กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 13-02-2022, 19:11
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,529
ได้ให้อนุโมทนา: 215,924
ได้รับอนุโมทนา 736,963 ครั้ง ใน 35,904 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 14-02-2022, 00:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพเพิ่งกลับจากการพาคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ และคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน เดินทางไปดูงานที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งถ้าวิ่งจากวัดท่าขนุนนี่ไปก็ ๙๘๐ กิโลเมตร เรียกว่าเกือบ ๆ จะ ๑,๐๐๐ กิโลเมตรทีเดียว

แล้วด้วยความที่มีงานรออยู่ทางด้านนี้ เมื่อดูงานที่ตลาดสวนไผ่สร้างสุข หรือตลาดสวนไผ่ขวัญใจเสร็จแล้ว ก็มอบหมายหน้าที่ให้รองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมินำคณะไปดูงานต่อ ส่วนตนเองก็วิ่งกลับมา ก็ต้องเรียกว่าระยะเวลา ๒ วัน ๑ คืนเดินทางเกือบ ๒,๐๐๐ กิโลเมตร ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าอาศัยความสามารถส่วนตัวคนเดียวทำไม่ได้ โดยเฉพาะต้องมีคนขับรถที่มีความสามารถพอ ที่จะนำพาเราไปได้ตลอดรอดฝั่ง

ในส่วนนี้ต้องบอกว่าคนเราไม่สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว ถ้าว่ากันตามหลักมานุษยวิทยา ก็คือมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม และการทำงานนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทีมงาน จึงจะปรากฏความสำเร็จได้ง่าย ตรงส่วนนี้โบราณของเราก็กล่าวเอาไว้ว่า "หากการงานสิ่งใดเหลือกำลังลาก ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม"

ในส่วนของงานพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน ทีมงานที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาคือ ทีมงานพุทธบริษัท ๔ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบเอาไว้ว่า เปรียบเหมือนกับรถยนต์ที่มี ๔ ล้อ ล้อทั้ง ๔ นั้นจะนำเอาองค์กรพุทธบริษัท ๔ หรือว่าองค์กรพระพุทธศาสนาของเราให้มุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

แต่ว่าพุทธบริษัท ๔ ของเราซึ่งประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานั้น ภิกษุณีบริษัทไม่มีแล้ว แม้ว่าหลายประเทศพยายามที่จะพลิกฟื้นภิกษุณีขึ้นมา ก็ต้องบอกว่าไม่เป็นไปโดยถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ซึ่งตรงส่วนนี้จะไม่เสียเวลานำมาถกเถียงกัน

แต่จะบอกว่าในเมื่อเราปราศจากภิกษุณีบริษัท องค์กรพุทธบริษัท ๔ ของเราก็กลายเป็นรถยนต์ที่มีแค่ ๓ ล้อ ในเมื่อมีแค่ ๓ ล้อ โอกาสที่จะวิ่งไปสู่จุดหมายปลายทางก็เป็นไปโดยยาก แม้ว่าบางแห่งจะพยายามสงเคราะห์เอาแม่ชีเข้ามาทดแทน แต่ว่าแม่ชีนั้นจัดอยู่ในอุบาสิกาบริษัทอยู่แล้ว ไม่สามารถจะเข้ามาแทนที่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2022 เมื่อ 03:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 14-02-2022, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในปัจจุบันนี้ อีก ๒ ล้อ คือ อุบาสกอุบาสิกา ก็เข้าใจหน้าที่ตนเองผิด ทำหน้าที่ตนเองผิด ก็คือในฐานะอุบาสกอุบาสิกา แทนที่จะเร่งรีบปฏิบัติธรรมเพื่อให้เห็นผล สามารถนำไปบอกต่อ หรือว่าสามารถแก้ไขวาจาที่ผู้อื่นกล่าวจาบจ้วงพระพุทธศาสนาได้ เรากลับไม่ได้ทำหน้าที่นั้นกัน หากแต่กลับไปเพ่งเล็งว่าพระภิกษุนั้นปฏิบัติได้อย่างใจของเราหรือไม่ ถ้าปฏิบัติไม่ได้อย่างใจของเรา ก็มีการตำหนิ ด่าว่า โพนทะนาออกสื่อ เป็นต้น

แล้วก็เป็นอย่างคำพังเพยโบราณที่ว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ จึงทำให้ภิกษุที่โดนตำหนิด่าว่า ก็มีคนที่มาถกเถียง ปกป้อง ซึ่งมีแต่จะทำให้เกิดการแตกความสามัคคีขึ้นในพระพุทธศาสนาของเรา มีการแบ่งเป็นพวกฉัน พวกเธอ มีการแบ่งเป็นหลวงพ่อของเรา หลวงพ่อของเขา

ตรงจุดนี้เมื่อเกิดความแตกแยกขึ้น ก็เหมือนกับรถยนต์ที่ล้อเลิกทำงาน ลำพังล้อเดียวของภิกษุบริษัทก็ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่อยู่แล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่หรือว่าเกือบทั้งหมดไม่ใช่พระอริยเจ้าที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง ไม่สามารถที่จะสร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้แก่อุบาสก อุบาสิกาได้อย่างเต็มที่

ในเมื่อล้อ ๔ ข้างสูญหายไป ๑ ข้าง ทำผิดหน้าที่ไป ๒ ข้าง ทำไม่เต็มกำลังของตนเองไปอีก ๑ ข้าง องค์กรพุทธบริษัท ๔ ของเราจึงขาดความเป็นทีมงานอย่างแรง..!

และในปัจจุบันนี้ องค์กรของเราก็ยังมีการทำเกินหน้าที่ อย่างเช่นว่าในปัจจุบันนี้ อุบาสกอุบาสิกาทำหน้าที่สอนธรรมแทนพระภิกษุ มีจำนวนมากด้วยกันที่เปิดสถานที่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม จะว่าไปแล้วก็เป็นการดีต่อพระพุทธศาสนาที่ว่าบุคคลเราใกล้ที่ใด ก็จะได้มีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่นั้น แต่ถ้ามองในแง่ลึก ๆ แล้วกลับไม่ใช่

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ไม่เพียงแต่ภิกษุบริษัทที่เข้าถึงธรรมน้อยมาก อุบาสกอุบาสิกาที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงก็ยิ่งน้อยลงไปอีก โอกาสที่จะคิดผิด พูดผิด ทำผิด สอนผิดจึงมีอยู่มาก ถ้าหากว่าสอนผิดก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฐิ ทำให้คนห่างไกลความดีไปมาก จะยกตัวอย่างสัก ๒ ที่

สถานที่หนึ่งเป็นอุบาสิกาบริษัท เปิดสำนักสอนธรรม มีการนำพาบริวารไปอาบแสงทิพย์อริยธรรม เพื่อเลื่อนขั้นความเป็นพระอริยเจ้าได้ ตรงจุดนี้จะตำหนิผู้นำก็ไม่ได้เต็มปาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตัวผู้นำเองก็โดนมารหลอกให้หลงทางไป เพียงแต่ว่าขาดปัญญานิดหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าถ้ามีเรื่องง่ายเช่นนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คงจะนำพาพวกเราเป็นพระอริยเจ้ากันไปหมดแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2022 เมื่อ 03:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 14-02-2022, 00:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนอีกสถานที่หนึ่งนั้นเป็นอุบาสกบริษัท พยายามเผยแผ่หลักการไปพระนิพพานโดยการอธิษฐานเท่านั้น ได้ส่งเอกสารมาหากระผม/อาตมภาพมาหลายครั้งมาก ว่าให้ช่วยเผยแผ่ข้อมูลนี้ด้วย เพราะว่าท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาก ซึ่งกระผม/อาตมภาพพิจารณาแล้วว่า เผยแผ่ไปเท่าไรก็นำคนเป็นมิจฉาทิฐิเท่านั้น เนื่องเพราะว่าการอธิษฐานนั้น เป็นการปักใจมั่นว่าเราจะทำสิ่งหนึ่งประการใด เมื่อปักใจแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย สิ่งนั้นจะสำเร็จได้หรือไม่ ?

จากการที่เขาพยายามยกตัวอย่างคนนั้นคนนี้ว่า อธิษฐานแล้วถึงเวลาตายก็ไปพระนิพพานได้ กระผม/อาตมภาพอยากให้พิจารณาว่าก่อนตายเขาทำอะไร ซึ่งจะขอยืนยันตรงนี้ว่า ไม่มีใครสามารถไปพระนิพพานได้ด้วยการอธิษฐานอย่างเดียว หากแต่ต้องชำระจิตใจของตนเองให้ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง อย่างแท้จริง

โดยเฉพาะบุคคลที่อธิษฐานขอไปพระนิพพาน แล้วสามารถไปได้ก่อนตายนั้น ส่วนใหญ่ก่อนตายเกิดทุกขเวทนาบีบคั้นร่างกายหนักมาก ทำให้เห็นทุกข์เห็นโทษ จิตใจของตนก็เลยปลดออกจากการยึดเกาะร่างกายนี้ ซึ่งมีแต่ความทุกข์ ปลดจากการยึดเกาะโลกนี้ที่มีแต่ความทุกข์ ในเมื่อไม่ยึดติดอะไรเลย ก็ย่อมมีพระนิพพานเป็นที่ไป ซึ่งตรงจุดนี้เป็นจุดที่สำคัญที่สุด เพราะว่าต้องมีปุพเพกตปุญญตา คือบุญเก่าที่สร้างสมมาดีด้วย จึงทำให้เกิดปัญญาญาณแก่กล้า สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานตอนช่วงก่อนตายได้

ไม่ใช่อธิษฐานอย่างเดียวแล้วจะไปพระนิพพานได้ หากแต่ต้องมีวิปัสสนาญาณที่แท้จริง เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมีร่างกายนี้ เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมีในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้ แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปลดใจของตนเองจากการยึดเกาะจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ถึงจะไปพระนิพพานได้

ดังนั้น...ในส่วนนี้ของอุบาสกอุบาสิกาบริษัทซึ่งทำเกินหน้าที่ ก็คือสอนธรรมผิด ๆ มีสิทธิ์พาคนเป็นมิจฉาทิฐิอีกมาก เมื่อนำคนเป็นมิจฉาทิฐิ ย่อมทำให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นต้องเวียนว่ายตายเกิดทุกข์ยากในห้วงวัฏสงสารนี้แบบไม่รู้จบ ซึ่งต้องบอกว่าผู้สอนก็จะมีโทษที่หนักมาก ไม่ว่าจะสอนด้วยความเข้าใจผิดหรือไม่ก็ตาม เท่ากับว่านำพาหนทางของคนอื่นให้ยาวไกลไปโดยใช่เหตุ

จึงเป็นเรื่องที่ทุกท่านจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูงว่า ตัวเราแม้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็ยังอาจจะหลงออกนอกลู่นอกทางได้ง่าย แต่ก็ต้องเร่งปฏิบัติโดยอาศัยศีล ๕ เป็นกรอบ หรืออาศัยกรรมบถ ๑๐ เป็นกรอบ ถ้าไม่หลุดจากกรอบของศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ โอกาสที่ท่านจะหลงทางไปไกลก็น้อยลง ทำให้การปฏิบัติธรรมของท่านมีโอกาสที่จะเห็นผลได้ง่าย เมื่อเห็นผลแล้ว ก็สามารถเป็นทนายแก้ต่างแทนให้พระพุทธศาสนาได้ เพราะว่ามีความเข้าถึงและเข้าใจในธรรมอย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ก็ต้องขอบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่ทั้งที่นี่และที่บ้าน ทั้งในและต่างประเทศแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2022 เมื่อ 03:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:27



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว