กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-05-2023, 18:26
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,530
ได้ให้อนุโมทนา: 215,928
ได้รับอนุโมทนา 736,964 ครั้ง ใน 35,905 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-05-2023, 00:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,063 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพ "โดนเท" ไปสองงาน ทั้งเช้าและบ่าย จึงใช้เวลาที่เหลือภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบไปสองรอบ

ถ้าท่านทั้งหลายถามว่ากระผม/อาตมภาพยังต้องภาวนาอยู่อีกหรือ ? ก็ขอยกเอาพระดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ แม้แต่ตถาคตก็ยังต้องมากด้วยอานาปานสติ" นี่เป็นประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านเตือนอยู่เสมอให้เราไม่ประมาท ถ้าหากว่าเราเอาความดีใส่ไว้ในใจของเรา ความชั่วก็เข้ามาไม่ได้ เพราะว่ากำลังใจของเรานั้นเปรียบเสมือนเก้าอี้ที่นั่งได้คนเดียว ถ้าหากว่าความดีนั่งอยู่ ความชั่วก็เข้าไม่ได้ ถ้าความชั่วนั่งอยู่ ความดีก็เข้าไม่ได้เช่นกัน

ในแต่ละวัน เราจึงควรที่จะให้กำลังใจของเรานั้นอยู่ในด้านดีให้มากกว่าเข้าไว้ ขนาดนั้นก็ตาม ที่กระผม/อาตมภาพพบมาก็คือ หลายท่านเวลากลางวันรักษากำลังใจได้ดีมาก แม้แต่หน้าตาเพศตรงข้ามก็ไม่มอง แต่พอกลางคืนเผลอหลับ ฝันว่าไล่ปล้ำลูกชาวบ้านเขาไปเรียบร้อยแล้ว..!

หรือว่ากลางวันระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่มดตัวเดียวก็ไม่กล้าเหยียบ กลางคืนหลับเมื่อไร ฝันว่าฆ่าเขาไปเป็นกองทัพเลย เหล่านี้เป็นต้น ท่านจะเห็นได้ว่ากำลังใจของเรานั้น แม้ว่าจะสามารถรักษาได้ตลอดระยะเวลาที่ตื่นอยู่ แต่ถ้าเผลอเมื่อไรก็จะคลายตัวออก แล้วก็ปล่อยให้ความชั่วแทรก
เข้ามาแทน

ดังนั้น..จะได้เห็นว่าบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะสอนให้เราภาวนา จนกระทั่งหลับและตื่นเรามีสติเท่ากัน ถ้าเช่นนั้น เราจึงจะสามารถระมัดระวังไม่ให้ความชั่วกินใจเราได้แม้แต่เวลาที่หลับอยู่ ลักษณะอารมณ์นั้นก็คืออารมณ์ของความเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม จะมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ แม้แต่หลับก็รู้อยู่ว่าตอนนี้ตนเองหลับ ถ้าหากว่าเป็นคนนอนกรน ก็ได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2023 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-05-2023, 00:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,063 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้าหากว่ามีสิ่งหนึ่งประการใดที่เข้ามาสัมผัส แล้วเรามีความจำเป็นที่จะต้องปฏิสัมพันธ์ด้วย ก็จะค่อย ๆ คลายกำลังใจออกมาด้วยความระมัดระวัง ถ้าหากจำเป็นที่จะต้องติดต่อพูดคุย ก็เอาสติจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าเสมอ ไม่ให้เผลอหลุดไปไหน หลังจากที่หมดธุระแล้ว ก็จะรีบกลับเข้าไปสู่อารมณ์เดิมของตน ก็คือกลับเข้าไปอยู่ภายในอารมณ์ของ "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ต่อไป

ถ้าหากว่าทำได้ถึงระดับนี้ ท่านทั้งหลายถึงจะมีโอกาสชนะกิเลสได้บ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วทำมาเท่าไรก็ไม่เพียงพอ เผลอสติปล่อยให้กิเลสชักจูงไป ทำมาเท่าไรก็โดนกิเลสเอาไปกินเสียหมด แถมกิเลสยังมีความสามารถพิเศษอีกด้วย ก็คือเมื่อตัวเราภาวนาแล้ว ถ้าไม่รู้จักเอากำลังนั้นไปพิจารณา กิเลสก็จะฉกฉวยกำลังสมาธินั้นไปฟุ้งซ่าน ในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง แทน

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า หลังจากเราภาวนาแล้วทิ้งไปเฉย ๆ เมื่อถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง ปรากฏขึ้น จะรุนแรงแข็งกล้ามากเป็นพิเศษ จนกระทั่งเราอยู่ในลักษณะของการ "เอาไม่อยู่" แล้วก็ต้องไหลตามกระแสของ รัก โลภ โกรธ หลง ไป หลายท่านก็ละเมิดศีล ละเมิดธรรม เสียผู้เสียคนไปเลย ก็เพราะว่าเราอยู่ในลักษณะของการเลี้ยงโจรให้มาปล้นเราเอง หรือว่าเลี้ยงเสือให้มากัดเราเอง..!

เพราะว่าเมื่อจิตของเราสงบ มีกำลัง แต่เราไม่ได้เอาไปพิจารณาวิปัสสนาญาณให้รู้แจ้งเห็นจริง กำลังส่วนนั้นก็จะโดนกิเลสฉกฉวยเอาไปใช้งานแทน จึงฟุ้งซ่านได้อย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เราไม่สามารถที่จะรั้งเอาไว้ได้ ก็กลายเป็นจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก จนเป็นเรื่องปกติ


แต่ถึงท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะรู้จักใช้การพินิจพิจารณา จนกระทั่งสภาพจิตของเราใช้กำลังสมาธิไปมากพอ ก็จะเริ่มรู้สึกว่า "เฝือ" คือการพิจารณานั้นเริ่มไม่ชัดเจนแล้ว เราก็รีบกลับมาภาวนาใหม่ เมื่อกำลังของการภาวนาทรงตัวแล้ว เราก็กลับไปพิจารณาใหม่ ให้ทำสลับกันไป สลับกันมาดังนี้ ก็จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น

แต่ส่วนสำคัญก็คือ กำลังสมาธิของท่านนั้น อย่างน้อยต้องปฏิบัติให้ถึงระดับรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาโดยอัตโนมัติ ก็คือไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง ถ้าอยู่ในระดับนั้น อย่างน้อยก็คือท่านจะทรงอยู่ในปฐมฌานละเอียด ถ้าท่านสามารถพลิกแพลงเป็นฌานใช้งานได้ก็จะสุดยอดมาก แต่ถึงพลิกแพลงใช้งานไม่ได้ ก็ต้องเอาสติประคับประคอง ให้สภาพจิตอยู่ในลักษณะของการตื่นรู้ ระมัดระวังอยู่เสมอ กิเลสก็จะแทรกเข้ามากินใจของเราไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2023 เมื่อ 02:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 20-05-2023, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,063 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่ท่านทั้งหลายจะปรับสมาธิให้เป็นสมาธิใช้งาน ก็คือท่านต้องภาวนาในขณะที่เคลื่อนไหวได้ วิธีฝึกฝนที่ดีที่สุดก็คือเดินจงกรมไปพร้อมกับการภาวนา เพียงแต่ว่าระยะแรก ท่านอย่าเพิ่งจับลมหายใจครบ ๓ ฐาน เพราะว่าลมหายใจครบ ๓ ฐานเมื่อไร จะเข้าสู่ระยะของปฐมฌานหยาบ ร่างกายกับจิตของท่านเริ่มแยกเป็นคนละส่วน เราจะบังคับให้ร่างกายก้าวเดินไม่ได้..!

ดังนั้น..ท่านต้องจับลมหายใจแค่ฐานใดฐานหนึ่ง อย่างเช่นว่าเฉพาะจมูก หรือว่าเฉพาะที่ท้อง แล้วก็กำหนดภาวนาพร้อมกับเดินไป จะเป็นก้าวซ้าย "พุท" ก้าวขวา "โธ" ก็ได้ เอาความรู้สึกของเราเคลื่อนตามเท้าของเราไป "พุท" ซ้ายลง "
โธ" ขวาลง แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท่านมีความคล่องตัว สามารถที่จะกำหนดได้โดยไม่ต้องระมัดระวังมากแล้ว ก็เพิ่มการกำหนดลมฐานที่ ๒ ลงไป อย่างเช่นว่าจมูกกับอก แล้วลองเดินดู ถ้าหากว่าก้าวไม่ออกหรือก้าวช้าลง เราก็ใช้วิธีก้าวช้า ๆ พร้อมกับกำหนดภาวนาไป จะช้ายิ่งกว่าเต่าคลานก็ปล่อยให้ช้าไป พอเราทำได้คล่องตัวแล้วก็จะค่อย ๆ เร็วขึ้นไปเอง

เมื่อสามารถกำหนดลมหายใจ ๒ ฐาน พร้อมกับการเดินจงกรมได้แล้ว มีความคล่องตัว เคลื่อนไหวได้สะดวก ท่านก็เริ่มกำหนดลม ๓ ฐาน พร้อมกับการเดินจงกรม ก็คือรู้ลมว่าเข้าที่จมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง ลมออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก ถ้าหากว่าใหม่ ๆ ก็จะยืนแข็งทื่อ ก้าวไม่ออก เพราะว่ายังขาดความชำนาญอยู่ ต้องพยายามฝืนตนเอง จนรู้สึกเหมือนกับหลุดจากสภาวะผีอำ ก็คือค่อย ๆ เคลื่อนไหวช้า ๆ ได้ เราก็ค่อย ๆ ย่องของเราไป

จนกระทั่งมีความคล่องตัวมากขึ้น สมาธิไม่คลายไปไหนแม้ว่ากำลังเคลื่อนไหว เราก็สามารถที่จะก้าวได้เร็วขึ้น จนกระทั่งสามารถภาวนาจับลมหายใจ ๓ ฐานพร้อมกับการเดินตามปกติได้ เราก็ลองกระทำงานการอื่น ๆ ไปด้วย ถ้าหากว่าสามารถทำงานอื่น อย่างเช่นว่ากวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้าไป พร้อมกับการภาวนาได้ ก็แปลว่าสมาธิของท่านเริ่มใช้งานได้แล้ว

ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะอย่างนี้ สมาธิจิตของท่านก็จะมั่นคงมากขึ้น ถึงเวลา แม้ว่าจะกระทำสิ่งหนึ่งประการใดก็ไม่หลุดหายไปง่าย โอกาสที่เราจะชนะกิเลสก็มีมากขึ้น แต่ก็ต้องคอยระมัดระวังเอาไว้เป็นอย่างสูง เพราะว่าอยู่ในลักษณะของผู้ฝึกหัด ยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เผลอเมื่อไรสติขาด สมาธิหลุด รัก โลภ โกรธ หลง จะมาเป็นฟ้าถล่มดินทลาย ถ้าถึงเวลานั้น ท่านทั้งหลายอย่าไปเสียเวลาคร่ำครวญกับความเสียหายที่เกิดขึ้น หากแต่ว่าโยนทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าทิ้งไปให้หมด แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทันที..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2023 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 20-05-2023, 01:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,063 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าท่านทั้งหลายพยายามซักซ้อมในลักษณะแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็จะทรงสมาธิได้นานขึ้น แต่ขอให้ทำแบบคนฉลาด อย่าทำแบบคนโง่ ก็คืออย่าทำอยู่ในอิริยาบถเดียว ไม่ว่าจะกระทำกิจการงานใด ๆ ก็ตาม ให้อยู่กับการภาวนาไปด้วย อยู่กับลมหายใจเข้าออกไปด้วย

ถ้าทำแบบนี้แล้วรู้สึกเบื่อ ก็ให้เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น อย่างเช่นว่าถ้าเดินอยู่ในบ้านแล้วรู้สึกเบื่อก็ออกไปเดินนอกบ้าน ถ้าหากว่าเดินแล้วรู้สึกเบื่อ ก็หางานอื่น ๆ ทำเป็นต้น เพียงแต่รักษาคำภาวนาและลมหายใจเข้าออกของเราเอาไว้ ซักซ้อมอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ท่านทั้งหลายก็สามารถที่จะทรงสมาธิจิตได้ แล้วเราเองก็จะมีความมั่นคงของกำลังใจ มีสติแหลมคม ว่องไว รู้รอบมากขึ้นเรื่อย ๆ สามารถระมัดระวังไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นได้

โดยเฉพาะเมื่อสติแหลมคม ปัญญาก็จะว่องไว ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ก็จะหยุดอยู่แค่นั้น ไม่นำเข้ามาสู่ใจ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ก็ไม่สามารถกินใจของเราได้

ในเมื่อกิเลสใหม่เกิดไม่ได้ เราพยายามขัดเกลาไปเรื่อย กิเลสเก่าจะจืดจางเบาบางลงไปทุกที ๆ สภาพจิตยิ่งผ่องใสเท่าไร ปัญญาก็ยิ่งเกิด ย่อมเห็นหนทางว่าทำอย่างไร ถึงจะสามารถชำระกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจของเราได้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าวิปัสสนาญาณ

ถึงเวลานั้นท่านทั้งหลายก็จะมีหลักยึดเป็นของตนเอง ถึงแม้ว่าหกล้มก็จะลุกขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว สามารถประคองกำลังใจในแต่ละวันให้มีดีมากกว่าชั่ว ถึงเวลานั้นแล้ว กำลังจิตของท่านก็จะผ่องใสขึ้นเรื่อย ๆ ปัญญาก็จะเห็นวิธีการต่าง ๆ ที่จะเอาตัวรอดจากกิเลส และหาทางเอาชนะกิเลสจนได้ในที่สุด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดขึ้น ท่านต้องอดทนอดกลั้น ต่อสู้ฝ่าฟันแบบไม่ท้อถอย จึงจะสามารถประสบความสำเร็จ ดังที่กระผม/อาตมภาพได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2023 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:18



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว