กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 24-01-2011, 14:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ท่านยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ ฤๅษีท่านหนึ่งไปจำพรรษาอยู่ที่ราวป่า มีหนองน้ำใหญ่อยู่ไม่ไกล และที่หนองน้ำมีพวกนกน้ำมาหากินอยู่ทุกวัน พอนกหากินเสร็จ ก็จะไปอาศัยนอนบนต้นไม้ใกล้ที่ฤๅษีจำศีลอยู่

พวกเราเคยได้ยินเสียงนกก่อนออกหากินหรือก่อนนอนบ้างหรือเปล่า ? ไม่รู้ว่านกมีอะไรคุยกันนักหนา เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด พอไม่สงบฤๅษีก็ภาวนาไม่ได้ เพื่อนฤๅษีมาหา ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? ฤๅษีบอกว่ารำคาญเสียงนก ไม่เป็นอันหลับอันนอนเลย

เพื่อนจึงบอกว่า พอถึงเวลายามค่ำคืน นกทั้งหลายนอนหมดแล้ว ยามต้นให้ไปประกาศบอกนกทั้งหลายว่า ขอขนนกคนละเส้น จะเอามาทำที่นอน ยามสองก็ให้ประกาศอย่างนั้นอีก ยามสามก็ให้ประกาศอย่างนั้นอีก

พอถึงเวลาค่ำ ฤๅษีก็ไปประกาศที่ใต้ต้นไม้ว่า "เราขอให้นกทั้งหลายสละขนคนละเส้น เราจะเอาไปทำเป็นที่นอน" นกได้ยินดังนั้นเงียบฉี่ พอยามสองก็ไปประกาศอีกรอบหนึ่ง ยามสามไปประกาศอีกรอบ ปรากฏว่านกพากันหนีไปจนหมด ไม่กลับมาอีกเลย

สาเหตุที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะภิกษุชาวเมืองอาฬวีไปเที่ยวขอของจากชาวบ้าน เพื่อที่จะเอามาสร้างกุฏิ ขอที่ดิน ขอจอบ ขอเสียม ขอไม้ ขอหญ้า ขอเถาวัลย์ ฯลฯ จนกระทั่งชาวบ้านเขากลัวกันหมด เห็นพระมาก็วิ่งหนี ขนาดเห็นวัวเดินมา สีคล้ายจีวรก็กระโดดหนี เพราะนึกว่าวัวเป็นพระ

พระมหากัสสปะไปถึงเมืองอาฬวีก็แปลกใจ ว่าทำไมเมืองอาฬวีเป็นอย่างนี้ ก่อนหน้านั้นข้าวปลาอาหารหาง่าย จะบิณฑบาตที่ไหนก็มี แต่ทำไมตอนนี้ไม่ค่อยมีคนใส่บาตรเลย พอสอบถามได้ความขึ้นมา จึงกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสชาดกสองเรื่องนี้ว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอย่อมเป็นที่รังเกียจ และบัญญัติห้ามภิกษุขอสิ่งของจากบุคคลที่ไม่ใช่ญาติ และไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-01-2011 เมื่อ 16:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 24-01-2011, 14:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คำว่า ญาติ เขานับขึ้นสามระดับ นับลงสามระดับ นับขึ้นสามระดับ ก็คือ พ่อแม่ ปู่ย่า ปู่ทวดย่าทวด นับลงสามระดับ ก็คือ ลูก หลาน เหลน เขยกับสะใภ้ไม่นับเป็นญาติ เพราะฉะนั้น...ถ้าเป็นพระอย่าเที่ยวไปขอของจากเขยหรือสะใภ้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้นับให้เป็นญาติ"

ถาม : อย่างพี่น้อง ถือว่าเป็นระดับไหน ?
ตอบ : ระดับเดียวกัน เพราะคลานตามกันมา

ถาม : ในกรณีของพ่อแม่บุญธรรม ?
ตอบ : ไม่นับว่าเป็นญาติ เพราะญาติเขานับด้วยสาโลหิต คำนี้ฟังให้ดีนะ..ไม่ใช่สายโลหิต

สาโลหิต คือสายเลือดเดียวกัน แต่เขาไม่มี ย.ยักษ์ สมัยนี้กลายเป็นญาติสายโลหิต สมัยนี้จากถูกเขียนเป็นผิด จากผิดเขียนเป็นถูก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 14:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 24-01-2011, 15:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default



พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงที่มาของการสร้างพระบรมรูปของสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าปางลีลาประทานพร ว่า "อาตมาจะสร้างพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร เกิดขึ้นมาจากการฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก เมื่อขึ้นไปถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แล้ว ครูฝึกท่านแนะนำให้เชิญพ่อแม่ในอดีตทั้งหมดมารวมกัน เพื่อที่เราจะได้กราบขอบพระคุณท่านที่เคยอุ้มชูเลี้ยงดูเรามาในแต่ละชาติแต่ละภพ

ปรากฏว่าพ่อแม่มามากจนนับไม่ถ้วน ครูฝึกจึงแนะนำว่า ให้อธิษฐานขอให้พ่อแม่ที่มีวาสนาบารมีมากที่สุด ให้ออกมายืนข้างหน้า อาตมาก็เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเสด็จออกมาในลักษณะพุทธลีลา งดงามสุด ๆ งามประทับใจ ภาพนั้นติดตามาจนทุกวันนี้

กราบทูลถามพระองค์ท่านว่ามีพระนามใด ? ทรงตรัสว่า "จำพ่อไม่ได้แล้วหรือ ?" กราบทูลว่า "จำไม่ได้จริง ๆ พระเจ้าข้า" พระองค์จึงบอกว่า "สมเด็จพ่อพุทธกัสสปของเธออย่างไรเล่า ต่อไปถ้าจะมาหาเธอ พ่อจะมาในลักษณะอย่างนี้ ให้จำไว้" อาตมาก็จำว่าพระองค์จะมาในลักษณะพระพุทธเจ้าปางลีลาประทานพร ภาพนี้ติดตามาโดยตลอด

จนกระทั่งหลังจากบวชแล้ว พรรษาที่สอง..ยังไม่เต็มพรรษาดี บรรดาพระรุ่นพี่ ๆ สึกเสีย ๔ - ๕ รูปติดกัน เริ่มตั้งแต่หลวงตามหาแสวง หลวงพี่เกรียงไกร หลวงพี่พรสรรค์ ที่หนักที่สุดคือหลวงพี่ชัยศรี

หลวงพี่ชัยศรี คือผู้ที่ใคร ๆ ก็คิดว่าต้องเป็นองค์แทนถัดไปจากหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพี่อนันต์ยังไม่มีแววโผล่มาเลย แต่หลวงพี่ชัยศรีกลับสึกเสียนี่ ใจหายจนบอกไม่ถูก กลางคืนอาตมาต้องนอนกอดจีวรแน่น รู้สึกหวงจีวรจริง ๆ "ใครอย่ามาเอาของกูไปนะ.." รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ว่าจะไม่ยอมให้ใครมาเอาจีวรของเราไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 25-01-2011 เมื่อ 05:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 24-01-2011, 15:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอตกเย็น ต้องไปทำกรรมฐานทุกวันที่ตึกธัมมวิโมกข์ ทำวัตรเย็นเสร็จก็เจริญกรรมฐาน ถึงทุ่มครึ่งจึงกลับกุฏิ เวลากลับอาตมาที่เคยชินกับการเดิน ก็เดินออกจากตึกธัมมวิโมกข์เลาะมาผ่านตึกกลางน้ำ (ตึกสงวนจิตรและเพื่อน)

ตอนนั้นหลวงพ่อพักอยู่ที่ตึกกลางน้ำ ก็ยกมือไหว้ที่ตึกหลวงพ่อ นึกในใจว่า "หลวงพ่อครับ..ขนาดพี่ ๆ เขาอยู่กันมานานอย่างนั้น ยังไปกันหมด แล้วน้ำหน้าอย่างผมจะอยู่ได้หรือครับ ?" พอคิดอย่างนั้น รู้สึกเหมือนกับพื้นที่ทั้งหมดว่างโล่ง แผ่นดินแผ่นฟ้าหายไปหมด เหลือพระพุทธเจ้าในลักษณะปางลีลาองค์ใหญ่ยืนค้ำฟ้า แล้วพระหัตถ์ของพระองค์ท่านก็จูงแขนอาตมาข้างหนึ่ง

พระหัตถ์อีกข้างทรงชี้ไปข้างหน้าไกลลิบโลกเลย เห็นจุดวิบ ๆ ๆ เหมือนอย่างกับเพชรสว่างแพรวพราว ทรงตรัสว่า "พระนิพพานอยู่ข้างหน้าโน่น..ไปให้ถึงนะลูก" ภาพนี้ติดตาติดใจอาตมาตลอดมา คิดว่าถ้ามีโอกาสก็จะสร้างพระบรมรูปของพระองค์ในลักษณะอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที

ตอนแรกที่เห็นเพื่อนพระ คือพระอาจารย์วันชาติ วํสธมฺโม วัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อย ท่านสั่งแกะพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร อาตมาเห็นก็บอกกับท่านว่า "นี่แหละ..แบบที่ผมอยากได้เลย" แต่ของท่านองค์เล็ก ทั้งฐานและองค์สูง ๒ เมตรเท่านั้น ถามท่านว่า "ค่าแกะเท่าไร ?" ท่านบอกว่า "อาจารย์ถามค่าหินผมก่อนดีกว่า" จึงถามว่า "ค่าหินของคุณเท่าไร ?" ท่านบอกว่า "สามแสนบาท..!"

"แล้วค่าแกะล่ะ ?" ท่านบอกว่า "หกแสนบาท..!" นี่แค่ ๒ เมตรนะ ก็เลยถามว่าช่างอยู่ที่ไหน ? ท่านบอกว่าอยู่เชียงรายแถวแม่สายโน่น.. "ผมอยากได้อย่างนี้บ้าง" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นต้องบอกให้ช่างเขาหาหินไว้ให้ก่อน"

ปรากฏว่าเกือบสองปีถึงจะได้หินมา แต่หินของอาตมา ช่างเขาคำนวณพื้นที่แล้ว องค์พระจะแกะได้สูง ๒ เมตร มีฐานพระอีก ๗๐ เซ็นติเมตร ช่างจึงขอคิดค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น ๗๐๐,๐๐๐ บาท ใช้เวลาในการแกะประมาณ ๑๘ เดือน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 25-01-2011 เมื่อ 05:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 24-01-2011, 15:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สล่า (ช่าง) ท่านนี้อายุมากแล้ว หลังจากใช้ลูกศิษย์แล้วไม่ได้ดั่งใจ ท่านก็เลยทำเองคนเดียว ท่านบอกว่าเสียดายพระพุทธรูปปางลีลา เราลองนึกดูว่าหินก้อนอย่างนี้ เวลาแกะด้านล่างให้มีขนาดเล็ก จะต้องถากหินออกเยอะมาก อาตมาจึงบอกว่า "ถ้าปาดหินออก ช่างพยายามเก็บไว้ให้ก่อน จะไปดูว่าเผื่อจะทำอะไรได้บ้าง"

พออาตมามาเจริญกรรมฐาน ๑๕ วัน ที่วัดบางช้างเหนือ อากาศเปลี่ยนเป็นหนาวจัด ทำให้ไม่สบาย ตอนเช้ามืดหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็มา แวะมาดูว่าตายหรือยัง..! สมเด็จพระพุทธกัสสปท่านเสด็จมาทีหลัง มาบอกว่า "ขอบใจมากนะลูก..ที่ตั้งใจจะทำรูปของพ่อขึ้นมาให้เป็นที่เคารพบูชาแก่คนทั้งหลายเขา นับว่าสิ่งที่เจ้าตั้งใจมาตั้งนานแล้ว จะประสบความสำเร็จตามที่หวัง"

แล้วพระองค์ท่านทรงอธิบายว่า พระพุทธรูปปางลีลาประทานพร โดยความหมายก็คือ ความเจริญก้าวหน้าและความสำเร็จในทุกด้าน ถ้ามีโอกาสจะหล่อเป็นพระบรมรูปยืนองค์เล็กของพระองค์ท่าน เผื่อไว้ให้พวกเราได้มีโอกาสบูชาไว้ประจำบ้านด้วย

อาตมาเพิ่งจะเข้าใจเหมือนกันว่า ลีลา ก็คือการเดินไปข้างหน้า ความก้าวหน้า การประทานพร ก็คือการให้ในสิ่งที่เราต้องการ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 25-01-2011 เมื่อ 05:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 24-01-2011, 15:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระองค์ท่านอธิบายว่า หมายถึงความก้าวหน้าและความสำเร็จทุกอย่าง พระองค์ท่านเป็นพ่อที่อาตมาอาศัยพึ่งบารมีมาตลอด

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าสองพระองค์ คือพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระพุทธทีปังกร และพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระพุทธกัสสป เป็นพระพุทธเจ้าที่เลิศด้วยลาภกว่าทุกพระองค์ เพราะว่าทั้งสองพระองค์เริ่มการบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณมาจากทานบารมี

แต่ทั้งสองพระองค์นี้ไม่เหมือนกันนะ องค์หนึ่งมาทีฟ้าถล่มดินทลาย เหมือนกับคลื่นทะเล อีกองค์มาแบบเรื่อย ๆ เหมือนน้ำที่ไหลไม่รู้จักขาดสายเสียที แต่เป็นผู้ที่เลิศด้วยลาภเหมือนกัน

อาตมาก็ไม่ได้นึกว่า ในชีวิตจะเกิดมามีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเหมือนกัน เกิดนานเท่าไรก็จำไม่ได้หรอก แต่อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า ท่านสร้างบารมีมา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ท่านพบพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งขี้เกียจนับ ท่านบอกว่าเฉพาะที่เกิดเป็นลูกท่านก็ ๘๔ พระองค์ นั่นหลวงพ่อของเรานะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 25-01-2011 เมื่อ 05:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 24-01-2011, 15:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ว่าจะเปลี่ยนใจไปเกิดต่อในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย ?
ตอบ : โลกนี้น่าเบื่อจะตาย ไม่มีเวลาไหนที่ไม่ทุกข์เลย แม้กระทั่งนั่งอยู่เฉย ๆ ตอนนี้ก็ยังปวดยังเมื่อยเป็นปกติ ถ้านานไป ๆ สภาพจิตของเราละเอียดขึ้น ปัญญามีมากขึ้น เห็นทุกข์แล้วจะทนไม่ได้ เดี๋ยวก็จะเลิกคิดเกิดไปเอง คงไม่ไปคิดเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยแล้ว

อาตมาเองสมัยเด็ก ๆ ผู้ใหญ่เขาสอนมา สมัยนั้นเขาไม่รู้จักพระนิพพานกันหรอก เขาให้อธิษฐานว่า "ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้เกิดมาทันพระศรีอาริย์" เขาให้อธิษฐานแค่นี้จริง ๆ

อาตมามารู้จักพระนิพพาน หลังจากอายุ ๑๖ แล้ว ได้ปฏิบัติตามสายหลวงพ่อ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยท่านก็ฝากบริวารไว้กับหลวงพ่อวัดท่าซุงเยอะ แต่ท่านสั่งเอาไว้ว่า ถ้าต้องการเกิดในสมัยท่าน ให้รักษาศีล ๑๑ ข้อ

ข้อที่ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามทรมานสัตว์ให้ลำบากโดยเจตนา
ข้อที่ ๒ ห้ามลักขโมยของคนอื่นเขา ของที่เขาไม่ได้ให้ก็ห้ามหยิบฉวยมาด้วย
ข้อที่ ๓ ห้ามประพฤติในกาม ไม่ว่าจะลูกเขาเมียใคร ถ้าผู้ปกครองเขาไม่อนุญาต แตะต้องไม่ได้
ข้อที่ ๔ ห้ามพูดโกหก

ข้อที่ ๕ ห้ามพูดคำหยาบ
ข้อที่ ๖ ห้ามพูดวาจาส่อเสียดให้คนเขาแตกร้าวกัน
ข้อที่ ๗ ห้ามพูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
ข้อที่ ๘ ห้ามดื่มสุราเมรัย

ข้อที่ ๙ ห้ามโลภอยากได้ของคนอื่น จนถึงขนาดทำผิดศีลผิดธรรม อยากได้อะไรให้เสาะหามาให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม
ข้อที่ ๑๐ ห้ามพยาบาทอาฆาตแค้นคนอื่น โกรธได้ แต่หลังจากนั้นแล้วให้ลืมเสีย อย่าไปผูกโกรธ
ข้อที่ ๑๑ ต้องมีความเห็นถูก ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์สอน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น เป็นสิ่งที่ดี ให้เราตั้งใจทำตาม

ท่านบอกว่า ถ้าตั้งใจรักษา ๑๑ ข้อนี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วตั้งใจไปเกิดสมัยท่าน ได้ไปแน่นอน ท่านยินดีรับเป็นบริวาร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 16:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 24-01-2011, 23:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยจะผ่านร่างทรงท่านหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อว่า "ท่านปรีชาทรงธรรม" ท่านจะเขียนคำทำนายแต่ละปี ถวายให้หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่เสมอ และหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องการอะไร ท่านก็จะให้คนหามาถวาย

สมัยที่หลวงพ่อท่านยังรับสังฆทานอยู่ที่ศาลานวราชบพิตร ถ้าใครไปทันรุ่นนั้น จะเห็นโต๊ะรับแขกไม้แกะสลักเก่า ๆ อยู่ชุดหนึ่ง ชุดนั้นแหละ..ที่สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยท่านถวายมา เป็นเรื่องแปลกตรงที่ว่า คนที่ถวายก็ไม่รู้จักหลวงพ่อ

เขาบอกว่า สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยไปหาเขาเอง แล้วบอกว่า "ทางวัดท่าซุงต้องการชุดรับแขกชุดนี้ ช่วยเอาไปถวายให้หน่อย ถ้าหากเขาถามว่ามาจากใคร ให้บอกว่ามาจากท่านปรีชาทรงธรรม แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงจะรู้เอง"

เจ้าของโต๊ะรับแขกถึงไม่แน่ใจ แต่ยังอุตส่าห์เอาไปถวาย พอบอกว่ามาจากท่านปรีชาทรงธรรม หลวงพ่อจึงบอกว่าเป็นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย เขาจึงได้เชื่อว่า พระที่ท่าน "ถึงกัน" จริง ๆ ยังมีอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 04:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 24-01-2011, 23:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ท่านที่ไปเกิดในสมัยสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย ท่านจะได้ไปนิพพานหมดไหมครับ ?
ตอบ : คนในสมัยนั้นไปนิพพานกันหมด ในสมัยของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย คนชั่วเขาห้ามเกิด..!

การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละประเภทนั้น ปัญญาธิกะอย่างสมัยของเราปัจจุบัน พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมีมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านมีดีมีชั่ว มีรวยมีจน มีสวยงามมีอัปลักษณ์ ปนเปกันไป บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ จึงจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้

สมัยพระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกะ ท่านจะสร้างบารมีมา ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บารมีมากขึ้นอีกเท่าตัว ในยุคนั้น เขตที่ท่านประกาศศาสนา คนชั่วจะเข้าไปรบกวนบริวารท่านไม่ได้ เหมือนกับโดนจำกัดเขตไว้เลย คุณจะชั่วก็ได้ แต่ต้องไปชั่วที่อื่น

แต่พระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ ท่านสร้างบารมีมา ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป อย่างสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านทุ่มเทเพื่อบริวารอีกเป็นเท่าตัว เพราะฉะนั้น..บริวารของพระองค์ท่านจะปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง โลกยุคนั้นคนชั่วจะเกิดไม่ได้ บริวารที่มาเกิดพอได้ฟังพระองค์ท่านเทศน์ ก็ยกขบวนไปนิพพานกันหมดเลย จะรอเกิดสมัยท่านไหม ?

ถาม : ไม่รอค่ะ แล้วเมื่อไรเราจะฉลาดเหมือนบริวารของท่าน ? ทำมาเยอะแต่ไม่กระดิกเลยค่ะ
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละ ค่อย ๆ ทำไป ถ้าหากคนทั่ว ๆ ไป ก็คือ ทาน ศีล ภาวนา

สิ่งที่เราทำจะเป็นความดีรวมตัวอยู่ แต่เราไม่ค่อยเห็นต้นทุนตัวเอง เราจะเห็นต้นทุนตัวเองก็ต่อเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น อย่างเช่น เจ็บไข้ได้ป่วยชนิดเป็นหนักจนปางตาย กำลังความดีที่รวมตัวจะทำให้เราเห็นเลยว่า เรามีต้นทุนเพียงพอที่จะไปนิพพานหรือยัง ?

หรือบางท่านเกิดอุบัติเหตุรถชน แต่ทำไมเราไม่ตกใจเหมือนคนอื่นเขาเลย ? ทำไมเราถึงได้มีสติอยู่ตลอดเวลา ? รู้อยู่ว่าควรจะแก้ไขอย่างไร ควรจะหลบเลี่ยงอย่างไร ? ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วเราจะรู้ว่าต้นทุนของเรามีเท่าไร แต่ถ้ายังไม่ฉุกเฉิน จะไม่รู้หรอก ต้องทำไปเรื่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 04:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 24-01-2011, 23:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าคนที่ยังไม่ปรารถนานิพพาน ก็ยังไม่ควรไปเกิดในสมัยพระศรีอาริย์หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นยุคที่ท่านประกาศศาสนาก็ไม่ได้เกิด เพราะคนที่จะไปก็คือบริวารที่ท่านจะเก็บไปล้วน ๆ เลย ถึงแม้จะเป็นบริวารสายอื่น แต่ถ้ารักษาศีล ๑๑ ข้อนี้ได้อย่างเคร่งครัด ไปสมัยนั้นฟังท่านเทศน์จบเดียวก็ไปนิพพานเลย

บอกแล้วว่าโลกยุคนั้นคนชั่วห้ามเกิด พระองค์ท่านเอาแต่คนดีจริง ๆ

ถาม : คนปรารถนาพุทธภูมิไม่ควรไปเกิดในยุคนั้นหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่ควรไปเกิด แต่คงไม่ได้ไปเกิด เพราะว่าเทศน์ไปแล้วก็คงไม่ได้อะไร

แต่คนปรารถนาพุทธภูมิก็ไม่นับว่าเป็นคนชั่วนี่นะ คนปรารถนาพุทธภูมิก็ถือว่าเป็นคนดี อาจจะไปรอท่านพยากรณ์ให้ก็ได้ ไปรอท่านพยากรณ์ว่า อีกนานแสนนานเหลือเกินกว่าจะถึงคิวตัวเอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 04:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 25-01-2011, 00:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default



พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธรูปปางปรินิพพาน พระบาทจะเรียงเสมอกัน เขาเรียกว่า อนุฏฐานไสยาสน์ คือ นอนแล้วจะไม่ลุกขึ้นอีก



แต่ถ้าเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ทั่ว ๆ ไป พระบาทจะซ้อนเหลื่อมกัน




ถ้าเป็นไสยาสน์ลืมเนตร ก็คือ ไม่ได้หลับตา จะเป็นปางโปรดอสุรินทราหู


เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่เห็นพระนอนแล้วจะไปนึกว่าเป็นปางไสยาสน์อย่างเดียว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 04:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 25-01-2011, 00:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงเรื่องบุญฤทธิ์ว่า "ในธรรมบทได้กล่าวถึงเรื่องของบุญฤทธิ์ ไว้ดังนี้

วันหนึ่งพระยามารตั้งใจจะแกล้งไม่ให้คนได้ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงบันดาลให้เกิดพายุใหญ่ ไฟทั้งเชตวันมหาวิหารดับหมด และไฟทั้งกรุงสาวัตถีโดนพายุพัดดับหมด แล้วพระยามารจึงสำรวจดูว่า ยังมีไฟที่เหลือไม่ดับอีกหรือไม่ ?

ปรากฏว่ามีเทียนอยู่ดวงหนึ่ง ไม่ยอมดับ พระยามารก็แปลกใจ จึงบันดาลให้ลมแรงหนักยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่ดับอีก พระยามารจึงปลอมตัวเป็นมานพน้อยเข้าไปดู ไฟนั้นอยู่ที่กระต๊อบของหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งอาศัยแสงเทียนกำลังชุนผ้าอยู่

พระยามารถามว่า "ยายทำอะไรอยู่ ?" ยายบอกว่า "ยายกำลังชุนผ้าอยู่ ยายมีอาชีพรับจ้างเย็บผ้า" พระยามารถามว่า "ยายต้องอาศัยแสงไฟนี้เย็บผ้าทุกวันหรือ ?"

ยายบอกว่า "ปกติยายก็เย็บผ้าแค่ตะวันตกดินเท่านั้นแหละ ยายไม่ได้มีเงินมากมายที่จะมาซื้อเทียน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันฟังธรรม ยายจึงนึกตั้งใจจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย เพราะไม่มีโอกาสไปฟังธรรม แต่ขอบูชาพระรัตนตรัยนี้ด้วยแสงเทียนนี้ แล้วยายก็อาศัยแสงเทียนนี้เย็บผ้าไปด้วย"

ด้วยบุญฤทธิ์ตรงนั้น พระยามารหมดสิทธิ์ที่จะแกล้ง ขนาดในเชตวันมหาวิหารที่พระพุทธเจ้าพำนักอยู่ ไฟยังดับเลย แต่ด้วยบุญฤทธิ์ที่ยายเขาตั้งใจจุดเทียนถวายเพื่อบูชาพระรัตนตรัย ทำอย่างไรพระยามารก็ไม่สามารถที่จะดับเทียนของยายได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 04:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 25-01-2011, 00:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกำลังใจในการทำบุญว่า "ในเรื่องของกำลังใจในการทำบุญไม่มีคำว่าเล็กน้อย สมัยช่วงพรรษาแรก ๆ ที่อาตมาบิณฑบาตอยู่ที่วัดท่าซุง มีบ้านยายอยู่หลังหนึ่ง เขาจะเก็บเอาดอกไม้พื้น ๆ อย่างดอกหงอนไก่ ดอกสร้อยทอง ดอกซ่อนกลิ่น แล้วก็เอาใบตองพันเป็นกรวยอย่างดี มาถวายพระทุกวัน

ความรู้สึกของอาตมาในตอนนั้น ก็คือ เป็นของที่ไม่ได้มีราคาอะไรเลย แต่ก็รับมา เวลาเดินเข้าหอฉัน ก็จะเอาไปไหว้พระตรงศาลาหลวงพ่อสี่พระองค์แล้วเสียบไว้ตรงรั้วศาลา เป็นเครื่องบูชาหลวงพ่อสี่พระองค์ ทำอย่างนี้แต่ใจก็คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำไมยายถวายของอะไรอย่างนี้ได้ทุกวัน ? คนรับรู้สึกรำคาญ ข้าวของก็ไม่ได้มีราคาอะไรสักหน่อย

ถัดมาเป็นวันปาฏิโมกข์ลงโบสถ์ พอฟังพระปาฏิโมกข์เสร็จมีเวลาเหลือ หลวงพ่อก็สรรเสริญเจริญพรด่าซะจมดินไปเลย ท่านบอกว่า "ไอ้พวกที่ไปตีราคากำลังใจคนเป็นตัวเงิน เลวเสียยิ่งกว่าหมาอีก..!

ถ้าแกไม่ได้บวชเข้ามา ข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียวเขาก็ไม่ให้แกหรอก แต่ที่แกบวชเข้ามา ด้วยอาศัยคุณของพระรัตนตรัย ทั้งข้าว ทั้งน้ำ ทั้งผ้าผ่อนท่อนสไบ ทั้งที่อยู่อาศัย ญาติโยมเขาสงเคราะห์ให้หมด เราไม่สามารถจะตีราคาวัตถุเป็นราคาเงินในท้องตลาดได้

ช้อนคันหนึ่งเราอาจจะซื้อในท้องตลาดสามบาทห้าบาท แต่พอถวายมาด้วยศรัทธาเป็นเครื่องบูชาคุณพระรัตนตรัย ถวายมาตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อานิสงส์และราคานั้นจะประมาณเป็นตัวเงินไม่ได้แล้ว ใครที่ยังเอากำลังใจต่ำ ๆ ของตัวเองไปประเมินราคาของ ๆ คน โดยที่คิดว่า เป็นของที่ไม่มีราคา ให้รู้ด้วยว่านั่นเป็นกำลังใจของสัตว์นรก..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 04:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 25-01-2011, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"วันรุ่งขึ้นพอบิณฑบาต เห็นยายแล้วแทบจะกระโดดอุ้มเลย รีบ ๆ ส่งดอกไม้มาเลยยาย อาตมาจะรีบรับ..! เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของกำลังใจในการทำบุญ เราจะวัดเป็นราคาหรือเป็นตัวเงินไม่ได้ เพราะคุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ เราไม่สามารถที่จะประมาณได้

บาลีท่านบอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ ธัมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ไม่มีที่จะประมาณได้ เปรียบอย่างไรก็เปรียบไม่ได้

ในเมื่อเป็นดังนั้น สิ่งที่เขาตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ถ้าเกิดว่าเขามีอันเป็นไป ได้ไปอยู่ข้างบน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะกลายเป็นทิพย์สมบัติที่คิดเป็นราคาในโลกมนุษย์ไม่ได้

เพราะฉะนั้น..ในส่วนของอริยทรัพย์จะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าสายตาทั่ว ๆ ไปจะเห็นและคิดถึง ถ้าหลวงพ่อท่านไม่เมตตาด่า อาตมาก็ยังคงคิดชั่ว ๆ อยู่เหมือนเดิม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 04:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 25-01-2011, 00:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราไม่ได้ตั้งใจถวายของพระ แต่เรายื่นมือเอาของไปให้ แล้วเราจำเป็นต้องเอาคืน ถ้าขอคืนจะได้หรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ ขอคืนตรง ๆ ก็ได้ แต่ถ้าจะเอาอย่างนางวิสาขา ท่านลืมเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ไว้ในวัด แล้วพระอานนท์เอาไปเก็บไว้ให้ นางวิสาขาท่านถือว่าเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ไปแล้ว ท่านก็เลยใช้วิธีชำระหนี้สงฆ์ แล้วก็ต้องชำระเอง ๙๑ โกฏิ..!

พูดง่าย ๆ ว่าเราได้ทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนา ต่อไปอาจจะเป็นพวกโยกเครื่องหยอดเหรียญเสี่ยงโชคเล่นแล้วได้รางวัลใหญ่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 04:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 25-01-2011, 11:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : วิปัสสนูปกิเลส มีอยู่ข้อหนึ่งที่เรียกว่า ญาณ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลสข้อญาณหรือข้อโอภาส ?
ตอบ : ญาณ ที่เป็นวิปัสสนูปกิเลสจะทำให้เรารู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องที่รู้ไม่ได้ช่วยให้ตัดกิเลส คิดจะสร้างยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ ก็จะสามารถบอกรายละเอียดได้ครบถ้วนเลย เพราะฉะนั้น..วิธีที่จะแยกวิปัสสนูปกิเลสออกจากเรื่องญาณ คือ ปัญญา

ถ้าญาณอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่ช่วยในการตัดกิเลส ให้รู้ว่านั่นเป็นวิปัสสนูปกิเลส ส่วนโอภาสไม่ต้องไปสนใจ อะไรสว่างมาก็ใช่วิปัสสนูปกิเลสทั้งนั้น อย่าไปหลงคิดว่าตนเองบรรลุก็แล้วกัน

เรื่องญาณนั้น ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะรู้ทุกเรื่องจริง ๆ รู้จนมาสงสัยว่าอะไรจะรู้ได้ขนาดนั้น..! แต่พอมาพิจารณาดูแล้วจึงเห็นชัดว่า ทุกเรื่องที่รู้นั้น ไม่มีเรื่องไหนที่ช่วยในการตัดกิเลสเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 20:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 25-01-2011, 11:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นมาลาเรียมาตลอดชีวิต แต่ท่านมารู้ก่อนท่านมรณภาพแค่ปีกว่า ๆ

ทุกเย็นท่านจะต้องอาเจียน ท่านจึงรับสังฆทานแค่สี่โมงเย็น พอสี่โมงเย็นกลับถึงกุฏิก็อาเจียนทุกที ท่านคิดว่าพระท่านใช้กำลังช่วยเอาไว้ แต่ความจริงท่านเป็นมาลาเรียลงกระเพาะ ถึงเวลาก็อาเจียนตามเวลา

ก่อนจะมรณภาพปีกว่า ๆ วาระกรรมของท่านเปิดแล้ว พระท่านจึงมาทำภาพให้ดูว่าเป็นอะไร ให้เอายาควินินเข้มข้นฉีดเข้าไปจึงหาย ท่านบอกว่าไม่ได้ธุดงค์มา ๓๐ - ๔๐ ปี ไม่ได้นึกว่าตนเองยังเป็นมาเลเรียอยู่

พวกมาลาเรีย ถ้าเราร่างกายแข็งแรงจะไม่ออกอาการ แต่ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอเมื่อไร จะออกอาการทันที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 11:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 25-01-2011, 11:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default



พระอาจารย์กล่าวว่า "งานฉลองบ้านวิริยบารมีวันที่ ๓๑ มีนาคมนี้ ถ้าใครไปร่วมงาน อาตมาจะแจกพระชัยวัฒน์เกราะเพชร ถ้าไม่ได้ไป ให้เตรียมบูชาเอาเองก็แล้วกัน หลังวันที่ ๓๑ มีนาคมแล้วจะแพงตามเดิม

พระชัยวัฒน์ สมัยก่อนท่านสร้างในลักษณะเป็นพระประจำองค์ของพระมหากษัตริย์ จนกระทั่งบางทีเขาเรียกกันง่าย ๆ ว่า พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ รัชกาลที่ ๑ เพราะรัชกาลที่ ๑ จะนำเอาพระชัยวัฒน์ออกศึกด้วยทุกครั้ง โดยเอาขึ้นหลังช้างไป จนกระทั่งเขาเรียกกันว่า พระชัยหลังช้าง

พอมารุ่นหลัง อย่างสมัยสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสะเทวะมหาเถระ) เวลาบรรดาเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่จัดงานวันเกิด อย่างครบ ๕ รอบ (๖๐ ปี) มักจะขอให้พระองค์ท่านช่วยหล่อพระชัยวัฒน์ให้กับตนเองหรือคนในวงศ์ตระกูล แต่จะหล่อครั้งละแค่ไม่กี่องค์ เขาก็เลยถือว่าพระชัยวัฒน์เป็นพระสำคัญที่ค่อนข้างจะหายาก

คำว่า ชัยวัฒน์ นอกจากจะหมายถึง ชัยชนะแล้ว ยังมีความหมายว่าเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย ระยะหลังมักจะมีการสร้างคู่กับพระกริ่ง โดยที่พระกริ่งจะเป็นองค์ใหญ่กว่า มีกริ่งข้างใน แต่พระชัยวัฒน์ที่เป็นองค์เล็กจะไม่มีกริ่ง

คราวนี้ที่อาตมาสร้าง พระท่านบอกให้ทำเอาไว้ ได้ทูลถามว่าทำเนื่องในโอกาสอะไรครับ ? พระองค์ท่านตรัสว่า เอาไว้แจกในงานฉลอง ไล่ไปไล่มา ถ้าไม่ฉลองพระครูสัญญาบัตร ก็คงจะฉลองพระอุปัชฌาย์ ไป ๆ มา ๆ วินาทีสุดท้ายแม้แต่พระอุปัชฌาย์ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะเข้าสอบ ก็คงจะเป็นการฉลองบ้านวิริยบารมีนั่นแหละ

ที่อาตมาสร้างเป็นพระชัยวัฒน์ที่ไม่เหมือนกับที่อื่นตรงที่มีบัวรอบองค์ ส่วนใหญ่ที่เขาทำกันกลีบบัวข้างหลังจะไม่มี อย่างพระกริ่งปวเรศจะมีบัวข้างหลังอยู่กลีบเดียว ที่อาตมาสร้างจะมีอยู่สามเนื้อ ในรูปที่เห็นเป็นเนื้อชุบทองพ่นทราย

กำลังสั่งเขาทำเนื้อเงินกับนวโลหะ ซึ่งคงจะราคาสูง เพราะว่าตอนนี้เงินกิโลหนึ่งเกือบสามหมื่นบาทแล้ว ตั้งใจว่าจะทำแค่ไม่กี่องค์หรอก อย่างเก่งแค่ ๒๐๐-๓๐๐ องค์ ให้ตีกันตายไปเลยว่าใครจะได้เป็น ๑ ใน ๓๐๐"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 11:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 25-01-2011, 12:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องคนตายแล้วไปไหน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านห้ามอาตมาไม่ให้บอก สมัยก่อนอาตมาบอกเขาบ่อย ต่อมาจึงโดนห้าม เมื่อเกิดความสงสัยจึงกราบเรียนถามท่านว่า เป็นเพราะอะไรครับ ? หลวงพ่อท่านบอกว่า "แกลองไปดูในมหากัมมวิภังคสูตร" เราก็เดือดร้อน รีบวิ่งไปเปิดพระไตรปิฎกดู

ในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า โยคีบุคคลผู้ตั้งใจเจริญกรรมฐาน ทรงฌานสี่ได้ ยังทิพจักขุอันบริสุทธิ์ให้เกิด สามารถเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้ แล้วกล่าวว่า บุคคลผู้ทำความดี ไปสวรรค์โดยส่วนเดียว บุคคลผู้ทำความชั่วไปนรกโดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่

บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ไปดีแน่นอน
บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปดี
เพราะฉะนั้น..ชาตินี้เราเห็นคนทำดีทั้งชีวิต เขาอาจจะตกนรกก็ได้ เพราะกรรมในอดีตอาจจะตามมาทัน

บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ไปทุคติแน่นอน
บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปทุคติ
เพราะบางทีความดีก็ตามมาทัน อย่างท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร

ท่านบอกว่า "ในเมื่อแกเที่ยวไปบอกเขาว่า คนตายแล้วไปไหน ก็มีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไรเลย" อาตมากราบเรียนถามว่า "เป็นเพราะอะไรครับหลวงพ่อ ?"

ท่านบอกว่า "ถ้าเขาทำดีมาทั้งชีวิต ตายแล้วเขาไปดี ลูกหลานญาติเขาก็เห็นสมควรว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว นี่คือเสมอตัว แต่ถ้าเขาทำความดีมาทั้งชีวิต ก่อนตายจิตเศร้าหมอง ลงข้างล่างไป แล้วลูกหลานที่ไหนเขาอยากจะทำดี ในเมื่อเห็น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของตัวเองทำความดีมาตลอดชีวิต แล้วดันไปลงนรก"

ดังนั้น..แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง เมื่อพระนางมัลลิกาเทวีตกนรกไป ๗ วัน พระเจ้าปเสนทิโกศลจะไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระนางมัลลิกาตายแล้วตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน ? พระพุทธเจ้าต้องแสดงอิทธาภิสังขาร บังคับให้พระเจ้าปเสทิโกศลลืมถามทุกครั้ง

จนกระทั่งพ้น ๗ วันไปแล้ว เมื่อพระนางมัลลิกาเทวีจุติไปเป็นนางฟ้าอยู่ข้างบน พระพุทธเจ้าจึงคลายฤทธิ์ออก พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทูลถามพระพุทธเจ้าถึงที่ไปของพระนางมัลลิกาเทวี พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ไปเป็นนางฟ้าอยู่ข้างบน พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ฟังแล้วก็สบายใจ

ถ้าไปบอกเสียตั้งแต่วันแรกว่า พระนางมัลลิกาเทวีลงนรกก็แย่กันพอดี พระมหากษัตริย์อาจจะสั่งยกเลิกการอุปภัมภ์พุทธศาสนาไปเลย ดังนั้น..อาตมาเป็นพระรูปเดียวที่มีสิทธิพิเศษในวัดท่าซุง คือ หลวงพ่อสั่งห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหนและห้ามบอกหวย ดังนั้น..พวกเราต้องลองไปถามท่านอื่นดู เพราะท่านอาจจะยังไม่โดนห้าม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 20:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 25-01-2011, 12:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำอย่างไรให้เทวดานางฟ้ารักเรา ไม่หมั่นไส้เรา?
ตอบ : อุทิศส่วนกุศลให้ท่านบ่อย ๆ แวะไปกราบท่านบ่อย ๆ แต่ถ้าเกี่ยวกับเรื่องข้อธรรมคำสอน ให้เลือกถามเฉพาะองค์ อย่าไปถามเปะปะ ประเภทเจอหน้าองค์นี้ก็ถาม เจอหน้าองค์นั้นก็ถาม เดี๋ยวจะเข้าป่าเข้าดงไปเสียก่อน เพราะกลายเป็นว่า เราเองขาดความมั่นคงแน่นอน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2011 เมื่อ 13:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว