|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมที่เอาแต่ถ่ายรูป "ไปอ่านเก็บตกของเดือนนี้ให้ได้นะ ตอนที่บอกว่ากำลังใจมัวแต่จะคิดถ่ายรูปอยู่ ก็เลยไม่มั่นคงอยู่กับบุญ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
"ส่วนที่อาตมาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ ท่านทั้งหลายที่ขาดโทรศัพท์ไม่ได้จนกลายเป็นเสพติดไปแล้ว ถ้าอยากจะเลิกยาเสพติดชนิดนี้ให้ไปบวชที่วัดท่าขนุน เดี๋ยวจะช่วยยึดโทรศัพท์ให้...!
ตอนนี้สามเณรที่วัดรอคอยนับวันนับชั่วโมง เมื่อไรอาจารย์จะกลับไปสึกให้ นัดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้ (วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐) ตอนสองทุ่ม พอบวชมาก็ร้องห่มร้องไห้กัน เกิดมาไม่เคยลำบาก ข้าวปลาอาหารแม่แทบจะป้อนให้ถึงเตียง พอไปบวชกับหลวงพ่อวัดท่าขนุน ต้องเดินตั้งห้ากิโลเมตรกว่าจะได้กิน มีการประท้วงด้วย พอเห็นเดินไม่รอ ก็แกล้งถ่วงช้าไปเรื่อย...ช้าไปเรื่อย เดินไกลไป ๒๐-๓๐ เมตร แทนที่หลวงพ่อวัดท่าขนุนจะรอ ก็ดันไม่รอ...เดินเร็วขึ้นไปอีก ท้ายสุดเณรก็ต้องวิ่งตาม พอผ่านไปห้าวันก็เห็นเดินทันกันทุกคน ถึงได้บอกว่ากลับไปคงรักพ่อรักแม่ขึ้นอีกเยอะ แต่ขอโทษเถอะ...แม้แต่ฉี่คงจะไม่หันมาทางวัดท่าขนุนแล้ว ใครจะดัดสันดานลูกหลานเอาไปฝากบวชได้ รับประกันให้ว่าตีทุกคน...! ตอนที่บวชชุดใหม่ ๆ บวชกันที่หนึ่ง ๗๐-๘๐ รูป ๑๐๐ กว่ารูป พระพี่เลี้ยงติดไม้ไว้คนละสามอัน ถามว่าทำไมถึงต้องติดไม้ไว้คนละสามอัน ? ท่านบอกว่าถ้าตีหักจะได้ไม่ต้องหาใหม่ นี่แสดงว่ารู้จริงว่าอาตมาต้องการอย่างไร ฉะนั้น...ถ้าใครรักลูกรีบส่งไป ถ้าหากไม่รักลูกก็โอ๋กันต่อไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 03:50 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทราบว่าพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เนื้อยาจินดามณีนั้น หมดเกลี้ยงไปในวันงานเป่ายันต์ฯ แล้ว ไม่ต้องมาเสาะหากันอีก ตอนนี้เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ถ้าหาอำพันทองได้เมื่อไรแล้วค่อยว่ากันใหม่
ที่ขำก็คือมีคนเขากินกันทั้งองค์เลย ดีเหมือนกัน เล่นหั่นแบบหั่นขนมเค้กเลย หั่นพระเป็น ๕ องค์ จริง ๆ ก็ทำมาให้กิน ให้คิดว่าอัญเชิญพระเข้าไปสถิตอยู่ในตัวเรา เมื่อวานอาตมาเอาที่ปั้นเป็นเม็ด ๒ ขวดไปฝากท่านอาจารย์บ๊ะ ยังไม่ทันจะล้วงเลย ท่านแบมือ “รับด้วยความยินดีครับ” พอจับชีพจรให้อาตมาแล้วท่านบอกว่า “ชีพจรดีขึ้นมากเลย” ได้ยาจินดามณีก็ฉันเข้าไป ๓ เม็ด ร่างกายจึงดีขึ้น ปกติแล้วช่วงก่อนงานเป่ายันต์ฯ หมาที่วัดติดโรคหัดตายไปเยอะมาก เพราะลูกหมายังเล็กอยู่ ตอนช่วงงานเป่ายันต์ฯ ในเมื่อมีพุทธาภิเษกยาจินดามณีเพื่อรักษาโรคด้วย อาตมาจึงขอพระท่านสงเคราะห์หมาไม่ได้เอายาไปให้หมากินนะ แต่ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ขับไล่โรคให้หมาด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 21:00 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
"ไม่รู้ว่าหลวงพ่อบ๊ะท่านชมหรือท่านด่า ท่านบอกว่าแอบไปดูว่างานเป่ายันต์ฯ คนเยอะไหม ? ปรากฏว่าคนเยอะมาก อาจารย์ก็ตรงเวลาจริง ๆ เลยถึงเวลาปุ๊บก็ลงมือปั๊บเลย
จะไม่ให้ลงมือได้อย่างไร ยังจะมีอะไรสำคัญกว่าเวลาของพระท่านอีกหรือ ? คนไหนที่ไม่เห็นความสำคัญในเวลาของพระ ของพรหม ของเทวดาแล้ว ถ้าท่านไม่สงเคราะห์เราก็เฮง อาศัยกำลังของเราเป่ายันต์จะได้สักเฟื้องสักสลึงหรือเปล่า ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 21:01 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณท่านว่า ห่วงลูกผูกคอ ห่วงสามีภรรยาผูกมือ ห่วงทรัพย์สมบัติผูกเท้า มาจากบาลีที่ว่า ปุตตัง คีเว ธนัง ปาเท ภริยัง หัตเถ อาตมาเองจะบอกว่า อาตมามีลูกหมามากกว่าลูกคน เห็นโยมถวายของมา พอเปิดดูเห็นขนมที่หมาชอบกินก็เลยนึกถึงหมา
ถ้าตายตอนนั้นจะเป็นหมาไหมหนอ ? จะว่ากันจริง ๆ แล้ว กำลังใจเกาะอยู่ในส่วนของทานบารมีกับจาคานุสติ ไม่น่าจะต้องไปเป็นหมานะ แต่ก็ไม่ดีตรงที่ว่าความคิดเร็วมากเลย เผลอหน่อยเดียวก็คิดถึง เออ...ขนมอย่างนี้หมาชอบกิน ปัจจุบันนี้เข้าตลาดไปทีหนึ่งก็ซื้อพวกเครื่องในไก่ปิ้ง ไม่ว่าจะเป็นตับ เป็นกึ๋น เป็นหัวใจ ฯลฯ ซื้อชนิดเหมาหมดร้าน เห็นหมาแย่งกันกินก็มีความสุข รู้สึกสบายใจไปด้วย สัตว์เดรัจฉานมีความทุกข์ที่ต่างจากคนอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หากินไม่ได้อย่างใจ คนเราเวลาอยากกินอะไรก็เลือกซื้อได้ หมาอยากกินแต่เลือกไม่ได้ เลยกลายเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของสัตว์เดรัจฉานที่ต่างไปจากคน ถ้าเป็นไปได้ถึงเวลาก็ช่วยสงเคราะห์ให้เขาหน่อย ไปซื้อข้าวของแต่ละทีก็ไม่กล้าบอก ได้แต่ว่าเอาอย่างนี้ เอาอย่างนั้น จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งหลุดปากออกไป เพราะว่าไปซื้อที่ตลาดนัดตอน ๔ โมงเย็นแล้ว คนขายก็เอาเครื่องในไก่ให้เรียบร้อย ก็ถามว่า “ข้าวเหนียวด้วยไหมครับ ?” อาตมาบอกว่าไม่เอา เขาก็จัดแจงหยิบน้ำจิ้มมา ๗-๘ ถุง จึงหลุดปากไปว่า “หมาไม่กินน้ำจิ้ม” ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เป็นห่วงกำลังใจของโยมว่า บางคนเขาอด ๆ อยาก ๆ ทำงานแทบตายกว่าจะมีเงินมาซื้อข้าวปลาอาหารกิน แต่พระวัดนี้ดันไปซื้อไก่มาเลี้ยงหมา..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 21:04 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ควายธนูหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ มีส่วนผสมที่หายากสุด ๆ อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตะไคร่ที่ขึ้นอยู่บนจมูกจระเข้ จึงกลายเป็นของทำยาก ส่วนใหญ่วัวธนู ควายธนู เขาจะปั้นเต็มตัว ของหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อท่านทำแค่ครึ่งซีก ถามว่าทำไม ? เพราะท่านเคยทำเต็มตัวแล้วเฮี้ยนเกินไป ที่ขลังเกินจนต้องลดไปซีกหนึ่งก็มีเหมือนกัน ลองคิดดูว่าจระเข้ที่อยู่นานจนกระทั่งตะไคร่ขึ้นจมูกนี่ต้องตัวใหญ่แค่ไหน ? อะไรก็ไม่ว่า คนที่จะเอาตะไคร่ที่จมูกจระเข้ ถ้าสะกดไม่อยู่ก็โดนกินไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 21:05 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานอาตมาไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ ๔๕ ไปซื้อหนังสือมา ปรากฏว่าหนังสือเล่มหนึ่งที่ติดตามอยู่ก็คือ ชุดเหยี่ยวมารของหวงอี้ คนเขียนตายไปวันก่อน
ถ้านับแล้วหวงอี้อายุเพิ่งจะ ๖๕ ปี สำหรับคนรุ่นใหม่ก็ไม่ถือว่าแก่มาก ถ้ารุ่นอาตมา ๖๕ นี่บางคนเป็นปู่ทวดแล้ว หวงอี้เขียนหนังสือประเภทตัวเอกย้อนเวลา ต้องบอกว่าเป็นคนแรกของวงการหนังสือนิยายจีน หลังจากนั้นก็มีคนเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเอกย้อนเวลาตามมาอีกไม่ถึงร้อยเรื่องก็ใกล้เคียง ที่หวงอี้เขียนก็คือ เจาะเวลาหาจิ๋นซี ซึ่งแปลโดย คุณน.นพรัตน์ หลังจากนั้นมาที่โด่งดังที่สุดก็คือ ชุดมังกรคู่สู้สิบทิศ ตามมาด้วยจอมคนแผ่นดินเดือด สามเรื่องนี้ถือว่าสร้างชื่อให้โด่งดังสูงสุด หลังจากนั้นเรื่องอื่น ๆ ที่เขียนก่อนเขียนหลังก็ทยอย ๆ กันออกมา มาถึงเรื่องล่าสุด ก็คือ ชุดไตรภาคของเหยี่ยวมาร ก็มีเหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ เหยี่ยวมารสัประยุทธ์สิบทิศ และเหยี่ยวมารสยบสิบทิศ หวงอี้เป็นคนมีวินัยมาก เขียนเดือนละ ๑ เล่มไม่ขาดไม่เกิน อาจจะเป็นเพราะว่ากรำงานมานาน หนังสือออกถึง ๓ ภาค ก็เลยเส้นโลหิตในสมองแตก ตายไปเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๐ นี้เอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-04-2017 เมื่อ 14:09 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
"เราจะเห็นว่านักเขียนนิยายจีนที่ชื่อเสียงโด่งดังตายตั้งแต่อายุน้อย ๆ อย่างโกวเล้ง อย่างหวงอี้ โกวเล้งนี่เป็นภาษาแต้จิ๋ว สมัยนั้นนิยมแปลนิยายจีนเป็นภาษาแต้จิ๋วอยู่ ใช้โกวเล้ง ถ้าจีนกลางเรียกว่ากู่หลง ส่วนหวงอี้เป็นภาษาจีนกลาง แบบเดียวกับที่บ้านเรารู้จักกิมย้ง ไปประเทศจีนต้องบอกว่าจินหยงถึงจะรู้จักกัน
ก่อนหน้านี้บ้านเรานิยมแปลนิยายจีนเป็นภาษาแต้จิ๋ว เนื่องจากคนอ่านเป็นแต้จิ๋วเยอะมาก ได้อรรถรสมากกว่า แต่พออยากให้เป็นสากลก็มาทดลองแปลเป็นภาษาจีนกลาง ก็คือ คุณน.นพรัตน์ เป็นคนแรกที่แปลเป็นภาษาจีนกลาง แล้วลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ชุดที่พระเอกเป็นมือปราบชื่อติงหลาน ถ้าหากว่าเป็นภาษาแต้จิ๋วก็คือเต็งลั้ง หลังจากนั้นก็ทยอย ๆ แปลมาเรื่อย ปรากฏว่ามาอยู่ตัวเอาเรื่องเจาะเวลาหาจิ๋นซี เพราะว่าสนุกมาก ฉะนั้น...คุณจะแปลเป็นจีนกลางหรือแต้จิ๋วก็อ่านอยู่แล้ว จึงได้แปลเป็นจีนกลางมาตลอดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หวงอี้เป็นนักเขียนที่มีจินตนาการ และอาตมาเชื่อว่าเขามีของเก่าเกี่ยวกับเรื่องของอภิญญาอยู่ เพราะว่าบรรยายการต่อสู้ของตัวเอกอยู่ในลักษณะเหมือนมีทิพจักขุญาณ หรือว่ามีทิพโสตญาณ สามารถกำหนดรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ที่ซ่อนอยู่หลังประตูมีกี่คน ? แต่ละคนใครใช้กระบวนท่าอะไร ? ใครลงมือก่อนลงมือหลัง ? ตัวเองก็เลยวางแผนในการรับมือได้ทัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 21:08 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
"มีอยู่เรื่องหนึ่งก็คือจอมคนแผ่นดินเดือด พระเอกสามารถสื่อจิตกับนางเอกได้ พูดง่าย ๆ ว่า สามารถส่งกระแสจิตไปแจ้งให้นางเอกรู้ได้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ตอนนี้ตามมาช่วยแล้ว
ถ้าคนไม่มีของเก่าจะจินตนาการเรื่องอย่างนี้ไม่ออก เป็นที่น่าเสียดายว่าเหยี่ยวมารภาค ๓ อย่างเก่งก็น่าออกจะไม่เกินเล่มที่ ๑๙ เพราะว่าเขาแปลกันเดือนต่อเดือน คนเราพอเขียนหนังสือไปแล้วก็ต้องฉีกหนีแนวตัวเอง ถ้าไม่ฉีกหนีแนวตัวเองนาน ๆ ไปคนจะเบื่อ คนที่ทำได้ดีที่สุดก็คือกิมย้งหรือจินหยง ที่เขียนเรื่องมังกรหยกหรือจอมยุทธ์ยิงอินทรี เพราะจากมังกรหยกภาค ๑ มาเป็นภาค ๒ มาเป็นภาค ๓ ก็คือภาคลูกมังกรหยก ภาคแรกมีคัมภีร์เก้าอิม ภาค ๒ เป็นเก้าเอี๊ยง ภาค ๓ สองอย่างรวมกันไม่พอ ยังมีวิชาต่างหากออกมา ก็คิดว่าหมดมุกแล้ว ปรากฏว่ายังมาเขียนแปดเทพอสูรมังกรฟ้า จากแปดเทพอสูรมังกรฟ้าคิดว่าหมดมุกแล้ว ก็ยังมาเป็นผู้กล้าหาญคะนอง ที่ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นเดชคัมภีร์เทวดา เขาก็คิดว่าหมดมุกแล้ว ปรากฏว่ามาเขียนอุ้ยเสี่ยวป้อ ที่พระเอกไม่ค่อยจะมีฝีมือ เอาแต่วิ่งหนีอย่างเดียว กลายเป็นดังระเบิดเถิดเทิงเหมือนกับสูงสุดคืนสู่สามัญ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 21:09 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
"พอหวงอี้มาฉีกแนวตัวเอง อย่างเขียนเรื่องศึกรักแดนสนธยา การที่พระเอกนางเอกข้ามชาติข้ามภพกันได้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะว่าคนอ่านไม่เข้าใจ พอมาเขียนชุดของเหยี่ยวมารไตรภาค ก็ปรากฏว่าพยายามฉีกแนวด้วยการเขียนนิยายซ้อนนิยาย ก็คือให้ตัวเอกตัวหนึ่งแยกไปทำงานอีกที่หนึ่ง แล้วเขียนบันทึกเอาไว้ ส่งให้ตัวเอกอีกตัวหนึ่งอ่าน ก็เลยมีการตัดสลับไปสลับมาเหมือนกับนิยาย ๒ เรื่องซ้อนกัน แต่เนื่องจากว่าคนอ่านไม่ได้อ่านรวดเดียว ต้องตามเดือนละเล่ม อารมณ์ไม่ต่อเนื่อง ก็เลยรู้สึกว่าหวงอี้ฝีมือตก
ตอนนี้ไม่ต้องตำหนิอีกแล้ว เพราะว่าท่านเทพทลายนภาไปเรียบร้อยแล้ว อาตมาอ่านเล่มนี้ส่งท้าย ถ้าเล่มหน้ายังมีออกก็ซื้ออีกหนึ่งเล่ม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 21:11 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสมเด็จวัดระฆังทุกองค์จะมีรอยตัด คือโบราณเวลาพิมพ์แล้วพิมพ์ล้น เขาเอาตอกไม้ไผ่กดลงไปตัดให้พอดี คราวนี้ตอนที่กดลงไปจะมีรอยขีดยาวลงไปด้วย เพราะฉะนั้น...เวลาพวกเซียนเขาดูพระ เขาจะดูจุดที่เด่นที่สุดง่ายที่สุดก่อน ในเมื่อเด่นที่สุด ง่ายที่สุด ถ้าไม่ใช่ก็วางคืนเลย ไม่แลแล้ว
แต่ว่าหลวงปู่สมเด็จวัดระฆังท่านให้พรไว้ว่า พระของท่านจะแท้จะเทียม ถ้านึกถึงท่านก็มีอานุภาพเท่ากันหมด คุณจะไปกังวลอะไรในเมื่อท่านให้พรเสียขนาดนี้ ไอ้พวกที่พกพระของท่านไว้ แต่ไม่เคยนึกถึงท่านเลยก็เจ๊งเท่านั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 21:12 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราเมืองเราแม้ได้รัฐธรรมนูญมาแล้วก็ยังต้องรอกฎหมายลูก ยังต้องรอระยะเวลาในการเลือกตั้ง ฝ่ายที่อยู่ในอำนาจก็ไม่อยากจะปล่อยมือ เพราะรู้ว่าเลือกตั้งเมื่อไรฝ่ายตัวเองก็แพ้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านึกฉลาดอะไร มาห้ามนั่งรถกระบะ รถกระบะเป็นรถคนจน บางหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านมีรถคันเดียว ไปไหนทั้งหมู่บ้านก็รวมตัวกันไป แบบนั้นไม่นั่งกระบะแล้วจะให้นั่งอะไร ?
ถ้าโยมไม่เคยเห็น อาตมาอธิบายให้ฟังว่า ซื้อของเต็มรถกระบะแล้วยังนั่งไปอีก ๑๙ คน อาตมาเป็นพระไม่มีที่นั่ง ต้องนั่งบนหลังคา..! แต่ดีกว่าเดินเป็นวัน ๆ ไม่มีใครอยากเอาชีวิตไปทิ้งหรอก เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของอุบัติเหตุแล้ว ทุกคนก็พยายามระมัดระวังเต็มที่ อาตมายืนยันว่าคนจนรักชีวิตมากกว่าคนรวย คนรวยไม่พอใจก็ฆ่าตัวตายประชดชีวิต คนจนนะหรือ...ยาก คนจนถ้าจะฆ่าก็ฆ่าคนอื่น..! เพราะฉะนั้น...อะไรก็ตามที่ไปแหย่จุดชีวิตของคนจนนี่ รัฐบาลจะเดือดร้อนเองทีหลัง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2017 เมื่อ 17:54 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
"ในเมื่อบ้านเรายังเอาดีไม่ได้ การค้าขายการลงทุนต่าง ๆ สลบซบเซา เพราะว่าสภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ออก เหลืออย่างเดียวที่พอจะอยู่ได้ ก็คือในเรื่องของการท่องเที่ยว แต่ปรากฏว่าภาคใต้ก็วางระเบิดบ้าง เผาเสาไฟบ้างให้ยุ่งไปหมด แล้วนักท่องเที่ยวที่ไหนจะมา ?
ไม่รีบคืนประชาธิปไตยให้ โอกาสที่บ้านเมืองจะไปได้นี่ยาก รีบคืนประชาธิปไตยให้คนทำก็กลัวเสียของ ซึ่งความจริงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อทำมาก็อยากจะรู้ว่ามีฝีมือแค่ไหน ปรากฏว่าอยู่ในลักษณะของคนดูมวย อยู่ข้างเวทีนี่เก่งทุกอย่าง พอขึ้นเวทีเองก็โดนถลุงน่วมเหมือนกัน ในเรื่องนี้ก็รักษาตัวกันเอาเอง ใครมีวัตถุมงคลอะไรที่ตัวเองมั่นใจให้อาราธนาติดตัวไว้ สวดมนต์ภาวนาเช้าเย็นไว้ทุกวัน อยู่ที่ไหนจะได้ปลอดภัย ถึงแม้ว่าคนจนเราราคาชีวิตในสายตาคนรวยจะมีน้อย เราก็รักชีวิตของเรา เพราะว่าทุกชีวิตเกิดมามีโอกาสบรรลุมรรคผล ถ้าหากว่าตายเสียก่อนที่จะได้มรรคได้ผล ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เนื่องจากว่าการเกิดใหม่ไม่แน่ว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่ ? ขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ให้ตัวเราและคนที่เรารัก อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ส่วนที่เหลือถ้าไม่ใช่ผู้มีอันจะกิน ก็มีอันกินอันไปก่อนแล้วกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2017 เมื่อ 17:55 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเป่ายันต์ฯ อาตมานั่งรับสังฆทานได้ ๑.๕ ล้านบาท เจองานฝ้าดาวเพดาน สาหร่ายรวงผึ้งและกำแพงแก้วเข้าไป ๒ ล้านกว่าบาท เจองานงวดหุ้มทองพระเจดีย์ไป ๑.๔ ล้านกว่าบาท เจองานมณฑปของช่างประเกิดไปอีก ๙.๖ แสนบาท เจริญมากเลย สรุปว่ารับสังฆทานรับมาล้านกว่า จ่ายไปเกือบ ๕ ล้านบาท แล้วอาตมาก็จ่ายอย่างนี้ทุกเดือน ไม่รู้ว่าเอาที่ไหนมาจ่ายเหมือนกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2017 เมื่อ 17:57 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ฝนฟ้าก็ไม่ปกติ การเดินทางก็ไม่ปกติ พระครูหน่อยท่านบอกว่ามาช้าเพราะว่าต้องรอรถตู้ เนื่องจากว่าบังคับคาดเข็มขัดทุกที่นั่งไม่พอ ยังบังคับด้วยว่าแต่ละคันห้ามเกินกี่คน รถยิ่งมีน้อย ๆ อยู่ด้วย
ปกติรถตู้นี่นั่งเต็มที่ได้ ๑๓ ที่นั่ง...ใช่ไหม ? ตอนอาตมาเป็นฆราวาสเคยนั่ง ๒๐ ที่นั่ง แม้กระทั่งฝาท้ายยังยัดเข้าไป ๔ คน นั่งแล้วก็เอาเท้าสลับกันเป็นฟันปลา เพราะว่าช่วงตรุษจีนหารถไม่ได้ ก็ยัดกันไปอย่างนั้นแหละ พูดง่าย ๆ ว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่มีใครรังเกียจหรอก เพราะต่างคนต่างก็อยากไป สมัยนี้รัฐบาลบังคับเพราะเห็นแก่ความปลอดภัยของคน โดยไม่ได้ดูความเดือดร้อนของคนบ้าง ต้องบอกว่าในหลวง ร.๙ ของเราเป็นเซียนที่สำเร็จหลักธรรมแบบเต๋าอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่พระองค์ท่านนับถือศาสนาพุทธนี่แหละ เพราะว่าเรื่องของการบรรลุธรรม ถ้าเข้าถึงแล้วก็เหมือนกันหมด หลักธรรมแบบเต๋าท่านบอกว่า “ปกครองแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล เหมือนกับทอดปลาในกระทะเล็ก” ต้องระมัดระวังทำอย่างไรจะออกมาให้สุกพอดิบพอดีโดยที่ปลาไม่ไหม้เสียก่อน สังเกตไหมว่าในหลวง ร.๙ ของเราทำอะไรพอเหมาะพอดีพอควรไปหมด แม้กระทั่งบ้านเมืองที่เดือดร้อนวุ่นวาย พระองค์ท่านจะปรากฏพระองค์มาในเวลาที่พอดีที่สุด แล้วก็ห้ามทัพทุกอย่างให้หยุดลงได้ แต่ถ้าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม พระองค์ท่านจะไม่ขยับเลย ตลอดระยะเวลาครองราชย์ ๗๐ ปี เรื่องใหญ่เรื่องเล็กแค่ไหน พระองค์ท่านจัดการได้พอเหมาะพอดีหมด นั่นก็คือการทอดปลาด้วยความระมัดระวัง ไม่ดิบแล้วก็ไม่ไหม้ ออกมาพอเหมาะพอดีที่สุด ปัจจุบันนี้ ม. ๔๔ ทำเอาปลาไหม้เป็นถ่านเลย...!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2017 เมื่อ 17:59 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรพบุรุษของเราตั้งกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง เพราะว่าฟ้าฝนบริบูรณ์ แม้กระทั่งสนามหลวงสมัยก่อนก็คือนาของพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องทำนาเหมือนกัน สมัยนี้เปลี่ยนจากการทำนาทำสวนมาเป็นปลูกตึก แต่ฝนฟ้ายังบริบูรณ์เหมือนเดิม น้ำก็เลยท่วม คนสมัยใหม่ไม่ค่อยได้ดูทิศดูทาง ต่อไปถ้าใครจะอยู่ในกรุงเทพฯ ให้เตรียมแพเตรียมเรือไว้เลย
สมัยอาตมายังเป็นวัยรุ่น อายุ ๑๐ กว่าขวบ บ้านยายที่สามแยกไฟฉาย ยาวตลอดไปถึงบ้านน้าที่ตลาดพลู มีแต่ท้องร่องเรือกสวนไร่นา ส่วนใหญ่เป็นสวนหมาก สวนพลู สวนทุเรียน สวนมังคุด บางแห่งก็มีสวนลิ้นจี่ พอมาพัฒนาบ้านเมืองเจริญขึ้น สวนก็หายหมด เด็กบ้านนอกอย่างอาตมาที่หากินกับท้องร่องสวนก็เลยหากินไม่ได้ ปกติเวลาไปบ้านยาย อาตมามีอาชีพถือปืนไล่ยิงลูกฟักข้าว เพราะฟักข้าวขึ้นอยู่ตามต้นไม้ในสวน เวลาสุกก็สีเหลืองส้มบ้าง สีแดงบ้าง เป็นเป้าสะดุดตา เอาไว้ซ้อมมือ ถ้าวันไหนขี้เกียจก็เปิดหน้าต่างออกไป แล้วก็ยิงเอา ปรากฏว่าเป็นทหาร ๑ ปี กลับไปเยี่ยมยาย ถือปืนเปิดหน้าต่างออกไปกลายเป็นตึกแถว ...(หัวเราะ)...."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2017 เมื่อ 21:36 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
"สมัยนั้นถนนตลิ่งชัน-พุทธมณฑลเพิ่งจะเริ่มตัด ผ่าไปกลางสวนไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยขนัด กว่าจะไปถึงนครชัยศรี
ตอนนั้นจะเดินทางไปนครปฐมต้องปัสสาวะเสียแต่เนิ่น ๆ เพราะออกจากบางขุนนนท์ไปแล้วไม่มีปั๊มน้ำมันเลย เนื่องจากถนนเพิ่งจะตัดใหม่ บ้านก็เป็นเรือกสวนไร่นา ไม่มีตึกแถว กว่าจะมีปั๊มน้ำมันให้แวะเข้าห้องน้ำได้ก็ต้องไปถึงนครชัยศรี สมัยนี้กรุงเทพฯ ธนบุรี นครปฐม ติดกันเป็นจังหวัดเดียวหมด แยกกันไม่ออกว่าตรงไหนเป็นตรงไหน ช่วงนั้นถ้าวิ่งสายเก่าเพชรเกษมจะตรงเข้ามาทางบางไผ่ บางแค แล้วก็มาเลี้ยวที่สามแยกท่าพระ ถึงจะตรงมาทางด้านสามแยกไฟฉาย ถ้ายังไม่ถึงบางแคนี่ อย่าหวังเลยว่าจะได้เจอบ้านเรือนผู้คน เพราะส่วนใหญ่ที่วิ่งผ่านก็คือท้องนา มีบ้านไกล ๆ หลังหนึ่ง วัดท่าตำหนักก็ดี วัดบางแก้วก็ดี วัดเทียนดัดก็ดี อยู่กลางนาทั้งนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2017 เมื่อ 21:37 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
"อาตมาได้เห็นบ้านเมืองโตเร็วจนเกินไป โตเร็วจนแม้กระทั่งกาญจนบุรีที่อาตมาอยู่ ปี ๒๕๒๑ ถ้าไปกาญจนบุรีจะขึ้นไปศรีสวัสดิ์หรือไทรโยค จะต้องผ่านค่าย ตชด.พระพุทธยอดฟ้า ก็เป็นทางลูกรัง มีไม้ไผ่ทาสีขาวแดงขวางถนนเป็นด่านตรวจอยู่ ปัจจุบันค่ายพระพุทธยอดฟ้าอยู่กลางเมือง..! ขยายออกไปไม่ได้ ก็เลยต้องไปสร้างค่าย ตชด.ใหม่ที่บ้านหนองขาว
ก่อนหน้านั้นทางนนทบุรีของเรามีชื่อเสียงทางทุเรียน แม้กระทั่งปัจจุบันทุเรียนที่ได้รับความเชื่อถือและราคาแพงมากก็ยังเป็นทุเรียนนนทบุรีอยู่ แต่เหลือสวนทุเรียนอยู่แค่ไม่กี่ขนัด คนปลูกตายหมดแล้ว มีแต่ลูกหลานเสวยสุข สมัยคุณย่าคุณยายปลูกทุเรียนนี่ขอกันกิน สมัยนี้ได้ยินว่าลูกละห้าพันบาท..! เรื่องผลไม้มีชื่อสำคัญตรงพื้นดิน ถ้าพื้นดินมีแร่ธาตุเหมาะกับผลไม้ชนิดนั้น ๆ รสจะดีเป็นพิเศษ อย่างสมัยก่อนกรุงเทพฯ ก็มีลิ้นจี่ที่ตรอกจันทร์ สมัยนี้ใครจะไปเชื่อว่าตรอกจันทร์เคยเป็นสวนลิ้นจี่ เดี๋ยวนี้จะกินลิ้นจี่ต้องขึ้นไปเชียงรายเชียงใหม่ จะกินส้มก็ต้องไปเชียงใหม่เหมือนกัน หรือถ้าจะเอาอย่างใกล้ ๆ ก็แถวนครนายก ถ้าไม่รีบเก็บก็แล้วไป ถ้ารีบเก็บรสชาติก็ไม่เอาไหนเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้สับปะรดศรีราชามีชื่อเสียงมาก เดี๋ยวนี้สับปะรดต้องไปทางหนองหอย เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ แตงโมรังสิต ตอนนี้แตงโมมีทั่วประเทศไทย บริษัทเจียไต๋นำไปเอง ตอนนี้รังสิตไม่มีแตงโมแล้ว วิ่งผ่านไปเหลือแต่หนูย่าง บางที่ก็มีวงเล็บ (มีงูเห่าด้วย) ตั้งเพิงขายกันข้างทาง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2017 เมื่อ 05:08 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
"ทุเรียนเมืองนนท์ไปดังที่จันทบุรี เปลี่ยนจากหมอนทอง ก้านยาว ชะนี ไปเน้นที่หมอนทองเพราะฝรั่งชอบ เนื้อเยอะ พัฒนาไปจนเป็นพวงมณี ปัจจุบันไปดังทางอุตรดิตถ์ พันธุ์หลงลับแล อร่อยขนาดไหนถ้าแพงอย่างนั้นก็อย่าไปกินเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2017 เมื่อ 05:08 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีโยมมาทางบ้านหมี่ ลพบุรี ถามว่ารู้จักคุณวีรวิทย์ไหม เขาบอกว่าไม่รู้จัก
ลพบุรีเป็นเมืองสำคัญแต่โบราณ อาณาจักรละโว้คือลพบุรี อาณาจักรละโว้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดทางล้านนาซึ่งสมัยนั้นถือว่ายิ่งใหญ่ทางภาคเหนือ ต้องขอตัวพระราชธิดาจากละโว้ คือ เจ้าหญิงจามเทวี ขึ้นไปครองเมืองหริภุญไชย เราลองนึกว่าในบันทึกโบราณ โดยเฉพาะของจีนเขาเข้าถึงอาณาจักรละโว้ได้โดยทางทะเล เราจะนึกออกไหมว่าลพบุรีเคยอยู่ใกล้ทะเลมาก่อน ? ในสมัยพระโสณเถระกับพระอุตรเถระ ประมาณ พ.ศ. ๓๒๕ เอาพระไตรปิฎกจากกรุงปาฏลีบุตร หรือประเทศอินเดียในสมัยนั้นมาสุวรรณภูมิ มาขึ้นจากเรือที่นครปฐม พอขึ้นจากเรือที่นครปฐมก็เลยสร้างพระปฐมเจดีย์ไว้เป็นหลักฐาน ปัจจุบันนี้ทะเลอยู่ตรงไหน ? ยืดยาวไปถึงชะอำเพชรบุรีแล้ว แผ่นดินคงงอกขึ้นมาหรือไม่ก็ทะเลตื้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2017 เมื่อ 05:10 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|