กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-11-2021, 21:01
เผือกน้อย เผือกน้อย is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2012
ข้อความ: 366
ได้ให้อนุโมทนา: 182,368
ได้รับอนุโมทนา 75,163 ครั้ง ใน 2,813 โพสต์
เผือกน้อย is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เผือกน้อย ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-11-2021, 23:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ สำหรับพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของทางวัดท่าขนุนของเรา ก็คือจะมีการหล่อพระปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง ๒ องค์ ก็คือเนื้อเงินองค์ใหญ่ ความสูง ๑๕๕ เซนติเมตร กับเนื้อทองคำองค์เล็ก ความสูง ๗๒ เซนติเมตร

วันนี้ทางกระผม/อาตมภาพก็เตรียมเม็ดเงินกับทองคำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เพิ่งจะรู้ว่าเด็กสมัยนี้หาความแข็งแรงไม่ได้ เม็ดเงินลังละ ๕๐ กิโลกรัม ยกกันไม่ขึ้น คุณรู้หรือเปล่าว่าสมัยหนุ่ม ๆ มือเดียวผมยกได้ ๖๐ กิโลกรัม..! ตอนนี้ที่เห็นผมยกสองมือ ๕๐ กิโลกรัม กำลังผมเหลือไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ ของสมัยนั้น..แปลว่าอะไร ?

เรื่องนี้ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจ แต่คราวนี้พอมาทราบจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วถึงได้เข้าใจ ท่านบอกว่าเป็น "กำลังบุญ" อย่างเช่นว่า ทำไมพระอานนท์ นางวิสาขามหาอุบาสิกา นางปุณณทาสี มีกำลังเท่ากับช้าง ๗ เชือก ส่วนพระพุทธเจ้ามีกำลังเท่ากับช้างหนึ่งแสนเชือก..! นี่เป็นเรื่องของกำลังบุญ

กระผม/อาตมภาพถวายการรับใช้อยู่หน้าห้องหลวงพ่อท่านประมาณ ๖ ปี เกือบ ๗ ปี ก็เห็นท่านป่วยแทบจะประคองตัวไม่อยู่ โน่น...ต้องถามหลวงพี่มหาดำของผม ตอนนี้เป็นท่านเจ้าคุณพระราชสุวรรณเวที วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก) ตอนช่วงนั้นก็จะมีมหาวิจิตร มหาดำ มหาชุบ บรรดาพี่ ๆ สามสี่ท่านคอยถวายการรับใช้หลวงพ่ออยู่ ก็คือถ้ามีเรื่องอะไรต้องวิ่งเต้นทางกรุงเทพฯ สามท่านนี้จะเป็นคนวิ่งให้

หลวงพี่มหาดำท่านไปถวายรายงานหลวงพ่อเกี่ยวกับงานที่สั่งไป หลวงพ่อท่านก็ "อ้อ...มาแล้วหรือไอ้ดำ" หลวงพี่ดำก็เข้าไปกราบที่อก หลวงพ่อท่านเอามือตบหัว หลวงพี่ดำก็ลงไปกราบที่เท้า
กระผม/อาตมภาพก็ "เออ..พี่กูเคารพหลวงพ่อท่านมากขนาดนี้เลย กราบที่อกแล้วยังลงไปกราบที่เท้าอีก" พอเลิกงานออกมาก็ปรารภกับท่าน หลวงพี่ดำท่านบ่นว่า "ไอ้ห่...กูไม่ได้กราบเท้าป๋า ป๋าตบกบาลทีกูอย่างกับโดนคมแฝก ลงไปกองกับพื้นเลย...!" นั่นแค่เอามือแปะนะ เป็นไปได้หรือว่าคนป่วยไม่มีกำลัง แค่เอามือแปะแค่นั้นเอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2021 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-11-2021, 23:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก "เฮ้ย...เล็ก วันนี้รู้สึกร่างกายดีว่ะ เอาเครื่องออกกำลังมาสิ" เครื่องนี้เป็นเครื่องออกกำลังในลักษณะเหมือนอย่างกับโยกแล้วถีบคล้าย ๆ กับเรือกรรเชียงแบบนั้น สองฝั่งก็เป็นสปริงตัวประมาณท่อนแขน กระผม/อาตมภาพไปยกมาถวายหลวงพ่อ ท่านก็เข้าประจำที่ โยกออกกำลังตามปกติที่เครื่องทำได้นั่นแหละ ปรากฏว่า ๓-๔ ที เสียงดังผ่าง...! สปริงตัวเท่าแขนขาด หลวงพ่อท่านก็ลุกขึ้นบ่น "ไอ้ของห่วย ๆ อย่างนี้ดันถวายมาให้ใช้งาน" ก็น่าจะบังเอิญใช่ไหม ? ก็เป็นไปได้นะว่าดึง ๆ ไป ของไม่ดีก็ขาดได้..!

คราวนี้ด้วยความที่เวลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อกลับจากรับแขก ญาติโยมก็นั่ง ๒ ฝั่ง เอาเงินใส่ย่าม แล้วที่แน่ ๆ ก็คือยื่นหัวให้ท่านเอาไม้เท้าเคาะ ท่านก็ถือไม้เท้าอะลูมิเนียมที่เลื่อนสูงเลื่อนต่ำได้ ธรรมดา ๆ นั่นแหละ ปลายก็หุ้มด้วยยาง (ตอนนี้ไม้เท้าอันนั้นอยู่ที่อาตมา เก็บไว้เป็นที่ระลึก) หลวงพ่อท่านก็เคาะ ๆ ๆ ไล่ไปเรื่อย ยื่นหัวมาก็เคาะให้ทุกคน

มีโยมอยู่คนหนึ่งทำหน้าแปลก ๆ เอามือกุมหัว พอหลวงพ่อท่านเดินเลยไป
กระผม/อาตมภาพเตรียมตัวจะกวาดทำความสะอาด แล้วก็ถูศาลานวราชบพิตร ถามว่า "โยมเป็นอะไร ?" เขาแบมือให้ดู...เลือดออก หลวงพ่อท่านเคาะด้วยไม้เท้าที่หุ้มยาง เคาะก๊อก ๆ แค่นี้...หัวแตก..! ก็ถึงได้สงสัยว่าหลวงพ่อท่านก็แก่ด้วย ป่วยด้วย กำลังจะทรงตัวยังไม่มี ทำไมแรงท่านดีขนาดนั้น ?

ท่านอธิบายว่าเป็นแรงบุญ ท่านบอกว่าสิบล้อวิ่งไม่เต็มสูบ เอาตัวเองยังแทบจะไปไม่ได้ แต่ถ้าชนสามล้อขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น ? ก็คือท่านก็ป่วยเหมือนกับสิบล้อไม่เต็มสูบนั่นแหละ แต่ถ้าปะทะกับสามล้อก็เป็นเรื่อง
กระผม/อาตมภาพเพิ่งจะเข้าใจว่าเรื่องของแรงบุญเป็นอย่างไร ทำไมพระอานนท์ต้องแข็งแรง มีกำลังเท่าช้าง ๗ เชือก ? นั่นคือแรงบุญที่สร้างสมมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2021 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 17-11-2021, 23:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าของเราหนักกว่านั้นอีก เท่ากับช้างหนึ่งแสนเชือก เดินทางวันละ ๑๒๐ โยชน์ ลองเอา ๑๖ คูณดูสิออกมาเท่าไร ? สมัยนี้เหยียบเฟอร์รารี่ยังไปไม่ถึงเลย ...(หัวเราะ)... เดินทางวันละ ๑๒๐ โยชน์ ๑ โยชน์เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร ๑๐ โยชน์ก็เท่ากับ ๑๖๐ กิโลเมตร ๑๐๐ โยชน์ก็ ๑,๖๐๐ กิโลเมตร แล้ว ๑๒๐ โยชน์ ไหวไหม ? ถ้าเหยียบเฟอร์รารี่ชนิดไฟพุ่งยาวเป็นเมตรวันหนึ่งก็คงไปถึงหรอก แต่นั่นเป็นระยะทางปกติที่พระพุทธเจ้าเดินในหนึ่งวัน..ไม่ได้เร่งด้วย

ตรงจุดนี้แหละ ที่ทำให้กระผม/อาตมภาพอ่านแล้วก็งง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ห่างกัน ๒ เดือน ใช่ไหม ? ตรัสรู้เดือน ๖ เทศน์เดือน ๘ แต่พระองค์ท่านเสวยวิมุตติสุขไปแล้ว ๔๙ วัน เหลือกี่วัน ? เหลือ ๑๑ วัน..! แล้ว ๑๑ วัน ทางเดินปัจจุบันถ้าวัดทางรถ จากพุทธคยาไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ๒๓๐ กิโลเมตร คิดว่าพระองค์ท่านเดินครึ่งวันก็คงเดินเลยไปไกลแล้ว แต่พระพุทธเจ้าทำไมต้องใช้เวลาถึง ๑๑ วัน ?

เหตุที่ท่านต้องใช้เวลาถึง ๑๑ วัน เพราะว่าต้องคอยหลบหลีกไม่ให้คนเห็นเวลาไป น่าจะเดินทางได้เฉพาะตอนกลางคืนดึก ๆ ด้วย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็เพราะข่าวที่ว่าสิทธัตถะราชกุมาร ถ้าไม่ออกบวช จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาพระราชาที่เสวยราชสมบัติอยู่จะคิดอะไรเอ่ย ? ถ้าปล่อยให้สิทธัตถะราชกุมารอยู่ต่อ กูนี่ "ปิ๋ว" แน่นอน มีทางเดียวก็คือเก็บได้ก็เก็บ เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม..!

คราวนี้บุคคลที่จะทำอันตรายพระพุทธเจ้าให้ถึงแก่ชีวิตนั้น โดยวิสัยแล้วเป็นไปไม่ได้ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าถึงต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ย่องไปอยู่ ๑๑ วันกว่าจะไปถึง ? ก็เพราะว่าถ้าปล่อยให้เขาได้ลงมือก็กรรมหนักกว่าเทวทัตอีก ของเทวทัตนั่นแค่สะเก็ดหินไปโดนพระบาทเท่านั้นก็ลงอเวจีไปแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2021 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 17-11-2021, 23:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระองค์ท่านต้องทำอย่างนั้น เพราะความเมตตาสงสารบุคคลที่ไม่รู้ หวังจะกำจัดพระองค์ท่านไม่ให้เสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช รวบรวมทั้งโลกเป็นผืนเดียวกัน ก็เลยต้องใช้ระยะเวลาถึง ๑๑ วัน ทั้ง ๆ ที่วันเดียวก็ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

แล้วทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้น ? เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีมหาปุริสลักษณะถึง ๓๒ ประการกับอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ประการ ใครเห็นก็จำได้ จึงต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ค่อย ๆ ย่องไป

อันนี้ถือว่าเป็นข้อสันนิษฐานหรือว่าเป็นนิทานเล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ก็พอ เพราะว่า
กระผม/อาตมภาพอ่านหนังสือ ไม่ได้อ่านเหมือนกับญาติโยมทั่วไปหรอก อ่านแล้วขี้สงสัย อย่างเช่นว่า ม้ากัณฐกะพาพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ มาอธิษฐานเพศบวชที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา

ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานี่อยู่ในแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสาร ตรงกลางนี่มีแคว้นโกศลมหึมามโหฬารของพระเจ้าปเสนทิโกศลขวางอยู่ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือม้ากัณฐกะวิ่งผ่าน ๒ ประเทศ..! ก็คือประเทศโกศลกับประเทศมคธ ส่วนประเทศสักกะที่มีกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวง เป็นประเทศเล็กนิดเดียว สมัยนี้ก็ประมาณประเทศบรูไน เพราะฉะนั้น..ที่เขาบอกว่าม้ากัณฐกะต้องกลับ เพื่อนำเอาเครื่องทรงของสิทธัตถะราชกุมารไปกราบทูลพระราชบิดา โดยนายฉันนะเป็นคนจูงม้ากัณฐกะกลับ ในบาลีบอกว่าพอลับสายตา ม้ากัณฐกะก็หัวใจสลายล้มตายลง..!

กระผม/อาตมภาพคิดว่าไม่น่าจะใช่ เราลองนึกถึงว่าม้าตัวนั้นอายุ ๒๙ ปี เพราะว่าเกิดพร้อมกับเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดวันเดียวกัน เป็นสหชาติกัน ม้าอายุ ๒๙ ปีนี่โคตรแก่เลยนะ แล้ววิ่งผ่านไป ๒ ประเทศ ตกลงว่าจะหัวใจสลายตายดี หรือว่าม้าแก่วิ่งจนเกินกำลังแล้วเหนื่อยตายดี ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-11-2021 เมื่อ 23:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 17-11-2021, 23:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าญาติโยมทั้งหลายอ่านหนังสือแบบอาตมาก็ไม่มีความสุขหรอก เพราะว่าขี้สงสัย พอขี้สงสัยแล้วก็ต้องหาคำตอบของตัวเอง โดยอนุมานเอาตามหลักตรรกะทั่วไป ม้าอายุ ๒๙ ปีนี่แก่สุด ๆ วิ่งผ่านไป ๒ ประเทศ ไม่ต้อง ๒ ประเทศหรอก แค่ผ่าน ๒ จังหวัดบ้านเราก็แย่แล้ว ดังนั้น..เหนื่อยตายหรือเปล่า ?

ดังนั้น...ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกให้
กระผม/อาตมภาพอ่านพระไตรปิฎกปีละ ๑ จบ จนป่านนี้ยังทำไม่ได้เลย บวชมา ๓๖ ปี อ่านมาได้แค่ ๗-๘ จบเอง แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านอ่านปีละจบ..! เพราะว่าท่านไม่ได้ขี้สงสัยเหมือนอาตมากระมัง ? คือพอสงสัยขึ้นมา อาตมาก็มัวแต่ไปค้นหาคำตอบ

ก็แบบเดียวกับธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่พระอัญญาโกณฑัญญะ "มีดวงตาเห็นธรรม" บรรดานักปราชญ์เขาแปลกันว่าได้พระโสดาบัน แต่ว่า..ตั้งแต่พระภูมิเจ้าที่ยันอากาสเทวดา ๖ ชั้น รูปพรหมอีก ๑๕ ชั้น สาธุการกันจนแผ่นดินไหว ไม่กล่าวถึงชั้นอื่นนะ เอาแค่สุทธาวาสพรหม ๕ ชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐะ ๕ ชั้นนี่เป็น "ว่าที่พระอรหันต์" นะ แค่รอเข้านิพพานอย่างเดียว กำลังใจเท่ากัน เพียงแต่เข้าช้าเข้าเร็วต่างกัน ตามวิสัยของตนที่บำเพ็ญมาเท่านั้น ว่าจะบำเพ็ญมาทางด้านไหน สติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา นี่เท่ากับว่า "แคนดิเดตด็อกเตอร์" ก็คือเตรียมจบปริญญาเอกแล้ว

แล้วถ้าพระโสดาบันเป็นปริญญาตรีล่ะ ? คุณต้องไปตื่นเต้นกับคนที่จบปริญญาตรีด้วยหรือ ? คุณจะจบปริญญาเอกอยู่แล้ว ที่สาธุการจนกระทั่งแผ่นดินไหวนั้น เป็นไปได้ไหมว่าพระอัญญาโกณฑัญญะที่ได้ดวงตาเห็นธรรมนั้น ท่านบรรลุอรหันต์ไปเลย เพราะฉะนั้น...อ่านหนังสือแล้วอย่าขี้สงสัยเหมือนกระผม/อาตมภาพนะ ไม่มีความสุขเลยจริง ๆ



แค่เล่าสู่กันฟังให้ฟุ้งซ่าน..ไม่มีอะไรหรอก เสียเวลาทำวัตรของพวกเราเยอะแล้ว วันนี้พอเท่านี้แหละ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2021 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:02



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว