กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-10-2022, 19:14
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,529
ได้ให้อนุโมทนา: 215,924
ได้รับอนุโมทนา 736,889 ครั้ง ใน 35,904 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-10-2022, 00:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,983 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพและคณะได้เดินทางมาสู่ประเทศลาว หรือในชื่อเต็ม ๆ ว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งขณะที่บันทึกเสียงอยู่นี้ ได้พักอยู่ที่โรงแรมแกรนด์หลวงพระบาง ซึ่งเป็นวังเก่าของท่านเจ้าเพชรราช รัตนวงศา ต้องบอกว่าเป็นคนคุ้นเคยเก่าแก่กันมา ซึ่งกระผม/อาตมภาพเรียกท่านว่า "เจ้าลุง" ซึ่งคำว่า "เจ้าลุง" นี้ท่านทั้งหลายมิบังควรที่จะเรียกเช่นนั้น เพราะว่าถ้าไม่เคยมีความคุ้นเคยกันมาก่อน ก็อาจจะทำให้ท่านเกิดความไม่พอใจขึ้นมาได้ เรียกว่า "ท่านเจ้าเพชรราชฯ" น่าจะเหมาะสมกว่า...

ตั้งแต่เช้ามา พวกเราก็เดินทางออกจากสนามบินนานาชาติดอนเมือง โดยมีเจ้าหน้าที่ของเอ็นซีทัวร์ซึ่งทางคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม และคุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) ส่งมาคอยดูแลอย่างดีเยี่ยม แล้วคุณเอซึ่งเดินทางไปกับคุณนวลจันทร์เพื่อไปทอดกฐินตกค้างที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย เพิ่งกลับมาถึงตอนตีสาม ตอนตีห้ากว่ายังอุตส่าห์มาส่งคณะของกระผม/อาตมภาพที่สนามบินนานาชาติดอนเมือง ทั้ง ๆ ที่ได้กำชับแล้วว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น

เมื่อเดินทางออกจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองไปยังสนามบินนานาชาติอุดรธานี ปรากฏว่าไปถึงเร็วกว่าเวลาปกติ ๑๑ นาที ทางด้านเจ้าหน้าที่ซึ่งเอ็นซีทัวร์ได้ส่งมาต้อนรับ นำรถตู้
ข้ามจากเวียงจันทน์มา ๒ คัน นำพวกเราวิ่งจากสนามบินนานาชาติอุดรธานีตรงมาจังหวัดหนองคาย ผ่านด่านพรมแดนจังหวัดหนองคาย ทำการประทับตราหนังสือเดินทาง จ่ายค่าธรรมเนียมคนละ ๒๐ บาท พวกเราก็ก้าวเข้าสู่เขตแดนของประเทศลาวแล้ว

การที่ข้ามมายังประเทศลาวนั้น ถ้าไม่ใช่ว่ารถยนต์วิ่งชิดขวาแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างจากประเทศไทยเลย ต้องบอกว่าแม้แต่สำเนียงพูดก็ยังเป็นสำเนียงเดียวกัน เมื่อพวกเรามาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อเข้าสู่เขตนครเวียงจันทน์ ซึ่งเมืองแรกนั้นก็คือเมืองศรีสัตตนาค พวกเราได้ตรงไปยังจุดแรกที่จะท่องเที่ยวในครั้งนี้ ก็คือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหอพระแก้วเวียงจันทน์ ทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นคือท้าวภัทรนุ หรือ ที่กระผม/อาตมภาพเรียกสั้น ๆ ว่า "ท้าวนุ" มีความหนักใจมากที่จะบรรยายอย่างไรไม่ให้กระทบกระเทือนทั้งคนไทยและคนลาว..!

เนื่องจากว่าตามประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยเรามาตีประเทศลาว แล้วยึดเอาพระแก้วมรกตกลับคืนไป เหลือแต่หอพระแก้วทิ้งเอาไว้ ปัจจุบันนี้ทางประเทศลาวได้ปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ โดยเฉพาะเป็นพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนา มีพระพุทธรูปเก่า ๆ งดงามอยู่มากมายทีเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2022 เมื่อ 03:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-10-2022, 00:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,983 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าไม่ใช่เวลาจำกัดเนื่องจากว่าใกล้เวลาฉันเพลแล้ว กระผม/อาตมภาพก็คงจะวนอยู่ที่นี่เป็นวัน ๆ เพราะว่าพระพุทธรูปแต่ละองค์นั้นงดงามมาก ดูแล้วไม่เบื่อตาเลย โดยเฉพาะเนื้อโลหะสำริดสีเขียวปลอด ซึ่งเป็นโลหะที่ปัจจุบันนี้ แม้ว่าการโลหะศาสตร์จะก้าวหน้าไปขนาดไหนก็ตาม ยังไม่สามารถที่จะหลอมออกมาเช่นนี้ได้

เมื่อจบภารกิจที่ทางด้านพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหอพระแก้วเวียงจันทน์แล้ว พวกเราก็เดินทางไปยังร้านรุ่งนะพา (รุ่งนภา) แหนมเนือง เพื่อที่จะรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งทางร้านได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แถมยังสอนพวกเราอีกว่าจะอิ่มอร่อยอย่างแท้จริงนั้น ต้องทำอย่างไรบ้าง

แต่ว่ากระผม/อาตมภาพเป็นประเภท "ลิ้นทอง" ก็คือสามารถรับรู้รสอาหารได้มากกว่าคนอื่นเขา จึงรู้สึกว่าน้ำต้มแหนมเนืองนั้น ค่อนข้างจะหวานมาก จนเกือบจะเป็นขนมอยู่แล้ว..! จึงไม่สามารถที่จะฉันได้มากนัก ได้แต่ฉันในลักษณะที่เรียกว่าพอประทังร่างกายไปเท่านั้น

ในช่วงนี้ทางคณะมีการถามหาร้านแลกเงินกีบ "ท้าวนุ" บอกว่า "แลกกับผมก็ได้ครับ" โดยให้อัตราที่ ๑,๐๐๐ บาท เท่ากับ ๔๕๐,๐๐๐ กีบ..! ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่ากระผม/อาตมภาพประเมินเอาไว้มาก เพราะได้ประเมินเอาไว้ว่า ๓๕๐ กีบ เท่ากับ ๑ บาท และ "ท้าวนุ" แจ้งว่า เมื่อวานนี้ทางประเทศลาวเพิ่งจะออกธนบัตรใบละ ๑๐๐,๐๐๐ กีบแบบใหม่ ออกมาให้ประชาชนได้ใช้กัน...

พวกเราส่วนใหญ่แลกกันคนละ ๑,๐๐๐ บาท แต่หลายคนเมื่อเห็นว่ากระผม/อาตมภาพไม่แลกเลย เพราะว่าใช้เงินไทยได้ จึงรวมกัน ๓ - ๔ คนแลกไว้ ๔๕๐,๐๐๐ กีบ บอกว่า "แลกไว้เข้าห้องน้ำ" ซึ่ง "ท้าวนุ" บอกว่าค่าเข้าส้วมครั้งละประมาณ ๒,๐๐๐ กีบ..!

จนกระทั่งเวลาบ่ายโมงคณะของเราก็ได้เดินทางออกจากร้านรุ่งนะพาแหนมเนือง ตรงไปยังประตูชัยนครเวียงจันทน์ ซึ่งทางด้าน "ท้าวนุ" มัคคุเทศก์ได้บรรยายว่าสร้างขึ้นมาในปี ๒๕๐๒ เมื่อทราบว่ากระผม/อาตมภาพเกิดในปีนี้ จึงได้บอกว่าเป็น "เสี่ยว" กันกับประตูชัย ก็คือเป็นเพื่อนกัน เพราะว่าเกิดปีเดียวกัน..!

ส่วนทางด้านข้างประตูชัยนั้นประกอบไปด้วยอาคารสำนักนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศลาว ต้องบอกว่า ถ้าหากว่าเป็นบ้านเราก็คงประมาณ "บ้านพิษณุโลก" แต่ว่าตอนที่มาถึงนั้น อาคารไม่ได้มีการเปิดใช้งาน พวกเราจึงได้แต่ถ่ายรูปกันเท่านั้น

ในเรื่องของประตูชัยนั้น แม้ว่าจะสร้างเลียนแบบทางด้านประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมก็ตาม แต่ว่าลวดลายต่าง ๆ นั้นก็คือลวดลายของเทวดา หรือว่าพรหม โดยเฉพาะลวดลายจากเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมีทั้งสุครีพ มีทั้งหนุมาน เหล่านี้เป็นต้น ต้องบอกว่างดงามตามแบบศิลปะลาว แม้ว่ารูปทรงจะเหมือนประตูชัยฝรั่งเศสก็ตาม เมื่อมาถึงตรงนี้ก็ปรากฏว่าระยะเวลาไม่พอที่พวกเราจะเดินทางไปไหว้พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ จึงได้ตัดออกไปเป็นโปรแกรมขากลับ

พวกเราได้วิ่งตรงมายังสถานีรถไฟความเร็วสูงนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังหลวงพระบาง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ท่านเมตตาต่อ "คูบา" เป็นพิเศษ นิมนต์กระผม/อาตมภาพกับพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. ขึ้นรถไปก่อน กลายเป็นว่าตู้รถไฟความเร็วสูงชั้น ๑ ซึ่งมีเพียงตู้เดียวนั้น กลายเป็นของกระผม/อาตมภาพไปโดยปริยาย เนื่องจากว่ายังไม่มีใครขึ้นมาเลย อยากจะถ่ายรูปมุมไหนก็ทำได้อย่างใจของตนเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2022 เมื่อ 03:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-10-2022, 00:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,983 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อถึงเวลา ๑๕.๐๕ น. ตามหน้าเวลาตั๋ว ถ้าหากว่าเป็นภาษาลาวก็คือ "ปี้" เมื่อเดินทางผ่านด้านประตูหน้าจะเห็นว่ามีป้ายเขียนว่า "บ่อนขายปี้" ก็คือที่จำหน่ายตั๋วของบ้านเรานั่นเอง แล้วก็มี "บ่อนกวดปี้" ก็คือด่านตรวจตั๋ว ซึ่งคำว่า กวดหรือตรวจนี้ ในสมัยโบราณไทยเราก็ใช้คำนี้เช่นกัน

ปรากฏว่ารถไฟความเร็วสูงของเมืองลาวนั้นวิ่งด้วยความเร็วประมาณ ๑๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่กระผม/อาตมภาพไม่ได้รู้สึกว่าเร็วเลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเคยนั่งทั้งรถไฟความเร็วสูง ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงในประเทศจีน ๓๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงในประเทศญี่ปุ่น และรถไฟ TGV ความเร็วสูง ๒๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงในฝรั่งเศส
มาแล้ว จึงรู้สึกว่ารถไฟความเร็วสูงที่นี่วิ่งได้ค่อนข้างจะช้ามาก..!

รถไฟใช้เวลาค่อนข้างจะนานกว่าที่จะวิ่งบุกป่าฝ่าดง มุดอุโมงค์บ้าง ผ่าภูเขาบ้าง มาจนถึงวังเวียง ซึ่งเป็นสถานีแรกที่จอดลง กระผม/อาตมภาพรู้สึกสะท้อนใจว่า สมัยก่อนเขาสูงป่าทึบ พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีเพื่อที่จะเดินทางไปให้ถึง แล้วยังอุตสาหะยกกองทัพไปเพื่อรบกันอีก แม้ "เจ้าลุง" จะบอกว่าเป็น "ค่านิยม" ของคนยุคนั้น กระผม/อาตมภาพก็ยัง "เหนื่อยแทน" อยู่ดี..!

รถไฟจอดที่สถานีวังเวียงเพียงไม่กี่นาที มีเสียงเตือนทั้งภาษาลาว ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ ให้ระมัดระวังเวลาลง ระวังจะหกล้ม และท่านที่จะไปสถานีต่อไป อย่าเผลอลงที่นี่ก่อนถึงหลวงพระบาง..! หลังจากนั้นจึงได้วิ่งต่อมาอีกนาน จนกระทั่งถึงสถานีหลวงพระบาง พวกเราลงจากรถแล้วหามัคคุเทศก์ไม่เจอ รอจนคนส่วนมากออกจากสถานีรถไฟที่หน้าตา "จีนมาก" แล้ว พวกเราจึงถ่ายรูปกับรถไฟจนเจ้าหน้าที่ต้องมา "เซิน" ออก เพราะว่าผู้โดยสารที่นี่จะขึ้นรถ..!

ออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูงหลวงพระบางมาก็เจอ "ท้าวนุ" ที่บอกว่าระบบ "ขายปี้" รถไฟความเร็วสูงเป็นแบบสุ่ม ไม่สามารถกำหนดว่าจะนั่งที่ตรงไหน เมื่อมาถึงแล้วจึงลงจากรถมารอข้างนอกเลย เพราะว่ามีทางออกแค่ประตูเดียว ทางบริษัทเอ็นซีทัวร์ติดต่อให้รถตู้มารับพวกเรา ๒ คัน พาวิ่งผ่านถนนลาดยางที่คล้ายกับทางไปจังหวัดกาญจนบุรี คือมีป่าสองข้างทางไปยังที่พักคืนนี้

ฟ้ามืดลงไปทุกที แค่ห้าโมงเย็นก็เริ่มมัวตาไปหมด เพราะว่าประเทศลาวอยู่ทางทิศตะวันออกมากกว่าประเทศไทย พระอาทิตย์จึงลับฟ้าเร็วกว่า จนกระทั่งมาถึงที่โรงแรมแกรนด์หลวงพระบาง ซึ่งเป็นวังเก่าของท่านเจ้าเพชรราช รัตนวงศา เพื่อที่จะเช็คอิน ซึ่ง "เจ้าลุง" พาคณะมารอรับเพื่อ "ดูแล" คณะของเราตลอดทริปนี้

"เจ้าลุง" นั้นแม้ว่าคนลาวจะรักและศรัทธามากกว่า "เจ้ามหาชีวิต" เสียอีก แต่ก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทย แต่ไปรู้จัก "เจ้าสุภานุวงศ์" น้องชายของท่านที่มีบทบาททางการเมืองมากกว่า กระผม/อาตมภาพได้กุญแจห้องแล้ว ก็เดินตาม "เจ้าลุง" และเจ้าหน้าที่โรงแรมไปยังห้องพักหมายเลข ๒๒๑ สรงน้ำแล้ว รีบมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน แต่เจ้ากรรม..ที่น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) โทรมาถามว่าจะไป "ตลาดมืด" หรือไม่ ? ทำเอาการบันทึกเสียงต้องล่มไปกลางคัน จึงส่งไปให้ "ไอ้ตัวเล็ก" ตัดต่อจนพอที่จะฟังได้ แต่ก็ไม่ครบถ้วนตามที่ตั้งใจบอกกล่าวกับทุกท่าน

พวกเราเดินทางไปยัง "ตลาดมืด" ซึ่งก็คือ "ตลาดที่เปิดขายของเฉพาะช่วงกลางคืน" ที่มีสารพัดร้านค้ายาวเหยียดเป็นร้อย ๆ ร้าน ส่วนมากก็เป็นพวกผ้าทอมือบ้าง ทอเครื่องบ้าง เครื่องจักสาน ภาพวาด เครื่องเงิน ของเก่าที่ "ไม่ดี" แทบทั้งสิ้นที่ "ดี" ก็ราคาแพงมาก..!

ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมง นอกจากบรรดาสาว ๆ ที่หาซื้อผ้าถุงไปเพื่อใส่ตอนใส่บาตรพระพรุ่งนี้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็กลับที่พักแบบมือเปล่า ไม่ได้อะไรติดมาเลยนอกจากประสบการณ์เท่านั้น..!

กลับอุทิศส่วนกุศลแก่ "เจ้าลุง" และบริวารทั้งหลาย ขอความสะดวกคล่องตัวทุกอย่างในการมา "เยี่ยม" ประเทศลาวครั้งนี้ แล้วฉันยาเพื่อป้องกันไข้กำเริบ ปรับเครื่องปรับอากาศไปที่ ๒๘ องศาเซลเซียส จากนั้นมุดขึ้นเตียงภาวนาจนหลับไป

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

*** หมายเหตุ : เนื่องจากการบันทึกเสียงล่ม จึงมีการ "เขียน" เพิ่มเติมเนื้อหาขึ้นมาจนครบตามที่ตั้งใจเล่าให้ทุกคนฟัง ***
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2022 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว