กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 07-04-2023, 17:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,612
ได้ให้อนุโมทนา: 216,303
ได้รับอนุโมทนา 741,128 ครั้ง ใน 36,098 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-04-2023, 08:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,784 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปยังสำนักสงฆ์สุธรรมาราม ตำบลกุดน้อย อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่ประมาณตี ๓ โดยอาศัย "พี่กู" นำทางไปเช่นเคย แล้วก็เจอ "พี่กู" นิสัยเสียเหมือนเดิม ก็คือทุกครั้งในการเดินทางขาไป จะโดนพาเข้าป่าเข้าดง ประมาณว่าจะโดนฆ่าทิ้งฝังดินเมื่อไรก็ไม่รู้..!? จึงทำให้ต้องละล้าละลัง

เพราะว่าระยะทางในช่วงหลังนั้น หลงอยู่กลางไร่อ้อยที่เพิ่งจะตัดและไถไปใหม่ ๆ ไม่แน่ใจว่ารถจะไปติดเอาตรงไหน แต่ก็ยังสามารถผ่านไปได้ตลอดรอดฝั่ง เมื่อไปถึงสำนักสงฆ์สุธรรมารามแล้ว สมุห์นวย (พระสมุห์ฐิติ ฐิติโก) เจ้าสำนักสงฆ์บอกว่า เมื่อคืนก็มีรถหลายคันโดน "พี่กู" พาไปทางนั้น จนกระทั่งต้องเรียกรถไถไปช่วยลากกลางดึกมาแล้ว..!

แต่พอเสร็จพิธีกรรมทุกอย่างแล้ว ขากลับ "พี่กู" ก็ทำนิสัยเดิม คือพากลับทางถนนใหญ่ ถ้าเป็นคนก็คงประมาณต้องตบให้หัวทิ่ม..! ด้วยความที่อยากจะอวดว่าตนเองรู้เส้นทางมากหรือว่าอย่างไรก็ไม่รู้ ? ทุกครั้งจะไปที่ไหน ขาไปจะโดนพาเข้าป่าเข้าดงไป ชนิดที่คนขับรถหมดความมั่นใจว่าจะไปดีหรือไม่ดี ? แต่ครั้นจะไม่ไป ก็ตามมาเกินครึ่งค่อนทางแล้ว จะย้อนกลับก็ไม่รู้ทางเช่นกัน จึงต้องไปตายเอาดาบหน้า ดังนั้น..จึงไม่แปลกใจว่าทำไมมีคนขับรถบางคนลงไปอยู่ในคลอง ก็เพราะว่า "พี่กู" นำทางในลักษณะอย่างนี้เอง

ครั้นเมื่อกลับมาจากงานแล้ว ก็ต้องกลับมาจัดเตรียมกระเป๋า ช่วงนี้อยู่ในลักษณะเตรียมเครื่องช่วยชีวิต เพราะมีผู้นิมนต์และออกตั๋วเครื่องบินให้ไปลุยหิมะ แค่นี้ยังไม่พอ ปรากฏว่าปีนี้ยังมีอีก ๑ รายก็คือลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ซึ่งทำทัวร์ไปลาวใต้ ได้นิมนต์ "หลวงตา" ให้ไปด้วยในจังหวะที่พอเหมาะพอดีว่า
กระผม/อาตมภาพมีเวลาว่าง ๔ วัน

กระผม/อาตมภาพตั้งใจจะไปดูหลี่ผีและคอนพะเพ็ง ซึ่งเป็นน้ำตกใหญ่ ช่วยป้องกันลาวจากการยึดครองของฝรั่งเศสได้อยู่หลายปี แต่ว่ามหาน้ำตกขนาดนั้นก็ยังกั้นความโลภในใจของคนไม่ได้ ฝรั่งเศสใช้เรือบรรทุกรางรถไฟมาขึ้นตรงบริเวณใกล้น้ำตก แล้วก็ต่อทางรถไฟอ้อมน้ำตก ขนเอาอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงอาหาร เข้าไปยึดประเทศลาวจนได้..!

ด้วยความที่อยากจะรู้ว่า แม่น้ำโขงทั้งสายหักลำลงไปกลายเป็นน้ำตกได้อย่างไร ? จึงได้รับปากลูกกิฟท์ว่าหลวงตาจะไปด้วย แต่ว่าเหมือนเดิม ก็คือกฎเกณฑ์กติกาการไปต่างประเทศของกระผม/อาตมภาพ จะไม่จ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว..! ใครนิมนต์ไปต้องรับผิดชอบค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเครื่องบินทั้งหมด ถ้าแถม "พ็อคเก็ตมันนี่" ให้ก็จะยิ่งดีมาก ไม่เช่นนั้นแล้ว
กระผม/อาตมภาพก็จะเล่นตัว ไม่ยอมเดินทางไปด้วย

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ปัจจัยไทยธรรมที่ญาติโยมถวายมานั้น ถวายมาในขณะที่เราเป็นพระภิกษุสงฆ์ ต่อให้ระบุว่าถวายส่วนตัว ก็ต้องนึกอยู่เสมอว่า "เราได้มาในขณะที่เป็นพระสงฆ์"..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2023 เมื่อ 17:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 08-04-2023, 08:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,784 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ว่า "เงินส่วนตัวให้ใช้พอสมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น" เมื่อกราบเรียนถามท่านว่า "พอสมควรแก่สมณสารูปคือใช้อย่างไรครับ ?" ท่านบอกว่า "ใช้เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ช่วยเหลือคนหรือสัตว์ ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นถ้าไม่ทำสาธารณประโยชน์ ก็ให้ผลักเข้ากองบุญการกุศล เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย"

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงมีหลักการว่า
เงินสงฆ์ไม่ได้มีเอาไว้เที่ยว อยากจะไปที่ไหนก็รอบุญพาวาสนาช่วย ถ้ามีคนนิมนต์และพอเหมาะพอดีกับจังหวะเวลาที่ว่าง ก็จะยินดีเดินทางไปด้วย

เนื่องเพราะว่าตั้งแต่เรียนหนังสือระดับมัธยม ได้อ่านนิทานเวตาลแล้วก็ติดใจ ตอนที่บรรดาหนุ่ม ๆ ทั้งหลายไปแสดงข้อคิดความเห็นของตนเอง เพื่อที่จะได้ครองใจสาว ๆ ได้กล่าวถึงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไว้ประมาณว่า "ชายใดไม่เที่ยวเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร มิอาจประสบพบสุข ชายใดอยู่เหย้าเนาทุกข์ ไม่ด้นซนซุก ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมาฯ"

บางท่านก็แสดงความเห็นว่า "จงจรเที่ยว เทียวบทไป พงพนไพร ไศละลำเนา ดั้นบถเดิน เพลินจิตเรา แบ่งทุกขเบา เชาวนไวฯ" ซึ่งอยู่ในลักษณะสรรเสริญการเดินทางท่องเที่ยวทั้งสิ้น

โดยเฉพาะภาษิตจีนที่บอกว่า "เดินทางหมื่นลี้ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการอ่านหนังสือนั้น เราได้แค่จินตนาการเท่านั้น แต่การเดินทาง เราจะพบประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แท้จริง เรื่องราวทั้งหลายอาจจะแตกต่างกับที่ตำราเขียนเอาไว้มากมายมหาศาล ตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน จึงได้กล่าวเอาไว้ในลักษณะสรรเสริญว่า การเดินทางนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า

โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่อ่านยุทธจักรนิยายตั้งแต่ยุคแรก ๆ บุคคลใดก็ตาม ถ้าหากว่าเดินทางไปเหนือ ๖ ใต้ ๗ รวม ๑๓ มณฑลได้ทั่วถึง สามารถที่จะคุยไปได้ทั้งยุทธจักรว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมในประสบการณ์เป็นอย่างยิ่ง สมัยนี้แม้ว่าจะขยายเพิ่มขึ้นมาเป็น ๒๐ กว่ามณฑลแล้วก็ตาม คาดว่าน้อยคนนักที่จะเดินทางไปได้ทั่วแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล

ประเทศจีนนั้นก็เป็นประเทศหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพได้ร่างกำหนดการคร่าว ๆ ไว้ในใจ ว่าจะเขียนประสบการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับ "พินิจเกล็ดพญามังกร" คำว่า เกล็ดพญามังกร ในที่นี้ก็คือแต่ละเมือง แต่ละมณฑลของจีน ตอนนี้ที่เขียนเอาไว้ก็มี ไข่มุกพญามังกร ดวงใจพญามังกร ได้ไปประมาณ ๒ หรือ ๓ ตอนแล้ว

ส่วนที่ไหนที่ไปแล้วเป็นไข่มุกพญามังกร หรือดวงใจพญามังกร ปล่อยให้พวกเราคาดเดากันไปเอง ถ้าหากว่าประกอบเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นมาจนครบถ้วนสมบูรณ์เมื่อไร "พินิจเกล็ดพญามังกร" ก็จะเป็นสารคดีท่องเที่ยวประเทศจีนที่ครบเครื่องจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2023 เมื่อ 17:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 08-04-2023, 08:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,784 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ไม่แน่ใจว่าอายุของกระผม/อาตมภาพที่มีอยู่ ตลอดจนกระทั่งความว่างที่มีน้อย จะทำให้สามารถไปประเทศจีนได้สักปีละครั้งสองครั้งหรือไม่ ? ถ้าหากว่าไปได้ก็คงจะเขียนจบก่อนที่จะถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าหากว่าไปไม่ได้ ท่านใดที่รู้เรื่องนี้แล้ว ก็โปรดอาสาดำเนินการต่อไปด้วย พยายามประกอบเกล็ดพญามังกรให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้อ่านเรื่องราวเหล่านั้นได้ครบถ้วน กลายเป็น "ไกด์บุ๊ค" สำหรับบุคคลที่เดินทางตามไปทีหลัง แม้ว่าสภาพสังคม ตลอดจนกระทั่งเศรษฐกิจการเมืองต่าง ๆ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา แต่ว่าสถานที่ต่าง ๆ ก็คงจะไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย

ปกติแล้วกระผม/อาตมภาพมีความฝันตั้งแต่เป็นฆราวาส ก็คือว่าจะแบกเป้เดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อย เงินหมดเมื่อไรก็หางานทำ ได้เงินมาก็เที่ยวต่อไป อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นนักท่องเที่ยวสะพายเป้ ศึกษาหาความรู้ไปเรื่อย ๆ ถึงขนาดวางโครงการเอาไว้ว่า เมื่อเป็นพระแล้ว จะเดินธุดงค์ ในลักษณะที่ว่าเข้าไปทางประเทศพม่า เดินทะลุไปอินเดียทางด้านรัฐยะไข่ แล้วก็วนมาขึ้นเนปาล เข้าสู่ทิเบต ลงมาประเทศจีน เข้าเวียดนาม เข้าลาว ลงไปเขมร แล้วทะลุกลับประเทศไทย

แต่ว่าแผนการที่วางเอาไว้ต้องล่มสลายไปเสียก่อน เนื่องเพราะภาระหน้าที่ต่าง ๆ มีมาก การเดินธุดงค์ในลักษณะอย่างนั้นต้องใช้ระยะเวลาเป็นปี ๆ ไม่ใช่เป็นเดือน ถ้าหากว่าหายไปเป็นปี ก็คาดว่าญาติโยมทั้งหลายอาจจะมีการลงแดงตาย เพราะไม่ได้ฟังบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน..!

คราวนี้ในเรื่องของการเดินทางนั้น ต้องอาศัยหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สำคัญที่สุด ก็คือความไม่ประมาท อะไรที่สามารถนำติดตัวไปได้ ต้องคิดไว้เสมอว่าเราหาจากที่อื่นไม่ได้ โดยเฉพาะยารักษาโรคประจำตัว ตลอดจนกระทั่งข้าวของเครื่องใช้จำเป็น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บางทีกระผม/อาตมภาพเคยเจอมาด้วยตนเองแล้ว ในที่ขาดแคลนนั้น ราคาแพงกว่าปกติ ๖ - ๗ เท่าก็ต้องไปซื้อเขา จึงทำให้ค่อนข้างที่จะสามารถจัดกระเป๋าได้กระชับ ก็คือมีแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนที่ไม่จำเป็นก็ไม่ได้เอาติดตัวไปเลย

ดังนั้น..เวลาเดินทางไปต่างประเทศ ถ้าระยะเวลาอยู่ในช่วงประมาณ ๑ อาทิตย์ หลายท่านจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพมีกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่องใบเดียวเท่านั้น น้ำหนักก็ตกอยู่ประมาณ ๖ - ๗ กิโลกรัม เพราะว่าส่วนที่หนักที่สุดก็คือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ติดไปเพื่อทำงาน ส่วนอื่นก็เพียงพอที่จะใช้งานตลอดระยะเวลาที่เดินทางอยู่แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2023 เมื่อ 17:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 08-04-2023, 08:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,784 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่างวดนี้ สถานที่ไปนั้นตั้งใจจะไปลุยหิมะกัน จึงต้องมีกระเป๋าสำหรับเครื่องกันหนาวต่างหากอีก ๑ ใบ คาดว่าน้ำหนักรวมกันแล้ว ทั้ง ๒ ใบก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกิน ๑๒ - ๑๕ กิโลกรัม ยังสามารถเฉลี่ยน้ำหนักให้ เผื่อมีใครคิดที่จะซื้อข้าวของกลับมาด้วย

ความจริงจะว่าไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ให้พระเรามีแค่บริขาร ๘ เท่านั้น ก็คือ สบง จีวร สังฆาฏิ ซึ่งอยู่ในส่วนของเครื่องนุ่งห่ม เป็น ๓ อย่างไปแล้ว เมื่อบวกประคดเอวเข้าไปก็เป็น ๔ อย่าง แล้วก็ยังมี บาตร มีดโกน หม้อกรองน้ำ เข็มและด้าย ซึ่งเข็มและด้ายนี้จัดรวมเป็นอย่างเดียว

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากองทัพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประกอบด้วยต้นทุนน้อยขนาดนั้น ทำไมถึงสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้กว้างใหญ่ไพศาล จนกลายเป็นศาสนาอันดับที่ ๔ ของโลกได้ ? ก็คือรองจากศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์และศาสนาฮินดูเท่านั้น

ตรงจุดนี้จะว่าไปแล้ว ศาสนาฮินดูซึ่งเผยแผ่โดยเฉพาะพื้นที่ มีศาสนิกหนาแน่นอยู่แค่ประเทศเดียวคืออินเดีย แต่กลับมีศาสนิกชนนับถือศาสนาฮินดูตั้ง ๙๐๐ กว่าล้านคน..! ส่วนศาสนาพุทธเผยแผ่ไปทั่วโลก นับถือกันหลายสิบประเทศ รวมแล้วเพิ่งจะมีศาสนิกอยู่ประมาณ ๔๐๐ กว่าล้านคนเท่านั้น

ในส่วนนี้จะว่าไปแล้ว เราลงทุนน้อยมากคือแค่บริขาร ๘ เท่านั้น แต่สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนกลายเป็นอันดับ ๔ ของโลก ต้องบอกว่าค้ากำไรเกินควร การลงทุนอยู่ในระดับ D หรือระดับ C แต่ว่าผลงานที่ออกมาอยู่ในระดับ A+ เลยทีเดียว เป็นเรื่องที่กล่าวไว้เป็นข้อคิดสำหรับท่านทั้งหลาย เผื่อที่จะคิดฟุ้งซ่านแบบกระผม/อาตมภาพบ้าง ก็จะได้มาพินิจพิจารณาว่า ทำไมพุทธศาสนาของเราลงทุนน้อยแล้วถึงได้ผลมากเช่นนี้ ?

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2023 เมื่อ 17:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:45



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว