กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 06-10-2022, 19:42
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,529
ได้ให้อนุโมทนา: 215,924
ได้รับอนุโมทนา 736,962 ครั้ง ใน 35,904 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 06-10-2022, 23:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ วันนี้กระผม/อาตมภาพได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ไปร่วมงานทอดผ้าป่าสมทบทุนการศึกษา เนื่องในโอกาสครบ ๙๒ ปีชาตกาล พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี

แต่ด้วยความที่มีหน้าที่สำคัญ ก็คือดูแลสนามสอบนักธรรมชั้นตรีสนามหลวงของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ
กระผม/อาตมภาพจึงไม่ได้อยู่ฉันเพล ตีรถกลับมาทันเวลาเปิดสนามสอบพอดี คาดว่าบรรดาพระภิกษุสามเณรทั้งหลายที่เข้าสอบ เห็นหน้ากระผม/อาตมภาพเข้า คงจะรู้สึกเหมือนพระมาโปรด..!

เรื่องของความเชื่อถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ท่านอย่าลืมว่า คำว่าศรัทธาคือความเชื่อ เป็นต้นกำเนิดของศาสนาเลย ถ้าไม่มีศรัทธา ศาสนาก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้

ส่วนปสาทะ ความเลื่อมใสนั้น เป็นการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง ก็คือสูงกว่าศรัทธามาก ตอนแรกอาจจะเชื่อเท่านั้น แต่พอคลุกคลีกันไปนาน ๆ พบเห็นคุณงามความดีของอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น ไม่ว่าจะด้านหนึ่งด้านใดก็ตาม เกิดความเลื่อมใส ในเมื่อศรัทธาเลื่อมใสแล้วก็จะเกิดความเคารพขึ้นมาจากใจ

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายอาจจะเห็นตั้งแต่รุ่นเก่า ๆ ว่า ถ้าหากว่าในเรื่องของการเรียนนักธรรม ไม่ว่าจะเป็นชั้นตรี ชั้นโท หรือว่าชั้นเอก กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่า อาจจะเป็นผู้เดียวของจังหวัดกาญจนบุรี ที่สามารถเฉลยข้อสอบปากเปล่าได้ทุกระดับชั้น..!

ในเมื่อสั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนกระทั่งถึงรุ่นปัจจุบันนี้ บรรดาเจ้าอาวาสหรือว่ารุ่นพี่ ๆ ก็คงบอกกล่าวแก่พระที่เข้าสอบกันว่า "ถ้าหากว่าได้ติวกับพระอาจารย์เล็ก อย่างไรก็สอบได้" แต่คราวนี้มีปัญหาตรงที่ว่า ถ้า
กระผม/อาตมภาพไม่อยู่ ทุกคนก็ใจคอไม่ค่อยจะดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2022 เมื่อ 01:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 06-10-2022, 23:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้เกิดจากการค่อย ๆ สั่งสมมาทีละเล็กทีละน้อย การสั่งสมความดีทุกประการก็เหมือนกับน้ำทีละหยด กว่าที่เราจะรู้ตัว บางทีก็เต็มตุ่มเต็มไหไปแล้ว แต่ในระหว่างที่สั่งสมอยู่นั้น ถ้าเราตั้งใจมาก บางทีเราก็อาจจะรู้สึกว่า ทำไมถึงช้าเหลือเกิน ? ตรงนั้นเป็นการเอาอารมณ์ใจที่ประกอบไปด้วยความอยากเข้าไปประเมิน สมมติว่าน้ำหยดทีละหยดด้วยความสม่ำเสมอ แต่เราไปตั้งหน้ารอคอย ก็จะรู้สึกว่าช้ามาก

เรื่องที่พวกท่านทั้งหลายกังวลกันอยู่ก็คือว่า บางท่านรู้สึกว่าตนเองพยายามรักษาศีล ปฏิบัติธรรมมา บางท่านก็ถึงขนาดเป็นสิบปี บางท่านก็หลายปี แล้วก็จะมานึกน้อยใจว่า เราทำมานานขนาดนี้ ทำไมยังไม่เห็นหน้าเห็นหลังเสียที ?

ตรงจุดนี้ ขอให้ท่านนึกถึง สมมติว่าท่านจะไปเชียงใหม่ เดินทางจากกาญจนบุรีจะไปเชียงใหม่ ถ้าหากว่าวิ่งตรงก็ต้องผ่านบ้านโป่งของราชบุรี เข้านครปฐม เข้ากรุงเทพฯ ขึ้นไปปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก ไล่ขึ้นไปจนถึงลำปาง ลำพูน เชียงใหม่

คราวนี้ท่านทั้งหลายอยู่ที่กาญจนบุรีแล้วเล็งเป้าไปที่เชียงใหม่เลย ก็จะรู้สึกว่าไม่ถึงเป้าหมายที่ตนเองตั้งใจไว้สักที แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายดูไปทีละขั้นว่าเราผ่านที่ใดไปบ้าง ตอนนี้เราอาจจะไปถึงกำแพงเพชร
ถึงตากแล้วก็ได้

วิธีดูย้อนหลังก็ดูว่า ก่อนหน้านี้ที่เราจะรู้ในเรื่องของบาปบุญคุณโทษ เราอาจจะเป็นบุคคลที่ไม่มีศีลเลยแม้แต่ข้อเดียว ศีล ๕ ข้อละเมิดสมบูรณ์ครบถ้วนเหมือนสุปติฏฐิตเทพบุตร หลังจากนั้นเมื่อเรารู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ก็พยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเอง จากคนที่ไม่มีศีล ก็รักษาศีลได้บ้าง รักษาไม่ได้บ้าง ขาดตกบกพร่อง

หลังจากเพียรพยายามไปอีกระยะหนึ่ง เราก็สามารถรักษาศีลทุกสิกขาบทได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่ก็รู้สึกว่าหนักมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2022 เมื่อ 01:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 07-10-2022, 00:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอเพียรพยายามไปอีกระยะหนึ่ง จะรู้สึกว่าศีลไม่ใช่เรื่องหนักใจสำหรับเรา บางท่านคล่องตัวถึงขนาดรู้ตัวทันทีว่า ขยับตัวไปนี่ศีลจะขาดหรือเปล่า ?

จากบุคคลที่ไม่มีศีลเลยก็มีศีล แล้วมาฝึกสมาธิภาวนา แรก ๆ ก็ไม่รู้เลยว่าสมาธิคืออะไร จับลมหายใจพุทเข้า ไม่ทันจะโธออก ก็ฟุ้งซ่านแล้ว

ปัจจุบันนี้ให้เรานั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที ๑ ชั่วโมง มีฟุ้งซ่านอยู่บ้าง แต่ก็นั่งได้ ก่อนหน้านี้นั่งนานอย่างนั้นไม่ได้ ก็แปลว่า ถ้าเราค่อย ๆ พินิจพิจารณาไป เราจะเห็นความก้าวหน้าของตนเองเป็นลำดับ ๆ ไป

ถ้าหากว่านึกถึงภาษิตจีน เขาบอกว่า "มองต่ำเราเหลือ มองเหนือเราขาด" ก็คือ เราลองดูว่าประชากรไทย ๖๐ กว่าล้านคน มีที่ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลปฏิบัติธรรมสักกี่คน ? จะเอาจริง ๆ จัง ๆ สักล้านคนยังยากเลย แล้วเราเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล ปฏิบัติธรรม ก็แปลว่ากำลังใจของเรายังดีกว่าคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้เริ่มลงมือรักษาศีลเลย เพราะฉะนั้น..ถ้ามองต่ำนี่เราเหลือ คือมีมากกว่าเขา

แต่ถ้ามองเหนือแล้วขาด ก็คุณเล่นไปมองเอาเป้าหมายสูงลิบโลกไปเลย อย่างครูบาอาจารย์ หลวงปู่หลวงพ่อในอดีต อย่างนี้เราขาดแน่นอน ขาดมากด้วย

แต่ถ้าไปนึกถึงภาษิตจีนอีกบทหนึ่ง บอกว่า "คนอื่นขี่ม้า เราขี่ลา" อย่าเพิ่งน้อยใจ คนที่เดินเท้ามีอีกเยอะแยะ ไอ้ที่ยังไม่ได้เริ่มเลย ยังนั่งทอดหุ่ยอยู่ก็มากมาย ก็แปลว่าต่อให้เราขี่ลา ค่อนข้างจะไปได้ช้า แต่เราก็ยังมียานพาหนะเป็นหลักเป็นฐานแล้ว เราจะไปไล่กวดม้าไม่ได้หรอก แต่เราไปของเราได้

เพราะฉะนั้น..ถึงแม้ว่าจะมองเหนือ คือคนที่สูงกว่าแล้วเราขาด ให้มองในลักษณะที่ว่า เราต้องทำให้ได้อย่างนั้น เอาเป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา แล้วเพียรพยายามไปให้เต็มกำลังที่เราทำได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2022 เมื่อ 01:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 07-10-2022, 00:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านสอนอยู่เสมอว่า เหมือนกับเราตั้งใจปีนต้นไม้ ถ้าตั้งใจว่าจะขึ้นให้ถึงยอด เราก็ต้องตะกายสุดกำลัง ต่อให้ไม่ถึงยอด อย่างน้อย ๆ กิ่งล่าง ๆ นั้น เราไปถึงได้แน่ แต่ถ้าหากว่าเราตั้งเป้าเอาไว้ต่ำ ดีไม่ดีกิ่งล่างก็ขึ้นไปไม่ถึง

ดังนั้น..ไม่ว่าจะมองต่ำเราเหลือ มองเหนือเราขาด หรือว่าการที่เราลืมพินิจพิจารณาตัวเราเอง ว่ามีความก้าวหน้าอะไรขึ้นมาบ้าง จากคนที่ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง ศีลหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ตอนนี้ส่วนหนึ่งถึงขนาดบวชพระ บวชเณร บวชชี บวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมกันบ่อย เป็นความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด เพียงแต่เราลืมไป เพราะว่าไปตั้งเป้าว่าชีวิตนี้ต้องไปพระนิพพานให้ได้ ไม่ได้ดูว่าระหว่างทางมีอะไรบ้าง เราผ่านอะไรไปบ้าง ดังนั้น..ให้เรามองเป้าหมายใกล้ ๆ ก่อน

อย่างตัวกระผม/อาตมภาพเองตั้งเป้าไว้แค่ปฐมฌานเท่านั้น ไม่ได้ต้องการสูงกว่านั้นเลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าถ้าเป็นปฐมฌาน เราทรงตัวได้จริง ๆ แค่ทบทวนศีลให้บริสุทธิ์ ใช้ปัญญาเพียงเล็กน้อย เราก็สามารถเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้

ถ้าสามารถใช้กำลังของปฐมฌานกด รัก โลภ โกรธ หลงลงไปได้ เราสามารถเข้าถึงความเป็นพระสกทาคามีได้


กระผม/อาตมภาพเห็นว่า ถ้าเราปิดอบายภูมิด้วยอำนาจของพระอริยเจ้าระดับโสดาบันได้ ที่เหลือไม่มีอะไรหนักใจแล้ว จะเกิดอีกกี่ชาติก็อยู่ระหว่างเทวดากับมนุษย์ หรือไม่ก็พรหมกับมนุษย์ ถ้าหากว่าอย่างแย่ที่สุดก็เกิด ๗ ครั้ง อย่างกลางก็ ๓ ครั้ง ถ้าเลิศหน่อย ก็ครั้งเดียวจบ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2022 เมื่อ 01:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 07-10-2022, 00:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เป้าหมายในชีวิตที่กระผม/อาตมภาพตั้งเอาไว้ไม่ได้สูง ต้องการแค่พระโสดาบันเท่านั้น ตอนช่วงนั้นกำลังใจถึงขนาดบอกกับตัวเองว่า ถ้าต้องเหนื่อยยากทุกข์ทรมานไปจนถึงอายุ ๑๒๐ ปี แล้วเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะว่าตัดการเวียนว่ายตายเกิดลงไป จนเหลือแค่เต็มที่ก็ ๗ ชาติ

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายตั้งเป้าสูงสุดไว้ที่พระนิพพาน ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าให้ขยับเป้าหมายลงมาอยู่ในระยะที่ใกล้ไว้ เป้าหมายไกลเราเอาแน่ เหมือนกับการวางแผนระยะยาว แต่การวางแผนระยะกลางของเราคืออะไร ? เราจะทำเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ? แผนระยะสั้นก็คือเราจะทบทวนศีลของตัวเองอย่างไรให้บริสุทธิ์บริบูรณ์อย่างไร ? เราจะสร้างสมาธิของเราให้เกิดระดับไหน ?

ฉะนั้น..หลักการบริหารที่คนสมัยใหม่เขานิยมใช้ เราก็สามารถเอามาปรับใช้กับการปฏิบัติธรรมของเราได้ อย่ามองเป้าหมายที่ไกลเกินแบบแผนระยะยาว คิดว่าจะอยู่ครองอำนาจ ๒๐ ปี ให้มองแค่ว่าจะรักษาเก้าอี้ตอนนี้ไว้ได้หรือเปล่าดีกว่า ชักจะไปไกลแล้ว..!

จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2022 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว