กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-04-2023, 19:52
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,620
ได้ให้อนุโมทนา: 216,332
ได้รับอนุโมทนา 741,492 ครั้ง ใน 36,115 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 24-04-2023, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,577 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ มีฝนพรำลงมาซ้ำให้ร้อนยิ่งขึ้น ก็คือบ้านเราส่วนใหญ่แล้วอากาศชื้น ทำให้ร่างกายเราระบายความร้อนไม่ออก แล้วก็มักจะกลายเป็นเหงื่อท่วมตัว ถ้าที่ไหนอากาศแห้ง ร่างกายโดนดึงความชื้นไปเร็ว เราก็จะรู้สึกหนาว

แต่คราวนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติ อย่างที่ได้บอกกล่าวไปตอนก่อนทำวัตรค่ำรอบแรกว่า ถ้าเราทำใจให้ยอมรับไม่ได้ เราก็จะมีความทุกข์มาก เพราะว่าไปดิ้นรน ต่อต้าน ผลักไส แต่ถ้าเราทำใจยอมรับได้ ก็แก้ไขกันไปตามสถานการณ์

การยอมรับในที่นี้เป็นการยอมรับอย่างบุคคลที่มีปัญญา ก็คือได้แก้ไขทุกวิถีทางแล้ว ไม่สามารถจะแก้ได้เราถึงได้ยอมรับสภาพ ไม่ใช่ว่ายังมีหนทางอยู่แล้วเราไม่ทำอะไรเลย โดยที่บอกว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงอย่างนั้น ถ้าแบบนั้นก็ถือว่าขาดปัญญา เพราะว่าหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกส่วนลงท้ายด้วยปัญญา

ใหญ่ ๆ เลยคือหลักไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาในที่นี้เป็นปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งปัญญาทั้งสองส่วนนี้ความจริงไปด้วยกันได้ เพียงแต่ว่าพวกเรามักจะหาจุดพอเหมาะพอดีไม่พบ ก็เลยทำอยู่ในลักษณะของ "โลกช้ำธรรมเสีย"

อย่างเช่นว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้นำองค์กร หรือว่าอยู่ในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เราจะแก้ไขสภาพต่าง ๆ ขององค์กรให้ดีขึ้น เราก็ลงมือแบบไม่ไว้หน้าใคร ถือว่าเราเป็นผู้ยุติธรรม ถ้าในลักษณะแบบนั้น ก็แปลว่าเราขาดปัญญาเป็นอย่างมาก การแก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ ในองค์กรนั้น เราควรจะทำเฉพาะในขอบเขตความรับผิดชอบของตนเอง สูงกว่านั้นอย่าไปแตะ ข้ามสายงานก็ไม่ยุ่งด้วย ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ถ้าลักษณะอย่างนั้น ถึงจะเรียกว่ามีปัญญา ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะเป็นตัวปัญหาในองค์กรนั้น ๆ เสียเอง

ดังนั้น..พวกเราจะเห็นว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งหนึ่งประการใดก็ตาม ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ก็คือยุติธรรม ความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า ยุติ คือ จบสิ้นลงด้วยหลักธรรม ไม่ใช่ยุติความเป็นธรรม..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2023 เมื่อ 03:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-04-2023, 00:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,577 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของความยุติธรรมนั้น ท่านต้องเป็นผู้ไม่ประกอบด้วยอคติ ๔ ประการ ไม่ลำเอียงเพราะรัก คนนี้เป็นคนของเรา เราก็ผลักดันแบบสุดลิ่มทิ่มประตู คนที่ไร้ความสามารถ ต่อให้เป็นคนของเราก็ไม่ควรใช้งาน ควรจะใช้งานบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่นั้น ๆ

ไม่ลำเอียงเพราะโกรธหรือเกลียด ไม่ชอบขี้หน้าบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็ไม่ปล่อยให้มีการเจริญเติบโตเลย

ไม่ลำเอียงเพราะกลัว คนนี้เส้นใหญ่ ถ้าเราไม่ทำให้ดี เดี๋ยวโดน "ลูกพี่" เขาเล่นงาน

ไม่ลำเอียงเพราะหลง ลูกน้องหลายคนสร้างภาพเก่งมาก แต่มีความสามารถในการสร้างภาพเท่านั้น ความสามารถในการงานที่แท้จริงไม่มี เราก็จะไปหลงผิดสนับสนุน จะพาให้องค์กรของเราไปไม่รอด

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าในเรื่องของหลักธรรม เข้าไปอยู่ที่ไหนก็ตาม มีแต่ดีโดยส่วนเดียว แต่อย่าเข้าใจผิด อย่าตีความผิด อย่างเช่น มีสำนักหนึ่งยกหลักธรรมขึ้นมาว่า
"พระภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ควรหากินด้วยเดรัจฉานวิชา เช่นการปลุกเสกเลขยันต์ ทำน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก ฯลฯ" ชัดเจนมากเลย

แต่ปรากฏว่าอ่านแล้วตีความไม่แตก พาให้คนหลงเข้าป่าเข้าดงไปอีก เราต้องเข้าใจคำว่า เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชา คือทำมาหากินแบบนั้น ส่วนบุคคลที่ไม่ได้ทำมาหากินแบบนั้น แต่ทำเพื่อสงเคราะห์ญาติโยม "ก็ทำไปสิครับ" เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปัญญาเพียงพอ เรียกง่าย ๆ ว่า จะทำอะไรก็ตาม ต้องมีปัญญาพิจารณาก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2023 เมื่อ 03:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 24-04-2023, 00:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,577 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขณะเดียวกัน การงานทุกอย่าง ถ้าหากว่าเราทำไปแล้ว ต้องรับผิดชอบด้วย ส่วนใหญ่เรามักจะ "รับชอบ" อย่างเดียว ไม่ยอม "รับผิด" ก็แปลว่าเป็นบุคคลที่ใช้ไม่ได้ ใครก็ตามที่ไม่เคยทำผิดพลาด โอกาสที่จะพาองค์กรล้มมีสูงมาก..! เพราะว่าถึงเวลาแล้วแก้ไขปัญหาไม่เป็น พลาดทีหนึ่งอาจจะเสียขวัญ ไม่เป็นผู้เป็นคนไปเลย

จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักไว้ว่า ปุถุชนธรรมดาต้องมีความผิดพลาดเป็นปกติ แต่สำคัญที่ผิดแล้วต้องแก้ไขให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วความผิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็จะไปตรงกับที่โบราณกล่าวเอาไว้ว่า "ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย ถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำอภัยไฉน" ก็แปลว่า ในเรื่องของการทำการทำงานนั้น ผิดแล้วแก้ไข ให้ความผิดนั้นเป็นครู เป็นบทเรียนแก่ทั้งตัวเราและผู้อื่น แต่ไม่ใช่ผิดซ้ำซากอยู่ในเรื่องเดียวกัน

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายเมื่อผ่านโครงการอบรมนี้ไป ส่วนหนึ่งที่ควรจะเป็นไปตามหลักธรรมก็คือการพิจารณาตนเอง โดยเฉพาะอย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงสังคหวัตถุ ๔ ประกอบไปด้วยทาน คือรู้จักแบ่งปันผู้อื่น ในสิ่งที่กระผม/อาตมภาพว่าไปแล้วว่า "ต้องบริหารประโยชน์ ให้ทุกคนสมประโยชน์ของตน"

ข้อที่สองปิยวาจา ชมคนต่อหน้า ถ้าจะด่าเรียกไปด่าเป็นการส่วนตัว เพราะทุกคนมี "อีโก้" ก็คือตัวกูของกูอยู่ ไม่อยากเสียหน้า

อัตถจริยา ทำตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เทศบาลตำบลทองผาภูมิมีบุคลากรอยู่คนหนึ่งได้รางวัลพนักงานดีเด่นทุกปี เพราะว่าบุคคลนี้เมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ก็มักจะไปช่วยเหลืองานคนอื่นเสมอ

ข้อสุดท้าย สมานัตตตา ที่เรามักจะแปลผิดว่า สม่ำเสมอ หรือเสมอต้นเสมอปลาย เพราะว่าถ้าคนทำชั่วเสมอต้นเสมอปลายย่อมไม่ใช่สมานัตตตา สมานัตตตาควรที่จะแปลว่าเสมอด้วยตนเอง เรารักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร คนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์แบบนั้น เพราะฉะนั้น..เราไม่ควรทำสิ่งที่เราไม่ชอบกับคนอื่น ถึงจะเป็นเครื่องที่ยึดโยงพวกเราและองค์กรให้เข้าด้วยกันได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2023 เมื่อ 03:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 24-04-2023, 01:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,577 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราท่านทั้งหลายนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าฝากพระพุทธศาสนาไว้กับบริษัททั้ง ๔ แต่ปัจจุบันนี้เหมือนกับบริษัททั้ง ๔ จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภิกษุบริษัทอย่างเดียว

นอกจากภิกษุ เราก็ไม่มีภิกษุณีช่วยงาน อุบาสกอุบาสิกาก็ไม่ค่อยที่จะสนับสนุนพระพุทธศาสนา นอกจากตั้งแง่ กำหนดคุณสมบัติของภิกษุในใจของตนจนเลิศลอย ไม่ได้ระดับนั้นก็ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่สนับสนุนค้ำจุน พระพุทธศาสนาของเราจึงกระพร่องกระแพร่ง เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วบุคลกรเป็นผู้ที่เหลือเลือก ไม่มีทางไปบ้าง เลวจนทางบ้านไม่เอาบ้าง ก็จับยัดเข้าวัดมา..!

กระผม/อาตมภาพยังอัศจรรย์ใจว่า
ถ้าหากว่าเป็นระบบการผลิต พระพุทธศาสนาของเราสุดยอดมาก วัตถุดิบเป็นของเฮงซวยห่วยแตก ไม่มีใครเอาแล้ว แต่กลับสามารถผลิตออกมากลายเป็นบุคลากรชั้นเลิศได้เป็นจำนวนมาก..!

ที่กล่าวถึงตรงนี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายตระหนักในหน้าที่ของอุบาสกอุบาสิกาว่า เราควรที่จะปฏิบัติธรรมจนเกิดผลอย่างจริง ๆ จัง ๆ เราจะได้ยืนยันกับคนอื่นอย่างเต็มปากเต็มคำว่า พระพุทธศาสนาเป็นของดีเป็นของแท้ ไม่ใช่นับถือศาสนาพุทธแค่ทะเบียนบ้าน..!

ถึงเวลามีผู้มากล่าวตู่ เราต้องแก้ปรัปวาท คือวาทะที่กดข่มพวกเราได้ ยืนยันให้เขารู้ว่าพระพุทธศาสนาดีอย่างไร ประชากรของไทยเรา ๖๐ กว่าล้านคน งดอาหารมื้อเย็นคนละมื้อ ทรัพยากรจะเหลือพอเลี้ยงคนอีก ๖๐ กว่าล้านคน แค่นี้เราก็เห็นแล้วโดยหลักการง่าย ๆ ว่า พระพุทธศาสนามีประโยชน์อย่างไร ? ไม่ต้องไปกล่าวถึงส่วนอื่นเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2023 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 24-04-2023, 01:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,577 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปัจจุบันนี้พุทธบริษัทของเราไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ องค์กรพุทธบริษัท ๔ ถ้าเป็นรถยนต์ก็มีแค่ ๓ ล้อ เพราะภิกษุณีไม่มีแล้ว แล้วอีก ๒ ล้อก็คืออุบาสกอุบาสิกาก็ไม่ยอมวิ่ง ยังไม่รู้เหมือนกันว่าพระพุทธศาสนาของเราวิ่งมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างไร ทุกคนตั้งแง่ กำหนดคุณสมบัติ ต้องการพระดีอย่างนั้นพระดีอย่างนี้ แต่เราไม่ช่วยเหลืออะไรเลย แล้วพระจะดีขึ้นมาได้อย่างไร ?

เราท่านทั้งหลายลืมหน้าที่ตัวเอง ตำแหน่งแห่งที่ต่าง ๆ ทางโลกมาพร้อมกับหน้าที่ ถ้าไม่ทำหน้าที่ก็อย่าไปรับตำแหน่ง ในเรื่องของทางธรรมก็เช่นกัน เป็นอุบาสกอุบาสิกา ถ้าไม่ทำหน้าที่ก็ไม่ควรที่จะรับตำแหน่งเช่นกัน

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2023 เมื่อ 03:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:44



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว