กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 24-01-2014, 18:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องฟ้าผ่าเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือดินผ่าฟ้า ไม่ใช่ฟ้าผ่าลงดิน แต่เกิดจากโปรตอนในพื้นรวมกันมากขึ้น ๆ แล้ววิ่งขึ้นไปหาอิเล็กตรอนในอากาศเอง อาตมาเคยเจอคาตาอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าขนุน หน้าฝนพรรษานั้นน่าจะกลางพรรษาปี ๒๕๔๔ กำลังนั่งอบรมพระอยู่ คราวนี้มุมที่อาตมานั่งนั้นหันไปทางเจดีย์ ๘๔ พรรษาสมเด็จพระสังฆราช อยู่ ๆ เห็นประกายไฟจากฐานเจดีย์พุ่งขึ้นไป จนพระเจดีย์เป็นสีชมพูสว่างจ้าทั้งองค์เลย นั่นคือลักษณะของดินผ่าฟ้า ที่ทางด้านพม่าเรียกว่าอสูรยิงเทวดา กว่าจะหาจรวดพื้นดินยิงสู่อากาศได้คงจะยาก นาน ๆ ถึงจะเกิดที

ที่บ้านหนองบัวทางฝั่งพม่าก็มีต้นจามจุรีต้นหนึ่ง แตกตั้งแต่โคนยันยอดเลย ลักษณะที่โดนดินผ่าฟ้านี่แหละ พุ่งจากข้างล่างขึ้นข้างบนเลย แล้วก็แห้งตาย แต่ความจริงลักษณะนั้นเป็นวัตถุอาถรรพ์นะ เอามาแกะพระได้ แต่ว่าเขาคงไม่มีความรู้กัน

ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของดินผ่าฟ้านี่เกิดในทะเลเสียมาก บางทีเรียกกันว่าพรายทะเล คือแสงจะรวมกันสว่างขึ้น ๆ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ถ่อซึ่งเขาปักยึดเรือไว้ บางคนเขาคว้ามีดฟันถ่อขาด ก็ยังพุ่งสว่างขึ้นมาอีก ต้องรีบตัดเชือกปลดโซ่ แล้วก็รีบพายหนีสุดชีวิต เพราะเขาบอกว่าเดี๋ยวฟ้าจะฟาดลงตรงนั้น แต่เขาเรียกพรายทะเล ไม่รู้หรอกว่าเป็นโปรตอนมารวมกันแล้วก็พุ่งขึ้นไป


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องอาศัยสื่อ อย่างพระเจดีย์วัดท่าขนุนแกนในเป็นเหล็ก เขาสานเหล็กเป็นโครงทั้งองค์ก็เลยไม่เป็นไร วิ่งขึ้นไปบนยอด ถึงสายล่อฟ้าก็พุ่งขึ้นไปฟ้าได้ ถ้าอย่างต้นจามจุรีต้นนั้นไม่มีอะไรเป็นแกน อาศัยต้นเป็นแกน เลยรับแรงไฟฟ้าไม่ได้ พอน้ำในต้นเดือดก็ต้นแตกกระจายเลย พวกหาปลาสมัยก่อนที่ใช้เรือฉลอมจะเจอกันบ่อย

ถาม : ขวานฟ้าเป็นเหล็กมีไหมครับ ?
ตอบ : ขวานฟ้าเหล็กยังไม่เคยเจอเลย เคยเจอแต่ที่เป็นหิน ที่เป็นเหล็กน่าจะเป็นขวานสำริดของมนุษย์โบราณมากกว่า อาตมาก็ยังมีอยู่อันหนึ่ง หน้ากว้างเกือบฝ่ามือ ขวานสำริด สนิมเขียวทั้งอันเลย

สมัยที่หัดมวยกับครูเขตร์ ท่านบอกว่าถ้าหาได้เอามาพันไว้ในหลังหมัด ชกคู่ต่อสู้ทีเดียวรู้เรื่องกันไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 24-01-2014, 19:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอาจารย์พระมหาสุชาติ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ขออนุญาตสร้างเหรียญหลวงปู่สาย ๑๐๐ ปี ด้านหนึ่งเป็นหลวงพ่ออุตตมะ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปหลวงปู่สาย ของวัดท่าขนุนมีรูปเหรียญหลวงปู่สายคู่หลวงพ่ออุตตมะอยู่รุ่นหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นการดำเนินการสร้างโดยคุณสมใจ มาโนช"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 02:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 24-01-2014, 20:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนอาตมาฝึกมโนมยิทธิ หลวงพ่อวัดท่าซุงถามว่า “ดูซิ..แกเคยเป็นหมาหรือเปล่า?” โอ้โฮ..ฝูงเบ้อเริ่มเลย แล้วที่ตลกที่สุดก็คือ เคยไปเกิดเป็นหมาในนรกด้วย หมาพันธุ์นั้นนี่ถ้ามาอยู่บนโลกคนคงตกใจตาย ตัวใหญ่กว่าเจค็อบอีก รู้จักไหม..? เจค็อบในเรื่องทไวไลท์ เป็นหมาป่าที่สู้กับผีดิบ"

ถาม : แล้วทราบไหมครับ ว่าทำไมถึงเกิดเป็นหมาในนรก ?
ตอบ : ตอนนั้นไม่ได้ดู ดูอย่างเดียวว่าเคยเกิดเป็นหมาหรือเปล่า

เกิดเป็นหมาในนรกเหนื่อยอย่าบอกใครเลย เหมือนกับโดนตั้งโปรแกรมเอาไว้ว่า ถ้าเห็นสัตว์นรกต้องโดดใส่ไว้ก่อน เท่ากับไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนอยู่ตลอดเวลา เหนื่อยจะตายชัก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 25-01-2014, 12:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่ชื่อยาก อ่านยาก มีผลต่อชีวิตเขาไหมครับ ?
ตอบ : เพื่อนฝูงรังเกียจ เรียกแล้วไม่รู้แปลว่าอะไร

ถาม : ขอความเมตตาตั้งชื่อด้วยครับ
ตอบ : เสียเวลา..เรื่องของชื่ออย่าเอามาเป็นสาระในชีวิต พวกที่เปลี่ยนชื่อลองสังเกตดูสิ เพื่อนเขาเรียกชื่อใหม่เสียที่ไหน เห็นเรียกกันแต่ชื่อเก่า สังเกตว่าสมัยโบราณต้องเอาชื่อที่น่าเกลียดน่าชังเอาไว้ เพราะว่าผีจะได้ไม่รัก ขนาดสุดยอดวีรบุรุษของประเทศยังชื่อทองเหม็นเลย คนชื่อทองเหม็น ส่วนควายชื่อไพเราะเชียว ควายชื่อบุญเลิศ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 25-01-2014, 12:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พุทธภูมิที่บารมีเฉียด ๆ ปรมัตถ์ คำอธิษฐานพอจะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่อุปบารมีขั้นปลายเริ่มมีผลแล้ว ต้องบอกว่ามีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ก็ดูงานที่ไม่ใหญ่เกินไปสิ เล่นงานใหญ่ยักษ์มหึมาเลยก็ไม่ไหว เอาไว้รอบารมีเต็มแล้วค่อยว่ากัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 25-01-2014, 12:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในขณะที่เด็กกำลังร้องไห้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เขาบอกว่า เด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำลัง ถ้ากำลังเราไม่พอ สู้เขาไม่ได้หรอก ประเภทตีไปสอนไปแบบอาตมา เอ็งอยากร้องก็ร้องไป แบบนี้ไม่มี ถ้ากำลังไม่พอก็สู้เขาไม่ได้

เขาบอกว่า ผู้หญิงมีน้ำตาเป็นกำลัง ถึงเวลาต้องรีบบีบน้ำตาไว้ก่อน ถ้าทำไม่ได้ก็พกหัวหอมไว้ ผ่าแล้วก็เช็ดตา สมณชีพราหมณ์มีศีลเป็นกำลัง ถ้าศีลของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ เข้าไปสู่สังคมไหนก็ไม่หวั่นไหว มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า พระองค์ท่านอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหม อยู่ในหมู่ท้าวสักกะ อยู่ในหมู่ของพระมหากษัตริย์ อยู่ในหมู่ของพราหมณ์มหาศาล พระองค์ท่านไม่มีความหวั่นไหวเลย คนอื่นคัดค้านฐานะของพระองค์ท่านไม่ได้ ตถาคตปฏิญาณว่าตรัสรู้ ไม่มีใครคัดค้านได้ว่าไม่ตรัสรู้ ตถาคตบอกกล่าวทางอันนำไปสู่ความหลุดพ้น ไม่มีใครคัดค้านได้ว่าไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 25-01-2014, 13:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พวกของประจำตัวสัตว์ อย่างพวกเขี้ยวเสือไฟ พวกนี้จะเป็นของใคร ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้เขาจะเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้น..ถ้าตัวเองตั้งใจสร้างบารมีมา บางทีชิ้นส่วนของเขาก็มีเทวดารักษาอยู่ หรือไม่ก็กำลังของตัวเขาเองนั่นแหละ

ถาม : อย่างเสือที่มีเขี้ยวไฟ ก็เป็นบุญของเขาที่มีอำนาจ ทีนี้คนที่ได้ไปเนื่องกับเสือตัวนั้นหรือเป็นบุญต่างหากของเขาเองเลย ?
ตอบ : น่าจะต้องแยกเป็น ๒ สภาวะด้วยกัน สภาวะแรกก็คือ เคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา สภาวะที่สองก็คือ เป็นบุญบารมีของเขาเองที่จะได้ของอย่างนั้นมา เขาเรียกว่าของคู่ตัว

ถาม : ถ้าเราเนื่องกับเขา อย่างนี้เวลาเราทำบุญอะไรเราก็ให้เขา ?
ตอบ : ให้เขาไปเถอะ ยิ่งให้เขาไปมากเท่าไร เราก็ยิ่งมีผู้ช่วยที่มีกำลังมากเท่านั้น พระเจ้าพรหมมหาราชมีของคู่บารมีเป็นเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วยหอม งูประเภทนี้ต่อให้ไปนอนบนหลังคนยังไม่รู้ตัวว่าอยู่บนหลังงู

พวกสัตว์ใหญ่ โดยเฉพาะสัตว์มีอำนาจ ถึงแม้ว่าจะเหลือแต่ซากแล้ว คาดว่าพลังอำนาจที่ติดอยู่แผ่ออกมา ทำให้สัตว์อื่นรู้ว่านี่อันตราย..อย่าไปใกล้ ก็เลยทำให้คนที่มีชิ้นส่วนของเขาอยู่นั้นปลอดภัย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 25-01-2014, 13:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างเขากวาง ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขากวางจะหาเขากวางคุด ถ้าไม่มีก็ ๓ ยอด ๗ ยอด ๙ ยอด หาไปเถอะ ถ้าจะเอาของขลังจริง ๆ ต้องตายโดยธรรมชาติ เพราะว่าของพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะหนังเหนียว แคล้วคลาด ไม่ค่อยจะตายผิดปกติเหมือนอย่างอื่น

ถาม : อย่างฟันคน ?
ตอบ : บางคนเขาเรียกเขี้ยวแก้ว ฟันที่เกิดบนเพดานปาก อาตมาเองตอนเด็ก ๆ ตกใจแทบตาย เพราะฟันงอกที่เพดานปาก วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรหรอก..คอยเลียอยู่เรื่อย

ถาม : ขึ้นตรงกลางเลยหรือคะ ?
ตอบ : ตรงกลาง คราวนี้พอเขี้ยวที่เป็นฟันน้ำนมหลุด ก็ค่อยเลื่อนมาจะแทนที่ แต่แทนไม่หมดหรอก มาไม่ถึง เพราะจากที่ลึกเกินไป เลื่อนมาไม่ถึง

ถาม : ตอนนี้ฟันยังอยู่กับตัวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ผุไปแล้ว แสดงว่าตัวเองก็ยังอาศัยไม่ได้ ยังผุอยู่เลย

ถาม : นึกว่ามีคนเลี่ยมไปแล้ว ?
ตอบ : ไม่รู้หมอเอาเศษฟันไว้ใช้บ้างหรือเปล่า แต่ว่าอุดแล้วอุดอีก ขูดแล้วขูดอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 26-01-2014, 19:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยก่อนหลวงปู่กาหลง ที่เขาเรียกว่า หลวงปู่กาหลงเขี้ยวแก้ว ท่านทำวัตถุมงคลแล้วก็ท้าว่า ถ้าใครไม่มั่นใจ ให้แบกปืนไปลองได้เลย อาตมาก็เอาปืนไป จะไปยากอะไรเพราะชอบลองอยู่แล้วนี่ ท่านทำตะกรุดอะไรสักอย่าง เห็นว่าเป็นตะกั่วน้ำนมโบราณพัน ๆ ปี ได้มาจากตามพวกปราสาทหิน น่าจะเป็นโลหะที่เขาเทเพื่ออุดร่องยึดร่อง แต่เห็นว่าเป็นพวกตะกั่วป่า ท่านเองก็ทั้งปลุกทั้งเสกอย่างดี มีการจับเขี้ยวแก้วเสกเพื่อเพิ่มพลังด้วย อาตมาขอลองนัดเดียว เปรี้ยงเดียวเหลือติดอยู่นิดเดียว เกือบขาดกลาง เสียของไปเลย..ตั้งแพง พันกว่าบาท

ลืมไปว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนว่า คนที่มีลายมือคัดของ ของดีแค่ไหนก็ยิงออก แล้วอาตมาก็ลืมไปว่า ไม่ใช่แค่หลวงปู่มีเขี้ยวแก้ว อาตมาก็มี ตกลงก็กลายเป็นว่าอาตมามีมากกว่า ตะกรุดหลวงปู่จึงเละไปเลย ตอนเด็ก ๆ ก็ตกใจเหมือนกัน ว่าทำไมฟันมาขึ้นตรงเพดานปากนี้ ได้แต่เลีย ๆ เล่น รำคาญเพราะปลายฟันค่อนข้างแหลม


ถาม : เป็นฟันหน้าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นฟันเขี้ยว มาตอนหลังปลายบิ่น เพราะว่าซ้อมมวยไทยกับพระครูแสงตอนเป็นฆราวาส

จังหวะศอกกลับ ปกติจะต้องหมุนตัวตีแบบปลาดุกยักเงี่ยง แต่คราวนี้พระครูแสงแหกตำรา แกตีเสยขึ้นเหมือนกับที่เขาเรียกศอกสอยมะม่วง อาตมาเห็นมาผิดจังหวะไขว้มือรับไม่ทัน ทำให้แรงไม่พอที่จะกดศอกเขาไว้ จึงลอดการ์ดเข้ามาที่ปลายคาง เปรี้ยงเดียวฟันกระแทกกัน ปลายเขี้ยวบิ่นไปเลย แปลว่าเขี้ยวแก้วเสื่อมความขลังตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว บิ่นเองเลย พอปลายบิ่นแล้วก็เหมือนกับว่าทำให้เป็นเหตุให้ฟันผุ

แต่ก่อนคนอื่นเขาคิดว่าพี่น้องตีกันจะตาย เวลาซ้อมมวย อัดกันจริง ๆ จัง ๆ แต่พระครูแสงไม่ค่อยอึด เป็นคนไม่ค่อยทนเจ็บ พอโดนหนัก ๆ เข้าก็มักจะถอดใจไม่เอา ทั้ง ๆ ที่ถ้ามาอีกที คนที่บอกว่าเลิกแล้วก็คืออาตมานั่นแหละ บังเอิญว่าทนกว่ากันอยู่ทีเดียวทุกครั้ง

ท่าศอกสอยมะม่วงนี่ สมัยก่อนเห็นมี สมาน ดิลกวิลาศที่ใช้ พวกเราเกิดไม่ทันหรอก เพราะว่ารุ่นของสมาน ดิลกวิลาศ เป็นรุ่นเดียวกับ อภิเดช ศิษย์หิรัญ ดีไม่ดีเป็นรุ่นพี่ด้วย แต่คราวนี้สังคมสมัยนั้นเหมือนกับนิยมนักสู้ เด็ก ๆ ก็ชอบเลียนแบบวีรบุรุษ ถึงเวลาเล่นกัน เอ็งเป็นคนนั้น ข้าเป็นคนนี้ ถ้าวันไหนผู้ใหญ่มาบอกว่า คนนั้นชนะคนนี้ คนนี้ชนะคนนั้น โอ๊ย..เฮกันใหญ่

แต่ต้องชมว่าครูมวยสมัยก่อนท่านเก่งจริง ๆ ถ้าครั้งนี้แพ้ ไปครั้งหน้าจะไม่แพ้อีก ต้องแก้ไขได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2014 เมื่อ 19:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 26-01-2014, 19:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เทคนิคหลักการพวกนี้ใช้ได้กับคนเท่านั้นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนดีกว่าตรงที่มีสมอง เพราะสัตว์ส่วนใหญ่ใช้กำลัง แทบจะไม่มีสัตว์ที่ใช้สมองในการสู้กัน แต่ว่าสัตว์ก็มีวิธีรักษาตัวของเขา จากการที่เคยเกิดเป็นสัตว์หลายต่อหลายที จะรู้ว่าจะมีวิธีรักษาตัวไม่ให้บาดเจ็บ เพราะถ้าบาดเจ็บ อันดับแรกก็คืออาจจะหากินลำบาก ถึงแก่ชีวิตได้ ทำให้หลบหนีศัตรูลำบาก โดนพวกแมลงวันซ้ำเติมบ้าง ถ้าวางไข่ลงไปได้นี่บรรลัยเลย เพราะตัวเองไม่รู้จะเอาออกอย่างไร แต่ท้ายที่สุดก็คือ ถ้าตัวเองบาดเจ็บ อาจจะเสียพื้นที่ในการทำมาหากิน คู่แข่งที่ชนะจะไล่เราออกไป ถ้าไม่ออกก็อาจจะถึงตาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2014 เมื่อ 19:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 26-01-2014, 20:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมตั้งใจจะบวช จะมาปรึกษาว่าบวชที่ไหนดี ?
ตอบ : แล้วทางบ้านเขาไม่ว่าอะไรแล้วหรือ ?

ถาม : ไม่ว่าครับ
ตอบ : ไม่ว่าก็ไปเถอะ ชอบที่ไหนก็ไป ไม่ได้สำคัญอยู่ตรงสถานที่บวช ถ้าเรามีหลักการปฏิบัติ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ที่เจอคือ ไม่ค่อยปฏิบัติ แถมไปเที่ยวจับผิดชาวบ้านเขาด้วย ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ทุกวัน

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไปบวชที่นั่นก็ ๕ ปีนะ ถ้าไม่ ๕ ปีไปที่อื่นไม่ได้ กัดฟันทนไป ถ้าไม่ตายเสียก่อน เราว่ากันตามพระธรรมวินัยเป็นหลัก วันก่อนทิดวิชาที่สึกไป มาขอนิมนต์ท่านนวยไปเป็นเจ้าอาวาส เขาจะถวายที่ให้สร้างวัด ก็เลยถามท่านนวยว่าครบ ๕ ปีหรือยัง ? “ครบพอดีครับ “เออ..อย่างนั้นไปได้”

ในช่วง ๓ พรรษาแรกเป็นช่วงศึกษาพระธรรมวินัย ปีแรกก็ศีล ๒๒๗ ปีที่สองก็อภิสมาจาร ศีลที่นอกพระปาติโมกข์อีกเป็นร้อย ๆ ปีที่สามก็ศึกษาหลักการปฏิบัติแบบธรรมเนียมต่าง ๆ อีก ๒ ปีก็ว่าให้อยู่ตัว จะว่าไปช่วง ๓ ปีก็คือช่วงที่จะกอบโกยจากครูบาอาจารย์ให้มากที่สุด

สมัยนี้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ค่อยให้ความใส่ใจกับลูกศิษย์ บวชแล้วก็ทิ้ง ๆ ไปฝากตัวอยู่ที่วัดท่าขนุนตั้งไม่รู้เท่าไร แม้กระทั่งพระครูหน่อย เลขาของอาตมานี่ค้นหาประวัติไปเถอะ พระครูหน่อยบวชเมื่อไร ทำไมไม่เจอประวัติเลย ค้นปีใกล้ ๆ ก็ไม่เจอ ค้นขึ้นหน้าก็ไม่เจอ ค้นถอยหลังก็ไม่เจอ ก็เลยมาถาม อาตมาบอกไปว่าพระครูหน่อยบวชมาจากชลบุรี แล้วมาขออยู่ด้วย คราวนี้อยู่มา ๑๐ กว่าปี คนเขาเลยนึกว่าเป็นพระวัดท่าขนุนตั้งแต่แรก

พระครูน้อยบวชมาจากวัดดินแหลม สรุปว่าไม่ค่อยจะมีที่บวชแท้ ๆ จากวัดท่าขนุนสักเท่าไรหรอก ที่บวชส่วนใหญ่ก็สึกกันหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2014 เมื่อ 20:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 27-01-2014, 18:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กอยู่ในช่วงเหมือนกับตะวันกำลังขึ้น ส่วนผู้ใหญ่อยู่ช่วงกำลังบ่ายคล้อยลง อาทิตย์อัสดงเมื่อไรก็จบ แต่บางคนก็อย่างกับพลุ ขึ้นพรวดเดียวแล้วดับไปเลย ทุกอย่างล้วนแต่อนิจจัง ไม่เที่ยงทั้งสิ้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 27-01-2014, 18:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ปิดงานได้ ๒ ชิ้นใหญ่ คือ หลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพร ๘๔ พรรษาธรรมิกราช กับหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ปิดบัญชีไปก่อนสิ้นเดือน พระครูหน่อยเริ่มถามรายละเอียดแล้ว “สีแบบนี้จ่ายเท่าไร ?” จะเอาอย่างบ้าง บอกท่านว่า "ค่าสี บวกค่าแรง บวกเครื่องพ่นสีอีกเครื่องหนึ่ง ประมาณ ๔๙๐,๐๐๐ บาท ไม่ถึง ๕๐๐,๐๐๐ บาท" ถ้าใช้สีทองนี่หลายล้านบาท สีทองของฮาโตะ ที่ไม่ใช่แบบเกรดเยี่ยมนัก เกรดมาตรฐานทั่ว ๆ ไป แกลลอนละ ๔,๐๐๐ บาท สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกต้องใช้ประมาณ ๒๐๐ แกลลอน ก็เท่ากับประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้คิดรวมอย่างอื่น ค่าแรงยังไม่ได้คิดเลย"

ถาม : ทำความสะอาดได้ไหมคะ ?
ตอบ : สีทองทำความสะอาดยากหน่อย เพราะว่าสีค่อนข้างหยาบ ถึงเวลาแล้วฝุ่นจะเกาะติด อาตมาไปศึกษาแล้วว่า สีพ่นเรือเกาะได้ติดเหนียวแน่นกว่า อีกอย่างพออะไรเกาะแล้วฉีดล้างได้เลย ต่อไปพอถึงเวลาก็ขอแค่รถดับเพลิงมาฉีดน้ำล้างทีเดียวสะอาดเอี่ยม

ถาม : สีที่ใช้นี่แกลลอนเท่าไรครับ ?
ตอบ : ไม่รู้แกลลอนเท่าไร แต่อยู่ในงบ ๕๐๐,๐๐๐ บาท นั่นแหละ ใช้ ๒ ที่ ที่พระองค์ใหญ่กับที่มณฑป แล้วเครื่องพ่นสียังอยู่กับเรา ซื้อแล้วเป็นของเรา ช่วงปีใหม่นี้รถผ่านกี่คัน จอดถ่ายรูปกันแหลกไปเลย ยายจุ่นเปิดขายน้ำอยู่ ๒ ชั่วโมง ขายได้ประมาณพันกว่าบาท ทำงาน ๒ ชั่วโมงได้พันกว่าบาท ตอนแรกอาตมาก็ถามว่า ทำไมไม่ไปขายทั้งวัน เพราะคนมาทั้งวัน เขาบอกว่า “ต้องปฏิบัติธรรม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่ได้บูชาพระ” สรุปแล้วคืออยากได้พระ เลยต้องทนอยู่ปฏิบัติธรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 27-01-2014, 19:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีนักธุรกิจใหญ่บอกว่า ถ้าสังเกตคนขึ้นเขา จะเห็นว่าเวลาขึ้นเขาเราต้องก้ม แต่เวลาลงเขาเราต้องยืด เพื่อที่จะให้สมดุลกับน้ำหนักตัว เขาจึงสรุปว่า ถ้าบุคคลที่คิดจะปีนป่ายขึ้นที่สูง หรือต้องการจะประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าไปยืนตรงทื่อ ก้มให้ใครไม่เป็น ก็แปลว่าชีวิตคุณมีแต่ขาลง เขาว่าเสียเจ็บเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 27-01-2014, 19:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปฐมพุทธวจนะ อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสังฯ.... เป็นอเนกชาติ คือนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ที่ได้เที่ยวแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหานี้ จนต้องเกิดบ่อย เกิดแล้วเกิดอีก เกิดอยู่ในกองทุกข์ ดูก่อนตัณหาผู้สร้างเรือน บัดนี้เราเห็นเจ้าแล้ว เจ้าไม่สามารถที่จะสร้างเรือนให้แก่เราได้อีกแล้ว

ทางพม่าเขาใช้คาถาบทนี้ในการปลุกเสกพระ ตอนแรกอาตมาก็สงสัย พระมีอยู่ด้วยกัน ๕ รูป นั่งล้อมวง ต่างคนต่างจุดเทียนไว้หน้าตัวเอง นั่งล้อมวงหน้าองค์พระ แล้วเสกด้วยบทอเนกชาติฯ ตามกำลังวัน ถ้าเป็นวันศุกร์ก็มากหน่อย เสกเสร็จก็พรมน้ำมนต์ เป็นอันว่าพุทธาภิเษกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไหน ๆ อาตมาก็อยู่ในพิธีแล้ว จึงอธิษฐานภาพพระครอบทั้งหมู่บ้านไปเลย เผื่อให้ทุกคน"


ถาม : เขาถือคติอย่างไรคะ ถึงเสกบทนี้ ?
ตอบ : เขาถือความเป็นพระพุทธเจ้าก็คือประโยคนี้ เรียกว่าปฐมพุทธวจนะ คือพอบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็เปล่งอุทานขึ้นมา เป็นอเนกชาติที่เวียนว่ายตายเกิด ทุกข์แล้วทุกข์อีกจนนับไม่ได้ ก็เพราะว่าต้องการจะแสวงหาตัวเจ้าตัณหาที่เป็นตัวสร้างภพสร้างชาติให้ บัดนี้ก็ได้เจอหน้าแล้ว บ้านเรือนอะไรเราหักทิ้งหมดแล้ว เจ้าไม่สามารถจะสร้างเรือนให้แก่เราได้อีกแล้ว

วิสังขาระคะตัง จิตตัง สภาพจิตที่เข้าถึงความไม่ปรุงแต่งแล้ว ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา ย่อมเข้าถึงความสิ้นไปของตัณหา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 27-01-2014, 19:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นิโรธในอริยสัจสี่กับนิโรธในสมาบัติ เหมือนกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คนละอย่างกันนะ นิโรธในอริยสัจ ๔ คือการดับแบบไม่มีเชื้อ หมายความว่าไม่เกิดอีกแล้ว ส่วนนิโรธในนิโรธสมาบัตินั้น ต่อให้มีเชื้ออยู่ก็สามารถเข้าถึงได้ อย่างเช่นพระอนาคามี เป็นต้น เพราะฉะนั้น..อย่างหนึ่งเป็นการที่กำลังใจของตนเองปลีกออกจากสัญญาและเวทนาทั้งหมด เขาเรียกว่าเข้าถึงนิโรธเหมือนกัน ส่วนอีกอย่างเป็นการหมดกิเลสจริง ๆ เพราะฉะนั้น..นิโรธในอริยสัจ ๔ กำลังจะสูงกว่า ยกเว้นว่าท่านที่เข้านิโรธสมาบัติเป็นผู้ที่เข้าถึงนิโรธในอริยสัจ ๔ แล้ว

ถาม : นิโรธสมาบัติ ?
ตอบ : ยังสามารถที่จะมีอะไรเหลืออยู่บ้าง ไม่ถึงขนาดหมดจริง ๆ

ถาม : ยังรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยังไม่ถึงใจหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นเรื่องของนิโรธสมาบัตินี่จิตกับกายจะแยกส่วนกันเลย จะไม่สนใจอะไรที่เกิดขึ้นกับกายเลย

ถาม : คำว่าไม่สนใจ หมายความว่า ?
ตอบ : กำลังใจไม่เกาะร่างกาย แต่สนใจไปที่อื่น จะเป็นภพอื่นหรือจะเป็นพระนิพพานก็ได้

ถาม : ในขณะนั้นมีคำภาวนาหรือลมหายใจไหมคะ ?
ตอบ : ตรงนั้นไม่ต้องแล้วจ้ะ ร่างกายจะเป็นอะไรก็ช่างแล้วจ้ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 27-01-2014, 19:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงตาบัวท่านได้เปรียบกว่าพระรูปอื่นที่ว่า ท่านเรียนปริยัติมาก่อน ก็ไปดูตำราให้พอรู้ว่าจะต้องเดินช่องไหน ส่วนท่านอื่นต้องให้ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดทีละหน่อย ๆ "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 28-01-2014, 12:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนไปร่วมพิธีเปิดงานฯ ที่ตลาดทองผาภูมิ พระอาจารย์บอกว่าเป็นมุทิตาในอุเบกขา แต่พอกลับมาฟังเทศน์ที่วัด พระอาจารย์ว่าเป็นอุเบกขาในมุทิตา ซึ่งตรงกับที่คนอื่นเขาเข้าใจกัน ก็เลยรับปากว่าจะมากราบเรียนถาม ?
ตอบ : อุเบกขานิ่งกว่า มุทิตาดูดีกว่า

ถาม : มุทิตาในอุเบกขา กับอุเบกขาในมุทิตา ต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องดูว่าขึ้นกับอะไรก่อน ยินดี รู้ตัว แล้วก็ปล่อยวาง เพื่อไม่ให้ใจของตัวเองต้องกระทบกระเทือน เพราะว่าจะยินดีหรือยินร้าย เป็นโทษทั้งคู่ นี่ก็เป็นมุทิตาในอุเบกขา แต่ถ้าตัวเองสามารถหยุดได้แล้ว โดยมีความเมตตากรุณาเป็นปกติ เห็นเขาได้ดีก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย แต่ไม่ออกอาการ อันนี้เป็นอุเบกขาในมุทิตา กลับข้างกัน อย่างหลังมั่นคงกว่า อย่างแรกอาจจะเผลอได้

ถาม : ตอนได้ยินพระอาจารย์บอกที่ตลาดคำเดียวว่าเป็นมุทิตาในอุเบกขา ตอนนั้นมีความเข้าใจดีมาก แต่อธิบายให้คนที่ไปด้วยกันให้เข้าใจไม่ได้ เพราะเขาแย้งว่า เคยได้ยินแต่อุเบกขาในมุทิตา ?
ตอบ : เวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ ถ้าฟังควรจะฟังตอนนั้น เพราะบางทีกำลังของท่านที่ส่งมา พอเราฟังจะเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดเลย แล้วอธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้ด้วย ว่าที่เข้าใจนั้นคืออะไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 16:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 28-01-2014, 12:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "บรรดาพระทั้งหลายเขาเปิดใจคืนสุดท้ายของการอบรมปฏิบัติธรรมประจำปี มีอยู่ท่านหนึ่งเขาบอกว่า พระอาจารย์เล็กของเราท่านพลังมาก..! มากกว่าท่านเจ้าคุณหลายเท่า..! ท่านถึงเอาพวกเราอยู่ ถ้าท่านไม่มีพลังอย่างนี้นะ เอาเราไม่อยู่หรอก แหม...ก็มีเท่าไรอาตมาใส่แค่หมด ป่วยจะตายดันบอกว่าพลังมาก..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 16:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 28-01-2014, 12:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พอทำสมาธิถึงระดับหนึ่ง จะทำให้หายจากอาการป่วยได้ แต่ว่าถึงทำได้ ปกติครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่หนีอาการเจ็บป่วยนี่คะ ?
ตอบ : เราต้องการดูเวทนา เรารับได้เพราะโรคไม่หนักเกิน ถ้าโรคหนักเกินก็ต้องใช้วิธีทำไม่รู้ไม่ชี้แทน อยากเป็นก็เป็นไป แล้ววิธีนี้บรรดาลูกศิษย์ยังทำไม่ถึง

ถาม : หากแยกจิตกับประสาทออกจากกันก็ไม่รับรู้อาการแล้ว หรือไม่ก็อาราธนาคุณพระรักษาก็ได้ ?
ตอบ : เหมือนกัน บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ท่านใช้ธรรมโอสถรักษาเองมาไม่รู้เท่าไรแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าท่านไม่สอน ก็แปลว่าท่านกลัวว่าคนจะไปติดอยู่แค่นั้น ต่อไปจะไม่ยอมรับว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์

ถาม : ทำไมไม่หนี ?
ตอบ : หนีได้ใครไม่หนีวะ ? อย่างประเภทเจ็บตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างอาตมา หนีได้ก็หนีสิ ใครจะมานั่งทน

ถาม : ปกติพระท่านมีวัตรที่ต้องทำสมาธิและมีคำอธิบายในการปฏิบัติอยู่ จึงเข้าใจว่าท่านน่าจะทราบกันแล้ว ทำไมยังต้องสอนเรื่องนี้ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่มีพื้นฐานเก่ามาจริง ๆ ต้องสอนต้องสั่งกันทั้งนั้น อีกอย่างก็คือ ต้องสร้างความเชื่อถือให้เขาด้วย เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีฐานะสูง มีสมณศักดิ์สูง ไม่ก็เป็นพระสังฆาธิการระดับสูง ไม่ค่อยฟังใครหรอก ปีก่อน ๆ ที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีธีรวงศ์คุม เอาไม่อยู่..หนีกันกระจายเลย ถ้าบอกว่าให้นั่งละก็..เหลือพระอยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง อย่างที่ป้านุชบอกว่า เดินทักพระได้ทุกรูป เพราะท่านไม่ยอมอยู่ในที่ปฏิบัติ

เนื่องจากว่าพระวิปัสสนาจารย์ส่วนใหญ่ตรงเป็นไม้บรรทัด และเป็นมวยเชิงเดียว ถึงเวลาไม่เข้าใจลูกศิษย์ ก็ไม่สามารถที่จะเอาอยู่ อาตมาเป็นประเภทครูสอนไว้หมดทุกอย่างแล้วนี่ ไม่ว่าจะมาท่าไหนก็สามารถที่จะแก้ให้เขาได้ เขาก็ชอบใจกัน ถึงเวลาไม่ว่าจะคุยเล่นหรือว่าจะปฏิบัติจริง เขาก็ยอมนั่งอยู่กัน เพราะเขาอยากรู้ว่าอาตมาจะบอกอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:29



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว