กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-04-2023, 20:14
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 332
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,249 ครั้ง ใน 805 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-04-2023, 23:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ถ้าโบราณเขาเรียกว่า "วันสุกดิบ" ส่วนใหญ่ทั้งสุกทั้งดิบก็คือข้าวปลาอาหารที่จะถวายพระนั่นแหละ ข้าวปลาอาหาร ตลอดจนกระทั่งขนมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไปโดยประเพณีหรือเปล่า เมื่อถึงเวลา คนโบราณจะถวายพระก่อน

ถ้าหากว่าเราศึกษาประวัติพระอัญญาโกณฑัญญเถระ จะปลูกข้าวท่านก็ทำบุญ จะเกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ จะขนข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ ส่วนพระสุภัททเถระไปทำบุญตอนขนข้าวขึ้นยุ้งทีเดียว

พระอัญญาโกณฑัญญเถระจึงเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่บรรลุอรหันต์ในพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม ส่วนพระสุภัททเถระเกือบจะไม่ทัน คือถ้าพระอานนท์ใจแข็งหน่อยเดียว ไม่ให้เข้าพบ ก็เป็นอันว่าไม่ต้องบรรลุกัน แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่านี่ก็คือปัจฉิมสักขิสาวก ผู้ที่จะบรรลุธรรมด้วยคำสอนของพระองค์ท่านเป็นรูปสุดท้าย จึงอนุญาตให้เข้าไปฟังธรรมแล้วก็บรรลุได้

คนโบราณถึงได้กลัว..กลัวว่าถ้าจะต้องน่าหวาดเสียวขนาดพระสุภัททเถระก็คงจะเสี่ยงเกินไป ดังนั้น..ไม่ว่าอะไรที่เป็นผลผลิต เกิดจากไร่จากสวนชุดแรกก็มักจะถวายพระก่อน

ในช่วงที่ข้าวตั้งท้อง ยังเป็นน้ำนมอยู่ ก็ทำข้าวยาคูถวายพระ ในช่วงที่ข้าวตกรวงกำลังแก่ ก็ทำข้าวเม่าถวายพระ เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทำบุญข้าวใหม่ถวายพระก่อน
เราจะเห็นว่าคนโบราณนั้น ทำอะไรอยู่กับบุญอยู่กับกุศลตลอดเวลา ดังนั้น..เขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงอยู่ในลักษณะของการ "อยู่เย็นเป็นสุข" เพราะสิ่งที่ตนกระทำเอง

แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันนี้ อย่างลุงเชิญ บุญรังษี คหบดีของจังหวัดจันทบุรี ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นเพื่อนของหลวงลุงสุนทร สุธมฺมสุนฺทโร ลุงเชิญปฏิบัติธรรมแล้วติดขัดอยู่หลายปี ไปต่อไม่เป็น พอดีปีนั้นกระผม/อาตมภาพไปเยี่ยมหลวงลุงสุนทร ถ้าจำไม่ผิดเป็นปี ๒๕๓๗ เพราะว่าหลวงลุงสุนทรท่านป่วยแล้วไปรักษาตัวที่บ้านเชิงเขาคิชฌกูฎ เมื่อไปถึง ปรากฏว่าหลวงลุงท่านเริ่มแข็งแรงดีแล้ว ก็บอกว่า "หลวงพี่..ไปเยี่ยมเพื่อนผมหน่อย เขาเป็นนักปฏิบัติธรรม" แล้วก็ให้ลูกชายพาขึ้นรถไปที่บ้านสวนบางกะจะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2023 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-04-2023, 23:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ลุงเชิญที่ปฏิบัติธรรมแล้วติดขัดอยู่หลายปี เห็นเพื่อนคือหลวงลุงสุนทรมาก็สอบถามปัญหา หลวงลุงสุนทรท่านบอกว่า "ถามหลวงพี่ผมเถอะ" ก็คือถึงแม้ว่าท่านจะอายุมากกว่า แต่ว่าบวชทีหลัง ก็คือรุ่นของอาตมภาพแล้ว ถัดมาก็เป็นรุ่นของท่านอาจารย์ตี๋ (พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) แล้วก็มาเป็นรุ่นท่านโกวิท แล้วก็รุ่นท่านสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตฺโต แล้วถึงเป็นรุ่นของท่านวิศิฏฐ์ สุธมฺมกาโม กับหลวงลุงสุนทร สุธมฺมสุนฺทโร แล้วถึงจะมาเป็นรุ่นของพระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ กับท่านสำออย สุธมฺมธนปาโล ก็ห่างกันเยอะอยู่นะ..!

ลุงเชิญก็เลยขนเอาปัญหาที่ตัวเองติดขัดอยู่แล้วไปต่อไม่เป็นมาถาม กระผม/อาตมภาพแก้ไขปัญหาให้ ลุงเชิญดีใจมาก เพราะว่าบางอย่างเหมือนกับ "หญ้าปากคอก" หรือ "ผงเข้าตาตัวเอง" เขี่ยเองไม่ได้ มีคนอื่นเขี่ยให้ก็ดีใจ ปวารณานิมนต์ตลอดชีวิต แม้ตัวเองตายแล้วก็สั่งลูกหลานไว้ว่าให้นิมนต์ต่อ นี่อีกไม่กี่วันกระผม/อาตมภาพก็ต้องไปบ้านลุงเชิญอีก

คราวนี้ปรากฏว่าตอนนั้นกระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ลุงเชิญวิ่งจากท่าใหม่ จันทบุรี เมื่อกี้บอกว่าบางกะจะ แล้วทำไมตอนนี้บอกว่าท่าใหม่ ? เพราะว่าสวนที่บางกะจะนั้นเป็นสวนมหาสมบัติ แค่ฝนตกนี่มีพลอยกลิ้งอยู่บนพื้นแล้ว..! ลุงเชิญก็เลยเก็บเอาไว้ให้ลูกให้หลาน แล้วก็ไปซื้อที่ดินที่อำเภอท่าใหม่ทำสวนทุเรียน

ทุเรียนรุ่นแรกออกมา ๘ ลูก ลุงเชิญวิ่งจากท่าใหม่ไปถึงเกาะพระฤๅษี ใช้เวลา ๘ ชั่วโมง..! เพื่อเอาทุเรียนไปถวายพระอาจารย์เล็ก บอกว่าเป็นผลผลิตรุ่นแรกของสวน อยากจะถวายพระก่อน "เมื่ออยากจะถวายพระ ก็นึกถึงแต่หลวงพี่เท่านั้น" ก็เลยวิ่งเสียหลายร้อยกิโลเมตรเอามาถวาย กำลังใจลักษณะอย่างนี้ กระผม/อาตมภาพฉันทุเรียนของเขาไม่ลง..! ก็คือเป็นกำลังใจที่มุ่งแต่บุญแต่กุศล อยู่ในลักษณะอย่างนั้น

มีญาติโยมอีกท่านหนึ่งก็อยู่ในลักษณะนี้ ก็คือถามปัญหาแล้วกระผม/อาตมภาพแก้ไขให้เขาได้ ควักเงินหมดตัวเลยถวายมา
กระผม/อาตมภาพบอกว่า "โยม..คิดให้ดีก่อนว่ายังมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ไหม ?" พวกเราตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายจะรู้ว่า ทำบุญกับวัดท่าขนุน โดยเฉพาะทำบุญกับเจ้าอาวาสนี่ยากมาก ทำเยอะก็โดนบ่น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2023 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-04-2023, 23:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมท่านหนึ่งขอถวายเงินจำนวนหลายล้านบาท เพื่อร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่หน้าตัก ๒๑ ศอกหน้าวัดท่าขนุน เฉพาะองค์พระก็ประมาณ ๓ ล้านบาท รวมตัวอาคารด้วยอะไรด้วยก็หมดไป ๑๗ ล้านกว่าบาท เขาปวารณาถวาย อาตมภาพบอกยังไม่รับ กลับไปคิดให้ดีก่อนหนึ่งอาทิตย์ ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน หรือว่าคนในครอบครัวรอบข้างไม่มีความจำเป็นจะใช้เงินก้อนนี้ แล้วค่อยมาถวาย

เขาหายไปหนึ่งอาทิตย์แล้วกลับมา ยืนยันว่า "ไม่มีความจำเป็นครับ เงินก้อนนี้เป็นเงินที่สามารถถวายทำบุญได้" ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพถึงได้รับเอาไว้ ก็แปลว่าถ้าหากว่าจะทำบุญกับวัดท่าขนุน ถือเงินมาส่งเดช อาจจะโดนไล่กลับบ้านไป แล้วก็โดนไล่ไปหลายรายแล้ว..!

โดยเฉพาะพวกที่อยู่ ๆ ก็แบกผ้าป่ามา ไม่ได้บอกไม่ได้กล่าว อยู่ ๆ ก็ไปทำผ้าป่า แล้วก็แบกมาถึงวัด บอก "มึงจะไปถวายวัดไหนก็ไป วัดนี้ไม่รับ เพราะว่ากูไม่ได้สั่ง..!" เพราะว่ากำลังใจของญาติโยมที่ประกอบไปด้วยบุญด้วยกุศลอย่างเดียว บางทีก็อยู่ในลักษณะ "อธิโมกขสัทธา" เป็นศรัทธาที่ไม่มีปัญญาประกอบ เกิดความศรัทธาขึ้นมาก็ทุ่มเทหมดตัว บางทีก็ไม่ได้นึกว่าตนเองและคนรอบข้างจะเดือดร้อนหรือเปล่า ?

การทำบุญในลักษณะนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญ พระองค์ท่านบอกว่าอามิสทาน คือทานที่เป็นข้าวของเงินทองนั้น แม้ว่าสำคัญ แต่ว่าธรรมทานสำคัญกว่า ก็คือการให้ธรรมเป็นทาน

ในเมื่อญาติโยมถึงเวลาเกิดศรัทธาขึ้นมา ไม่ใช่เราเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชีหรือฆราวาสอยู่วัด ก็รีบไปยุให้เขาถวายเยอะ ๆ ประมาณว่าถวายเท่านี้จะได้อยู่ชั้นจาตุมหาราช ถวายเท่านี้จะได้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ถวายเท่านี้จะได้อยู่ชั้นยามา ถวายเท่านี้จะได้อยู่ดุสิตบุรีเฟส ๔ กูจะบ้า..!

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น ท่านให้ทานเพื่อตัดความโลภ ดังนั้น..
การทำทานจึงไม่ใช่การถวายทีละมาก ๆ แต่เป็นการทำบ่อย ๆ ทำน้อยแต่บ่อยครั้ง กำลังใจจะตัดละได้ง่ายกว่า เพราะว่าของไม่มาก เราไม่หวง เมื่อทำไปหลาย ๆ ครั้ง สภาพจิตเริ่มเข้มแข็งขึ้น มีอำนาจเหนือความโลภ ก็จะถวายได้มากขึ้น บ่อยขึ้น แต่ก็ต้องมีปัญญาประกอบด้วยว่า ถวายไปแล้วตัวเราและคนรอบข้างจะเดือดร้อนหรือเปล่า ? ยังมีบุคคลที่จำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองตรงนี้หรือไม่ ? เพราะว่าสูงกว่านั้นขึ้นไปยังมีการรักษาศีล ซึ่งอานิสงส์มากกว่าการทำทานเป็นร้อยเท่า สูงกว่าศีลก็ยังมีภาวนา ที่อานิสงส์มากกว่าการรักษาศีลเป็นร้อยเท่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2023 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 12-04-2023, 23:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การทำบุญนั้น พวกเราจึงต้องระมัดระวังให้ดี สิ่งที่โบราณสอนเอาไว้ก็คือ มีโอกาสให้รีบทำไว้ ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ของไทย จะเห็นว่าเรามีเทศกาลงานบุญทุกเดือน ถ้ายิ่งทางด้านอีสานยิ่งชัดเจน ก็คือ "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่" ประเพณีและแนวทางการดำเนินชีวิต ประเพณี ๑๒ เดือน แนวทางการประพฤติปฏิบัติ ๑๔ อย่าง ค่อย ๆ ไปศึกษาเอา ที่เขาบอกว่า "เดือน ๕ ทำบุญสงกรานต์ เดือน ๖ อีสานมีงานบั้งไฟ" นั่นแหละ...

ในเรื่องของการทำบุญจึงต้องถือตามแบบโบราณ เพราะเขามีทำทั้งปี คือทำบ่อย ๆ ทำบ่อยไม่ใช่ทำมาก เพราะถ้าทำมาก จิตใจเกิดความหวงแหนขึ้นมาก็ทำไม่ได้ ทำน้อยแต่บ่อยครั้ง อานิสงส์ของทานส่งผลให้เรามีฐานะร่ำรวยมั่นคงในภายหน้า

รักษาศีล อานิสงส์ช่วยให้เราเป็นผู้มีรูปสวย มีจิตใจดีงาม เจริญภาวนา อานิสงส์ทำให้เรามีปัญญามาก เพราะฉะนั้น..มีโอกาสให้ทานเราให้ มีโอกาสรักษาศีลเรารักษา มีโอกาสภาวนาเราปฏิบัติ จึงจะเรียกได้ว่าทำตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2023 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:33



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว