|
ซัวสะเดย..เนียงลออ ซัวสะเดย..เนียงลออ โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
ซัวสะเดย..เนียงลออ ตอนที่ ๔
มารับ "มัดจำ" ไว้ก่อน ช่วงบ่ายค่อยมาเที่ยวกัน คุณราญนำรถวิ่งผ่านป่าที่สมบูรณ์มีต้นไม้สูงสล้างไปไม่นาน ก็จอดชิดขวาข้างทางที่มีร้านขายของที่ระลึกเป็นเพิงมุงหญ้าคาเป็นแถวยาว พวกเราลงมาได้ก็โฉบเข้าไปดูของกันตามสัญชาตญาณ... คุณแสงชี้มือไปยังซุ้มโกปุระขนาดใหญ่มหึมา ที่อยู่ห่างออกไปเกือบครึ่งกิโลเมตร มีคูเมืองล้อมรอบ บนสะพานหินที่ข้ามคูเมืองนั้น เป็นรูปสลัก ยักษ์ยุดนาค ตอนกวนเกษียรสมุทร ถึงจะเก่าคร่ำคร่าก็ยังดูออกว่าสวยงามเพียงไร พลางบรรยายว่า... นั่นคือปราสาทบายอน (Bayon Temple) (คุณแสงออกเสียงแบบนี้จริงๆ พวกเราชินกับคำว่า บายน มากกว่า) ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามไม่แพ้ปราสาทนครวัด แต่ตอนนี้เลยเพลแล้ว ให้ทุกท่านถ่ายรูปเป็น มัดจำ ตรงนี้กันก่อน ตอนบ่ายเราค่อยมาชมกันนะครับ.. แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2014 เมื่อ 01:39 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วางมัดจำไม่ครบคน อาตมาเดินหลบรถที่วิ่งไปมาออกไปถึงกลางถนน ถ่ายรูปยักษ์ยุดนาคเต็มสะพานทั้งสองฝั่งเอาไว้ก่อน เมื่อเดินเข้าไปถ่ายรูประยะใกล้ จึงเห็นว่ายักษ์ที่ว่านั้นน่าจะเป็นเทวดา แต่เนื่องจากมายืนฉุดอยู่ด้านเศียรนาค อาตมาจึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยักษ์ ซ้ำยังฉุดนาคแบบพิสดาร คือหันหน้ามาทางเดียวกับเศียรนาคอีกด้วย ประหลาดดีเว้ย..? “ลองนึกถึง “ความงาม” โดยปล่อยวาง “ความจริง” แล้วท่านจะเข้าใจว่าทำไมช่างถึงได้แกะสลักแบบนี้..” มัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ตรัสขึ้น อือม์..ถ้าเอาสวยอย่างเดียวก็ใช่ แต่นี่พระองค์ท่านมาแย่งอาชีพคุณแสง ไม่กลัวโดนจับข้อหา “ไกด์เถื่อน” หรืออย่างไร ? จอมคนสรวล หึ..หึ.. ไม่สนพระทัยกับการ “กวนพระบาท” อาตมาจึงเรียกให้ทุกคนมาถ่ายรูปหมู่กันก่อน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-03-2014 เมื่อ 16:33 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
รับมัดจำแบบไม่กลัวรถชนตาย..! พี่วิไลมัวแต่เดินดูของที่ระลึก จึงมีแต่ป้ามอย แม่ป๋อม พี่มุกดา น้องเล็ก กับลูกปุ๊กเท่านั้นที่มาถ่ายรูปด้วย อาตมาเห็นในคูน้ำด้านซ้ายมีเรือสวย ๆ อยู่หลายลำ เมื่อเดินอ้อมลงไปหามุมถ่ายรูป จึงเห็นว่าเป็นเรือสำหรับรับนักท่องเที่ยวไปล่องรอบคูเมือง มีเรือหงส์ที่ดูเหมือนไก่ ๒ ลำ เรือที่ดูแล้วน่าจะเป็นเหรา แต่ดันมีงายาวเฟื้อย แถมยังมีโขนเรือเป็นรูปพระนารายณ์แผลงฤทธิ์อยู่ในพังพานพญานาคอีกด้วย... ที่ห่างไปไม่ไกลมีเรือหงส์ ๓ ลำกำลังพานักท่องเที่ยวล่องคูเมืองอยู่ อาตมาถ่ายรูปแล้วกลับขึ้นมา ส่งกล้องให้แม่ป๋อมช่วยถ่ายรูปอาตมาที่กลางถนน เพื่อให้ติดภาพด้านหน้าปราสาท “บายอน” ด้วย จากนั้นแม่ป๋อมกับลูกปุ๊กก็ไปยืนเย้ยฟ้าท้าดินอยู่กลางถนนบ้าง อาตมาถ่ายรูปไปพลางสังเกตว่า รถยนต์สามารถวิ่งตรงเข้าโกปุระไปเลย แบบนี้สักวันหนึ่งแรงสั่นสะเทือนอาจจะทำให้ซุ้มโกปุระพังถล่มลงมาก็ได้... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2014 เมื่อ 03:29 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
"บันแชว" หรือขนมเบื้องญวน หน้าตาเหมือนไข่ยัดไส้ “ขึ้นรถได้แล้วหลวงพี่..เดี๋ยวเลยเพลนะ..” พี่วิไลตะโกนมาจากบนรถ พวกเราจึงกลับขึ้นรถแต่โดยดี จอมคนแห่งกัมโพชไม่ยักขึ้นรถด้วย “หายพระเศียร” ไปไหนก็ไม่รู้ ? คุณราญพาวิ่งย้อนกลับมาทางปราสาทนครวัด เลี้ยวซ้ายย้อนทางเดิมเลียบคูเมือง พอเลยตัวปราสาทไปไม่ไกลก็ชะลอความเร็ว แล้วเลี้ยวซ้ายอีกทีลงทางดินแคบ ๆ มีขอบทางเป็นรั้วไม้สูงจากดินประมาณ ๑ ศอก ตรงเข้าไปด้านในที่มีสภาพเป็นป่า แต่ได้รับการปัดกวาดสะอาดสะอ้าน จากนั้นเสียบหัวรถเข้าไปทางขวา ที่เห็นมีกระต๊อบเปิดโล่งอยู่ริมห้วย ๓ – ๔ หลัง... คุณปัญญาที่นอนเล่นอยู่ในเปลสนามหน้ากระต๊อบ รีบวิ่งมาเปิดประตูรถให้ คุณอารีนิมนต์ “โลกไทย” ให้เข้าไปนั่งในกระต๊อบหลังที่สอง แล้วตะโกนเรียกให้ทางร้านยกอาหารมาได้ “เนียง (หญิงสาว)” สองคนในชุดพื้นเมือง ยกอาหารเดินตามกันมาจากตัวอาคารอีกด้านหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นโรงครัว จานแรกที่มาถึงอาตมาอยากจะเรียกว่า “ถาด” มากกว่า เพราะจานใหญ่มาก เป็นขนมเบื้องญวนที่เรียกว่า “บันแชว” พร้อมน้ำจิ้มและผักสดอีกถาดเบ้อเริ่ม... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2014 เมื่อ 18:06 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
สามหนุ่มสามมุม "ซีบาย (กินข้าว)" เป็นการใหญ่ คุณปัญญารับมาประเคนให้อาตมา ตามมาด้วยข้าวสวย ผัดเผ็ดหมูป่า ปลาช่อนเผาเกลือ เฮ้ย..ชักจะมากเกินไปแล้ว เผื่อลูกศิษย์ด้วยค่ะหลวงพี่ ไม่ได้บังคับว่าต้องฉันให้หมด ถึงพี่วิไลจะชี้แจงจุดประสงค์แล้วก็ตาม อาตมาก็ยังมองอาหารกองโตแบบไม่ทันฉันก็จะอิ่มแล้วอยู่ดี... พี่มุกดาเอาฝักบัวที่ซื้อมาตอนไหนก็ไม่รู้มาประเคนด้วย มีไก่ปิ้งทาเกลือพริกไทยลอยตามมาอีกชุด อาตมาตัก บันแชว มาสองแผ่น ราดน้ำจิ้มแล้วส่งที่เหลือให้คุณปัญญา หยิบผักในถาดมากำมือหนึ่ง ส่งที่เหลือตามไป คุณปัญญา คุณราญ คุณแสง ตั้งวงข้าง ๆ อาตมานั่นแหละ รับข้าวสวย ไก่ปิ้ง ปลาเผาและผัดเผ็ดหมูป่า ที่อาตมาตักมาอย่างละเล็กน้อยไปได้ ก็ลงมือเปิบกันอุตลุด... |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ระหัดวิดน้ำที่บ้านเราหาดูได้ยากมาก พี่วิไล พี่มุกดา ป้ามอย แม่ป๋อม น้องเล็ก ลูกปุ๊กและคุณอารี ไปตั้งวงอยู่กระต๊อบติดกัน รับอาหารที่ทางร้านส่งมาให้ไม่ขาดสาย ตั้งวงเปิบเป็นการใหญ่เหมือนกัน เยื้องจากกระต๊อบไปไม่ไกลมีระหัดวิดน้ำขนาดใหญ่ กำลังหมุนวิดน้ำในห้วยมาใส่ราง แล้วไหลไปลงถังซีเมนต์ แสดงว่าน้ำใช้แถวนี้ก็คือน้ำห้วยนั่นเอง มีเด็ก ๆ ๓ ๔ คน กระโดดน้ำเล่นกันอยู่ในห้วย... ใช้เวลาไม่กี่นาทีอาตมาก็กวาดอาหารลงท้องเรียบร้อย ไม่ อมตึ๊ก (ดื่มน้ำ) อีกด้วย เพราะชินกับการโดนฝึกมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นทหารอยู่ หยิบกล้องถ่ายรูปเดินหลีกสามหนุ่มที่กำลัง ชงัล (อร่อย) กับอาหารตรงหน้า เพื่อออกไปถ่ายรูประหัดวิดน้ำ แล้วไปถ่ายรูปป้ายตรงทางเข้า เห็นภาษาขอมที่อ่านออกไม่หมดมีคำว่า รุกขะ กัมพุชา อยู่ด้วย อ๋อ..ที่แท้เป็นหน่วยป่าไม้นี่เอง... |
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
มะม่วงกระล่อนของบ้านเรา เป็นของหวานของที่นี่ ได้รูปแล้วเดินกลับมาที่กระต๊อบ พอดีสาวน้อยสองนางเดินออกมาจากครัวของป่าไม้ ยกเอาไข่เจียวกับต้มยำปลาช่อนตามมาด้วย ไม่ทันแล้ว เนียง เอ๋ย..ยกเอาไปให้วงโน้นเถอะ แต่ ตุม สวาย (มะม่วงสุก) นั่นส่งมาได้เลย... มะม่วงขแมร์ที่ปอกมาเรียบร้อย ก็คือมะม่วงกระล่อนของบ้านเรานั่นเอง ซึ่งปกติของมะม่วงป่าประเภทนี้ก็คือ เมล็ดใหญ่ มีเนื้อนิดเดียว แต่ดันสี กลิ่น รส ดีเสียอีก จึงถือว่าคบไม่ได้ เพราะเหมือนกับไม่ตั้งใจจะให้กิน ใครที่มีนิสัย กระล่อน โปรดทราบว่าด้วยว่าเป็นแบบนี้ คือ หาความจริงใจกับใครไม่ได้ ขนาดเรื่องกินที่สำคัญเท่าชีวิตยังไม่ตั้งใจจะให้กินเลย..! |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
หมดปัญญาที่จะกินแล้ว ถึงไม่ตั้งใจจะให้กินแต่อาตมากลับตั้งใจกินจริง ๆ เกือบจะกลืนเปลือกที่รองจานลงไปด้วย เสร็จแล้วไปถ่ายรูปวงข้าวของสาว ๆ ทั้งเจ็ด ซึ่งพยายามจนหน้ามืดแล้วก็ยังไม่สามารถที่จะกำจัดอาหารได้หมด โดยเฉพาะไข่เจียวที่แทบจะไม่มีใครแตะเลย เพราะมีคนจมูกดีได้กลิ่นว่าเขาหยอดน้ำปลาร้ามาด้วย น่าเสียดาย..ต้องบอกว่าไม่รู้จักของดี สาวอีสานที่สวยบาดใจทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะกินปลาร้านี่แหละ..! ในที่สุดสโนว์ไวท์ทั้ง ๗ ก็ต้องยอมแพ้แต่โดยดี เรียกให้ทางร้านมาคิดเงิน พร้อมกับดอลลาร์บินออกจากกระเป๋าพี่วิไลไป ๗๘.๔๐ ดอลลาร์ เพราะเขาคิดเป็นเงินขแมร์มาสามแสนกว่าเรียล แต่พี่วิไลจ่ายให้เป็นเงินดอลลาร์ ซึ่งกลายเป็นจ่ายถูกกว่าเงินเขมร ขนาดนั้นเฉลี่ยแล้ว ๑๑ คนรวมทั้งอาตมาด้วย เจอไปคนละเกือบ ๒๒๐ บาท ถือว่าอาหารมื้อนี้แพงทีเดียว... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2014 เมื่อ 19:29 |
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
กินอิ่มนอนผึ่งพุงกันแล้วก็เดินทางต่อ ไหน ๆ ก็จ่ายแพงแล้ว คุณอารีจึงให้เขาตักอาหารที่เหลือใส่ถุงกลับไปด้วย อาตมาท้วงว่าทำไมไม่ให้เด็ก ๆ ที่เล่นน้ำไปเลย อ๋อ..อารีกับคณะเอาไว้กินตอนเย็นกันค่ะ เกือบไปแล้ว..พวกเราเคยชินกับการไม่กินข้าวเย็น ลืมไปว่าคนอื่นเขากินกัน มิหนำซ้ำถ้าเหนื่อยมากก็กินมากกว่าปกติอีกด้วย ขืนให้อดข้าวเย็นตามพวกเรา ก็คงยอมมาด้วยกันครั้งนี้ครั้งเดียวแหละ..! เห็นสามหนุ่มนอนเขลงหลังอาหารอาตมาก็รู้ท่า จึงนอนแผ่แต่แอบภาวนาในใจบ้าง พ่อเจ้าประคุณ เจ้าของที่ ไม่รู้ไป มุดพระเศียร อยู่ที่ไหน ? จึงภาวนาฟังเสียงวงโน้น โม้กระจาย ส่งเสียงหัวเราะกันคิกคักอย่างกับเมากัญชา จนพอสมควรแก่เวลาอาตมาก็ลุกขึ้น เรียกทุกคนให้ขึ้นรถ บรรดาสาว (แก่) พากันขึ้นรถแบบกระฉับกระเฉง ขณะที่สามหนุ่มทำท่ายืดยาดแบบยังไม่อยากจะลุก คุณปัญญาบิดขี้เกียจจนพุงปลิ้น ก่อนที่จะเดินตามคุณแสงไปขึ้นรถตู้... |
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ปลัก..เอ๊ย..สระสรง เป็นสระน้ำสมัยโบราณ คุณราญนำรถออกวิ่งยาวขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ข้ามแม่น้ำเล็ก ๆ สายหนึ่ง คุณแสงบอกว่าชื่อแม่น้ำสตรึงเสียมเรียบ (Strung Siemreap) ไปตามถนนสาย ๑๐๕ ผ่านปราสาทหินซึ่งไม่ใหญ่นักหลายหลัง ที่พอมีชื่อเสียงคุ้นหูพวกเราก็คือปราสาทบั้นท้ายกะเทย เอ๊ย..บันทายกะเดย (Banteay Kdei) แต่พวกเราวิ่งเลยไป พอเลี้ยวขวาไปทิศตะวันออกเต็ม ๆ ได้ไม่ไกล ทางขวามือก็เป็นสระน้ำขนาดใหญ่โตมโหฬารชื่อ สระสรง (Srah srang) คุณแสงบรรยายว่าเป็น บาราย (Baray สระเก็บน้ำ) สมัยโบราณ มีความกว้าง ๓๕๐ เมตร ยาวตั้ง ๗๐๐ เมตร... ที่ชื่อว่าสระสรงเพราะว่าสมัยก่อนเป็นที่อาบน้ำของบรรดานางสนมกำนัล ๗๐๐ นางของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ฮ่า..ฮ่า.. หาความสำรวมไม่ได้เลย.. ท่านผู้ถูกพาดพิง โผล่พระเศียร มาถึง ก็เอ่ยโอษฐ์ตำหนิอาตมาเข้าเต็ม ๆ ก็มันขำนี่หว่า..ให้สาว ๆ ๗๐๐ คนลงไปขัดขี้ไคล น้ำคงขุ่นคลั่กเป็นปลักควายไปเลย ดูท่าว่าไม่อาบจะดีกว่ามั้ง ? มิน่าล่ะ..ที่พระองค์ท่านหนีเข้าวัดทรงปฏิบัติธรรมบ่อย ๆ คงเป็นเพราะเห็นสาว ๆ ลงปลัก เอ๊ย..ลงสรงนี่เอง... |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ปราสาทแปรรูป (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) เลยไปอีกนิดเดียว คุณแสงชี้ให้ดูปราสาทหลังใหญ่โตทางซ้ายมือ บอกว่าเป็นที่ปลงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ จึงได้ชื่อว่า ปราสาทแปรรูป (Pre Roup) พอคุณราญเลี้ยวซ้ายไปตามถนน ก็เห็นภาพมุมกว้างขององค์ปราสาทขนาดใหญ่ มีรถทัศนาจรจอดอยู่หลายคัน บรรดานักท่องเที่ยวกำลังปีนขึ้นบันไดไปชมองค์ปราสาทกันอยู่ มัคคุเทศก์ถามว่าพวกเราจะหยุดถ่ายรูปกันก่อนไหม ? อาตมาตัดสินใจว่า ถ้าหยุดเพื่อถ่ายรูปอย่างเดียวก็ไม่ต้องหรอก ไปเลยดีกว่า... มีรถโมบายยูนิตคันหนึ่ง ดูท่าว่าเป็นของสถานีโทรทัศน์ที่ไหนสักแห่ง ที่มาถ่ายทอดการประชุม อาเสียน วิ่งนำหน้าพวกเรามาตลอด แสดงว่ามาเที่ยวหลังงานเป็นกำไรชีวิต พวกเขาเลี้ยวเข้าไปยังปราสาทแปรรูป ส่วนพวกเราวิ่งต่อไปข้างหน้า... |
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
เสาหลักสัญลักษณ์มรดกโลก ตัวปราสาทอยู่ทางขวามือ เส้นทางตรงขึ้นเหนือไปไม่ไกล ก็มีร้านขายของที่ระลึกตั้งเป็นแถวยาวเหยียด เมื่อมาถึงสามแยก พลขับพารถเลี้ยวขวามุ่งตะวันออกตรง ๆ ทางช่วงนี้ค่อนข้างแคบ วิ่งผ่านหมู่บ้านที่มีของที่ระลึกแขวนขายไว้แทบทุกบ้าน ไปได้อีกไม่กี่กิโลเมตรก็เลี้ยวซ้ายขึ้นเหนือ ช่วงนี้เป็นป่าที่มีต้นไม้ที่ไม่ค่อยใหญ่นัก แต่ขึ้นเบียดเสียดกันค่อนข้างทึบ มีบ้านโผล่มาสลับฉากเป็นระยะไป... ระยะทางนับว่าไกลไม่น้อยเลย เพราะวิ่งออกจากร้านอาหารมาได้ ๔๕ นาทีแล้ว ทางช่วงนี้เปลี่ยนจากลาดยางมาเป็นลูกรังบดอัด ทางซ้ายมือมีป้ายบอกระยะทางว่า ไปรเวง ๑๐๘ ก.ม. คุณราญพารถวิ่งผ่านเสาหินที่มีเครื่องหมายมรดกโลก จอดบริเวณใกล้ต้นยางขนาดใหญ่ คุณแสงบอกว่า ถึงแล้วครับ ขอเชิญทุกท่านลงไปชมปราสาทบันทายศรี หรือปราสาทบันทายสตรี ที่สวยที่สุดในบรรดาปราสาทหินทั้งหมด นั่นแน่..ราคาคุยหรือเปล่า..? |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
สองข้างทางเข้าตัวปราสาทเป็นสระน้ำ ปราสาทบั้นท้ายสตรี เอ๊ย..บันทายศรี (Banteay Srey) หรือที่ภาษาเขมรออกเสียงว่า บันเทียสะเรย เป็นปราสาทหินเล็ก ๆ มีรั้วเตี้ย ๆ ทางเดินเข้าปราสาทเป็นดินลูกรังมีศิลาแลงปูอยู่ตรงกลาง ทั้งสองข้างทางเป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นัก คงเป็นแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ในสมัยก่อน แต่ตอนนี้มีน้ำอยู่หน่อยเดียว นักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งและเอเชียกำลังถ่ายรูปและเดินเข้าไปชมปราสาทกันเป็นกลุ่ม ๆ... ริมสระน้ำด้านซ้ายเป็นดงต้นยางสูงใหญ่ เมื่อกลุ่มฝรั่งช่างเที่ยวเดินลับประตูรั้วเข้าไป อาตมาก็แยกตัวไปถ่ายรูปมุมกว้างของปราสาทเอาไว้ก่อน แล้วค่อยเดินตามพวกเราเข้าไป คุณแสงบรรยายว่า ปราสาทบันทายศรีได้ชื่อนี้เพราะว่าเป็นปราสาทขนาดเล็ก แต่มีความสวยงามมาก เปรียบเหมือนกับหญิงงาม จนได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าปราสาทบันทายสตรี... ปราสาทแห่งนี้สร้างโดยพราหมณ์ปุโรหิต ผู้สำเร็จราชการในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๕ เนื่องจากผู้สร้างเป็นเพียงปุโรหิต ปราสาทแห่งนี้จึงไม่มีฐานสูงใหญ่เหมือนกับหลังอื่นๆ ต้องทำแบบ ต่ำเตี้ยติดดิน จะได้ไม่เป็นการแข่งบารมีกับองค์กษัตริย์ แต่ก็ชดเชยด้วยการสร้างจากหินทรายสีชมพูซึ่งหายาก และฝีมือแกะสลักที่สวยงามละเอียดยิบ... |
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ภาพถ่ายมุมกว้างของปราสาทบันทายศรี ยุคนั้นมีการ คาน กันระหว่างศาสนา ถ้าพระมหากษัตริย์นับถือศาสนาพราหมณ์ จะต้องตั้งปุโรหิตที่ปรึกษาราชการซึ่งนับถือศาสนาพุทธ ถ้าพระมหากษัตริย์นับถือศาสนาพุทธ จะต้องตั้งปุโรหิตที่ปรึกษาราชการซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์ ยัชญวราหะพราหมณ์ นับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย จึงสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นมาเพื่อบูชาพระศิวะ... อือม์..รู้สึกว่าข้อมูลของ มัคคุเทศก์เถื่อน จะลงลึกมากกว่ามัคคุเทศก์ตัวจริงตั้งเยอะ... |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ทวารบาลคู่นี้เพิ่งเพิ่มเติมเข้าไปแบบสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อถึงด้านหน้าซุ้มประตูซึ่งเสาทางซ้ายมือมีไม้ดามเอาไว้ อาตมาถ่ายรูปป้ามอยกับลูกปุ๊กที่ยืนเป็นรูปปั้นประดับซุ้ม แล้วเดินตามนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เข้าไปหากลุ่มของพวกเราด้านใน เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าไป ทางเดินยังคงเป็นลูกรังปูด้วยศิลาแลง สองฟากมีเสามากมายที่น่าจะเคยเป็นโครงสร้างของหลังคาคลุมทางเดิน ที่ติดทางเดินเป็นเสาหินหน้าตาเหมือนศิวลึงค์เรียงเป็นแถว ... “เสาพวกนี้เหมือนกับผู้หญิงยืนเรียงเป็นแถว จึงเรียกว่า “เสานางเรียง” แต่ว่าการใช้ประโยชน์จริง ๆ คือใช้เป็นที่ผูกม้าครับ” มัคคุเทศก์ทำหน้าที่ต่อไปอย่างแข็งขัน แต่ค่อนข้างจะน่าสงสารเพราะลูกค้าสนใจแต่จะถ่ายรูปเท่านั้น... |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
หน้าบันที่สลักเสลาดุจมีชีวิตชีวา (ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต) เดินไปตามทางน่าจะประมาณ ๓๐ เมตร สองข้างทางเป็นสนามหญ้าที่ตัดเรียบสะอาดตา มีแนวสิ่งก่อสร้างจากศิลาแลงที่ปรักหักพังไปแล้ว ตัวปราสาทบันทายศรีอยู่บนฐานต่ำ ๆ ในรั้วเตี้ย ๆ ตรงกลาง เป็นลักษณะแบบ “ปรางค์สามพี่น้อง” สร้างจากหินทรายสีชมพูที่แกะสลักละเอียดยิบ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าสลักมาจากหิน ลวดลายทั้งที่ซุ้มหน้าบันและทับหลัง ในส่วนที่เป็นลายก้านขดแทบจะพลิ้วสะบัดไปตามลม..! ฯลฯ...เพ่งภาพตลอดตละผนัง ก็มะลังมะเลืองสี ยิ่งดูก็เด่นประดุจะมี ชิวะแม้นกมลครอง ภาพเทพพนมวิจิตระยิ่ง นรสิงหะลำพอง ครุฑยุดภุชงค์วิยะผยอง และเผยอขยับผัน ลวดลายระบายระบุกระหนาบ กระแหนะภาพกระหนกพัน แผ่เกี่ยวผกาบุษปะวัล ลิและวางระหว่างเนือง..ฯลฯ ดูท่ามีแต่วสันตดิลกฉันท์ของมหากวี “ชิต บุรทัต” ที่บรรยายถึงลักษณะลวดลายปราสาทของพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งนครราชคฤห์ ซึ่งงดงามทั้งฉันทลักษณ์และถ้อยคำเท่านั้น ที่พอจะบรรยายถึงความงามของปราสาทบันทายศรีแห่งนี้ได้ เรียกว่าสวยสมราคาคุยจริง ๆ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2014 เมื่อ 07:07 |
สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ภาพปราสาทบันทายศรีในระยะใกล้ เนื่องจากมีเสาไม้ปักเป็นหลักและขึงเชือกกั้นเอาไว้ ทำให้พวกเราไม่สามารถที่จะเข้าไปถ่ายรูปองค์ปราสาทอย่างใกล้ชิดได้ อาตมาจึงใช้ซูมจากกล้องดึงภาพเข้ามาใกล้ แล้วถ่ายแต่ละรูปตามที่คุณแสงชี้ให้ ไม่ว่าจะเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ โคนนทิ ศิวนาฏราช ตลอดจนบานประตู เสา ลูกกรง ฯลฯ ที่ลวดลายละเอียดงดงามยิ่งนัก แต่คุณภาพของรูปคงออกมาไม่ดี เพราะมีหลายจังหวะที่โฟกัสของกล้องไม่ยอมทำงาน โดยขึ้นเป็นตารางสีฟ้าแทนที่จะเป็นสีเขียว... เมื่อถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็เดินตามกันออกไปทางซุ้มประตูด้านหลัง ที่มีเสียงดนตรีดังมาเหมือนกับ “ฯลฯ..มโหรีปี่กลองจะก้องกึก จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์..ฯลฯ” อย่างที่สุนทรภู่ว่าเอาไว้ในนิราศพระบาท พอพ้นกำแพงศิลาแลงออกไปก็เห็นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีแคร่ไม้จริงปูด้วยผ้าพลาสติกสีเขียว มีวงดนตรีกำลังบรรเลงอยู่... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2014 เมื่อ 08:38 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
วงดนตรีคนตาบอด แต่บอดไม่หมดทุกคน พอเข้าไปใกล้จึงเห็นว่า ในบรรดานักดนตรีที่ใส่เสื้อสีแดงเหมือนเสื้อพระราชทานของเราทั้งหกคนนั้น มีคนตาบอดที่คอยตีกลองโทนกับตีฉิ่งอยู่ด้วย ที่เหลือมีดีดจะเข้ สีซออู้ และตีขิม ที่สุดยอดคือคนตรงกลาง เพราะเป่าใบไม้เป็นเสียงดนตรีได้ไพเราะเพราะพริ้งทีเดียว ตรงหน้ามีพานสำหรับให้คนบริจาคเงิน และมีแผ่นซีดีเสียงดนตรีจำหน่ายด้วย... อาตมาควักเงิน ๕,๐๐๐ เรียลหย่อนใส่พานให้ คนเป่าใบไม้หยุดเป่าพลางบอกว่า เพลงต่อไปนี้เล่นถวาย โลกไทย ด้วยความเคารพ นั่น..รู้ว่าตูเป็นพระไทยอีกด้วย บ้านท่านมีสำนวนว่า "ตาบอดสอดตาเห็น" มิใช่หรือ ?" โผล่พระเศียรมาก็เอาเลย เขาเรียกว่า ไม่ดูตาม้าตาเรือ ต่างหาก เพราะคนเป่าใบไม้เขาตาดีเว้ย..! |
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ถ้าติดคุกเขมรก็เพราะรูปนี้แหละ..! มัวแต่ทะเลาะกับ “ผี” เขาเล่นเพลงกันไปเกือบจบแล้ว ขาดทุนเลยตู..! พอเพลงจบอาตมาก็บอกลา เดินขึ้นไปกำแพงศิลาแลง เพื่อหามุมถ่ายรูปตัวปราสาท เมื่อมาอยู่บนกำแพงจึงเห็นว่า รอบรั้วทั้งชั้นนอกชั้นในที่เป็นสระน้ำนั้น ที่แท้เขาตั้งใจทำให้เป็น “มหานทีสีทันดร” ที่รายล้อมรอบจักรวาล มีองค์ปราสาทที่เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุอยู่ตรงกลางนั่นเอง... เดินหามุมถ่ายรูปบนกำแพงอยู่ ๒ – ๓ รอบ ลงมาถึงได้รู้ว่าโดนแม่ป๋อมถ่ายภาพ “เบื้องหลัง” ไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าถูกเขาจับติดคุกข้อหาทำลายมรดกโลก ก็เพราะหลักฐานที่กล้องของคุณแม่นี่แหละ เห็นคนอื่น ๆ ทยอยกันเดินย้อนกลับ อาตมาจึงตามไปบ้าง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2014 เมื่อ 19:37 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
รูปหมู่ที่ระลึกซึ่งบางคนต้องย่อตัวเพื่อให้เตี้ยลง มีเสียงเรียกร้องให้ถ่ายรูปหมู่กับองค์ปราสาท อาตมาจึงเป็นตากล้องให้ เพิ่งสังเกตว่า พี่วิไล แม่ป๋อม กับคุณอารี มีความสูงใกล้เคียงกัน ส่วนป้ามอย พี่มุกดา น้องเล็ก กับลูกปุ๊ก ล้วนแต่ เกิดหน้าน้ำน้อย กันทั้งนั้น ขนาดนั้นพี่วิไลยังต้องย่อเข่าลงไปหน่อย ถึงได้ไม่สูงจนผิดพวก เมื่อได้รูปที่ต้องการแล้ว ก็เดินอ้อมปรางค์สามพี่น้อง ย้อนกลับออกจากปราสาทในทางเดิม... มาถึงด้านนอก เมื่อผ่านร่องน้ำข้างทาง อาตมาสงสัยว่าฝูงปลาตอดอะไรกันอยู่หนุบหนับ พยายามเล็งอยู่เป็นนานถึงเห็นว่าเป็นเนื้อปลา ซึ่งน่าจะเป็นปลาหลดปิ้งท่อนหนึ่ง ไม่รู้ว่านักท่องเที่ยวคนไหนแทะจนเบื่อเลยทิ้งลงไปในน้ำ จึงได้เห็น ปลากินปลา แบบชัด ๆ ตอนนี้เอง... |
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|