|
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗ - ๑ มกราคม ๒๕๖๘
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗ วันนี้เราก็มาปฏิบัติธรรมกันช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ถือว่าเป็นรุ่นหนึ่งของปี ๒๕๖๘ ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ไม่มีใครเสียเวลามารอใคร โดยเฉพาะวงจรกรรม ถ้าวาระของความดีมาถึง เราไม่รีบไขว่คว้าไว้ ถึงเวลาล่วงเลยไป กลายเป็นวาระของอกุศลกรรม เราก็จะมีแต่ความตกต่ำยากลำบากทุกชนิด เนื่องเพราะว่าทำตัวประมาท ถ้าขนาดเรามาอยู่วัด ใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับการปฏิบัติธรรม แล้วคิดว่าอยู่บ้านจะทำได้ไหม..? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เป็นเครื่องวัดที่ชัดเจนที่สุดแล้วว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมของพวกเรายังอยู่ในระดับเฮงซวยห่วยแตกใช้งานไม่ได้..! เนื่องเพราะว่าถ้าบุคคลที่ใจจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติธรรม จะรักษาเวลาทุกอย่าง ไม่ใช่เอ้อระเหยลอยชาย จะกินก็ต้องค่อย ๆ บด ค่อย ๆ เคี้ยว ค่อย ๆ เอื้อง ซึ่งความจริงการกระทำของเราทุกอย่าง ถ้าใส่สติลงไป ก็คือการปฏิบัติธรรม แต่ลักษณะอย่างนั้นเรียกว่าไม่ทันกิน เนื่องเพราะว่าพอหลุดออกจากปฏิบัติธรรมของเราก็ไหลตามกิเลสไปเหมือนเดิม หลายท่านก็ยังสงสัยว่าตัวเองปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบปีทำไมหาความก้าวหน้าไม่ได้เลย ? ก็เพราะว่านอกจากเราจะย่อหย่อนแล้ว ถึงเวลายังรักษาอารมณ์ในการปฏิบัติไม่เป็นอีกต่างหาก ครูบาอาจารย์ก็แก่เฒ่าไปทุกวัน พร้อมที่จะล่วงลับอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเราก็ยังประมาท พอถึงเวลาก็น้ำตาตก ตะกายหาครูบาอาจารย์กันใหม่ กว่าจะได้ที่ถูกใจ ชอบใจ ถ้าหากว่าตายเสียก่อนก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไรอีกตามเคย..! ดังนั้น...การที่เราจะปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ก็คือการสร้างสิ่งดี ๆ เป็นการทิ้งท้ายปีและสร้างสิ่งที่ดีเพื่อรับปีใหม่ ก็ต้องทำกันให้เต็มที่ ไม่ใช่เต็มที พวกเราอุตส่าห์สละเวลาที่คนอื่นเขาไปกินไปเที่ยวกัน เพื่อมาวัด แล้วก็ทำตัวตามสบาย คิดว่าโอกาสเอาดีได้จะมีหรือไม่..? โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุของเราต้องเป็นผู้นำชาวบ้านเขาในทุกด้าน ไม่ใช่ชาวบ้านเขามารอจนครบทุกคน พระยังไม่โผล่หัวมาเลย ถ้าอยู่ในฐานะของปูชนียบุคคลแล้วทำตัวย่อหย่อนแบบนี้ ก็มีแต่ขาดทุนไปทุกวัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : วันนี้ เมื่อ 08:16 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ของบางอย่างถ้าเรารักที่จะทำดี ต้องมีจิตสำนึกอยู่ในลักษณะของ อัตตนา โจทยัตตานัง ก็คือต้องกล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ ต้องตักเตือนตนเองอยู่เสมอ
วันเวลาล่วงไป ล่วงไป เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ? ตัวเราติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ ? ผู้รู้ติเตียนตัวเราโดยศีลได้หรือไม่ ? คุณวิเศษของเรามีหรือไม่ ? เพื่อที่จะไม่เก้อเขินเวลาเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม ไม่ใช่กี่ปี กี่ปีก็เหมือนเดิม ไม่ก็แย่ยิ่งกว่าเดิม..! แล้วครูบาอาจารย์ที่ไหนท่านจะอยู่ยั้งยืนยง มาคอยบ่น คอยว่า คอยบอกเราอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างไปเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอให้พวกเราใช้ระยะเวลาห้าวันสี่คืน รักษาอารมณ์ใจของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลองดูว่าระยะเวลาที่เหลือ เราสามารถที่จะทำตามตารางเวลาได้โดยไม่ขาดตกบกพร่องหรือไม่..? จะได้เป็นเครื่องวัดที่ดีว่าตัวเรามีความก้าวหน้าหรือว่าถอยหลัง..? สำหรับในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ทางวัดเราไม่ได้บังคับ ใครถนัดรูปแบบไหน ทำไปตามนั้น ยกเว้นตอนเดินจงกรมที่ต้องใช้การเดินในลักษณะของสติปัฏฐาน ๖ ระยะ เพราะว่าต้องการความพร้อมเพรียงในการทำ ส่วนเวลาที่เหลือเราถนัดแบบไหนให้ทำแบบนั้น เรื่องของกรรมฐานอย่าเปลี่ยนบ่อย อย่าโยกย้ายบ่อย เพราะว่าถึงเวลาเราเปลี่ยนไปหาของใหม่ สภาพจิตที่มีความเคยชินและจดจำของเดิมได้ ก็จะเกิดการยื้อแย่งกันขึ้นมา ของเก่าก็ยังทำไม่ได้ ของใหม่ก็ทำได้ไม่ดี แล้วจะเอาความก้าวหน้าที่ไหนมา..? โดยเฉพาะเรื่องของคำภาวนา ไม่ถือเป็นสาระ เพราะเป็นเครื่องโยงจิตให้เป็นสมาธิ ทำแบบไหนแล้วสมาธิของเราทรงตัวให้ทำแบบนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
สำคัญที่รักษากำลังใจให้อยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ไม่ฟุ้งซ่านไปในอดีต ไม่ฟุ้งซ่านไปในอนาคต ถ้าลักษณะแบบนั้นความทุกข์ของเราก็จะไม่เพิ่มขึ้นมา เพราะว่าทุกวันนี้พวกเราทุกข์เพราะความคิดตัวเองเสียเป็นส่วนมาก
ทุกข์ตามธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรต่าง ๆ เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนมี แล้วเรายังไปซ้ำเติมด้วยการคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา ก็เท่ากับว่าเราซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์ด้วยความคิดของตนเท่านั้น จึงต้องกำหนดสติจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับการกระทำตรงหน้า หรือว่าลมหายใจเข้าออก เพื่อที่ถึงเวลาแล้วเราหยุดใจอยู่กับตรงหน้าได้ ไม่ไปในอดีต ไม่ไปในอนาคต ความทุกข์ของเราก็เหมือนกับน้อยลง ถ้าใครทำได้ก็ถือว่าเราเริ่มก้าวเข้าสู่ก้าวแรกของความดี รู้แล้วว่าวิธีดับทุกข์ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นอย่างไร ก็ขอให้ทุกท่านพยายามที่จะรักษากำลังใจของตนให้ตลอดรอดฝั่ง ในระยะเวลาของการปฏิบัติธรรมซึ่งหลายวันอยู่ แล้วก็มีงานอื่นแทรกเข้ามาเป็นระยะ ถ้ารักษากำลังใจของเราไม่เป็น ก็จะฟุ้งซ่านมาก ขอให้ทุกท่านเข้าสู่การปฏิบัติกันต่อไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗ ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมที่ย้ำนักย้ำหนาว่า เราต้องทำกันตลอดชีวิต ไม่ใช่ทำเฉพาะตอนทางวัดจัดปฏิบัติธรรม เนื่องเพราะว่ากิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ฝืนสู้กิเลสเอาไว้ ก็มีแต่ลอยตามน้ำไปอย่างเดียว โอกาสที่จะรอดอบายภูมิยากมาก ช่วงนี้เป็นช่วงเจ็ดวันอันตราย ทองผาภูมิเริ่มปักธงวันแรกเมื่อวานนี้ พูดง่าย ๆ ก็คือพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยรักษาชีวิตให้แก่ผู้เดินทางหรือนักท่องเที่ยว แต่ปรากฏว่าคนเดินทางไม่ค่อยรักชีวิตตัวเอง ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมก็แล้วกัน อาตมาภาพนี่ทำใจมานานแล้ว สั่งให้คนขับรถระมัดระวังให้สุดชีวิต เราไม่ชนใครแต่โดนเขามาชน สะใจมาก..! สรุปแล้วว่าระวังไปก็เท่านั้น เขามีเพจควายหลุดถนน และก็มีเพจเฮียขับรถ เขาลงคลิปมัน ๆ ให้ดูอยู่ทุกวัน เมื่อวานนี้ก็เป็นคลิปรถมุดซ้าย..คว้าบบ ขวา..คว้าบบ โค้งที่สามเท่านั้นแหละ ลงข้างทางเลย..! รถไม่ได้มีไว้ขับเพื่อความสะใจ มีไว้เป็นพาหนะช่วยให้การเดินทางสะดวกขึ้น แล้วขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เครื่องเสริมสถานะของเรา เพราะว่าคุณค่าแท้จริงก็คือ ช่วยให้พวกเราเดินทางสะดวก และก็ควรจะปลอดภัยด้วย ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างก็เหมือนกัน เราดูคุณค่าแท้จริง อย่างโทรศัพท์คุณค่าแท้จริงก็คือติดต่อสื่อสาร ไม่ใช่อวดสถานะว่าฉันใช้ของแพงเครื่องละหกหมื่น หลวงพ่อเล็กใช้เครื่องละสี่พันห้า คนก็ยังบอกว่าหลวงพ่อเล็กรวย ข้าวของอื่น ๆ ก็เช่นกัน ไม่ว่าคุณจะไปซื้อเสื้อยืดตัวละ ๑๙๙ บาทหรือตัวละ ๔,๙๙๙ บาท เสื้อก็ใส่เอาไว้เพื่อกันร้อน กันหนาว ป้องกันความละอาย ป้องกันเหลือบยุง ลม แดด พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ชัด คุณค่านอกเหนือจากนั้นเป็นคุณค่าเทียม ในเมื่อเป็นคุณค่าเทียมแล้วถ้าหากว่าเราขาดปัญญาแยกแยะไม่ออก เราก็จะโดนหลอกให้เตลิดเปิดเปิงไปตามแรงโฆษณา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เด็ก ๆ วัยรุ่นน่าสงสารที่สุด หนุ่มสาววัยรุ่นมักจะไม่พอใจกับรูปร่างหน้าตาตัวเอง ก็ตกเป็นทาสแรงโฆษณา โน่นก็ทาแล้วขาว นี่ก็กินแล้วผิวเปล่งออร่า เชื่อไหมว่ามานั่งกรรมฐานสักสามเดือนจะเปล่งออร่ากว่านั้นอีก เป็นความดีที่เปล่งออกมาจากข้างใน
พอไปเจอแรงโฆษณาเข้า เราก็เกิดความต้องการเทียมเข้าอีก หนุ่ม ๆ สาว ๆ ร่างกายกำลังสร้างฮอร์โมน กำลังสร้างสารพัด ไม่ต้องไปใช้อะไรช่วยหรอก รักษาความสะอาดไว้ก็พอ คราวนี้ไปซื้อของแพง ๆ มาโบ๊ะใส่ตัวเอง สตางค์ก็ยังหาไม่ได้ เห็นยายหนูคนหนึ่ง โรงเรียนอะไรก็จำไม่ได้แล้ว ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย เพื่อนถ่ายคลิปส่งให้คนอื่นดู อุตสาห์เก็บค่าขนมวันละห้าบาท สิบบาท ซื้อลิปสติกแท่งละ ๒๕๐ บาท ครูตรวจเจอเลยยึดไป นั่งร้องไห้อย่างกับญาติตายสิบแปดชั่วคน..! แต่จริง ๆ ก็น่าเห็นใจ เพราะว่าเด็กเก็บเงินมาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง แต่ว่าครูก็ยังไม่อยากจะให้เป็นสาวเร็วเกินไป ผิดระเบียบโรงเรียนก็เลยยึด อย่างนั้นแสดงว่าขาดความมั่นใจในตัวเอง กลัวว่าจะสวยไม่พอ ถ้าเรื่องนี้ต้องไปถามลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของบริษัทเติมเต็มทราเวลไปแล้ว ยายหนูตอนเด็ก ๆ นี่แสบสะเด็ด นอกจากหลวงตาของมันนี่แทบจะไม่ฟังใครเลย ปรากฏว่าไปตายสนิทกับวิชาสถิติและการวิจัยตอนปริญญาตรี ยากโคตร ๆ แต่ไม่รู้ว่าบุญของลูกกิฟท์หรืออย่างไร นึกขึ้นมาได้ว่าหลวงตาเรียนเก่งทุกวิชา เลยมาขอให้ช่วยติวให้ อาตมาภาพก็บอกไปว่าต้องจับจุดสำคัญอย่างไร..? จะต้องจดจำขั้นตอนอย่างไร ? ตอนไหน..? กลับไปสอบได้เกรดเอคนเดียวในห้อง..! ไม่กล้าเปิดเกรดให้คนอื่นดู เพราะเพื่อนเต็มที่ก็ได้แค่ เกรดบี กับ เกรดซี พอได้เกรดเอวิชานี้อยู่คนเดียว แล้วอวดใครไม่ได้ กลัวเพื่อนกระทืบตาย เขาก็เลยคิดได้ว่า เออ จริง ๆ จะว่าไปแล้วหลวงตาบอกว่าการนั่งสมาธิทำให้เรียนเก่ง ก็เลยหันกลับมาในเรื่องพวกนี้แทน ทำไปทำมา กลายเป็นยายแก่ ถามว่า "ไม่ไปโมหน้าบ้างหรือ ?" เขาตอบว่า "เป็นตายหนูก็ไม่ไป" เจ็บแล้วค่อยสวยว่างั้น เพราะฉะนั้น...อย่านั่งสมาธิเยอะ มันจะตายด้าน อะไรที่ชาวบ้านเห็นว่าดี มันไม่ค่อยจะเห็นดีด้วยหรอก เพราะว่าเห็นคุณค่าที่แท้จริงแล้ว ว่าคนเราจะมีคุณงามความดีได้เราต้องสร้างเอง ไม่ใช่ประเภทสวยแค่เปลือก แล้วก็ไม่ยั่งยืนอีกต่างหาก ลองถามพวกที่เสริมจมูกหรือว่าเหลาคางมาดูสิ ว่ากล้าทะเลาะกับใครไหม..? กลายเป็นคนใจเย็นโดยอัตโนมัติ เพราะกลัวเขาตบ ถ้าตบแล้วดั้งจะเบี้ยวหรือกรามหัก เพราะกรามเหลือบางนิดเดียว ความจริงก็มีประโยชน์ข้างเคียงเยอะนะ ถ้าใครทำไปแล้ว ไม่เป็นไรทำไปเถอะ อุตสาห์เจ็บตัวมาขนาดนั้นแล้ว อย่างน้อยสวยสัก ๓ ๔ ปีก็ยังดี หลังจากนั้นแล้วถ้าไม่ไปแก้ไขก็เละเทะเหมือนเดิม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ในเมื่อเราต้องอาศัยคุณค่าแท้ที่ยั่งยืน เราก็ต้องสร้างเอง ก็คือสร้างจากศีล จากสมาธิ จากปัญญา พอสมาธิเข้มแข็ง ปัญญาก็จะว่องไว แหลมคม จะมองออกเลยว่าอะไรเป็นของแท้ อะไรเป็นของเทียม อะไรที่จำเป็นต่อชีวิต อะไรที่ไม่จำเป็น รายจ่ายลดลงมหาศาลเลย..!
อาตมภาพเคยบอกเพื่อนหลายคนว่า "มึงโชคดีฉิบหายเลย ที่ได้แฟนไม่แต่งตัว ไม่งั้นเงินเดือนของมึงไม่พอให้มันแต่งตัวหรอก" มียายหนูอยู่คนหนึ่งเป็นลูกศิษย์อาตมา เงินเดือนหกหมื่นบาท วันนั้นบ่นว่า "ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่" เงินเดือนหกหมื่นบาท..ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่..! หลวงตาเงินเดือนสามพันหนึ่งร้อยบาท..กูคงแก้ผ้าเดินแล้วล่ะ..! คำว่าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ลองไปเปิดตู้ดูสิ มีเป็นร้อยชุด..! ก็คงเหมือนกับโยมนั่นแหละ อาหารกลางวันเต็มโต๊ะบอก "ไม่มีอะไรจะกิน" ก็คือของเหล่านั้นไม่ใช่ของที่อยากกิน ยายหนูนั่นก็เหมือนกัน ไม่ใช่ของที่อยากใส่ ก็เลยบอก "ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่" คราวนี้พอความต้องการเทียมมาก ค่าใช้จ่ายจะมากไปด้วย ถ้าหากว่าถึงเวลาแล้วทำอย่างไร..? ก็ต้องเปิดบัตรเครดิต หนัก ๆ ขึ้นมาก็กู้เงินนอกระบบ คราวนี้ก็บรรลัยแล้ว เอาแค่ในตลาดของเรานี่ กู้เงิน ๑๐๐ บาท ดอกวันละ ๒๐ บาท วันละ..! หนึ่งเดือนค่าดอก ๖๐๐ บาท หนึ่งปีค่าดอก ๗,๒๐๐ บาท นั่นกู้เงินร้อยเดียวนะ..! ถามว่า "ไม่รู้หรือ ?" เขาตอบว่า "รู้ แต่เงินหนึ่งร้อยหาไม่ได้ เงินยี่สิบหาได้ ก็เลยยอมกู้เงิน" ฟังแล้วน้ำตาจิไหล...! แสดงว่าไม่เคยได้ยินที่พระพุทธเจ้าท่านบอก อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การเป็นหนี้ทุกข์ที่สุดในโลก ทุกข์ที่สุดนี่อาตมาใส่เองนะ ท่านตรัสว่า การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก ก็คือใครเป็นหนี้เป็นทุกข์ทุกคน วันก่อนเพิ่งจะมีอะไรนะ ข้าราชการเทศบาลตำบลใช่ไหม คนเป็นหนี้กินหรูอยู่สบาย เจ้าหนี้ก็เลยฆ่าตัวตายประชดเสียเลย..! เอาล่ะ ขอเช็ครายชื่อผู้บวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันอังคารที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ สรุปว่าหนีกลับบ้านไปครึ่งหนึ่งแล้วใช่ไหม ? ที่ไม่หนีเพราะไม่มีรถ ? ถ้าหากว่ามีรถกลับไปแล้ว..ว่าอย่างนั้นเถอะ..! เรื่องของการปฏิบัติธรรมต้อง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ก็คือ ต้องพึ่งตนเองเท่านั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่พระองค์ท่านก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น บอกไปแล้วเราจะทำหรือไม่ทำนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คราวนี้เวลาของพวกเรามีแค่วันนี้เท่านั้น เพราะว่าคืนนี้ก็เป็นการสวดมนต์ข้ามปี หลังจากนั้นใส่บาตรเช้ารับปีใหม่ ปฏิบัติธรรมช่วงเช้าอีกนิดหน่อย ก็หมดโครงการแล้ว ใส่ตัวเลขไปเสียสวยหรูว่า ๕ วัน ๔ คืน ทำจริง ๆ ได้ไม่เต็มครึ่งวันกระมัง ? แต่ทำไมรู้สึกนานเหมือนหลายปีเลย..ใช่ไหม ? เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นการทวนกระแสโลก เพราะว่าโลกกับธรรมแม้จะเป็นของคู่กัน แต่หมุนสวนทางกันพอดี ทางด้านโลกก็ต้องหาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ส่วนทางธรรมเราต้องสละเหลือให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ถึงเวลาจะได้ไม่มีเครื่องถ่วงให้ต้องห่วงใยต้องกังวล แต่พวกเราก็ต้องสละให้เป็น พระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับโภควิภาค ๔ ท่านบอกว่ามีทรัพย์ให้แบ่งเป็น ๔ ส่วน ก็คือ เอเกนะ โภเค ภุญเชยยะ ๑ ส่วนใช้ในการอุปโภคบริโภคพูดง่าย ๆ คือใช้เลี้ยงตัวเอง ทวีหิ กัมมัง ปะโยชะเย ๒ ส่วนใช้ลงทุนทำหน้าที่การงานต่าง ๆ จะตุตถัญจะ นิธาเปยยะ ส่วนที่ ๔ เก็บไว้เป็นทุนสำรอง นิธา นิธิ ก็คือขุมทรัพย์ ก็คือคลัง ส่วนที่ ๔ เก็บเข้าคลัง ไว้ฉุกเฉินเมื่อไรจะได้มีใช้ พวกเราถ้าหากว่ามีวิธีการที่ดีกว่านั้น ก็แล้วแต่ว่าเราจะบริหารจัดการอย่างไร มีสาวญี่ปุ่นอยู่คนหนึ่งเก็บเงินได้ ๑ ล้านเยนภายในไม่กี่ปี ปรากฏว่าคนนั้นก็ประหยัดเกิน วัน ๆ หนึ่งกินแต่โซบะ (บะหมี่ญี่ปุ่น) มื้อเดียว แต่ถ้าทำอย่างนั้นได้น้ำหนักไม่ขึ้นเลยนะ เพราะว่าบะหมี่มื้อเดียว อย่างไรก็มีสารอาหารไม่พอให้ร่างกายใช้งาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก แม้กระทั่งพระจะบวชยังถามว่า "อะนะโณสิ" มีหนี้หรือเปล่า ? ถ้ามีหนี้สินไปใช้เสียให้เรียบร้อย ถ้าหากว่ายังไม่ใช้แต่ต้องการจะบวช ต้องหาคนรับสภาพหนี้แทนเรา อย่างเช่นเมื่อมีคนรับปากว่าถ้าเขามาทวงหรือถึงเวลาจะจ่ายแทนให้ ถ้าอย่างนั้นถึงจะบวชได้ ไม่อย่างนั้นแล้วถือว่าเป็นวิบัติ คือ มีข้อบกพร่อง ทำให้บวชไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2025 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
แต่คราวนี้ยุคนี้สมัยนี้เป็นยุคของความใจร้อนใจเร็ว แล้วเราศึกษาหลักเศรษฐศาสตร์ของตะวันตกมามาก ถือว่าถ้าเป็นหนี้แล้วมีเครดิต แต่ละคนก็เลยมีบัตรเครดิตกันเสียเยอะเลย บัตรเครดิตไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ นอกจากใช้ล้างใช้ผลาญ เพราะว่าไม่เห็นตัวเงิน กว่าจะรู้ก็ตัดเงินเดือนของเราไปแล้ว..!
บัตรเครดิตเอาไว้สำหรับคนที่มีวินัย มีสัจจะ ตรงไปตรงมา ถึงเวลาก็ไปจ่ายอย่าให้ทันได้เสียดอก ถ้าอย่างนั้นบัตรเครดิตช่วยให้งานเราสะดวกขึ้น แต่ถ้าหากว่าเป็นคนไม่มีวินัย เป็นคนไม่มีสัจจะ เดี๋ยวก็ต้องเปิดใบที่สองมาโปะใบที่หนึ่ง เปิดใบที่สามมาโปะใบที่สอง หนี้สินก็มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็งอมืองอเท้ารอรัฐบาลล้างหนี้ให้ รอไปเถอะ..! สังคมยุคใหม่เป็นสังคมของการใช้เงินอนาคต ก็คือทุกอย่างต้องผ่อน ก็แปลว่าเงินเดือนยังไม่ทันจะออก ก็มีสิ่งที่จะต้องจ่ายรออยู่เยอะแยะไปหมด เพราะว่าเขาให้โอกาสเราเอาเงินในอนาคตมาใช้ได้ ทองผาภูมิของเรานี่แหละ มีบัตรประชาชน ๑ ใบ เข้าไปดาวน์มอเตอร์ไซค์ออกมาได้เลย แถมค่าน้ำมันให้ ๕๐๐ บาท ร่ม ๑ คัน พัดลมอีก ๑ ตัว เอาไปวิ่งก่อน ๓ เดือน ไม่พอใจเอามาคืนได้ แต่ไม่เห็นมีใครเอาไปคืนสักคนหนึ่ง มีแต่ยอมไปวางดาวน์เสียแต่โดยดี..! ก็เพราะว่าพอถึงเวลาเราขับรถไป เพื่อนเห็นก็ "เฮ้ย..มีรถใหม่นี่หว่า" คนนั่นก็ "สวยดีนี่..ราคาเท่าไร ?" เราก็ภูมิใจ..ยืด หารู้ไม่ว่าเงินในกระเป๋าเราทั้งนั้น..! เพราะฉะนั้น..พาหนะที่จะเป็นเครื่องช่วยให้เราเดินทางสะดวก ก็เลยกลายเป็นหน้าเป็นตาแทน ไม่กล้าเอาไปคืนเขา กลัวคนที่เคยเห็นว่าเรามีรถจะดูถูกเอา ต้องยอมไปวางดาวน์ผ่อนรถเสียแต่โดยดี..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บ้านเราก็เลยเป็นหนี้เป็นสินกันอีรุงตุงนังไปหมด เพราะว่าขาดสันโดษ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พูดเรื่องสันโดษมาหลายต่อหลายปี พูดจนกระทั่งสวรรคต แต่พวกเราก็ยังไม่สันโดษเสียที เพราะเข้าใจคำว่าสันโดษผิด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2025 เมื่อ 03:32 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
สันโดษก็คือความพอเพียง พอใจ ในสิ่งที่ตนเองมี ในสิ่งที่ตนเองได้
ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ ได้มากก็ยินดี ได้น้อยก็ยินดี ไม่ได้ก็ยินดี..! ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่หาได้ ถ้าหากว่านามสกุลเจียรวนนท์ หรือว่านามสกุลสิริวัฒนภักดี เศษเงินหลังตู้เย็นของเขาก็มากกว่าเงินที่เราใช้ทั้งปี ก็เลยต้องมีข้อสุดท้าย ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน สารูปก็คือฐานะเรา คนมีมากก็ใช้มาก คนมีน้อยก็ใช้น้อย แต่หลักเกณฑ์ก็คืออย่าเป็นหนี้ เพราะถ้าเป็นหนี้ก็เป็นทุกข์ในโลก อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเราพอเป็นหนี้เขาก็รีบขวนขวายไปคืน หน้าบางมาก พอเขาเป็นหนี้เรา หน้าบางหนักกว่านั้นอีก ไม่กล้าไปทวง..! ไม่ต้องพูดถึงใครหรอก อาตมาเองนี่แหละ ถ้าลูกหนี้ตั้งแต่ก่อนบวชเอาเงินมาใช้หนี้ ยังไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลย..เยอะแยะขนาดนั้น..! อาตมภาพเองต้องบอกว่าโดนลูกหลง สมัยนั้นแชร์แม่ชม้อยกับแม่นกแก้วดังมาก แชร์น้ำมัน มีใครโดนบ้าง ? ยกมือให้ชื่นใจหน่อยสิ..! อาตมาไม่เล่น ทั้ง ๆ ที่น้าฟ้า น้องของแม่ เป็นหัวหน้าสายใหญ่เลยนะ ระดับบอสของดิไอคอนเลย..! อาตมาไม่เล่น เราไม่โลภ..! ปรากฏว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงมาสะกิด "พี่ขอยืมหน่อยเถอะ" คนโน้นก็เอาหนึ่งล้อ คนนี้ก็เอาครึ่งคัน คนนั้นก็เอาหนึ่งคัน "พี่ปฏิบัติธรรมมาเยอะ พี่เป็นคนไม่โลภ แต่พวกผมยังต้องกินต้องใช้ พอได้มาผมแบ่งปันให้พี่ ก็ช่วยงานพระพุทธศาสนาได้มากขึ้น" โห..แม่งโคตรเกลี้ยกล่อมเก่งเลย..! ท้ายสุดอาตมภาพเป็นคนไม่เล่นแชร์ แต่ตอนนี้ถือสัญญาแชร์อยู่เจ็ดคันครึ่ง..! ถ้าเขาเอามาคืนพร้อม ๆ กันนี่ ไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บไว้ไหนเลยนะ..! ตอนนั้นหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเห็นหน้าก็หัวเราะ ท่านบอก "ไอ้พวกเกียกกาย..!" รู้จักคำว่าเกียกกายไหม ? กองหนุนในด้านเครื่องอุปโภคบริโภคสำหรับกองทัพ ส่วนใหญ่ขนเสบียงไปส่ง ไม่ได้ไปรบกับเขาหรอก แต่สนับสนุน..ก็เลยโดนด้วย นั่นขนาดแค่เกียกกายนะ ยังโดนไปเสียเจ็ดคันครึ่ง..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของการโดนหลอกลวงให้เสียทรัพย์เป็นเศษกรรมอทินนาทาน เคยไปปล้นบ้านตีเมืองเขามาพร้อม ๆ กัน พอถึงเวลาก็มาโดนหลอกพร้อม ๆ กัน ของดิไอคอนนี่สมัยโรมันโน้น..นานเกิน เพิ่งจะมาทวงกันชาตินี้..! ปล่อยเขาเถอะ..เราไม่ได้ไปเล่นด้วยนี่..+ แต่เชื่อไหมว่าคนหนุ่ม ๆ ความจำเสื่อมกะทันหัน ไม่สามารถจะเข้ารหัสเอาเงินแปดพันล้านออกมาได้ จำไม่ได้""เลขมันเยอะ กะว่าติดคุกไม่กี่ปี ออกไปเดี๋ยวสมองใส ๆ จะนึกออกเองว่ารหัสคืออะไร ?! ของอาตมาเองจำได้กระทั่งเลขบัตรประชาชนหรือหมายเลขประจำตัวตอนเป็นทหาร ของเขาแค่เลขไม่กี่ตัว เชื่อไหมว่าเขาจำไม่ได้ ? ตำรวจยังเชื่อเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2025 เมื่อ 03:37 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
คราวนี้การที่พวกเรามาปฏิบัติธรรมนี่ เกิดจากปุพเพกตปุญญตา คือ บุญเก่าที่เราทำมาแต่ดั้งเดิม ร่วมกับบุญใหม่ที่เราทำในชาติปัจจุบันนี้ ถึงเวลาสะสมรวมตัวกันขึ้นมา ช่วงวันหยุดยาว ๆ แทนที่เราจะไปกินไปเที่ยว ก็กลายเป็นเข้าวัดเข้าวากันแบบนี้
คนไหนที่บอกว่าสวดมนต์ข้ามปีเป็นการกระทำที่ผิด ไม่มีประเพณีมาก่อน ทำไปแล้วได้บาปมากกว่าบุญ ไอ้ห่..คนทำดีดันมา "แซะ"..! ทีพวกเข้าคลับเข้าบาร์เมากันหัวทิ่มทุกวันไม่ไป "แซะ" เขา มันน่า "เหวี่ยง" นัก..! เรื่องพวกนี้ก็ต้องแล้วแต่ว่าบุญใครบุญมัน ใครสร้างบุญไว้ดีก็ได้ครูบาอาจารย์ที่ชี้ทางออกบอกทางถูก ใครสร้างบุญมาไม่ดีก็หลงเตลิดเปิดเปิงไปตามครูบาอาจารย์ "แม่ปู" ไป แม่ปูดุลูกปูว่า "ทำไมเดินคดไปคดมา ไม่รู้จักเดินให้ตรง ๆ !" ลูกปูก็ถามว่า "เดินตรง ๆ ทำอย่างไรล่ะแม่ ?" แม่ปูก็บอกว่า "เดินแบบนี้" แล้วแม่ปูก็เดินให้ดู ซึ่งก็คดไปคดมาอยู่ดีนั่นแหละ แต่แม่ปูคิดว่าตัวเองเดินตรงแล้ว..! ถ้าลักษณะอย่างนั้นเขาเรียกว่ามิจฉาทิฐิ ก็คือ มีความเห็นผิด เห็นว่าสิ่งผิดเป็นสิ่งที่ถูก บางทีบาลีเขาใช้คำว่าวิปลาส วิปลาสก็คือความเห็นผิด เห็นว่าของที่ไม่เที่ยงเป็นของเที่ยง เห็นว่าของที่เป็นทุกข์กลับเป็นสุข เห็นว่าของที่ไม่สวยงามเป็นของสวยงาม ต่อให้ไม่สวยก็พยายาม "โมฯ" ให้สวยให้ได้ เอาที่สบายใจก็แล้วกัน..! ในเมื่อของเรามีบุญเก่ารวมกับบุญใหม่ แล้วเรายังมีการสร้างเสริมต่อไป โอกาสที่เราจะเจริญรุ่งเรืองก็มีมากกว่าคนอื่นเขา เราท่านต้องเข้าใจว่าในเรื่องความรุ่งเรืองทางโลกเป็นสิ่งที่ได้แค่ชาตินี้ ทรัพย์สมบัติหาไว้มากเท่าไร ท้ายสุดก็ได้แค่เหรียญที่เขายัดใส่ปากไว้ให้เท่านั้น..! เจอสัปเหร่อใจร้ายเขาก็ล้วงเอาไปกินเหล้าอีก แต่ถ้าหากว่าเป็นอริยทรัพย์ที่เราทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา นี่ตามตัวกันข้ามชาติข้ามภพ จะหยุดการส่งผลก็ต่อเมื่อเข้าพระนิพพานไปแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2025 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
แต่ต่อให้เข้าพระนิพพานไปแล้ว ถ้ามีคนเขารู้เขารับช่วงได้ อย่างเช่นของพระสีวลีเถระ ท่านเป็นเลิศในทางลาภผล เราสักการะบูชาท่าน ยอมรับนับถือท่าน บุญกุศลที่ท่านทำก็พลอยมีส่วนมาถึงพวกเราด้วย นั่งภาวนาไป เคยภาวนาคาถาพระสีวลีไหม ? "นะชาลีติ ประสิทธิลาภา เอตังคุณัง สีวลีลาภัง" หรือเจอแต่บทยาว ๆ ไปเจอแต่ "สีวลี จะ มหาเถโร ฯ" ใช่ไหม ?
"เทวะตานะระภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิฯ" โอ๊ย..ยาวยืด กว่าจะท่องจบก็เลยวาระไปแล้ว..! เหมือนกับประตูที่หมุนมาให้เราออก พอหมุนมาถึงแล้วเรามัวแต่ท่องคาถาอยู่ ไม่ออกเสียที ช่องประตูก็เลยไปแล้ว อะไรที่ทำง่าย ๆ ทำไว ๆ ถึงเวลาก็ได้ง่าย ๆ ได้ไว ๆ คำว่าไว ๆ ในที่นี้ก็คือเร็ว ไม่ใช่บะหมี่สำเร็จรูป..! พวกเรายังมีเวลาสะสมบุญ ก็คือวันนี้ คืนนี้ แล้วก็พรุ่งนี้อย่างเก่งก็แค่อีกครึ่งวัน เพราะว่าพรุ่งนี้จะมีการใส่บาตรพระรับปีใหม่ คืนนี้มีการสวดมนต์ข้ามปี คนที่บอกว่าเป็นประเพณีที่ผิดเขาจะให้ทำอย่างไร ? ท่านเจ้าคุณอาจารย์ประสาร. รศ., ดร. พระเทพวัชรสารบัณฑิต (ประสาร จนฺทสาโร) รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านบอกว่า "ถามจริง ๆ เถอะโยม อยากให้ลูกโยมเห็นโยมนั่งสวดมนต์ข้ามปี หรือว่าอยากให้ลูกเห็นโยมกำลังกินเหล้าอยู่ ?" ท่านก็ไม่ถามมาก ท่านถามแค่นี้ ถ้าบอกว่าสวดมนต์ข้ามปีไม่ดี แล้วอยากให้ลูกเห็นอะไร..ว่าอย่างนั้น..! ดังนั้น..ในเรื่องของการสร้างบุญสร้างกุศลเป็นของเฉพาะตัว แนะนำได้แต่ทำแทนกันไม่ได้ ถ้าทำแทนกันก็อยู่ในลักษณะที่อาศัยคนอื่นเขา คราวนี้จะมีปัญหาตรงที่ว่า ถ้าผลยังไม่เกิดกับบุคคลนั้น ก็จะไม่เกิดกับเราด้วย เพราะว่าเราอาศัยเขา แล้วถ้าคนนั้นทำมาน้อยกว่าเรา กว่าเขาจะสะสมอยู่ในระดับที่ส่งผลได้นี่ เราต้องรอไปกี่ชาติก็ไม่รู้ ? เพราะฉะนั้น..ทำเองดีที่สุด เอาอย่าง "ม็อตโต้" ท้ายรถสิบล้อสมัยก่อน "ความดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ให้ทำเอง"..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2025 เมื่อ 02:45 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พวกเราก็มาทำบุญ แต่คราวนี้พวกเราส่วนหนึ่งยึดติดตัวบุคคล "ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อเล็ก กูไม่ทำ" ถามว่า "โยมจะทำอะไร ?" โยมตอบว่า "ถวายสังฆทาน" ก็บอกไปว่า "ถวายสังฆทานถวายกับพระองค์ไหนก็ได้" โยมบอกว่า "ไม่ได้..ต้องถวายกับหลวงพ่อเล็กเท่านั้น" บอกไปว่า "ถวายกับอาตมาก็เป็นปาฏิปุคลิกทาน ผลลดลงไปแสนเท่า..จะเอาใช่ไหม ?" แสดงว่าเขาโง่ ไม่อยากได้รางวัลที่ ๑ อยากได้แค่เลขท้าย ๒ ตัว..!
กำลังใจคนไม่เท่ากัน ปัญญาคนก็ไม่เท่ากัน ก็เลยต้องโดน "อาจารย์เบียร์" ขว้างด้วยกระโถน..! ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้สติ ก็เลยกลายเป็นว่าเรื่องที่สมควรทำไม่ทำ มัวแต่ไปรอ รอแล้วได้น้อยอีกต่างหาก แต่ก็ยังรอ เออ..ฉลาดเป็นบ้าเลย..! ในเรื่องของการยึดติดตัวบุคคล เป็นการยึดที่ผิด เขาให้ยึดคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในส่วนที่เป็นนามธรรม ในส่วนที่ทำให้ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ในส่วนที่ทำให้ท่านเป็นพระธรรม ในส่วนที่ทำให้ท่านเป็นพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าเพราะอะไร ? เพราะมีพระปัญญาธิคุณอันล้ำเลิศ สามารถเห็นอริยสัจที่คนอื่นมองไม่เห็น ไม่ได้เห็นอย่างเดียว จัดการได้ถูกต้องอีกต่างหาก มีพระบริสุทธิคุณอันยิ่งยวด สามารถชำระใจของตนให้พ้นจากกิเลส ผ่องใสหมดจดไม่มีส่วนเหลือ คำว่าไม่มีส่วนเหลือนี่มาจากภาษาบาลีว่า อเสสโต ในเมื่อไม่มีส่วนเหลือ จริง ๆ ก็คือสะอาดบริสุทธิ์หมดจด ไม่มีแม้แต่ธุลีแห่งกิเลส มีพระเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2025 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
เมื่อตอนกรรมฐานเช้ามืด อาตมภาพก็นำให้พวกเราลองไปแล้วว่า ถ้าจะเมตตาอย่างพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร โอ๊ย..เกือบตาย..เราแบกโลกไม่ไหว..! แล้วนี่พระองค์ท่านไม่ได้แบกโลกเดียว พระองค์ท่านแบกหมดทั้ง ๓๑ ภพภูมิ..!
คุณทั้งสามอย่างนี้ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า หรือไม่ถ้าเอาอย่างบท อิติปิ โสฯ ก็ได้ นั่นก็ ๙ อย่าง อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลส สัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติที่ดีทั้งปวง สุคโต เป็นผู้ไปดีแล้วคือไปพระนิพพาน หรือว่าไปที่ไหนก็นำแต่สิ่งดี ๆ ไปให้ โลกะวิทู เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นโลกคือหมู่สัตว์ โลกคือดวงดาว โลกคือร่างกายนี้ โลกคือหมู่สัตว์คือสัตวโลก โลกคือดวงดาวคือโอกาสโลก โลกคือร่างกายเรียกว่าสังขารโลก ไม่ใช่สังขารโรค นั่นสังขารเป็นโรค..! อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ ทรงเป็นสารถี คือผู้ฝึกสอนที่ไม่มีใครเหนือไปกว่า อนุตตระ แปลว่า ไม่มีอะไรเปรียบได้ สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดา พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นจากอวิชชาทั้งปวงแล้ว ภะคะวา เป็นผู้มีโชคหรือเป็นผู้จำแนกแจกธรรม เขาให้เกาะตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเราไหว้พระพุทธก็ติดที่ทองคำ ไหว้พระธรรมก็ติดที่ใบลาน ไหว้พระสงฆ์ก็ติดที่ลูกชาวบ้าน ไปไม่รอด..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2025 เมื่อ 03:03 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
คุณพระธรรมก็คือ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธรรมะของพระพุทธเจ้า รักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว คำว่าที่ชั่วส่วนใหญ่ก็เน้นอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
คุณพระสงฆ์ก็คือ สุปะฏิปันโน ปฏิบัติดี อุชุปะฏิปันโน ปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ญายะปะฏิปันโน ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม ไม่ได้ทำเล่น ๆ ทำแก้บนอย่างพวกเรา สมควรแก่ธรรมนี่ในระดับเอาชีวิตเข้าแลก สามีจิปะฏิปันโน ปฏิบัติชอบแล้วด้วยประการทั้งปวง ทางโลกก็ติท่านไม่ได้ ทางธรรมก็ติท่านไม่ได้ แต่คราวนี้ส่วนใหญ่แล้วเราไม่อย่างนั้น เราเกาะครูบาอาจารย์ เป็นอนุสติที่ได้อานิสงส์นิดเดียว เพราะว่าเกาะผิด ทำไมเกาะผิด ? เพราะว่าเกาะตัวบุคคล บุคคลตายได้ พอตายเราก็หาที่เกาะต่อไป..ใช่ไหม ? ไม่เหลือใครให้เกาะแล้วจะทำอย่างไร ? ถึงได้ต้อง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตัวเราต้องเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ต้องดูตัวเองออก บอกตัวเองถูก ที่ว่ามาทั้งหมดนี้เหมือนอย่างกับไม่ใช่เราเลย..ใช่ไหม ? พูดถึงใครก็ไม่รู้ ? ต้องนึกอยู่เสมอว่าที่ว่ามานั้นคือเรา ตรงกับตรงไหนก็พยายามแก้ไขเสีย ไม่อย่างนั้นครูบาอาจารย์ตายไปอีกคน เราก็ต้องลอยเป็นสวะ กว่าจะหาที่เกาะได้ก็อีกตั้งนาน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2025 เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
แต่ว่าบางคนก็ว่าไม่ได้นะ สร้างบุญมาไม่ได้เรื่องจริง ๆ เลย น้าสาวคนโตของอาตมา น้องคนติดกันกับแม่ ครั้งแรกเลยก็เกาะอาจารย์นิกร ธรรมวาที วัดดอยนางแล พออาจารย์นิกรเจ๊งกะบ๊ง ก็มาเกาะอาจารย์ยันตระ วัดสุญญตาราม พออาจารย์ยันตระเจ๊ง แกก็ไปเกาะหลวงพ่อภาวนาพุทโธ ใครจะดวงดีขนาดนี้บ้าง ? เจอรางวัลที่หนึ่งสามงวดติดกันเลย..! ก็เลยจะออกอาการแบบบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่บอกว่า "โลกนี้หาพระดีไม่ได้แล้ว" อะไรดวงจะเฮงขนาดนั้น..!
พวกเราทันไหม ? รุ่นอาจารย์นิกร อาจารย์ยันตระ หลวงพ่อภาวนาพุทโธ วันก่อนหลวงพ่อภาวนาพุทโธเจออาตมา ท่านยังกราบแล้วกราบอีก อาตมาบอกว่า "อาจารย์ สมัยก่อนผมกราบอาจารย์ แล้วคราวนี้อาจารย์กราบผมเสียแล้ว" ตอนนี้ท่านเป็น "พ่อมังกร" อยู่ ยังสอนธรรมะ นุ่งขาวห่มขาวอยู่ พอคนเตือนบอกว่าไม่ดี ท่านก็เลยใส่เสื้อคลุมแทน แต่ว่าแค่ถือไม้เท้านะ ไม่ได้ถือกระโถน..! ก็ยังพอทน ถ้าหากว่าใครคิดถึง เป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กันมาก่อน ก็แวะไปเยี่ยมท่านบ้าง ตอนนี้ท่านเดินไม่ค่อยจะไหวแล้ว เดี๋ยวพวกเราสมาทานพระกรรมฐานแล้วปฏิบัติในรอบเช้า อย่าลืม อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อย่าเอาแต่ให้หลวงพ่อมาคอยจูง ต้องรู้จักเดินเองกันบ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2025 เมื่อ 03:08 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอังคารที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ (หลังเสียงตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจบ) มีใครอธิษฐานบารมีไว้แบบปติปูชิกาบ้าง ? ประเภทขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป ตอนในหลวงรัชกาลที่ ๙ สวรรคตใหม่ ๆ ท่านเตือนมาว่า คนที่บอกว่า "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" นั้น ถือว่าเป็นอธิษฐานบารมี ถ้าท่านไม่เลิกเกิด ผู้นั้นก็จะได้เกิดตามไปเรื่อย..! เราจะเห็นว่าปติปูชิกาตั้งใจว่าจะกลับไปเกิดในสำนักของสามี ก็แปลว่าขอกลับที่เดิม แต่คราวนี้คำว่าที่เดิมของเขาเป็นสุคติ ก็คือหวังน้อยไปหน่อยหนึ่ง เพียงแต่ว่าก็เป็นไปตามกำลังใจของตนเอง ก็คือต้องการที่จะไปแค่นั้น หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เคยเจอพระภูมิเจ้าที่ท่านหนึ่งเป็นพระอนาคามี ปกติพระอนาคามีนี่จะอยู่สุทธาวาสพรหม ๕ ชั้น ตั้งแต่อวิหาพรหม อตัปปาพรหม สุทัสสาพรหม สุทัสสีพรหม และ อกนิฏฐพรหม แต่พระอนาคามีท่านนี้เป็นแค่พระภูมิเจ้าที่ โห..เฝ้าบ้านใครนี่ต้องบอกว่าสุดยอดมาก ประมาณว่าเอานายพลไปเป็นคนใช้..! หลวงพ่อฤๅษีฯ ถามท่านว่า "ทำไมถึงมาเป็นพระภูมิเจ้าที่ ทั้ง ๆ ที่สามารถไปสุทธาวาสพรหมได้ ?" ท่านบอกว่า "ก่อนตายรู้ว่าเพื่อนที่ตายไปก่อนอยู่ที่นี่ ก็เลยตั้งจิตไว้ว่าขอมาหาเพื่อนที่นี่" สรุปว่าท่านคงอยู่จนลืมโลกไปเลย เพราะว่าถ้าอยู่สุทธาวาสพรหมต่ำสุดก็สองหมื่นมหากัป..! คราวนี้ไปอยู่เขตพระภูมิเจ้าที่ เวลาสองหมื่นมหากัปนี่ ได้อยู่กันจนกระทั่งลืมโลกจริง ๆ..! ดังนั้น..ในเรื่องของจิตของเรา พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า มโนปุบพังคมา ธัมมา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มโนเสฏฐา สูงสุดก็อยู่ที่ใจ มโนมยา สำเร็จก็ที่ใจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2025 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ในแต่ละวันลืมตาตื่นขึ้นมาใจเราต้องเกาะพระไว้ก่อน เพราะว่ากำลังใจของเราเหมือนเก้าอี้ที่นั่งได้คนเดียว ถ้าความดีเข้าไปนั่งไว้ ความชั่วก็เข้าไม่ได้ แต่ถ้าความชั่วเข้าไปก่อน ความดีก็เข้าไม่ถึงเช่นกัน ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้เราจึงต้องตื่นก่อนกิเลส บางคนสงสัยว่าทำไมต้องเจริญกรรมฐานกันตั้งแต่ตีสาม ? ถ้าเราไม่ตื่นก่อนกิเลส ปล่อยให้กิเลสตื่นก่อน เราก็จะฟุ้งซ่านกันนาน กว่าจะรักษากำลังใจให้ผ่องใสได้อีกที ประเภทฟุ้งหนัก ๆ เอาไม่อยู่ บางทีก็ข้ามเดือนเลยก็มี..!
คราวนี้พอจิตของเรามีสภาพจำ ลืมตาตื่นขึ้นมานึกถึงพระ ลืมตาตื่นขึ้นมาภาวนา ทำบ่อย ๆ จนเคยชิน ถึงเวลาจิตของเราก็จะวิ่งเข้าหาการภาวนาหรือภาพพระโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ว่าพวกเราอย่าเข้าใจผิดว่าภาพพระนั้นคือตาเห็น เพราะว่าเป็นใจเห็น ไม่ใช่ตาเห็น เราหลับตาลงนึกถึงเพื่อน นึกถึงข้าวของที่เคยหยิบ เคยใช้ จะรู้สึกว่าชัดเจนมาก ถามว่าหลับตาอยู่แล้วเห็นได้อย่างไร ? นั่นคือใจเห็น แต่ว่าเป็นสิ่งที่เราจดจำได้ด้วยอุปาทานเก่า ๆ ด้วย ในเรื่องของการฝึกฝนฌานสมาบัติไปถึงระดับหนึ่ง พอสภาพจิตเริ่มสงบสงัด ความเป็นทิพย์จะเริ่มปรากฏ ก็จะเห็นโน่น เห็นนี่ เห็นนั่นไปเรื่อย แล้วก็เสียหายหนักกันตรงนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่พอรู้เห็นแล้วจัดการไม่ถูก เมื่อความเป็นทิพย์ปรากฏ อะไรอยากจะมาก็มาเถิด เราไม่ใส่ใจ เราก็อยู่กับองค์ภาวนา อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราต่อไป แต่ก็เหมือนกับแกล้ง ยิ่งไม่สนใจยิ่งชัดมาก ประมาณว่ายั่วให้อยาก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2025 เมื่อ 03:01 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราจัดการไม่ถูกก็จะเสียหายไปเลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบางอย่างเขาให้นิมิตมา จนกระทั่งทุกวันนี้แม่ชีวัดท่าขนุนท่านหนึ่ง ก็ยังวิ่งไปตามนิมิตทั่วประเทศไทยและต่างประเทศ
เพื่อนฝูงท่านหนึ่งก็คือท่านโมเช่ เป็นพระกะเหรี่ยงนอก มาจากพม่า นั่นก็ไปตามนิมิตเหมือนกัน ถึงเวลาเทวดาก็ให้ไปสร้างวัดโน้น ให้ไปบูรณะเจดีย์นี้ แกก็ทำของแกไปเรื่อย แต่เทวดาเขาเก่งนะ เพราะว่าถ้าเขาให้ทำที่ไหน เขาหาคนมาช่วย ถึงเวลาต้องการเงินมีเงิน ถึงเวลาต้องการคนมีคน ต้องการของมีของ แต่ว่าทำให้เราเสียเวลา ก็คือถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อมรรคเพื่อผลของตนเอง ก็เห็นหน้าเห็นหลังไปแล้ว เพราะว่าเวลาผ่านมาแล้วหลายสิบปี แต่นี่ก็ต้องวิ่งไปบูรณะ ตรงนั้นก็สำคัญ ตรงนี้ก็สำคัญ ทำแล้วจะได้เป็นจุดรวมกำลังใจของผู้คน ทำให้พระพุทธศาสนามั่นคง สารพัดเหตุผล ทำแล้วได้บุญใหญ่ เฮ้อ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2025 เมื่อ 03:03 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ไปนึกถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเป็นเจ้าคุณพระราชวุฒาจารย์ วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ คนเขาบอก "หลวงปู่สร้างโบสถ์มาหลายหลัง สร้างศาลามาหลายหลัง บุญมากเหลือเกิน" หลวงปู่ท่านก็ถอนใจเหมือนอาตมาเมื่อครู่นี้แหละ "เฮ้อ..ใครเขาจะมาเอาบุญกันแค่นี้"
พวกเราทุกท่านต้องเข้าใจว่า ต่อให้เป็นวิหารทาน ซึ่งถือว่าเป็นทานสูงสุดในพระพุทธศาสนา ขอยืนยันนะว่าวิหารทานสูงสุด ที่เราว่าธรรมทานสูงสุดนั่นเราสรุปกันเอง ก็คือเราไปสรุปจาก สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ชนะทานทั้งปวง อานิสงส์ที่จะพึงได้จากทาน พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่าทำบุญกับพระองค์ร้อยครั้งไม่เท่าถวายสังฆทานหนึ่งครั้ง แล้วดูสิ..บุญขนาดนั้นเขาไม่เอา ของที่เห็นกองตรงหน้าอาตมานี้ เขาจะถวายหลวงพ่อเล็กให้ได้..! ถึงได้บอกว่ารางวัลที่ ๑ ไม่เอา ต้องการแค่เลขท้าย ๒ ตัว ถวายสังฆทานร้อยครั้งไม่เท่ากับสร้างวิหารทานหนึ่งครั้ง แย่แน่..อาตมาสร้างวัดไว้ตั้ง ๗ - ๘ วัด แต่ก็ยังเป็นแค่บุญในระดับทานเท่านั้น ถ้าเรารักษาศีลได้บริสุทธิ์ สะอาด มั่นคง อานิสงส์มากกว่าทานเป็นร้อยเท่า แปลว่าทานถ้าทำหนึ่งได้ร้อย ศีลถ้าทำหนึ่งจะได้หมื่น แล้วยังมีภาวนาอีก เจริญภาวนาทำหนึ่งได้ล้าน..! คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมหลวงปู่ดุลย์ท่านถึงได้บอกว่า "ใครเขาจะมาเอาบุญกันแค่นี้" ? เพราะว่าแค่ภาวนาเฉย ๆ บุญมากกว่าตั้งขนาดนั้นแล้ว ถ้ายิ่งสามารถสร้างปัญญาให้เกิด เห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ เห็นความเป็นจริงของโลกนี้ ถอนจิตจากการยึดการเกาะได้ เจ้าประคุณรุนช่องเถอะ..มีค่าจนประมาณไม่ได้เลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 00:59 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
วันก่อนเห็นจีนไหม ? ยิงจรวดส่งดาวเทียมขึ้นวงโคจรไป ๒๒๐ กว่าดวง เพื่อให้ "ระบบเป๋ยโต่ว" ของเขาสมบูรณ์ สหรัฐอเมริกาเขามีสตาร์ลิงก์ของอีลอน มัสก์ ของจีนก็มีเป๋ยโต่ว เป๋ยโต่วนี่แปลว่าดาวเหนือ กว่าจะหาเชื้อเพลิงส่งจรวดขึ้นไปได้ทีหนึ่ง บาทสองบาทเสียเมื่อไรเล่า ? หมดกันเป็นร้อยล้าน พันล้าน ขึ้นไปได้แค่นั้นเอง ยังมองเห็นแว็บ ๆ อยู่เลย ถึงเวลากลางคืนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า อะไรที่วิ่งตามกันเป็นหางนั่นเป็นดาวเทียมทั้งนั้น สอดแนมไปทั่วโลก
แค่นั้นก็หมดเป็นร้อยล้านพันล้านแล้วนะ แล้วถ้าหากว่าสามารถสร้างระบบที่เลิศเลอเพอร์เฟ็คไปกว่านั้น เติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ สมมติว่าเป็นระบบโซล่าเซลล์ ดึงพลังงานมาเพียงพอส่งตัวเองหลุดออกไปจากวงโคจรโลก นึกว่าไปได้ไกลมาก ที่ไหนได้ก็ติดอยู่แค่สุริยจักรวาล (Solar System) ที่นึกว่าไปไกลมากนั้น จริง ๆ แล้วอยู่แค่นี้เอง หาทุนได้อีกสักหมื่นล้าน แสนล้าน พาตัวเองหลุดจากสุริยจักรวาลออกไปได้ ไปอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) ก็จะมีระบบสุริยจักรวาลแบบของเราเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ระบบอยู่ในนั้น เราเก่งเราหาเชื้อเพลิงได้อีก หมดไปอีกกี่แสนล้าน กี่ล้านล้าน ก็ไม่รู้ หลุดจากกาแล็กซี่ทางช้างเผือกไปอยู่ในเอกภพ (Universe) นอกจากกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรา ก็จะมีเพื่อนฝูงเยอะแยะไปหมด เช่น แอนโดรเมดากาแล็กซี่ อะไรพวกนั้น ซึ่งทั้งหมดอยู่ในเอกภพ บางคนใช้คำว่าจักรวาล ที่เขาประกวดมิสยูนิเวิร์ส เขาก็เลยเป็นนางงามจักรวาล แต่ไปได้แค่นั้นจริง ๆ..! ใช้เวลาอีกไม่รู้กี่ล้านล้านปีแสง พร้อมกับทรัพยากรที่นับไม่ได้ สมมติว่าส่งตัวเองหลุดจากเอกภพ หรือยูนิเวิร์สนี้ไปได้ ก็อยู่แค่ชายขอบสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชแค่นั้น..! เพิ่งจะไปแตะ ๆ กำแพงแค่นั้นเอง ยังไม่ได้เข้าไปในเขตเลย..! หมดไปเท่าไรแล้ว ? ถ้าคิดเป็นทรัพยากรนี่ท่วมโลกนี้หลายรอบเลย ที่วิ่งไปแค่นั้น..! แต่ถ้าเรารักษาศีลห้าข้อมั่นคง บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ รักษาได้แน่นอนนี่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลยนะ แล้วเห็นหรือยังที่หลวงปู่ท่านบอกว่า "เฮ้อ..ใครเขาจะไปเอาบุญแค่นั้น" สร้างกันเกือบเป็นเกือบตาย สู้ภาวนาแค่ ๒ ชั่วลมหายใจยังไม่ได้เลย หายใจเข้า..พุท หายใจออก..โธ ไปได้ไกลกว่านั้นอีก อาตมาพูดมากไปเดี๋ยวหมดราคาอีก เพียงแต่ว่าอานิสงส์ต่างกันมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:04 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
ต้นสน |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|