่ไม่ใช่ระหว่างคนหนึ่งอยู่ในฐานะครูบาอาจารย์ อีกคนหนึ่งอยู่ในฐานะของนักเรียน ต่อให้ระดับมหาวิทยาลัยสังคมยังไม่ยอมรับเลย ประการที่สอง ความรักของพ่อแม่ทำให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมา บางคนอาจจะงง ๆ ว่าเป็นไปได้อย่างไร ทันทีที่พ่อแม่รู้ว่ามีลูกก็ช่วยกันบำรุงยกใหญ่เลย รุ่นของอาตมาไม่มีอะไรนี่ อย่างเก่งก็ได้กินแค่ข้าวย้ำหรือกล้วยขูด แต่สมัยนี้ทันทีที่อยู่ในท้องแม่ก็บำรุงกันเข้าไป อันนั้นก็แคลเซียมสูง อันนั้นก็โฟเลทสูง อันนั้นก็วิตามินสูง เมื่อบำรุงมากไป เด็กที่เกิดมาอยู่ในลักษณะพลังงานล้นเกิน กลายเป็นคนสมาธิสั้น อยู่ไม่สุข แล้วก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วกว่าอายุ ในเมื่อบำรุงมากเกินไป โตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วกว่าอายุ พลังงานล้นเกิน ก็กลายเป็นพวกไฮเปอร์แอ็คทีฟ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2018 เมื่อ 03:32 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
"เรื่องนี้มีผลเสียหลายอย่าง อย่างแรกก็คือ จะกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่วัยใส อย่างที่สองก็คือ เมื่ออายุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็วมาก ก็แปลว่าอายุจะสั้นมาก เราลองสังเกตดูหมาสิ แค่ ๓ - ๔ เดือนก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ปีถัดไปก็กลายเป็นพ่อหมาแม่หมา แล้วหมามีอายุกี่ปี ? ของคนเราถ้ายิ่งโตเร็วเท่าไรก็แปลว่าตายเร็วเท่านั้น..!
รุ่นของอาตมาอายุ ๑๓ - ๑๔ ปี ยังแก้ผ้าโดดน้ำอยู่ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้หญิงอย่างดีก็นุ่งกระโจมอกเล่นน้ำกัน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นผู้หญิง อะไรเป็นผู้ชาย เพราะว่าความรู้สึกทางเพศยังไม่มี ไม่มีอะไรที่จะมาบำรุง อย่างเก่งก็กินนมแม่ บ้านไหนฐานะดีหน่อยก็บดข้าวใส่ไข่แดงให้ลูกกิน ทั่ว ๆ ไปอย่างอาตมาก็กล้วยเผาเป็นหลัก ไม่เหมือนกับสมัยนี้ สารพัดของบำรุงอัดเข้าไปเต็มที่ ก็ถือว่าพ่อแม่รังแกฉันก็แล้วกัน รักลูกมากก็เลยพาให้เป็นอย่างนั้นเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2018 เมื่อ 03:34 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|