#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ อากาศเมื่อเช้านี้ที่วัดท่าขนุนอยู่ที่ ๑๗ องศาเซลเซียส ซึ่งกระผม/อาตมภาพเองเคยชินกับอากาศแบบนี้ จึงไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สาอะไรมาก ถ้าไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแล้ว อากาศแค่นี้กำลังสบายเลยทีเดียว
เนื่องเพราะว่าตั้งแต่อยู่ทองผาภูมิมา จากปี ๒๕๓๒ ที่เริ่มธุดงค์มา จนกระทั่งมาอยู่อาศัยเป็นหลักเป็นฐานในปี ๒๕๓๖ อากาศที่อำเภอทองผาภูมิเคยต่ำสุดถึง ๒.๕ องศาเซลเซียส..! ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ค่อนข้างจะลำบาก เพราะว่าห่มจีวรก็ไม่สามารถที่จะม้วนลูกบวบได้ เนื่องจากว่านิ้วมือแข็ง กำไม่เข้า จึงต้องเอาจีวรพาดคลุมตัวไว้เฉย ๆ แล้วอากาศก็จะทรงตัวอยู่ที่ ๑๓ - ๑๔ องศาเซลเซียสเป็นประจำ จนกระทั่งมาระยะหลัง ประมาณ ๑๐ ปีที่ผ่านมา อากาศเปลี่ยนแปลงไปมาก ต่ำสุดก็ไม่เคยต่ำกว่า ๑๑ องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ประมาณ ๑๔ - ๑๖ องศาเซลเซียสเท่านั้น คนทองผาภูมิ เขารู้สึกสบาย แต่คนจากที่อื่น โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ขึ้นไป บางทีผ้าห่ม ๓ ผืนก็ยังเอาไม่อยู่..! โดยเฉพาะวันพรุ่งนี้ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปกับคณะเติมเต็มทัวร์ ของเว็บเพจกิฟท์จังพลังเวทย์ เพื่อไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่ว่าเป็นภาคใต้ ปีก่อนนั้นไปในทริป "ลาวเหนือเมื่อใกล้หนาว" ปีนี้ไป "ลาวใต้เมื่อปลายฝน" แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะต้องเปลี่ยนชื่อทริปเป็น "ลาวเหนือเมื่อปลายฝน" แล้วมากลายเป็น "ลาวใต้เมื่อใกล้หนาว" หรือเปล่า ? เพราะจะว่าไปแล้ว ประเทศลาวนั้นยังมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์อยู่ ทำให้อากาศค่อนข้างจะหนาวกว่าประเทศของเรามาก สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ จนกระทั่งถึงสมัยที่เรียนชั้นประถมนั้น ป่าใหญ่ไพรกว้างล้อมรอบบ้าน หน้าหนาวจึงหนาวสุด ๆ หนาวขนาดตัวแตกเป็นตาราง ริมฝีปากแตกเลือดไหลซิบ ๆ กลางคืนหนาวจนนอนไม่หลับ ต้องอาศัยก่อกองไฟกลางบ้าน แล้วก็เอาผ้าห่มมากางล้อมวง นั่งสัปหงกไปในแต่ละคืน เหตุที่ก่อไฟในบ้านได้ ก็เพราะว่าคนจีนสมัยก่อนที่เดินทางมาถึงเมืองไทยนั้น ส่วนใหญ่ก็สร้างบ้านเพียงพอที่จะอยู่อาศัยเท่านั้น ซึ่งสมัยนี้เขาเรียกกันว่า "บ้านดิน" ก็คือไม่มีการเทพื้น ปูกระเบื้องใด ๆ ทั้งสิ้น ปลูกอยู่กับพื้นดิน แล้วก็ล้อมรั้วรอบข้างเป็นข้างฝา โดยเฉพาะข้างฝานั้น เป็นแค่ไม้รวกขัดสานอย่างแข็งแรง ป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ อย่างพวกเสือ พวกหมีเหล่านั้นเท่านั้น พวกสัตว์เล็กอย่างพวกงู แมงป่อง ตะขาบ มาอาศัยนอนอยู่ด้วยเกือบทุกคืน เนื่องเพราะว่ายิ่งหนาว สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ยิ่งต้องการหาความอบอุ่น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2023 เมื่อ 01:02 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เพียงแต่ว่าพอเริ่มจะเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๔ มีการสร้างสนามบินกำแพงแสน เนื่องจากว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นรอยต่อของสามจังหวัด ก็คือจังหวัดนครปฐม จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นป่าใหญ่ที่บรรดาโจรต่าง ๆ ไปอาศัยตั้งชุมโจรกันอยู่ที่นั่น เมื่อถึงเวลาออกปล้นแล้วก็หนีกลับเข้าป่าไป
ตำรวจสมัยนั้น ชาวบ้านเรียกว่าพลตระเวน เมื่อถึงเวลาพลตระเวนของจังหวัดนครปฐมบุกเข้าไปปราบ โจรก็หนีข้ามไปทางจังหวัดสุพรรณบุรีบ้าง จังหวัดกาญจนบุรีบ้าง เมื่อข้ามเขตแล้ว พลตระเวนก็ไม่ตามต่อ เนื่องเพราะว่าไม่ใช่พื้นที่ของตน เมื่อทางจังหวัดกาญจนบุรีเข้ามาปราบ โจรก็หนีมาทางจังหวัดสุพรรณบุรีบ้าง จังหวัดนครปฐมบ้าง ทางด้านจังหวัดกาญจนบุรีก็ไม่ตามต่อเหมือนกัน ครั้นถึงเวลา พลตระเวนของจังหวัดสุพรรณบุรีเข้ามาปราบ โจรก็หนีข้ามมาเขตจังหวัดนครปฐมบ้าง จังหวัดกาญจนบุรีบ้าง "เอาเถิดเจ้าล่อ" กันอยู่แบบนี้ จนกระทั่งไม่สามารถที่จะปราบปรามได้สำเร็จ ท้ายที่สุดก็มีผู้ออกความคิด ก็คือทำโครงการสร้างสนามบินกำแพงแสนขึ้นมา เป็นพื้นที่ ๑๐,๕๐๐ ไร่ ต่อด้วยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน ซึ่งสมัยนั้นเป็นแค่วิทยาเขต อีก ๘,๐๐๐ ไร่ จึงทำให้ต้องถล่มป่าตรงนั้นทิ้งไปเลย บรรดาโจรต่าง ๆ ไม่มีที่อาศัยหลบการตามล่าของพลตระเวน จึงทำให้ต้องสลายชุมโจรไปโดยปริยาย..! พวกกระผม/อาตมภาพยังมีโอกาสได้เห็นการก่อสร้างสนามบิน ถึงได้รู้ว่าการก่อสร้างนั้นลำบากมาก บริษัทที่มารับเหมาก่อสร้างชื่อบริษัทเกอร์ซันแอนด์ซัน จำกัด การสร้างของเขาก็คือขุดพื้นลงไปลึกจนเป็นบ่อขนาดมหึมามโหฬาร แล้วก็ทำการไถ เอาน้ำรด เอารถบดทับลงไป แล้วก็ไถขึ้นมาใหม่ เอาน้ำรถ เอารถบดทับลงไป ทำอย่างนี้ไปเรื่อยจนกระทั่งหางไถกดไม่ลง ก็แปลว่าแน่นหนาพอแล้ว จากนั้นก็มีการปูแผ่น น่าจะเป็นอะลูมิเนียมผสม ซึ่งลักษณะความกว้างก็น่าจะประมาณเกือบ ๒ ฟุต ความยาวก็อยู่ที่ประมาณ ๖ เมตร ซึ่งในส่วนนี้ความจำของเด็กสมัยนั้นอาจจะกะประมาณผิด ในเมื่อปูแผ่นโลหะเหล่านี้เต็มแล้ว ถึงได้มีการดาดคอนกรีตลงไปอีก อยากจะบอกว่าการก่อสร้างสมัยนั้น เป็นการสร้างแบบไว้ฝีมือ ไว้ชื่อของบรรดาบริษัท ห้างร้าน ร้านค้าต่าง ๆ ในสมัยนั้น ก็คือทำกันที อยู่ไปชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ใช่ทำกันเหมือนสมัยนี้ คือมีการกำหนดให้หมดอายุได้ด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2023 เมื่อ 01:05 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
สนามบินกำแพงแสนนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใหญ่โตมโหฬารมาก แต่ว่าสามารถรับน้ำหนักเครื่องบินทิ้งระเบิด บี ๕๒ ได้ เพราะว่ามีโครงการเป็นสนามบินสำรองเวลาเกิดศึกเกิดสงครามขึ้นมา แล้วหลังจากนั้น เมื่อสร้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสนเสร็จ ป่าใหญ่ไพรกว้างรอบบ้านหายไป อากาศก็ร้อนขึ้นมาแบบทันใจมาก
โดยเฉพาะทางบรรดาญาติโยมต่าง ๆ ก็เริ่มนิยมการใช้สังกะสีมุงหลังคาขึ้นมาแทนแฝกแทนจากเข้าไปอีก ก็ยิ่งร้อนหนักกันเข้าไปใหญ่ กลายเป็นว่าการพัฒนานั้นทำให้มีความเดือดร้อนเพิ่มขึ้น และต้องแก้ไขปัญหากันไม่รู้จบ จึงทำให้มีการหาพัดลมเข้ามาใช้งาน ซึ่งพัดลมสมัยแรก ๆ ก็เป็นพัดลมตั้งพื้น ความสูงเลยหัวเด็กอย่างกระผม/อาตมภาพไปเยอะมาก ทั้งใบพัดลมและโครงป้องกันอันตรายจากใบพัดลม ทำด้วยทองเหลืองทั้งสิ้น ทำให้รู้สึกว่าสินค้าสมัยก่อนนั้น ทำไมถึงทำได้ทรหดอดทนขนาดนั้น ? ก็เพราะว่าชื่อเสียงของบริษัทเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด อย่างเช่นว่าปากกาเชฟเฟอร์สมัยก่อน ญาติโยมที่กระผม/อาตมภาพรู้จัก ใช้เปิดกระป๋องนมข้นแทนเครื่องเปิดกระป๋องได้เลย..! ก็คือเอาปากกาหมึกซึมนั้นกระแทกโป๊ะเข้าไป ด้านละ ๑ รู แล้วก็เทนมข้นออกมาใช้งาน โดยที่สามารถเอาปากกาเชฟเฟอร์ด้ามนั้นไปเขียนต่อได้ ปากของปากกาไม่แตก..! มารุ่นของกระผม/อาตมภาพ พอเริ่มเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ก็ต้องเปลี่ยนจากการใช้ดินสอ มาเป็นการใช้ปากกาหมึกซึม ยี่ห้อปากกาหมึกซึมสมัยนั้นคือเซลเลอร์ เริ่มเป็นการทำปากกาขึ้นมาในลักษณะของการพาณิชย์ ก็คือตกกระทบพื้นหน่อยก็ปากแตก เขียนแล้วกลายเป็นสองเส้น บางทีก็หมึกไหลเลอะเทอะไปหมด จึงทำให้เห็นว่าคนรุ่นหลังเริ่มคิดเรื่องของกำไรมากกว่าชื่อเสียงบริษัทขึ้นมา จึงทำให้บรรดาดินฟ้าอากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แต่ว่าหน้าหนาวยังคงเป็นหน้าหนาว หน้าร้อนยังคงเป็นหน้าร้อน หน้าฝนยังคงเป็นหน้าฝน มาแค่ช่วง ๑๐ กว่าปีนี้เอง ที่อากาศวิปริตผิดเพี้ยนไปหมด จึงทำให้กระผม/อาตมภาพไม่ค่อยแน่ใจว่า การเดินทางไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในครั้งนี้ เราจะพบกับบรรยากาศแบบไหน แต่ว่าก็ได้ "เจ้าลุง" และ "พระยาศรีฯ" ท่านรับปากว่าจะอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง คาดว่าคงจะไม่ลำบากกันมากนัก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2023 เมื่อ 01:09 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
อีกเรื่องหนึ่งที่จะพูดในวันนี้ อาจจะทำให้เกินเวลาไปบ้าง ก็คือมีผู้ที่หวังดีส่งคลิปวีดีโอเข้ามาในกลุ่มไลน์อีกแล้ว เป็นเรื่องของบุคคลผู้รู้เจ้าเดิม ที่กล่าวว่า "การบวชหน้าไฟ นอกจากไม่ได้บุญแล้ว คนบวชยังต้องตกนรก" อีกต่างหาก กระผม/อาตมภาพพอเห็นเข้า ก็ได้แต่ถอนใจว่า "เวรกรรมของกูแท้ ๆ..!" ไม่ทราบเหมือนกันว่าต้องไปถามท่านอาจารย์ไพศาล แสนไชยหรือเปล่า ? ว่าไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรกับบุคคลผู้นี้ กระผม/อาตมภาพจึงต้องมาแก้ไขทิฏฐิให้แก่ญาติโยมทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา
เนื่องเพราะว่าการบวชนั้น ไม่ว่าจะเป็นการบวชพระหน้าไฟ หรือว่าการบวชเณรหน้าไฟ ถ้าเป็นการบวชพระ ทันทีที่พระคู่สวดประกาศว่า "อุปะสัมปันโน สังเฆนะ" ก็คือได้รับการยกขึ้นเป็นอุปสัมบันร่วมกับหมู่สงฆ์แล้วนะ ตรงนั้นผู้บวชได้อานิสงส์ในการบวชเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ถ้าหากว่าเป็นการบวชเณร ทันทีที่รับไตรสรณคมน์เสร็จ ถึง "ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ" บุญของการบวชสามเณรก็ได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ทันที ไม่ต้องรอให้ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า สามเณรต้องยึดถือกฎเกณฑ์กติกา คือศีล ๑๐ ข้อ ตลอดจนกระทั่งสามเณรสิกขาอย่างไรบ้าง ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การบวชจึงได้อานิสงส์ทันทีที่บวชเสร็จ ส่วนในเรื่องของการอยู่ต่อนั่นต่างหากที่จะกำไรหรือว่าขาดทุน ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอยู่ต่อแล้วตั้งใจปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา อานิสงส์ที่พึงได้ก็บวกมากขึ้นไปทุกที แต่ถ้าหากว่าไปทำผิดทำพลาด ละเมิดพระธรรมวินัย ก็จะโดนลบไปเรื่อย จนกระทั่งบางทีก็เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว มีสิทธิ์ที่จะลงนรกได้อย่างที่ผู้รู้ท่านนั้นกล่าวมา..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โบราณาจารย์จึงแนะนำในเรื่องของการบวชหน้าไฟ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลที่ตายไปแล้ว ถ้าหากว่าท่านอยู่ในเขตที่อนุโมทนาได้ เมื่อได้รับบุญรับกุศลแล้ว ก็เข้าสู่สุคติภพไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปผ่านตำหนักพระยายมให้ตัดสิน ยกเว้นท่านที่กรรมหนัก ไม่ผ่านตำหนักพระยายม ลงไปสู่อบายภูมิเลย ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพจะไม่เสียเวลาไปถกเถียงอะไร เพราะไม่ใช่ผู้รู้ แค่ว่าศึกษามาจากพระไตรปิฎกบ้าง อรรถกถาบ้าง ฎีกาบ้าง อนุฎีกาบ้าง ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เมตตาสั่งสอนเอาไว้บ้าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่รู้มาในพระไตรปิฎกก็ดี ที่ครูบาอาจารย์สอนสั่งมาก็ตาม เมื่อไม่ตรงกับทิฏฐิของผู้รู้ท่านนั้น จึงต้องมาแก้ไข เพื่อให้ท่านทั้งหลายจะได้เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าไปเชื่อถือแล้วยึดตามกัน กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิต่างหาก ที่อาจจะนำลงสู่อบายภูมิได้ เพราะว่าคิดผิด พูดผิด ทำผิด ไปจากพระธรรมวินัยนั่นเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2023 เมื่อ 01:13 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|