กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 20-02-2012, 08:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พออาตมาเรียนจบประดับประกาศนียบัตร อาตมาได้เป็นตัวแทนของภาค ๑๔ ซึ่งมี ๔ จังหวัด ก็คือ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และสมุทรสาคร ขึ้นไปอภิปรายร่วมกับนักศึกษาของห้องเรียนภาคอื่น

อาจารย์ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นว่า การที่เขาจัดหลักสูตรมา มีประโยชน์ไหม ? อาตมาจึงสับเสียเละ..บอกว่า "ไม่เห็นประโยชน์ตรงไหนเลย เรื่องของพระภิกษุสามเณรของเรา ถ้าสอนให้เขาละชั่วกลัวบาป รักศีลของตัวเอง ทุกอย่างก็จบแล้ว การที่ไปเอาวิชาการสมัยใหม่เข้าไปมาก ๆ ขออภัยเถอะ..ผมไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรง ท่านกำลังบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ กำลังล้มล้างสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว..!" ตอกเขาเละเป็นโจ๊กไปเลย

จนกระทั่งท้ายสุด ผู้อำนวยการหลักสูตรยกมือขอขึ้นมาชี้แจง อาตมาจึงบอกไปว่า "สิ่งที่เรียนไปนั้น จริง ๆ แล้วมีประโยชน์ เพราะว่าสามารถนำไปต่อความรู้ชั้นสูงขึ้นไปได้ แต่ว่าเราต้องไม่ลืมสถานภาพของตัวเองว่าเป็นนักบวชอยู่ หน้าที่ของนักบวชคืออะไรเราต้องทำให้สมบูรณ์ เรื่องทางโลกถ้าเรารู้ก็สามารถที่จะคุยกับญาติโยมให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น การเผยแผ่ธรรมก็จะสะดวกขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน..เรื่องของทางธรรมเป็นหน้าที่โดยตรงของนักบวช เราจะทิ้งไม่ได้ และต้องยึดไว้เป็นหลักเลย"

ท้ายสุดอาจารย์เขาสรุปว่า "อยากพูดแบบท่านนั่นแหละครับ แต่ผมพูดไม่ถูก ว่าที่ตั้งใจให้เรียนก็เพื่ออย่างนี้" อาจารย์เขาไปพูดในเรื่องเกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 09-04-2020 เมื่อ 16:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 20-02-2012, 08:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ถามเรื่องการรักษาฝี)
ตอบ : ให้เอาใบลำโพงหรือที่อีสานเขาเรียกมะเขือบ้า จำนวน ๗ ใบ โขลกกับข้าวสุกก้อนเท่ากำปั้น โขลกรวมกันให้ละเอียดแล้วพอกที่ฝี ยานี้จะดูดหนองออกมาหมด โดยเฉพาะฝีคัณฑสูตร ที่เขาเรียกมะเขือบ้าคือถ้ากินเม็ดเข้าไปแล้วจะบ้า ลูกมันจะมีหนามคล้ายทุเรียน แต่ต้นเป็นต้นมะเขือ




หมายเหตุ : ลำโพงไทย ลำโพงขาว หรือ มะเขือบ้า ไม่ใช่ดอกทรัมเป็ตหรือลำโพงฝรั่งที่ปัจจุบันนี้มีเกลื่อนไปหมด
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg Lampong3.jpg (82.9 KB, 1128 views)
ชนิดของไฟล์: jpg Lampong4.jpg (68.0 KB, 1126 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 13:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 20-02-2012, 10:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่อาตมาอ่านหนังสือร้อยปีของหลวงปู่เหรียญ ระยะนี้จะมีหนังสือเกี่ยวกับหลวงตามหาบัว หลวงปู่จันทร์ศรี หลวงปู่เหรียญ ออกมาติด ๆ กัน ทำให้เห็นอย่างหนึ่งว่า พระธรรมยุติท่านอยู่ในลักษณะส่งเสริมยกย่องความดีกันเอง ถ้าจะว่าไปแล้วก็คือมีมุทิตาพรหมวิหาร

เมื่อท่านส่งเสริมยกย่องความดีกัน ก็ทำให้ญาติโยมเห็นการปฏิบัติว่าอะไรถูก อะไรควร เกิดความชื่นชมยินดี แล้วจะนับถือความเลื่อมใสยิ่งขึ้น เพราะว่าสิ่งที่ท่านปฏิบัติมาสามารถใช้งานได้จริง โดยเฉพาะหลักการของพระป่าสายธรรมยุติ จะไม่มีการหวงลูกศิษย์ไว้วัดเดียว จะแนะนำว่าครูบาอาจารย์หรือสหธรรมิกวัดนั้นวัดนี้มีความดีอย่างไร ให้ญาติโยมไปช่วยทำบุญอุดหนุนค้ำจุนวัดนั้น ๆ ด้วย

ท้ายสุดใช้คำว่า "ถึงกันหมด" พอท่านถึงกันหมด ก็กลายเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งมาก ถ้าว่าไปจริง ๆ แล้วพระธรรมยุติสายพระป่า เมื่อเทียบกับมหานิกายแล้วมีจำนวนน้อยนิดมาก แต่ว่ามีบทบาทในการชี้นำสังคมค่อนข้างสูง เพราะว่าท่านส่งเสริมกันเอง ยกย่องกันเอง เชิดชูความดีของกันและกัน ไม่มีการอิจฉาริษยา มีแต่มุทิตาจิต ใครที่ยืนหยัดเป็นหลักได้แล้วก็ไปเยี่ยมเยือน นำเอาญาติโยมไปทำบุญกับครูบาอาจารย์ หรือเพื่อนสหธรรมิก หรือลูกศิษย์ของตนในวัดอื่น ๆ ด้วย

ลักษณะอย่างนั้นจะทำให้ทุกวัดมีความเจริญเสมอหน้ากัน ถ้าหากว่าวัดไหนมีครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือมาก เมื่อท่านมรณภาพก็มีการสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุอัฐิไว้เป็นที่ระลึก เป็นที่เคารพ แล้วก็ออกหนังสือในลักษณะที่เชิดชูเกียรติของอาจารย์ ทำออกมาแต่ละเล่มสวยงามมาก ๆ ดูแล้วน่าชื่นชม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 13:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 20-02-2012, 10:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระมหานิกายของเรายังขาดตรงจุดนี้อยู่มาก ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ ทำให้ความเหนียวแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ค่อยมี ญาติโยมบางท่านไปทำบุญวัดอื่น พอกลับมาเล่าให้ฟัง ปรากฏว่าโดนทางวัดเดิมด่าส่งไปเลยก็มี

ทำให้เห็นว่าในเรื่องของการปฏิบัติของมหานิกายนั้น ว่ากันตามตรงก็คือ ยังสู้เขาไม่ได้ ถึงแม้จะสู้เขาไม่ได้ แต่ของเราก็มีจำนวนที่มากกว่าและมีหลวงปู่หลวงพ่อที่มีความรู้ความสามารถอยู่มาก ยังเป็นที่พึ่งของความส่วนใหญ่ได้ แต่ถ้ามีการส่งเสริมเชิดชูช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ศาสนาพุทธของเราก็จะมีความเจริญมากกว่านี้

ไม่อย่างนั้นบางวัดแทบจะโดนปล่อยเกาะเลย บรรดาพระภิกษุสามเณรในอาวาสบางทีก็เหลือสภาพพระเณรน้อยเต็มที ถ้าจะแก้ไขก็ต้องแก้ไขทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่ผู้ใหญ่ข้างบนดำเนินการเป็นตัวอย่าง แล้วก็ยึดถือเป็นแนวนโยบาย ถ้าหากว่ายึดถือเป็นนโยบายในสายการปกครอง คนที่ไม่ทำตามจะกลัวว่าไม่มีโอกาสโต ก็ต้องทำจนได้

เพราะฉะนั้น..บางอย่างอาจจะต้องใช้วิธีบังคับเอาตามนโยบายการปกครอง แต่ก็ต้องรอพระผู้ใหญ่ที่ท่านกล้าจะแหวกธรรมเนียมปัจจุบันนี้ให้มีความต่างออกไป แต่ให้เป็นไปตามหลักธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือปฏิบัติในสาราณียธรรม เมตตาต่อกันด้วยกาย เมตตาต่อกันด้วยวาจา เมตตาต่อกันด้วยใจ แบ่งปันลาภผลให้แก่ผู้อื่น เป็นต้น

ถ้าหากว่าสามารถทำได้ ศาสนาอื่นจะล้มศาสนาของเรายาก แต่ถ้ายังปล่อยให้ต่างคนต่างทำ หรือว่าทำเป็นแค่กลุ่มเล็ก ๆ อยู่ ก็จะเป็นอะไรที่เหมือนกับไม้ รวมกันแล้วเป็นมัดเล็กอยู่ ก็ยังมีโอกาสโดนหักทิ้งได้ แต่ถ้ารวมเป็นมัดใหญ่ได้ ต่อให้เขาออกแรงเท่าไรก็หักไม่ลง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 13:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 20-02-2012, 10:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอไปอ่าน ๆ หนังสือของท่านแล้ว นอกจากชื่นชมในความเสียสละของคณะศิษย์ที่ช่วยกันค้นคว้า ช่วยกันพิมพ์ ช่วยกันแจกจ่าย เพื่อส่งเสริมเชิดชูความดีของครูบาอาจารย์แล้ว ก็ยังมองเห็นความสามัคคีในหมู่คณะของท่านทั้งหลายว่าเหนียวแน่นมาก ๆ

เรื่องพวกนี้ปัจจุบันอาตมาพยายามทำอยู่ แต่ก็ได้แค่กำลังเฉพาะตัว อยู่ในลักษณะว่าเป็นวงแคบ ๆ ก่อน ถ้าต่างคนต่างค้ำจุนกันจนยืนหยัดได้แล้ว เดี๋ยววงก็ขยายกว้างออกไปเอง หรือถ้าไม่สามารถขยายให้กว้างออกไปกว่านี้ได้ ในสมัยที่เราอยู่ก็ทำเป็นตัวอย่างให้เขาก็แล้วกัน นาน ๆ ไปพอมีคนเห็นดีด้วย เดี๋ยวเขาก็ทำตามกันเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 13:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 20-02-2012, 10:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ว่า ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจ เรานา เพราะฉะนั้น..การอ่านประวัติหลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีคุณความดีเป็นที่เคารพนับถือของคนหมู่มากแล้ว ทำให้เกิดความอยากที่จะเดินตามรอยของท่านทั้งหลายเหล่านั้น

ความจริงหนังสือเหล่านี้ควรจะสนับสนุนให้มีให้มาก ๆ เข้าไว้ แต่บางทีระบบต่าง ๆ ตลอดจนการค้ากลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นไปเสีย อาตมาเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๑ สมัยก่อนเขาย่อว่า ม.ศ. สมัยนี้เหลือแค่ ม. ตอนนั้นได้อ่านประวัติหลวงปู่มั่นที่หลวงตามหาบัวเขียนขึ้นมาครั้งแรก อ่านรวดเดียวไม่ยอมกินข้าว ต้องอ่านให้จบก่อน อ่านเสร็จแล้วปฏิญาณตนเลยว่า ถ้าอาตมาจะบวชต้องมีครูบาอาจารย์อย่างนี้

พอดีที่บ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยสงฆ์กำแพงแสน ซึ่งเป็นสายธรรมยุติอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีวัตรการปฏิบัติที่ค่อนข้างเคร่งครัด คนเห็นก็เกิดความเลื่อมใสได้ง่าย เวลามีงานท่านก็ไปช่วยเหลือกัน พออาตมาเรียนจบ ม.ศ.๓ ในสมัยนั้น เข้ากรุงเทพฯ มาทำงาน ปรากฏว่าโยมแม่เคารพนับถือในตัวหลวงพ่อวิริยังค์ วัดธรรมมงคล สุขุมวิทซอย ๑๐๑ อาตมาก็ตามโยมแม่ไปวัด ที่วัดธรรมมงคลจะมีงานสวดลักขี ก็คือสวดอิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปะฏิปันโนฯ ๑ แสนจบทุกปี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 13:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 20-02-2012, 10:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คำว่า ลักขี หรือ ลักขัง ภาษาบาลีแปลว่าหนึ่งแสน จะใช้คำว่า สะตะสะหัสสา ก็ได้ แต่ว่าศัพท์บาลีตัวนี้จะมีศัพท์เฉพาะต่างหาก คือลักขัง เพราะฉะนั้น..ในทำเนียบสมณศักดิ์จะมีพระครูปราการลักษาภิบาล ลักษา ล.ลิงเลย แต่คนที่ไม่เข้าใจชื่อนี้จะพยายามพิมพ์เป็นปราการรักษาให้ได้ เพราะปราการก็คือกำแพง รักษาตามความหมายของเขาคือดูแล ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน ปราการลักษาเขาบอกตรง ๆ เลยว่ากำแพงแสน เพราะปราการคือกำแพง ลักษาหรือลักขาก็คือแสน

เมื่อมีพิธีสวดลักขีและบวชชีพราหมณ์หมื่นรูป โยมแม่ก็ไปบวชเป็นประจำ ปีละ ๑๐ วัน อาตมาตามไปดูแลแม่ จริง ๆ ไม่ได้ไปดูแลอะไรหรอก ตามไปเป็นเพื่อน ด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่นวิ่งง่ายใช้สะดวก หลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นท่านมารวมกันอยู่ บางทีเป็นร้อยรูป อย่างน้อยก็ ๕๐-๖๐ รูป ท่านก็เรียกใช้งาน

สมัยนั้นครูบาอาจารย์ที่ท่านมีชื่อเสียงคับบ้านคับเมือง อย่างหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่อ่อน หลวงปู่บัว พอท่านเรียกใช้ไปเรียกใช้มา เกิดความสนิทชิดใกล้ไปเรื่อย ๆ อาตมาก็ถามนั่นถามนี่ ศึกษาการปฏิบัติของท่าน ชอบใจอยู่..แต่แปลก ๆ อย่างไรไม่รู้ แปลกตรงที่ว่าอาตมาไม่คุ้นชินกับระบบของท่าน ก็คือ ระบบของท่านเหมือนกับว่าชี้ให้ดูว่าข้าวสารอยู่ในถัง ผักอยู่ในสวน ไปหุงเอา ไปเก็บมาผัดมาต้มมาแกงเอา เป็นในลักษณะที่บอกว่าให้ไปทำเอา ให้ไปภาวนา ไม่ได้สอนอะไรมากมาย

อาตมาก็..เฮ้อ..ทำแบบไหนล่ะ ? ภาวนาก็ได้ แต่ทำแบบไหนล่ะ ? ต้องมางมโข่งกันเอง ทั้ง ๆ ที่เคารพเลื่อมใสท่านสุดจิตสุดใจ แต่ว่าแนวการปฏิบัติจะว่าไปก็ยังขัด ๆ กับความรู้สึกของตัวเองอยู่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 13:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 20-02-2012, 14:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ปี ๒๕๑๘ โยมพ่อเสียชีวิตลง พี่ชายเอาคู่มือการปฏิบัติกรรมฐานเล่มแรกที่หลวงพ่อฤๅษีท่านเขียนมาให้ บอกว่า "เอาไปอ่านดู ถ้าทำได้ก็จะได้ไม่ต้องมาเสียใจว่าพ่อตาย" พออ่านแล้วรู้สึกทึ่งมาก ทำไมหลวงพ่อท่านเขียนอะไรง่ายอย่างนี้ แต่ละขั้นตอนทำได้เลย ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาทำเอา

แม้ว่าจะยังไม่ได้ทิ้งสายพระป่า แต่แนวการปฏิบัติใส่มาทางนี้เต็ม ๆ ไปแล้ว โดยเฉพาะทำตามแต่ละขั้นตอนก็เป็นไปตามที่ท่านเขียนทั้งหมด เมื่อเป็นดังนั้น ก็เกิดความโน้มเอียงว่าครูบาอาจารย์แบบนี้แหละที่เราต้องการ

ปี ๒๕๒๐ เดือนมกราคม เพิ่งจะปีใหม่ได้ไม่กี่วัน หลวงปู่ฝั้นก็มรณภาพ ต่อจากนั้นอีกไม่กี่เดือนทางวัดท่าซุงมีงานยกช่อฟ้า ปิดทองฝังลูกนิมิตพระอุโบสถ ในหลวงเสด็จพอดี จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต เปลี่ยนจากสายวัดป่าเลี้ยวมาเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงเต็ม ๆ เลย ตั้งแต่นั้นมาสายวัดป่าก็เป็นส่วนประกอบของชีวิตไป พอถึงเวลาก็ยังคงไปเป็นเพื่อนแม่อยู่ ไปร่วมสวดมนต์ไหว้พระตามเขา แต่แนวการภาวนาทำตามวัดท่าซุงเต็ม ๆ

ที่กล่าวมาถึงตรงนี้ก็คือ แต่ละคนมีความชอบในการปฏิบัติไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าแยกแยะเป็นแนวใหญ่ ๆ ไว้ ๔ แนว สุกขวิปัสสโก เป็นแนวที่ยากที่สุด ต้องอาศัยศรัทธาเป็นอย่างมาก ความเพียรเป็นอย่างมาก ความอดทนเป็นอย่างมาก เหมือนกับเป็นสายที่ปิดตาเดิน ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย พากเพียรปฏิบัติไปอย่างเดียว จนเข้าถึงธรรมส่วนใดส่วนหนึ่ง ถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองทำมาถูกและมั่นใจในคุณพระรัตนตรัย

สายที่ ๒ เป็นเตวิชโช มีความรู้ ๓ ประการ ได้แก่ การระลึกชาติได้ เห็นความทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน แล้วตายแล้วไปไหน ก็จะเห็นว่าทำดีทำชั่วแล้วจะส่งผลอย่างไร รู้วิธีทำกิเลสให้สิ้นไป ตรงนี้สำคัญที่สุด ในเมื่อเห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด มั่นใจว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วแน่ ก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์นั้น

สายนี้จะมีทิพจักขุญาณ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ แต่ว่าต้องอาศัยบารมีพระเป็นหลัก ไม่อย่างนั้นการรู้เห็นจะไม่ชัดเจน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 15:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 20-02-2012, 14:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สายที่ ๓ ฉฬภิญโญ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอภิญญา ๖ สายนี้ค่อนข้างที่จะโลดโผนหน่อย มีทิพโสต ทิพจักษุ และอาสวักขยญาณ คือการทำกิเลสให้สิ้นไปเหมือนกัน สายนี้ต้องเล่นกสิณ โดยเฉพาะกสิณ ๑๐ เป็นหลัก ก็จะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ เดินน้ำ ดำดิน แต่น่าเสียดายที่มีส่วนหนึ่งมัวแต่เพลิดเพลินอยู่ เลยทำให้เสียประโยชน์ ไม่เข้าถึงธรรมที่แท้จริง

พอไปสายสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งไว้ คือปฏิสัมภิทาญาณหรือปฏิสัมภิทัปปัตโต นอกจากมีความสามารถครอบคลุม ๓ สายที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีความสามารถพิเศษอีก ๔ อย่าง คือธรรมปฏิสัมภิทา รู้เหตุทั้งหมด อะไรเกิดขึ้นอย่างไร อรรถปฏิสัมภิทา รู้ผลทั้งหมด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดมาจากอะไร สืบสาวไปได้หมด

นิรุกติปฏิสัมภิทา เข้าใจภาษาทั้งหมด ทั้งภาษาคน ภาษาสัตว์ ภาษาของโลกทิพย์ และปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปัญญาเฉียบคม ว่องไวเป็นพิเศษ อธิบายของยากให้ง่าย อธิบายของสั้นให้ยาว อธิบายของยาวให้สั้น ย่อได้ ขยายได้ มีปฏิภาณแจ่มใส ใครก็ต้อนไม่จน สายนี้อาศัยกสิณเป็นหลักแล้วก็บวกอรูปฌาน ๔

ถ้าจะกล่าวต่อไป ก็แยกออกในลักษณะว่าใครชอบกรรมฐานหมวดไหน มีกสิณ ๑๐ อนุสติ ๑๐ อสุภกรรมฐาน ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความชอบเฉพาะตัว ว่ากันคร่าว ๆ ก็ปาไป ๔๐ อย่างแล้ว

แต่ความจริงแล้วที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมาทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าหากว่าผู้ใดตั้งใจฟังพิจารณาในเนื้อความสามารถเข้าถึงธรรมได้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งชาดกที่เราเห็นเป็นเหมือนนิทาน บุคคลที่มีปัญญาก็จะเห็นว่าแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็ต้องทนทุกข์เวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้จบ ส่วนตัวเราจะพ้นไปได้อย่างไร ? ก็เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความอยากที่จะเกิดมาอีก กำลังใจตัดขาดลงได้ก็กลายเป็นพระอริยเจ้าไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 15:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 20-02-2012, 14:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เท่าที่อ่านพระไตรปิฎกมา มีสามัญญผลสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์แล้วไม่มีบุคคลได้มรรคผล เพราะว่าเทศน์โปรดพระเจ้าอชาตศัตรูที่จิตใจวุ่นวาย เครียดที่ตัวเองทำปิตุฆาต คือฆ่าพ่อ แย่งชิงพระราชสมบัติ พระพุทธเจ้าได้สร้างความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นแก่พระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยปวารณาอุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนา จนกระทั่งเป็นผู้สนับสนุนการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑

ถ้าจะเอาเรื่องของมรรคผล สามัญญผลสูตรเป็นพระสูตรที่เทศน์แล้วไม่มีผู้ได้มรรคผล แต่ว่าทำให้เกิดความเลื่อมใส ปฏิญาณตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

ส่วนพระสูตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์แล้วได้มีผู้ได้มรรคผลมากที่สุด ก็น่าจะเป็นพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เทศน์แล้วพรหมเทวดาบรรลุมรรคผล ๘๐ โกฏิ ถ้าเอาตัวเลขตามหลักบาลีคือ ๘๐๐ ล้าน เพราะ ๑๐ ล้านเท่ากับ ๑ โกฏิ

สมัยก่อนเขาถือว่าพระอภิธรรมเป็นคำสอนที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ดังนั้น..จึงมีการสวดสาธยายพระอภิธรรมในงานขึ้นบ้านใหม่ ในงานแต่งงาน ในงานมงคลอื่น ๆ แต่พอมาระยะหลังเอาพระอภิธรรมไปสวดในงานอวมงคล ก็คืองานศพ ทำให้เกิดพวกจิตอ่อน กลัวว่าถ้าเอามาสวดสาธยายในงานมงคลแล้วจะทำให้ไม่ดี จึงต้องมีการเปลี่ยนมาสวดสาธยาย ๗ ตำนาน หรือ ๑๒ ตำนานในงานมงคล แล้วก็ไปสวดสาธยายพระอภิธรรมในงานอวมงคลหรืองานศพแทน จากของดีแต่เพราะความเชื่อของคนทำให้กลายเป็นของไม่ดีไปได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-02-2012 เมื่อ 15:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 20-02-2012, 14:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"แม้กระทั่งในเรื่องความเชื่อของพระที่บิณฑบาต ถ้าไปบิณฑบาต ๔ รูปเขาถือว่าไปสวดศพ บางบ้านไล่เลย หารู้ไม่ว่า ๔ รูปครบสังฆทานพอดี ทิ้งบุญใหญ่ไปอย่างน่าเสียดาย

อย่างที่วัดท่าขนุนก็จะกำชับเหมือนกัน ถ้าหากว่าสายไหนไปบิณฑบาตน้อย ให้พยายามไป ๕ รูปไว้ เกิน ๔ เอาไว้ก่อน มากเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าลง ๔ พอดีให้ตัดหางแถวไปสายอื่น ให้เหลือ ๓ ไว้ โยมเสียประโยชน์ก็ช่าง ดีกว่าพระอดข้าว..!

เขาถือจริง ๆ บางบ้านไล่เลย "นิมนต์ข้างหน้าเจ้าค่ะ" เรียบร้อยเลย.. ถ้าเจอบ้านที่ไม่ถือก็แล้วไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 15:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 20-02-2012, 16:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลามีคนคิดถึงท่าน ท่านจะรู้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ระยะหลังนี้ขี้เกียจรู้แล้วจ้ะ รู้แล้วเบื่อ..ส่วนใหญ่ก็เอะอะโวยวายจะให้ช่วยอย่างเดียว ระยะหลังที่ต้องปิดสวิทซ์อยู่เรื่อย เพราะว่าแต่ละคนคิดถึงแล้วมีแต่เรื่องจะให้อาตมาเดือดร้อนทั้งนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 21-02-2012, 08:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดินฟ้าอากาศค่อนข้างจะวิปริต ถ้าไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วย นอกจากจะต้องรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกายแล้ว กำลังใจก็ต้องออกด้วย

ถ้าสามารถปฏิบัติภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวสักระดับปฐมฌานละเอียด โรคภัยไข้เจ็บทั่ว ๆ ไป ทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากโรคที่มาจากกฎของกรรมจริง ๆ ประเภทตามทวงไม่เลิก เข้าใจว่าไม่ใช่กรรมหนักจริง ๆ การปฏิบัติสมาธิภาวนาสามารถช่วยรักษาโรคส่วนใหญ่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2012 เมื่อ 10:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 21-02-2012, 08:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องของอาหารการกินนั้น ญาติโยมมักจะเอามาถวายอาตมา แล้วก็ไปถวายถึงกุฏิที่พัก ซึ่งจะถูกลืมอยู่จนหมดอายุไปเสมอ ๆ อาตมาเป็นคนไม่มีวาสนาในเรื่องกิน เมื่อก่อนบ้านมีฐานะยากจน กับข้าวบนโต๊ะมีมากที่สุดแค่ ๓ อย่าง เพราะฉะนั้น..ถ้าเห็นกับข้าวเยอะ ๆ ไม่ได้หรอก เห็นแล้วคอหอยตัน อิ่มไปเลย

วันก่อนไปงานฉลองกุฏิของพระครูวิริยกาญจนาภรณ์หรือหลวงพ่อชาลี งานนั้นท่านเจ้าคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี เป็นประธาน ตอนฉันเพลก็นั่งฉันวงเดียวกับท่าน บนโต๊ะมีแกงหยวกกล้วยอยู่ ๑ ถ้วย ท่านอาจารย์ชาลีก็คว้ามาตักเข้าปาก "ขอกินระลึกความหลังหน่อยเถอะ สมัยก่อนที่บ้านจน แม่ก็แกงแต่หยวกกล้วยอย่างนี้แหละ"

ท่านเจ้าคุณโสภณฯก็คว้ามาตักบ้าง แล้วก็ส่งต่อมาที่อาตมา "อาจารย์เล็กว่าบ้างสิ" อาตมาก็ตัก ท่านบอกว่า "อือม์..บางทีของกินบางอย่างก็ทำให้ระลึกชาติได้เหมือนกัน" ท่านเล่าว่าตอนนั้นท่านไปเรียนปริญญาโทที่อินเดีย จบกลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ โยมแม่มาเยี่ยมที่วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม) เอาแย้มาให้เกือบ ๓๐ ตัว แย้ตัวเป็น ๆ เลย..!

ท่านก็คิดว่า "ตายละวา...จะทำอย่างไรดี ?" แม่ก็อุตส่าห์อยู่ค้างคืนด้วย ท่านจึงแอบ ๆ เอาแย้ไปปล่อย พอ ๒ - ๓ วันผ่านไปแม่ก็มาดู เห็นกรงว่างไปแล้ว คิดว่าลูกพระชอบ ก็ไปเอามาใหม่อีก ท่านว่าจะทำอย่างไรดี ? ถ้าบอกแม่ว่าไม่กินแล้ว เดี๋ยวจะโดนด่าว่าจบนอกมาก็เลยหัวสูง แต่ถ้าบอกว่าพระกินของอย่างนี้ไม่ได้เพราะยังเป็น ๆ อยู่ เดี๋ยวแม่ก็จะไปทุบมาให้อีก

ท่านจึงตัดสินใจยอมทำลายน้ำใจแม่ บอกว่า "แม่..ของอย่างนี้ลูกไม่กินแล้วนะ" บางอย่างเหมือนกับตลกแต่หัวเราะไม่ออก ด้วยความรักของแม่ รู้ว่าลูกเคยชอบอะไรก็ไปหาอย่างนั้นมา แล้วแย้จับง่าย ๆ เสียที่ไหนเล่า ใครที่ไม่เคยเป็นเด็กล่าแย้มาก่อนไม่รู้หรอก เจ้าพวกนี้ถ้าวิ่งเรามองแทบไม่ทัน ไวสุดยอดเลย แย้เป็นสัตว์ที่ประหลาดมาก จะวิ่งเลยรูไปช่วงตัวหนึ่งก่อน แล้วหักเลี้ยว ๑๘๐ องศาเข้ารู ศัตรูจะถลำเลยไปทุกที เพราะฉะนั้น..ใครไปเยี่ยมลูกพระก็อย่าเอาแย้เป็น ๆ ไปแบบนั้นนะ อย่างไรก็ปิ้งไปให้เสร็จสรรพก่อน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 21-02-2012 เมื่อ 17:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 21-02-2012, 10:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรื่องการฝึกลมปราณ
ตอบ : เวลาเราหายใจจะมีพลังขุมหนึ่งวิ่งจากจุดศูนย์ที่สะดือขึ้นมาที่คอหอย แต่เราอย่าให้พลังนั้นขึ้นมา ใช้วิธีกดกำลังนั้นลง พอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้ว เราต้องทำอาการเหมือนกับการกลั้นปัสสาวะ กำลังขุมนั้นจะวิ่งผ่านสะพานดินไปที่กระดูกสันหลัง วิ่งแนบแนวกระดูกสันหลังเป็น ๒ สาย ถึงท้ายทอย ไปที่ศีรษะ แล้วลงมาทางด้านหน้า ผ่านตา ๒ ข้าง ลงมา แล้วก็รวมกันไปที่คอหอยกลับลงไปที่จุดศูนย์อีกครั้งหนึ่ง พอช่วงหายใจใหม่เราก็ดันลงไปอีก ทำอาการเหมือนเดิม ให้หมุนรอบไปเรื่อย ๆ

ถาม : ต้องสัมพันธ์กับลมหายใจไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนละจังหวะกัน บางคนถ้าหากว่าทำได้นี่เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก็สามารถหมุนวนได้ ๒๐ - ๓๐ รอบ อย่าไปเร่ง เราค่อย ๆ ทำไป ชั่วลมหายใจทำได้ครึ่งรอบอะไรเราก็เอาแค่นั้น แต่ให้ซ้อมไว้บ่อย ๆ

จากสะดือพอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้วทำอาการเหมือนเรากลั้นปัสสาวะ จะทำให้กำลังวิ่งผ่านไปที่กระดูกก้นกบด้านหลัง แล้วจะผ่านสันหลังขึ้นมาวิ่งเป็นเส้นคู่ขึ้นมา พอผ่านโหนกแก้มลงมาก็จะเริ่มรวมเป็นสายเดียว กลับลงทางด้านหน้าสู่จุดศูนย์เหมือนเดิม พอเลิกทำ ให้หายใจลึก ๆ ดึงพลังกลับไปรวมที่จุดศูนย์ทุกครั้ง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราปรับเข้าตัวเราได้หรือเปล่า ถ้าปรับเข้ากับตัวเราได้แล้ว เราหมั่นทบทวนฝึกก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปเอง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ใช้การภาวนาแทน ถ้าเราภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัว ถึงระดับรู้ลมหายใจด้วยตัวเองไม่ต้องไปบังคับ โรคพวกนี้จะหายหมด จริง ๆ แล้วกำลังไม่สูงมาก ประมาณปฐมฌานละเอียด เพียงแต่ว่าตอนที่เราภาวนา ให้จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเฉย ๆ จะเป็นฌานหรือไม่ เป็นสมาธิหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจ แต่ถ้าหากว่าอารมณ์ใจทรงตัวถึงขนาดนั้น จะรู้ลมเองโดยอัตโนมัติ รู้คำภาวนาโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องบังคับก็รู้ เราแค่เอาสติประคองไว้ ถ้าทำอย่างนั้นได้โรคเครียดทุกอย่างจะหายหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2012 เมื่อ 10:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 21-02-2012, 10:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขอยารักษาโรคไอเรื้อรังครับ
ตอบ : เอาตำราจีนไหม ? อร่อยดี..มีไข่ ๑ ฟอง เคาะใส่ภาชนะอะไรก็ได้ที่ใส่ไมโครเวฟได้ และน้ำตาลกรวดเท่าหัวแม่มือตำละเอียดแล้วโรยลงไป แล้วก็ใบชา ๑ หยิบมือโรยลงไป นึ่งสุกแล้วกินให้หมด แค่นี้แหละ..อร่อยดีด้วย ถึงไม่หายก็อร่อย

ถาม : ไปปล่อยปลามาแล้วไม่หายครับ
ตอบ : โรคต้องรักษา ไม่ใช่ไปปล่อยปลาแล้วโรคหาย ไม่อย่างนั้นโรงพยาบาลก็เจ๊งสิจ๊ะ

ถาม : ขอทวนอีกรอบครับ
ตอบ : ไข่ ๑ ฟอง น้ำตาลกรวดเท่าหัวแม่มือ ใบชา ๑ หยิบมือ ถามอีกทีเจอเตะ..! เข้าใจแล้วว่าทำไมหลวงปู่วัดปากคลองมะขามเฒ่าถึงได้อยากให้อาตมาไปนักหนา เพราะท่านบอกคาถายาวคาถาสั้นขนาดไหนอาตมาจำได้หมด ขณะที่คนอื่นย้ำแล้วย้ำอีกไม่จำสักที

ท่านบอกคนที่ไปหาท่านคนหนึ่งว่า “มึงกำลังมีเคราะห์ร้าย ให้เอาพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว ไปถวายพระในวันพฤหัสบดี แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร” แค่นี้เขาจำไม่ได้ ถามท่าน ๓ - ๔ ครั้ง จนกระทั่งท่านง้างตีนรอแล้ว..!

ส่วนอาตมา หลวงปู่บอกว่า “เออ..ไอ้หนูมานี่ลูก มึงเอาคาถานี้ไปใช้นะ อะระหังพันเกสา ภะคะวากันอาวุธ พระพุทโธอุด พระธัมโมอุด พระสังโฆอุด พระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระพุทธโธ พระธรรมเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระธัมโม พระสังฆเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระสังโฆ อุดธัง อัดโธ นะโมพุทธายะ” แล้วท่านก็เขกหัวเปรี้ยงสนั่นเลย

ปกติถ้าคนตั้งใจจำโดนเขกกบาลขนาดนั้นจะลืมหมด อาตมาก็ทวนให้ท่านฟังอีกที ท่านบอก “เออ..ใช้ได้” ความจำต่างกันได้ขนาดนั้น อาตมาเองก็สงสัยว่า ทำไมไปทีไรได้ทุกที คงเป็นเพราะท่านบอกแล้วอาตมาจำได้ ท่านเลยให้อยู่เรื่อย ๆ วิธีประสิทธิ์ประสาทของท่านนี่ไม่ไหว เขกทีกะโหลกบวม มือหนักเป็นบ้าเลย

แต่เวลาที่กรรมบัง ต่อให้เก่งแค่ไหนก็โดน บอกแล้วว่า “อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้กรรมวิบาก” อยู่ ๆ อาตมาก็ไปเจอหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่าขาหัก ท่านกำลังเสกน้ำมันมะพร้าว เสกเอง ทาเอง นวดเอง ๗ - ๘ เดือนจึงเดินได้ตามปกติ กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงปู่ไปโดนอะไรมาครับ ?” ท่านบอกว่า “เฮ้อ..โง่ไปหน่อย เวลากรรมบังนี่มันโง่ทุกคนเลยว่ะ”

ถามว่าเป็นอย่างไรครับ ? ท่านตอบว่า “เขานิมนต์ไปงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต ข้าเดินไปถึงเห็นเขาปูเสื่อไว้ ข้าก็นึกว่าเขาปูให้ข้านั่ง เดินเข้าไปผลุบเดียวหล่นไปในหลุมเลย” เขาปิดหลุมลูกนิมิตไว้ ท่านตกไปขาหักเลย แต่ท่านก็เก่งนะ เสกน้ำมันนวดเองทาเองอยู่หลายเดือนจึงเดินได้ตามปกติ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นท่านก็อายุได้ ๘๐ กว่าแล้ว

สมัยนั้นถ้าพระวัดท่าซุงจะสึก มีฤกษ์แล้วแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่อยู่ ก็จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอให้หลวงปู่ท่านสึก เพราะฉะนั้น..พระวัดท่าซุงไม่กลัวหรอกเรื่องไม่มีที่สึก หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่อยู่ก็ไปวัดปากคลองมะขามเฒ่าแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2012 เมื่อ 10:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 21-02-2012, 10:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขอสอบถามเรื่องฤกษ์เปิดสำนักงานค่ะ
ตอบ : ไปดูตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ดีกว่า เปิดงานใหม่ให้เว้นวันศุกร์ จะเปิดวันไหนก็เปิดไป แต่ว่าวันศุกร์ให้เว้นไว้ ถ้าหากว่าดูตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ได้ก็จะดี

ถึงเวลาก็อัญเชิญพระพุทธรูปเข้าไป จุดธูปเทียนบูชาพระ ขอบารมีพระตลอดจนเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ให้ช่วยสงเคราะห์การงานให้เจริญรุ่งเรือง หลังจากนั้นเราจะทำบุญอะไรอุทิศให้ท่านก็ว่าไป

ถาม : ต้องมีการทำบุญเลี้ยงพระที่นั่นด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีได้ก็ดี แต่ถ้าหากว่ายุ่งมาก ๆ ก็ใช้วิธีไปถวายสังฆทานแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2012 เมื่อ 10:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 21-02-2012, 10:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ช่วงที่ผ่านมาหนูมีความสุขมากเลยค่ะ สุขจนออกอาการกระโดดโลดเต้น แล้วก็อยู่นานด้วยค่ะ ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : ความจริงต้องดูย้อนกลับไปว่า เราคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นตัวต้นเหตุให้เราเป็นอย่างนี้ ถ้าหากว่าเราดูย้อนหลังไปไม่เป็น เราก็จะไม่รู้ว่ามาจากไหน พอความสุขหมดไปเราก็ไม่รู้ว่าจะสร้างใหม่ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..กลับไปทบทวนดูว่าตั้งแต่ก่อนช่วงที่จะเป็น เราคิด พูด ทำ อย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน

ความจริงรักษาให้ดีจ้ะ จะกระโดดโลดเต้นอย่างไรไม่มีใครเขาว่าหรอก ไปแบ่งความสุขให้คนอื่นเขาเยอะ ๆ หน่อย มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่อาตมาฝึกพรหมวิหาร ๔ พอกำลังทรงตัวนี่เดินยิ้มคนเดียว..จริง ๆ นะ..ยิ้มกับถนนก็เอา เหมือนกับคนบ้าดี ๆ นี่เอง ไม่มีอะไรยิ้มก็ยิ้มกับข้างฝา เพราะฉะนั้น..ก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่เราต้องไปดูให้เจอว่าเกิดจากอะไร ถึงเวลาก็ทำเหตุนั้นบ่อย ๆ ก็จะได้อย่างนี้อีก

ถาม : ท่านบอกหนูหน่อยไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : บอกไม่ได้จ้ะ ต้องย้อนไปดูเอง คิด พูด ทำ อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน พอหาเจอแล้วก็ทำแบบนั้นอีก ก็จะได้อีก ถ้ามีความสุขเยอะเอามาแบ่งให้อาตมาบ้าง อาตมาจะได้เอาไปไล่แจกชาวบ้าน

ถาม : แต่จะสุขเป็นช่วง ๆ ค่ะ มีอารมณ์ทุกข์อยู่บ้าง เช่น เวลาร่างกายหิวข้าวแบบนี้
ตอบ : เรื่องปกติ ถ้าเราเอาความสุขนั้นขึ้นมา ก็จะบังสิ่งที่เป็นทุกข์ทั้งหลายไปได้ชั่วคราว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-02-2012 เมื่อ 16:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 21-02-2012, 10:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่ช่วงนั้นหนูมีความสุขมากเป็นเพราะหนูไม่รับอารมณ์ทางโลกเข้ามาเลยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าได้อย่างนั้นจะเป็นอารมณ์ที่ดีมาก ให้ทำอย่างนั้นไว้บ่อย ๆ เพียงแต่ว่าให้เราดูเรื่องของระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียมของแต่ละสถานที่ด้วย เพราะว่าบางอย่างเราไม่สนใจก็จริง แต่อาจจะไปผิดระเบียบเขา ไม่ถูกต้องตามประเพณีของเขา เดี๋ยวคนอื่นเขาจะว่าเอา แต่ถ้าหากว่าเรื่องทั่ว ๆ ไปไม่ต้องเอามาใส่ใจหรอก โยนทิ้งให้หมด เราไม่ได้แบกไว้เราก็จะเบา มีความสุขไปเอง

ถาม : มีความสุขมาก ๆ เลยค่ะ สุขเหมือนสวรรค์เลยค่ะ
ตอบ: ความจริงสุขเกินนั้นอีก (หัวเราะ) ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ให้เข้าถึงจริง ๆ ได้ ต่อไปอะไร ๆ ก็ไม่อยากได้แล้ว เพราะเราเห็นแล้วว่าความสุขจริง ๆ เป็นอย่างไร

คนที่โดนไฟรัก โลภ โกรธ หลง เผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับลงไปได้ด้วยอำนาจของสมาธิที่กดไว้ก็ดี หรือด้วยปัญญาปล่อยวางลงได้ก็ดี มีความสุขไหนแบบไหนอธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้หรอก คนที่โดนไฟเผา อยู่ ๆ ไฟเลิกเผา อธิบายว่าเป็นความสุขได้ก็เก่งเกินมนุษย์มนาแล้ว แต่เรารู้ว่าเรามีความสุข

เมื่อครู่อาตมาสรุปผิดหรือเปล่าไม่รู้ ที่บอกว่า “ไม่มาหาหลวงพ่อหลายปี เลยมีความสุข” (หัวเราะ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2012 เมื่อ 10:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 21-02-2012, 11:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเพี้ยนไปหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ เป็นการเพี้ยนที่ดี ขอให้เพี้ยนไปได้นาน ๆ

ถาม : ช่วงนั้นหนูยอมรับตรง ๆ เลยค่ะ ว่าหนูไม่ได้สวดมนต์ ไม่ได้นั่งสมาธิ แต่ว่าตรงกันข้ามกับช่วงความทุกข์ที่เจอ หนูสวดมนต์ไปร้องไห้ไป นั่งสมาธิภาวนาเต็มที่เลย แต่ว่าตอนนี้มีความสุขนี้ ไม่ได้ทำความดีอะไรเลย
ตอบ : คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมเทวดา นางฟ้า พรหม เขาถึงหลุดพ้นไม่ได้ ? เพราะว่าเวลาสุขแล้วก็เพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น ลืมทำความดี ในเมื่อเรามีบทเรียนแล้ว เห็นด้วยตัวเองแล้ว ต่อไปก็พยายามทำความดีให้สม่ำเสมอ ให้รู้ว่าความสุขที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้ ยังไม่ใช่ของที่เที่ยงแท้ มาได้ก็ไปได้ ความสุขที่แท้จริงเป็นความสุขจากการหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงเท่านั้น

ถ้าเราสามารถทำอย่างนี้ได้ ก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์ไหว้พระ ทำกรรมฐานของเราต่อไป ซ้อมไว้ทุกวันจ้ะ เพราะว่าถ้าเราประมาทเผลอเมื่อไร เดี๋ยวกิเลสตีตาย ถึอว่าซ้อมเพื่อเพิ่มความสุขแล้วกัน


ถาม : เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาหนูมีแฟนหรือเปล่า ?
ตอบ : มีส่วนเยอะเลยจ้ะ ระวังเอาไว้อย่างหนึ่งว่า ความสุขนั้นเป็นปีติจากสิ่งภายนอก ไม่ยั่งยืน พอปัจจัยเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นความสุขส่วนนี้ก็หายไป ต้องระมัดระวัง พยายามสร้างความสุขที่แท้จริงที่ถาวรให้เกิดขึ้นในใจของเรา อย่างไรก็ขอให้รักกันไปนาน ๆ นะจ๊ะ

มีคนเขาบอกว่าอย่าเปลี่ยนจากแฟนมาเป็นสามี แล้วความสุขจะอยู่ได้นาน เพราะถ้ายังเป็นแฟนอยู่เขาจะเอาใจเราไปเรื่อย แต่งงานไปเมื่อไรเขาก็เลิกเอาใจแล้ว ตอนรักกันนี่ต่างคนต่างนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเอง เพราะกลัวคนอื่นเขาจะไม่รัก ก็เลยกลายเป็นว่าเราไม่เห็นจุดบกพร่อง พอแต่งงานแล้วอยู่กันไปนาน ๆ มีความเคยชิน เขาก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องเสนอสิ่งที่ดีอยู่ตลอดเวลา ข้อบกพร่องก็จะเกิดขึ้น ถึงตอนนี้เราก็ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นให้มากขึ้น

เรื่องของการแต่งงานจะทำให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายหนึ่ง ให้กลับไปประคับประคองรักษาอารมณ์ไว้อย่างมีสติ ไม่อย่างนั้นถึงเวลาความทุกข์เข้ามาจะตั้งหลักรับไม่ทัน


ถาม : หนูก็กลัวว่าจะหายไปค่ะ
ตอบ : วิธีป้องกัน ก็คือ อย่าทิ้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ทิ้งเมื่อไรเดี๋ยวไม่มีอะไรเป็นหลักยึด ตั้งหน้าตั้งตาทำกุศลเข้าไว้ ช่วงกุศลส่งทำให้เรามีความสุข ก็ต้องรีบกอบโกยความดีให้มากที่สุด ถึงเวลาตอนทุกข์จะได้มีกำลังไปต่อสู้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2012 เมื่อ 15:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:23



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว