กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-10-2022, 18:45
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,594
ได้ให้อนุโมทนา: 216,253
ได้รับอนุโมทนา 739,434 ครั้ง ใน 36,046 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-10-2022, 23:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพมีงานด่วน คือต้องเดินทางไปร่วมพิธีรดน้ำศพคุณแม่ดำ ฉ่ำเม้า โยมมารดาของพระมหาสมคิด อตฺถสิทฺโธ ป.ธ. ๗ เจ้าอาวาสวัดหนองโพ รองเจ้าคณะอำเภอโพธาราม ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ด้วยกัน ที่ศาลาปฏิบัติธรรมวัดหนองโพ ถนนเพชรเกษม หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี

งานนี้ต้องบอกว่าเป็นงานที่ขาดไม่ได้ เนื่องเพราะว่าเป็นโยมแม่ของเพื่อนร่วมรุ่น และโดยเฉพาะจะว่าไปแล้ว คุณแม่ดำ ฉ่ำเม้า ท่านเป็นบุคคลที่มีบุญมาก เนื่องเพราะว่าเสียชีวิตด้วยการนอนหลับไป และอายุก็ยืนนานถึง ๘๓ ปี

กระผม/อาตมภาพเองนั้น มีประสบการณ์ที่ญาติผู้ใหญ่เสียชีวิตในลักษณะคล้ายคลึงแบบนี้หลายรายด้วยกัน เริ่มตั้งแต่อายุเพิ่งจะ ๓ - ๔ ขวบ โยมตาก็ได้เสียชีวิตไป โดยที่ก่อนจะเสียชีวิต โยมตาก็เรียกบรรดาหลาน ๆ อย่างกระผม/อาตมภาพมารายล้อมอยู่รอบเก้าอี้นอนของท่าน แล้วก็บอกว่า "ถ้าวันไหนตาเสียชีวิตไป พวกเจ้าก็ไม่ต้องเสียใจนะ เพราะว่าคนแก่ก็เหมือนกับผลไม้สุกงอม รอเวลาหล่นจากขั้วเท่านั้น" หลังจากนั้นโยมตาก็ขอกินข้าวเย็น เมื่อเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของร้านตีเหล็กนำข้าวมาให้ คุณตากินข้าวเย็นเสร็จก็เอนตัวนอนบนเก้าอี้ตัวตัวโปรดของท่าน แล้วก็หลับยาวไป ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย..!

ถัดจากนั้นมาก็เป็นโยมพ่อ ที่กระผม/อาตมภาพดูแลท่านอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเวลาถึง ๖ ปีด้วยกัน จนกระทั่งสามารถฝึกวิชาหลับอยู่หูก็ต้องได้ยิน เผื่อเวลาที่โยมพ่อเรียก จะได้ลุกขึ้นมาช่วยเหลือท่านได้ทันท่วงที โยมพ่อเอง ตอนช่วงเย็นของวันที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ อยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นเดินกระฉับกระเฉง จนกระทั่งพี่หงส์ ซึ่งเป็นพี่สะใภ้คนรองดีอกดีใจว่า "เตี่ยน่าจะหายดีแล้ว..!"

แต่ว่าโยมแม่นั้นมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก บอกให้พี่ชายรีบไปโทรเลขเรียกบรรดาญาติพี่น้องทั้งหมดมาโดยด่วน อาการแบบนี้โบราณเรียกว่า "ไฟวาบสุดท้ายของชีวิต" ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยจะมีสติขึ้นมาสั่งการหรือว่าสั่งเสียลูกหลานในเรื่องต่าง ๆ เป็นครั้งสุดท้าย โดยที่โยมพ่อนั้นลุกขึ้นกระฉับกระเฉง สามารถที่จะอาบน้ำได้ กินยาได้

แต่หลังจากนั้น เมื่อเอนตัวนอนลงไป ก็อยู่ในลักษณะเหมือนกับหลับลึก แม้ว่าบรรดาลูกหลานจะเรียกก็ส่งเสียง "อือ ๆ" ได้เท่านั้น แล้วท่านก็หลับยาวตั้งแต่ช่วงใกล้ค่ำของวันที่ ๑๑ จนกระทั่งไปหมดลมหายใจบ่ายโมงวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2022 เมื่อ 02:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 29-10-2022, 23:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ลำดับต่อมาก็เป็นโยมยาย ซึ่งตอนนั้นกระผม/อาตมภาพบวชได้ ๔ พรรษาแล้ว โยมยายนั้นเห็นกระผม/อาตมภาพมาหาตั้งแต่เช้ามืด ก็ยังถามคนอื่นว่า "พระหลานชายมาแล้ว ทำไมไม่ให้มาคุยกับยาย ?" เล่นเอาทุกคนตกอกตกใจกันหมด รีบโทรศัพท์ด่วนไปที่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพจึงต้องรีบเดินทางลงมายังบ้านคุณยายที่หลังไปรษณีย์บางกอกน้อย

เมื่อไปถึง ปรากฏว่าบรรดาน้า ๆ ทั้งหมดช่วยกันเขย่า ช่วยกันปลุก กระผม/อาตมภาพบอกทุกคนว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ห้ามแตะต้อง ห้ามเรียกคุณยายอย่างเด็ดขาด แล้วก็ไปกระซิบข้างหูคุณยายว่า "ตอนนี้พระหลานชายมาแล้ว จะสวดมนต์ให้ฟัง ให้ยายตั้งใจฟังให้ดี ถ้าหากว่าสามารถที่จะไปไหว้พระได้ ยายก็ไปไหว้พระเลยนะ" แล้วกระผม/อาตมภาพก็ "สวดต่อนาม" ให้ กำลังใจของยายนิ่งใสทั้งดวง กระผม/อาตมภาพกำชับบรรดาน้า ๆ ทั้งหมดว่า ปล่อยให้ยายอยู่ในลักษณะนี้ ห้ามเรียก ห้ามแตะต้องอะไรอย่างเด็ดขาด แล้วยายก็หมดลมไปหลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง

รายสุดท้ายก็คือโยมแม่ ก็อยู่ในลักษณะคล้ายคลึงกัน ก็คืออยู่ ๆ ก็เหมือนกับหมดแรงไปเฉย ๆ แล้วก็มีอาการหลับลึก ทางบ้านจึงโทรไปเรียกกระผม/อาตมภาพ ซึ่งเพิ่งจะรับตำแหน่งหน้าที่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนได้ไม่กี่เดือน เมื่อเดินทางมาถึงก็ใช้วิธีเดียวกัน ก็คือบอกโยมแม่ว่า "ลูกตั้งใจที่จะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกที่หน้าวัดท่าขนุน ถ้าโยมแม่โมทนาได้ ขอให้พยักหน้าด้วย" โยมแม่ก็พยักหน้าให้ กระผม/อาตมภาพก็สวดมนต์ให้โยมแม่ฟัง แล้วโยมแม่ก็หลับลึกไปเฉย ๆ ในลักษณะเดียวกัน

กระผม/อาตมภาพเองยังคิดว่า บุคคลที่มีโอกาสเกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกันนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องสร้างเวรสร้างกรรมมา หรือว่าสร้างบุญสร้างบาปมาใกล้เคียงกัน ในเมื่อญาติพี่น้องผู้ใหญ่ทั้งหมดอยู่ในลักษณะที่หลับไปเฉย ๆ แบบนี้ กระผม/อาตมภาพก็น่าจะมีบุญในลักษณะนี้เช่นกัน

ส่วนที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือความเชื่อของคนจีน คนจีนเชื่อถือว่า

ถ้าหากว่าพ่อแม่ตายตอนใกล้รุ่ง ถือว่าดีที่สุด เพราะว่ายังไม่ได้กินอาหารแม้แต่มื้อเดียว เหลือไว้ให้ลูกหลานครบทุกมื้อ ลูกหลานจะเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมาก

ถ้าหากว่าตายหลังมื้ออาหารเช้า ก็เหลือให้ลูกหลานแค่ ๒ มื้อ
ถ้าตายหลังมื้ออาหารเที่ยง ก็จะเหลือให้ลูกหลานแค่มื้อเดียว
ถ้าหากว่าตายหลังมื้ออาหารเย็น ลูกหลานจะลำบากยากจนมาก เพราะว่าพ่อแม่กินไปหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรไว้ให้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2022 เมื่อ 02:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 29-10-2022, 23:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพนั้นตอนแรกก็ยังไม่เชื่อถือ แต่ปรากฏว่ามาดูจากโยมตา ก่อนจะเสียชีวิตได้ขอข้าวกิน ๑ ชาม พวกลูกหลานอย่างกระผม/อาตมภาพจะไปตักให้ แต่ว่าเพื่อนของตาที่เปิดร้านตีเหล็กใหญ่โตมโหฬาร เรียกง่าย ๆ ว่ารับงานเกือบจะทั้งจังหวัดสุพรรณบุรีในช่วงนั้น กิจการรุ่งเรืองมาก ไม่ทราบว่านึกอย่างไร บอกว่า "เดี๋ยวข้าไปเอาให้เอง" แล้วแกก็ไปก็ตักข้าว เอากับข้าวโปะมาพร้อมกับตะเกียบเรียบร้อย

เมื่อโยมตากินเสร็จแล้วก็หลับไปเฉย ๆ พวกบรรดาผู้ใหญ่ เมื่อรู้ว่าโยมตาเสียชีวิตแล้วก็กระซิบกันว่า "อาเจ็กโรงตีเหล็กท่าจะแย่ เพราะว่านี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่ตากินไป ลูกหลานของอาเจ็กน่าจะไม่เหลืออะไรเลย แต่ว่าดีที่พวกเราอย่างน้อย ๆ ก็ยังเหลืออยู่ ๑ มื้อ เพราะว่าโยมตาไปกินของคนข้างบ้านแทน"

เมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพก็สังเกตมา ปรากฏว่าไม่นาน กิจการโรงตีเหล็กก็มีอันซบเซาลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายที่สุดก็ต้องปิดกิจการไป อาเจ็กเจ้าของโรงตีเหล็กเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่กี่ปี แล้วลูกหลานก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ไม่น่าเชื่อว่ากิจการที่เจริญรุ่งเรืองระดับนั้น ถึงกับหมดสภาพได้ภายในระยะเวลาไม่นานเท่านั้น..!

เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าเราถือเป็นภูมิปัญญาโบราณ ก็ขอให้ทุกคนลองสังเกตดูว่าญาติพี่น้องของตนเองเป็นอย่างไร โยมพ่อของกระผม/อาตมภาพนั้น กินอาหารมื้อเย็น แต่ว่าหลังจากนั้นก็หลับยาวมาเลยโดยที่ไม่ได้กินอีก จนกระทั่งไปเสียชีวิตในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น จะเรียกว่าเหลือให้ลูกครบทั้ง ๓ มื้อก็ว่าได้ ดังนั้น..ลูกหลานทุกคนจึงเจริญรุ่งเรือง มีกิจการเป็นของตนเองหมด

โยมแม่นั้น ตอนเสียชีวิตก็ต้องบอกว่าไม่ได้กินอะไรมาข้ามวันเหมือนกัน ก็แปลว่าเหลือให้พวกเรามาครบทุกมื้อเช่นเดียวกัน โยมยายก็อยู่ในลักษณะเช่นเดียวกัน จึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ในส่วนที่
คนจีนโบราณเขากล่าวเอาไว้ และสืบทอดกันมาให้เป็นข้อสังเกตนั้น ตรงจุดนี้จะแม่นยำจริงเหมือนอย่างกับที่โยมตาเสียชีวิตหรือไม่ ? ก็ขอฝากเอาไว้สำหรับญาติโยมทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรของเรา เป็นข้อในการยึดถือและสังเกตสังกากันต่อไป

ถ้าหากว่าเป็นไปตามนั้นสัก ๒ หรือ ๓ รายต่อเนื่องกัน เราค่อยมาสรุปว่า ภูมิปัญญาโบราณนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแท้จริง


ถ้ายังไม่สามารถที่จะชัดเจนได้ภายใน ๒ หรือ ๓ ราย ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นไปดังนั้น เพราะอาจจะเป็นกรรมเก่าบางอย่างมาสนอง ทำให้บุคคลที่เจริญมั่นคง อยู่ ๆ ก็ต้องมีอันเป็นไป ในลักษณะของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ แต่เมื่อกรรมเก่ามาสนอง ทรัพย์สินทั้งหลายก็สูญสิ้นไป จนกระทั่งกลายเป็นคนยากจน จากที่เคยถวายภัตตาหารองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยข้าวมธุปายาส ก็กลายเป็นว่าได้ถวายแต่ข้าวต้มกับน้ำผักดองเท่านั้น ยังดีที่ว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐีนั้น สร้างกุศลต่อเนื่องมาก จึงทำให้ได้ทรัพย์สินทั้งหลายกลับคืนมา จนกระทั่งกลายเป็นมหาเศรษฐีตามเดิม

สำหรับวันนี้ก็ขอฝากข้อคิด ตลอดจนกระทั่งเรื่องราวภูมิปัญญาโบราณไว้กับพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ ถ้ามีเสียงรบกวนอะไรก็ต้องขออภัย เพราะว่าบรรยายธรรมอยู่ข้างหน้าลำโพงวัดหนองโพที่เปิดเพลงพญาโศกอยู่เลย..!

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2022 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:23



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว