|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#681
|
||||
|
||||
![]()
บุญประทายข้าวเปลือก
องค์ท่านกล่าวถึงความเป็นมาของงานบุญประทายข้าวเปลือกที่วัดป่าบ้านตาดไว้ว่า "..แต่ก่อนเราไม่ค่อยสนใจนะ เพราะบ้านนี้เขาทำบุญประทายข้าวเปลือกมาเป็นประจำ เราเกิดมาเห็นอย่างนั้น ไม่มากก็น้อย เขาทำของเขาทุกปี พอทำนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาทำบุญประทายข้าวเปลือก ถ้าสมมติว่าไม่มีพระอยู่ในวัด วัดบางทีมีร้างมีอะไร เขาก็ไปหานิมนต์พระที่อื่นมาทำบุญ เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ยกข้าวถวายท่านเลย อย่างนั้นประจำ.." เรามาสร้างวัดนี้เขาก็ทำ ว่าอะไรเขาก็ว่า "เคยมาอย่างนี้เป็นประจำ มาเลย" ที่เขาทำนี้ พอเราเกิดมาก็เห็นแล้วนะ ไม่ทราบเขาทำมานานเท่าไร เป็นประจำทุกปี ๆ ได้มากได้น้อยเขาก็ทำของเขาอย่างนั้น มีพระอยู่ในนั้นเขาก็ทำถวายพระในนั้น ถ้าไม่มีพระบางทีวัดร้างก็มี เขาก็ไปนิมนต์เอาวัดอื่นมา พอทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยกข้าวถวายวัดไปเลยเป็นประจำ รู้สึกจะฝังจริง ๆ ฝังนิสัยของเขาหมู่บ้านนี้ นอกนั้นเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว แต่บ้านนี้รู้ชัด ๆ เพราะเราเกิดมาเห็นอย่างนั้นแล้ว ไม่ทราบว่าใครเป็นคนพาทำแต่เริ่มแรก เขาทำของเขาอยู่อย่างนั้น เรียกว่าฝังเป็นนิสัย เป็นประเพณีของบ้านนะ เราจำได้ตอนที่เรามาบวชแล้วมาอยู่ที่นี่ มีปีเดียวเท่านั้น ดูเหมือนปี ๒๕๐๗ เรายังจำได้นะ ที่เราบังคับเอาเลย บอกเขาว่า "ไม่ให้ทำ" ดุด้วยบังคับด้วย ห้ามเด็ดขาดเลย ยกเหตุผลให้ต่อหน้าต่อตา ปีนั้นเกือบจะไม่ได้ทำนากัน แต่เขาก็จะทำบุญข้าวเปลือก เราจึง "ห้ามอย่างเด็ดขาดเลย" มีงดปีนั้นเท่านั้น นอกนั้น่เขาก็ทำของเขา ปีนั้นเอาเด็ดขาดเลยนะ เขาจึงหยุดนะ รู้สึกเขาจะเสียดายอยู่เหมือนกันนะ เพราะบางคนพูด แต่ไม่กล้ามาพูดต่อหน้าเราเขาพูดนอก ๆ ว่า "โอ๊ย..เรื่องความมีความจน ก็มีก็จนเป็นธรรมดาแหละ แต่การทำบุญให้ทานก็เป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขาฝังลึก เขาอยากทำบุญให้ทานข้าวเปลือก" อ้าว..ทีนี้เราก็แก้ไปใหม่นะ "ทำบุญข้าวเปลือกไม่ได้ก็ให้เอาข้าวสุก พระไปบิณฑบาตให้ใส่บาตรนั่นนะ" เขาก็แก้อีก "อู๊ย..อันนี้ก็เป็นอันดับหนึ่ง อันนั้นก็เป็นอย่างหนึ่ง ก็อยากทำบุญ" แต่พอเราพูดด้วยเหตุด้วยผล "ข้าวก็จะไม่มี ผู้จนก็จนอยู่นี้ จะพักบ้างก็ได้นี่นา เพราะไม่ใช่เราเป็นคนใจจืดใจดำ มีลดหย่อนผ่อนผันไปตามกาลตามเวลา หรือหยุดตามเหตุการณ์" นี่ก็เราเป็นคนสั่งเอง เราดูเอง พันธุ์ข้าวก็จะไม่ได้ ปีนั้นคือฟ้าฝนไม่มี เราจำได้ว่ามีปีนั้นแหละ..แทบจะไม่ได้พันธุ์ข้าวนะ ฟ้าฝนไม่มี ได้ก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ลุ่ม ๆ ก็พอได้บ้าง ถ้าธรรมดาแทบจะไม่ได้ ถ้าเป็นนาดอนนาสูงไม่ได้เลย ไม่ได้ทำ เวลาเป็นปรกติเราก็ไม่ว่า ก็ให้ทำตามเรื่องของเขา.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2023 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ชุณหพงศ์ (16-10-2023), ต้นบุญ (29-09-2023), นาย หวังดี (15-10-2023), มารวย๙ (29-09-2023), สุธรรม (29-09-2023)
|
#682
|
||||
|
||||
![]()
หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ กล่าวถึงงานบุญนี้ แรกเริ่มทีเดียวจัดที่โรงเรียนบ้านตาด ก่อนจะย้ายมาจัดที่วัด ดังนี้
"จะเริ่มปฏิบัติกันมาตั้งแต่เมื่อใดนั้นก็ไม่ทราบ แต่มีความเป็นมาจากบุญคูณลาน ซึ่งเดิมชาวบ้านตาดจัดงานที่โรงเรียนบ้านตาด โดยนำข้าวเปลือกมากองรวมกัน แล้วนิมนต์องค์หลวงตาพร้อมพระไปเจริญพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหาร ต่อมาจึงมีการจัดที่วัดป่าบ้านตาด โดยชาวบ้านนำข้าวเปลือกมารวมกันที่วัดป่าบ้านตาด ซึ่งในเบื้องต้นมีเฉพาะชาวบ้านตาดกับชาวบ้านกกสะทอน ที่นำข้าวเปลือกมารวมกัน หลังจากนั้นได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา" คำว่า ประทาย นอกจากจะใช้เรียกชื่อการทำบุญที่มีชาวบ้านหลาย ๆ คนนำข้าวเปลือกมากองรวมกันแล้ว ในแถบจังหวัดอุบลราชธานีมีการใช้คำนี้ในการทำบุญก่อเจดีย์ทรายด้วย โดยจะใช้คำว่า ตบประทาย ซึ่งหมายถึง การที่ชาวบ้านแต่ละคนนำทรายมากองรวมกัน แล้วก่อเป็นเจดีย์ทรายขึ้น จากนั้นมีการนิมนต์พระมาสวดมนต์ และทำบุญอุทิศคล้ายกับทำบุญประทายข้าวเปลือก ประทายข้าวเปลือก จึงหมายถึงกองข้าวเปลือก ที่เกิดจากบุคคลหลายคน นำข้าวเปลือกมากองรวมกันเพื่อการทำบุญ ซึ่งเป็นประเพณีความเชื่อที่มีมาแต่นมนานแล้ว ชาวบ้านเขาทำนาได้ข้าว เขาก็จะเอาข้าวเปลือกมาทำบุญ ส่วนการทำน้ำพระพุทธมนต์ เป็นสิ่งมงคลที่ชาวบ้านได้ไปแล้ว จะนำไปรดสรงทั้งคนในครอบครัว เรือกสวนไร่นา ตลอดจนสิ่งของอย่างอื่น เช่น บ้านเรือน ยุ้งข้าว เกวียน รถ เป็นต้น เพื่อให้เกิดความอยู่เย็นเป็นสุข ในระยะแรกข้าวเปลือกที่นำมาบริจาคในงานบุญประทายข้าวเปลือกเป็นของหมู่บ้านตาด ต่อมาหมู่บ้านแถบนั้นก็มาร่วมด้วย และเริ่มกระจายออกกว้างมากขึ้น ๆ จนไม่ถือเป็นงานบุญของหมู่บ้านหรือจังหวัดอุดรธานีอีกต่อไป องค์หลวงตาท่านจะนำข้าวเปลือกเหล่านี้ไปขาย เพื่อนำเงินมาสงเคราะห์ช่วยเหลือ กระจายออกเป็นประโยชน์ทั้งรายย่อยและสาธารณะตลอดมา ต่อมาเมื่อบ้านเมืองประสบวิกฤตเศรษฐกิจปลายปี พ.ศ.๒๕๔๐ องค์ท่านจึงเริ่มขอรับการบริจาคช่วยชาติ แต่ก็ยังไม่กว้างขวางนัก จนกระทั่งวันเสาร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ เป็นวันทำบุญประทายข้าวเปลือก ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ในวันนั้นประชาชนจากทุกสารทิศเดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก ท่านจึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า จะนำเงินที่ได้จากการขายข้าวเปลือกในครั้งนี้ "บริจาคช่วยชาติ" อันเป็นการริเริ่มเปิดตัวการรับบริจาคช่วยชาติ ให้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนได้รับรู้อย่างกว้างขวาง แต่ไม่เป็นทางการเป็นครั้งแรก และถือปฏิบัติด้วยการบริจาคช่วยชาติเช่นนั้นตลอด ๗ ปีในโครงการผ้าป่าช่วยชาติฯ จากนั้นก็เป็นการบริจาคสงเคราะห์โลกตลอดมา องค์ท่านกล่าวในเรื่องนี้ไว้ดังนี้...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2023 เมื่อ 02:19 |
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ชุณหพงศ์ (16-10-2023), ต้นบุญ (29-09-2023), นาย หวังดี (15-10-2023), มารวย๙ (29-09-2023), สุธรรม (29-09-2023)
|
#683
|
||||
|
||||
![]()
"..ระยะนี้ข้าวเปลือกก็เป็นจริงเป็นจัง เป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ เพื่อชาติของเรา มาจริงจังหนักแน่นตอนที่เราช่วยชาติ แต่ก่อนเราไม่สนใจ เขาทำของเขาเอง ตอนนี้เลยเอาอันนี้เข้าเพิ่ม เพื่อช่วยชาติเราก็ส่งเสริมไปเลย เราไม่ได้มีอะไร เราไม่ได้เป็นเศรษฐี เรามีอะไรเราก็ทาน จะรอให้เป็นเศรษฐีแล้วค่อยทานมันตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เห็นใครเกิดมาเป็นเศรษฐี เอาเศรษฐีมาอ้างแล้วจึงทำบุญ มันตายกันหมดนั่นแหละ ไม่ได้ทำบุญ เรามีเท่าไรเราก็ทำของเรา อันนี้ก็เหมือนกัน เราไม่มีสมบัติเงินทองข้าวของอย่างอื่น เรามีข้าวก็เอา ก็ไปนั้นอีก จึงได้ทำ
เห็นไหมล่ะ..งานนี้ (วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑) ดูคนซิ วัดป่าบ้านตาดเนื้อที่ตั้งเกือบ ๖๐๐ ไร่ คนมาแน่นวัด เพราะอะไรคนถึงมามากมายก่ายกอง ? เพราะวัดนี้ทำบุญช่วยโลก ช่วยทั่วประเทศไทยเรา เพราะฉะนั้น..คนจึงมามากมาย มาทั่วประเทศไทยเหมือนกัน งานทั้งหมดเรียกว่างานเพื่อโลก สงเคราะห์โลก วันนี้ทำบุญข้าวเปลือกช่วยโลก ข้าวเปลือกมีมากขนาดไหนนำออกช่วยโลกทั้งหมด จึงเรียกว่างานเพื่อโลก งานสงเคราะห์โลก ทำเพื่อโลกทั้งนั้นแหละ งานบุญวัดป่าบ้านตาดเรานี้ก็เป็นงานบุญเพื่อช่วยโลกนะ เราทำทั่วประเทศไทยช่วยโลกทั้งนั้น... ปัจจัยทั้งหลายที่มาเหล่านี้ออกช่วยโลกทั้งนั้นนะ สำหรับวัดนี้ไม่เอา มีเท่าไร ๆ ออกสร้างนั้นสร้างนี้ โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง โรงพยาบาลทุกภาคทั่วประเทศไทย ขัดข้องขาดเขินอะไรก็วิ่งเข้ามาหาเรา เราก็ช่วยเหลือตามที่เกิดที่มี หลวงตาพาพี่น้องทั้งหลายนำสมบัติเข้าส่วนรวมนะ หลวงตาไม่เคยแตะต้องสมบัติของส่วนรวม มีแต่ช่วยส่วนรวมตลอดมา... บรรดาพี่น้องทั้งหลาย..ที่หลวงตาพาทำบุญข้าวเปลือกวันนี้ก็ทำบุญเพื่อโลกของเรา ผู้ขัดสนจนใจมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า ได้อันนี้ออกไปแล้วก็เฉลี่ยเผื่อแผ่ไปทั่วถึงกันหมด จึงว่าทำบุญสงเคราะห์โลก เราทำอย่างนั้นจริง ๆ นี่ดูซิ..ข้าวกองพะเนินนี่จะออกช่วยโลกทั้งนั้น ออกช่วยโลกทั้งหมด เราไปไหนก็ไปช่วยโลก อยู่ก็อยู่ช่วยโลก เราไม่เอาอะไร ไปนี้ก็ไปช่วยโลก ช่วยไปหมดทุกแห่งทุกหน กระจายออกไปสู่ที่ขาดแคลนกันดาร ที่ไหนเราก็ออกช่วยทั้งนั้น... สำหรับเรา เราไม่เอา กรุณาทราบไว้ตามนี้ เราพอแล้ว สมควรที่ว่าเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายออกทางด้านวัตถุ และด้านนามธรรม แนะนำสั่งสอนโลกทั่ว ๆ ไป ทั้งวัตถุเข้าสู่ส่วนรวม.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2023 เมื่อ 02:23 |
#684
|
||||
|
||||
![]()
คุ้นเคยวัดบวรฯ วัดในกรุงเทพฯ
ในอดีตหากมีกิจธุระที่กรุงเทพมหานคร องค์หลวงตามักจะมาพำนักที่วัดบวรนิเวศวิหารเป็นประจำ เนื่องจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ สมัยทรงดำรงสมศักดิ์ที่พระสาสนโศภณกับองค์หลวงตา ต่างก็นับถือกันเป็นสหธรรมิก มีความสนิทสนมและห่วงใยซึ่งกันและกัน ด้วยความที่มีอายุและพรรษาใกล้เคียงกัน แม้เจ้าพระคุณเองก็ทรงไปพักภาวนาทีวัดป่าบ้านตาดหลายครั้ง ครั้งละเป็นอาทิตย์ทีเดียว ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ณ วัดเทวสังฆาราม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี องค์หลวงตายังได้ไปร่วมงานศพพระชนนีของเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระสาสนโศภณอีกด้วย องค์หลวงตากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในอดีตว่า "เมืองกาญจน์นี้วัดอะไรอยู่ทางด้านทิศเหนือโน้น นี่ก็สงัดเหมือนกัน ตอนนั้นไปกับสมเด็จพระสังฆราช คือท่านพักอยู่วัดเหนือ เป็นวัดเดิมของท่าน ท่านนิมนต์เราไปในงานเผาศพโยมมารดาท่าน แล้วนิมนต์เราเป็นองค์แสดงธรรมด้วย เราถึงได้ไป ไปพักอยู่หลายคืนเหมือนกัน ท่านทรงเป็นเจ้าภาพมารดาของท่าน คนเคารพนับถือมาก งานจึงเป็นไปหลายวัน นั่นละ..ตอนเรามีโอกาสไปงานของท่าน งานของเราอยู่ในป่า จึงได้สนุกเที่ยวดูป่าแถวนั้น โฮ้..ภาวนาดี เราไม่ได้มาหาท่านแหละ ไปสักแต่ว่าไป ถึงเวลาแล้วก็ลงมาเท่านั้นแหละ มาเทศน์มาอะไร มีสองครั้งสามครั้งที่เรามาเกี่ยวข้อง นอกนั้นเราไม่มา ก็เป็นภาระของท่านเอง ธุระของท่านเอง เราไม่ยุ่งท่าน ถึงได้สนุกภาวนา วัดนี้เป็นฐานหนึ่งของที่ภาวนา สะดวกสบาย เข้าไปในป่านี้สบายไปหมดเลยนะ นี่หมายถึงเมืองกาญจน์ เป็นป่าเป็นเขา ตัวเองจริง ๆ ห่างไกลกันอยู่ นั่นละ..ที่มันสงัดวิเวกดี ตอนที่เรามีโอกาสบ้างก็ตอนตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราช ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรฯ จะเรียกว่าวัดเราก็ถูก กุฏิคอยท่าปราโมชเป็นกุฏิที่สมเด็จพระสังฆราชประทับอยู่ที่นั่นแต่ก่อน ระยะหลังก็คงจะอยู่ที่นั่นกระมัง เราไปพักวัดบวรฯ แรก ๆ ก็ไปพักกุฏิท่าน ท่านนิมนต์ให้พักกุฏิท่าน ให้อยู่ชั้นบนเลย ท่านนิมนต์เราขึ้นชั้นบน เราไม่ขึ้น เราบอกท่านจะพักอยู่ข้างล่าง จากนั้นเลยขอท่านพักกับเจ้าคุณยนต์ (พระเทพสารเวที) นี่แหละ แต่ก่อนท่านให้พักกับท่านทั้งนั้นแหละ พักกุฏิท่าน พักกุฏิหลังนี้ ท่านให้เลือกเอาตามชอบใจสองหลังนี้ ครั้นต่อมาเราก็เลยไปพักอยู่กับกฏิเจ้าคุณยนต์ เวลาสำคัญ ๆ ท่านจะพูดกับเราโดยเฉพาะ ปรึกษาปรารภอะไรลึกลับซับซ้อน แปลก ๆ ต่าง ๆ ท่านจะปรึกษาโดยเฉพาะ ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 19:45 |
#685
|
||||
|
||||
![]()
โห..เวลาคุยธรรมะนี้ท่านเอาจริงเอาจังมาก เฉพาะกับเราคุยกันสองต่อสอง เรื่องจิตภาวนา ท่านสนพระทัยทางด้านอานาปานสติ ท่านก็ภาวนาเต็มที่ของท่าน เวลาคุยกันโดยเฉพาะ ก็คุยธรรมะจิตภาวนาล้วน ๆ ท่านก็ทราบเรื่องราวทราบได้ดี ทราบจนวิถีจิตวิถีธรรม การพิจารณาอะไร ๆ เพื่อจะเป็นแนวทางให้ท่านพิจารณาต่อไป ความหมายว่าแบบนั้น สอนสังฆราชต้องสอนอย่างนั้นซิ ต้องหาอุบายวิธีพูดสอนไปในตัว ท่านสนพระทัยมากกับการภาวนา เวลามีปัญหาสำคัญ ๆ ท่านจะปรึกษากับเรา ท่านไม่ให้ใครมายุ่ง ปรึกษาธรรมะธัมโมอะไรต่ออะไร ท่านทำอานาปานสติ คุยกันสนุกดีนะ สองต่อสอง
สมเด็จพระสังฆราชเรา ท่านไม่ค่อยชอบพูดแหละ ท่านเป็นนิสัยอย่างนั้น เวลาท่านเทศน์ ท่านเทศน์ตามนิสัยของท่าน คือท่านเทศน์ช้ามากนะ พูดขึ้นประโยคหนึ่งแล้ว กว่าจะขึ้นอีกประโยคหนึ่งนาน เหมือนว่าคิดประโยคหน้าเสียก่อนแล้วค่อยพูด ประโยคจบเหมือนว่าคิดเสียก่อนแล้วค่อยพูด เป็นประโยค ๆ ช้ามาก เวลาท่านฟังเทศน์เรา ท่านก็คงจะคิดอันหนึ่งเหมือนกันนะ ท่านไปนั่งด้วยกัน เวลาให้เราเทศน์ บางวันที่ท่านว่างท่านก็ไปด้วย แต่ให้เราเทศน์ ทีนี้เวลาเราเทศน์กับท่านเทศน์มันต่างกัน ท่านเทศน์ช้ามากเชียว แต่เราพอเริ่มแล้วมันยำเลย ท่านก็ฟัง เราเทศน์ก็เป็นเรื่องของเรา ยำเลย ของท่านฟัดเสียโป้ก แล้วก็ไปหาผักหาหญ้ามาแล้วเอามาวาง ค่อยโป้ก..แล้วไปหาเนื้อหาปลามา แล้วก็โป้กอีกทีหนึ่ง เป็นอย่างนั้น เรานี้ยำเลย มันต่างกัน ที่สำคัญก็คือ พอเวลาเราก้าวเข้าวัดบวรฯ นี้ ภาระท่านปลดเปลื้องมาเลยเทียว เหมือนว่าท่านไว้ใจเลย มอบให้เราหมด เทศน์อบรมประชาชน พวกอุบาสกอุบาสิกา ที่เขาไปฟังเทศน์วันพระวันอะไรต่ออะไรตอนเย็น วันพระท่านทิ้งให้เราเลย ไปเทศน์อบรมกรรมฐานตอนเช้า ท่านก็ทำตามพิธีของท่าน ท่านจะไปเทศน์แต่ตอนเช้าเท่านั้น ตอนเย็นเราจะเป็นผู้อบรมประชาชน ท่านเปลื้องภาระการเทศน์ได้เยอะ ถ้าไปทีไร ท่านมอบให้เลยนะ ท่านเทศน์มักจะเทศน์เรื่องกรรมฐาน พอดีเราไปนั้นเราเป็นกรรมฐานใหญ่ เข้าใจไหม ? ท่านก็โยนตูมให้ มีนิทาน คือผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่า ไปจ๊ะเอ๋กันกับหมี คือธรรมดาหมีนี่มันไม่ค่อยวิ่งหนี ถ้าเจอใกล้ ๆ จะโดดเข้ามากัดคน ทำคนให้เสียท่าเสียก่อนมันค่อยไป พอหนุ่มคนนั้นเดินไปนั้นไปจ๊ะเอ๋กับหมี หมีก็โดดมา ทางนี้ก็เข้าต้นไม้มันก็ตะปบมา ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนอยู่ทางนั้นมันก็ตะปบสองขา แล้วคนนั้นก็จับได้ทั้งสองขาเลย จับหมีตัวนั้นได้ทั้งสองขา ทีนี้พอจับหมีได้ หมีก็โดดจะออก หัวคนก็ชนต้นไม้ คนจะตาย คนจับขาหมีดึง หัวหมีก็ชนต้นไม้ ชนอยู่อย่างนั้น ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนเจ็บหัวซิ พอหมีโดด คนจับขามันอยู่ หัวคนชนต้นไม้ เขาก็จับขาหมีไว้ หัวหมีก็ชนต้นไม้นั่นละ เอากันอยู่ปึงปัง ๆ พอดีอีกคนหนึ่งมา "ทำอะไรนั่น ?" "นี่กำลังจับขาหมี" "มา..ช่วย" คนนั้นเห็นจับขาหมี หัวหมีกับหัวคนชนต้นไม้ต้นเดียวกัน ทางนี้ก็ตะโกนเรียก "โอ๊ย..ทำอะไรนั่น ?" ทางนี่ก็ "จับขาหมี..มาช่วยกัน" คนนั้นก็ปุ๊บปั๊บจับขาหมีได้ คนนี้ก็เปิดเลย คนนั้นก็เลยชนต้นเสาอยู่กับหมีตัวนั้นแทน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 19:50 |
#686
|
||||
|
||||
![]()
เราไปวัดบวรฯ ก็แบบเดียวกัน คือสมเด็จพระสังฆราชท่านจับขาหมีอยู่ ซัดกันปึ้ง ๆ ปั้ง ๆ พอเห็นเราไปท่านก็ว่ามาช่วยหน่อย พอเราจับขาหมีได้ท่านเปิดหนีเลย ปล่อยขาหมีให้เรา เรากับหมีเลยซัดกันปึ้ง ๆ ปั้ง ๆ ป่านนี้ยังคงไม่หยุดละมั้ง ? ไปทีไรเป็นอย่างนั้นละ นั่นละ..นิทานย่อ ๆ รับกัน เข้าท่าดี มันมีในนิทานเหมือนกัน คือหมีนี่เวลาไปเจอใกล้ ๆ มันไม่ได้วิ่งหนีนะ ส่วนมากมันจะวิ่งมาหาคน ตะปบหรือกัดคนเสียก่อน บางทีเจ็บมากด้วยมันถึงจะไป เรามาวัดบวรฯ มีแต่มาจับขาหมี ท่านเลยปล่อยให้เราเทศน์ ตั้งแต่มาพักที่นี่แล้วก็เลยไม่ได้ไป
ไปทีไรท่านก็โยนภาระให้เราละ สำคัญตรงนี้ ไปทีไรหนักนะ ถ้าไปวัดบวรฯ หนักมาก เทศน์อบรมประชาชน ตอนเย็นละไปเทศน์กรรมฐานที่ตึกมหามกุฏฯ หรือตึกอะไรที่รวมใหญ่นั่นละ เราไปที่นั่น เขาก็มาฟังที่นั่นฟังเทศน์ เทศน์อบรมเขาทางด้านภาวนา ท่านภาระหนักมาก เราไปทีไรรู้สึกว่าท่านเบาลงมาก เราก็หนักมากเหมือนกัน ตั้งแต่เราสร้างวัดที่สวนแสงธรรมแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย จึงไม่ค่อยได้พบได้สนทนาปราศรัยกันกับท่าน แต่ก่อนรถราก็จอดได้สะดวกสบาย ทุกวันนี้แน่นหมด แม้แต่กลางวัดบวรฯ ที่เป็นสนามก็ดูว่าเป็นตึกเป็นอะไรขึ้นแล้ว ทุกวันนี้หาที่จอดรถไม่ได้เลย ก็พอดีเรามีสวนแสงธรรม สถานที่จอดรถกว้างขวางเหมาะกัน ตั้งแต่นั้นมาเราเลยไม่ได้เข้าวัดบวรฯ ไม่ได้เข้าอีกเลย ไปก็บึ่งไปนู้นเลย ไปสวนแสงธรรมพักที่นั่นเลย วัดไหนก็ไม่ไปพักในกรุงเทพฯ ตั้งแต่สร้างสวนแสงธรรมแล้ว ไปสวนแสงธรรมทีเดียวเลย แต่ก่อนเราเป็นพระหลายวัด ถ้ามีธุระเกี่ยวข้องใกล้กับวัดใดก็ไปพักวัดนั้น ๆ ทำธุระวัดไหนก็พักหมดแหละ เพื่อนฝูงมีเยอะในกรุงเทพฯ วัดบวรฯ วัดเทพศิรินทร์ วัดนรนาถฯ วัดบรมนิวาส วัดสัมพันธวงศ์ วัดไหนไปหมดนั่นแหละ พักวัดไหนก็พักได้ เพื่อนฝูงมีเยอะ ตั้งแต่มาสร้างสวนแสงธรรมแล้วนี้จึงไม่ไปวัดไหนเลย ไปสวนแสงธรรม คนก็ไปรวมที่นั่น สะดวกสบาย เรื่องรถราจอดได้สะดวกหมด วัดบวรฯ ทุกวันนี้ไม่มีที่จอดรถนะ เพราะแน่นไปหมดเลย เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักกับใครเลยวัดบวรฯ พระที่เฒ่าที่แก่ก็ล่วงไปหมดแล้วแหละ ดูมองไม่เห็นใครนะ ผู้ใหญ่ ๆ ที่เป็นเพื่อนฝูงกันแต่ก่อน ปรากฏว่าล่วงลับไปหมดแล้ว คงยังเหลือแต่พระหนุ่มน้อยที่ได้สมณศักดิ์สูงขึ้นไปเป็นขั้นเป็นภูมิไป ส่วนพระที่เคยเป็นเพื่อนเป็นฝูงกันแต่ก่อนดูเหมือนหมดแล้วนะ วัดบวรฯ หมด พอดีเราก็เลยมาอยู่ที่นี่ สุดท้ายเรียกว่าหมดจริง ๆ ก็ไม่ผิด ยังเหลือแต่สมเด็จฯ กับเจ้าคุณยนต์ นอกนั้นมองไม่เห็นองค์ไหนนะ ตั้งแต่ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว (ปี พ.ศ. ๒๕๓๒) เรายังไม่มีโอกาสจะเข้ากราบนมัสการท่านเลยจนกระทั่งป่านนี้ ท่านยังเป็นฝ่ายมา เป็นผู้ใหญ่กว่าเรามาที่นี่ ประกอบกับสร้างวัดสวนแสงธรรมก็เป็นระยะเดียวกัน แต่ก่อนเราไปพักวัดบวรฯ เป็นประจำ พอไปพักที่สวนแสงธรรมก็เลยไม่ได้เข้ามาวัดบวรฯ อีก ทีนี้วัดบวรฯ ก็เลยไม่ได้ไปอีกทีนี้นะ ไปได้ที่นู่นแล้วก็ไม่ได้มากราบนมัสการท่านเลย ถ้าหากว่าพูดตามทางโลกแล้วเรียกว่าเรานี้ถือเนื้อถือตัว เย่อหยิ่งจองหอง แต่ภายในใจของเราแล้วไม่มี เราเคารพท่านตลอดมา ที่ไม่ไปก็เพราะว่าปรกติท่านมีพระภาระมากมายอยู่แล้ว แม้เราเพียงตัวเท่าหนู งานของเราก็ไม่เคยว่าง ไหนอาจารย์มหาบัวจะมาเยี่ยมแล้วจะยุ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ ? เพราะไปหาท่าน ไม่ไปกราบเรียนท่าน ปุบปับเข้าไปเลยก็ไม่เหมาะ ก็เสียอีกทางหนึ่ง ถ้าจะกราบเรียนท่านแล้วค่อยเข้าไปก็เสียอีกทางหนึ่ง.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 19:54 |
#687
|
||||
|
||||
![]()
เข้ากราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์)
ในช่วงที่องค์หลวงตามีธุระที่กรุงเทพฯ และไปพักที่วัดบวรนิเวศวิหาร คราวหนึ่งท่านหาโอกาสเข้ากราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยนั้น โดยปกติจะไม่มีผู้ใดเข้ากราบสมเด็จฯ แบบเดี่ยว ๆ แต่ในครั้งนั้นท่านเข้าไปกราบสนทนาด้วยเพียงองค์เดียวเท่านั้น ยังความประหลาดใจแก่บรรดาพระเณรภายในวัดไม่น้อยทีเดียว ดังนี้ "ตอนขบขันมากก็คือ เราขึ้นไปเฝ้าสมเด็จสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จสังฆราชองค์นี้ คือธรรมดาใครจะขึ้นเฝ้าท่าน โหย..มีคนตามหน้าตามหลังรุมเลย เป็นอย่างนั้นเป็นประจำ ก็มีพระป่าองค์เดียวนี้แหละแหวกแนว เวลาจะไป ดูไม่มีคน..ปั๊บขึ้นเลยเชียว โอ๊ย..ท่านเมตตามากอยู่นะกับเรา ท่านคงเห็นว่าพระองค์นี้มันมาจากไหน มันกล้าหาญเหลือเกิน คงว่างั้น ใส่ปุ๊บเลยคุยกัน ท่านซักนั้นซักนี้ เรากราบทูลท่านเรื่อย ๆ มาประมาณสัก ๑๐ นาทีเราก็ลง ท่านทรงยิ้มตลอดนะ เพราะท่านไม่เคยเห็นพระขี้ดื้ออย่างนี้ ท่านยิ้ม ๆ เพราะท่านไม่เคยเห็นที่ไหน ท่านมองดูเราแล้วยิ้ม ๆ อยู่ตลอด แต่เราเฉย คือพระองค์ไหนก็ตามที่จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชนี้ ต้องมีผู้นำขึ้นไป ๆ ทุก ๆ องค์ พอตอนเช้ามา มาเล่าให้สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) ฟัง โอ๋ย..ท่านซักใหญ่เลย "ท่านอาจารย์ไปยังไง ?" "อุ๊ย..จะยากอะไร กรรมฐานไป" เราว่างี้ เวลาเราตอบเราตอบอย่างนั้น กรรมฐานไม่ได้ยากนะ มันยากแต่ไม่ใช่กรรมฐาน แห่หน้าแห่หลัง ท่านมองดูหน้าเรา บทเวลาจะเอา เอาอย่างนั้นนะ ขึ้นหาท่านเลย ท่านทรงเมตตามากอยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 19:56 |
#688
|
||||
|
||||
![]()
เวลากลางคืนเงียบ ๆ เราก็สอบถามพระ "สมเด็จพระสังฆราชวชิรญาณวงศ์ ท่านรับแขกเวลาเท่าไร ?" ถามพระผู้ใกล้ชิดเวลาที่ท่านว่าง..ว่างั้น ท่านบอกเวลาเท่านั้น เราก็จับเวลาเอาไว้แล้วไปองค์เดียวนะ ไปแบบขโมย ด้อม ๆ ไปถามพระ ท่านนั่งอยู่เหมือนกับว่าอยู่บนธรรมาสน์สูงอยู่นะ
พอเห็นเราไป เราก็สังเกตพระด้วย สังเกตทุกอย่างเพราะเราไปแบบปลอม ๆ แปลก ๆ ไม่มีใครทำอย่างนั้นแต่เราทำ มีพระเฝ้าท่านอยู่ ๓ องค์ เราขึ้นไปองค์เดียว พอไปถึงพระก็รีบทูลท่าน "นี่อาจารย์มหาบัว" ท่านยิ้มเลย เข้าใกล้ ๆ เลย ท่านนั่งอยู่โน้นเรานั่งอยู่นี้ ไม่นาน..ดูเหมือนไม่เลย ๑๐ นาที ท่านทรงยิ้มตลอดนะ อย่างหนึ่งก็คือว่าเห็นพระป่าพระเขาไป ไม่รู้จักขนบประเพณีธรรมเนียมอะไร ปุบปับขึ้น เหมือนพระป่าว่างั้นเถอะ ท่านยิ้มนะ ทรงยิ้มตลอด เราสังเกตดู เราเป็นพระบ้านนอก พระอยู่ในป่าในเขาขึ้นไปหาท่าน ท่านถาม "มหาบัวหรือ ? อยู่อุดรหรือ ? เอ้อ..อยู่อุดรรู้จักพระยาอุดรไหม ?" "รู้จักบ้างครับกระผม" เราก็ว่าอย่างนั้น "พระยาอุดรแต่ก่อนอยู่วัดบวรฯ มหาจิต จากนั้นมาแล้วก็มาอยู่เป็นผู้ว่าที่นี่ แล้วพระยาอุดรมีลูกกี่คน ?" ท่านทรงรับสั่งด้วยดี ยิ้ม ๆ ตลอด ท่านรับสั่งถาม "ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าท่านมีลูกกี่คน" แล้วก็ถามอะไรต่ออะไร เราก็ทูลท่านเฉพาะ ๆ จากนั้นไม่นานเราก็กลับ กราบท่านแล้วลง ทีนี้ตอนเช้าพอฉันจังหันเสร็จแล้ว ตอนนั้นท่านเป็นพระธรรมวราภรณ์ สมเด็จสังฆราชองค์ปัจจุบัน อยู่กุฏิถัดเราไป เวลาเราทำอย่างนั้นท่านก็งงเหมือนกันว่า "เมื่อคืนได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช" ท่านว่า "เหอ ๆ แล้วไปเมื่อไร ?" "ตอนเท่านั้นทุ่มเท่านี้ทุ่ม" โอ๊ย..จ้อเราเลยนะ "แล้วไปกี่องค์ ?" "ไปองค์เดียว" ว่างั้น..ท่านยิ่งจ้อใหญ่เลย "แล้วท่านรับสั่งอะไรบ้าง ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 20:00 |
#689
|
||||
|
||||
![]()
เราก็กราบเรียนท่านว่ารับสั่งอย่างนั้น ๆ แล้วก็ลงมา ท่านดูเราด้วยนะ ดูด้วยความสนใจ ภาษาของเราก็ว่า "พระผีบ้า..ไปขึ้นได้ยังไง ?" ประเทศไทยไม่มีใครขึ้นอย่างนั้น ท่านขบขัน ดูเราแล้วยิ้มตลอดนะ เพราะไม่มีใครทำอย่างนั้น เราไปตามประสาของเรา ถ้าไปแบบทั้งหลายเขาไปมันก็ไม่ใช่พระป่า..เข้าใจไหม ? ต้องไปแบบพระป่า เซ่อ ๆ ซ่า ๆ แบบนั้น ขบขันดีนะ
โอ๊ย..ท่านรับสั่งยิ้ม ๆ สมเด็จสังฆราชวชิรญาณวงศ์ ท่านรับสั่งดีทุกอย่าง ยิ้มตลอด เราขึ้นไปนึกว่าท่านจะมีพระพักตร์ยังไง ๆ ไม่มีนะ มีแต่ยิ้มตลอดเลย เราก็ไม่ให้เสียเวลา ขึ้นไปเล็กน้อยแล้วเราก็ลงมา นั่นละ..ตอนเช้ามาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราชองค์ปัจจุบัน ตอนนั้นท่านเป็นธรรมวราภรณ์ เป็นขั้นธรรม โอ๋ย..ท่านซักใหญ่เลยเทียวนะ ตามธรรมดาท่านไม่ค่อยชอบพูดแหละ แต่เวลาเราเกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราชขึ้นไปองค์เดียวปลอม ๆ นี่ โอ๋ย..ท่านซักใหญ่เลย จ้องตลอดนะ ทั้งยิ้มทั้งจ้องทั้งซัก เราก็ธรรมดา ท่านจ้องท่านซักเราทุกอย่าง ท่านรับสั่งอะไรบ้างยังไงบ้าง ท่านไม่เคยเห็นนิสัยอย่างนี้ เราก็ธรรมดา มันใช้ได้ทุกแบบนี่ว่าไง ก็โลกสมมติ เวลาจะออกใช้พลิกทางนี้ปั๊บ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ พูดให้มันชัดเจนเสียว่ามันไม่ได้ติดอะไรนี่ ถ้าติดเขาติดเรา อย่า..ถ้าลงติดเขาติดเราแล้วไปไม่รอด ถ้าไม่ติดเขาติดเราเสียอย่างเดียวเท่านั้นไปได้หมด ทะลุหมดเลย ทีนี้เวลาจะนำมาใช้ก็ใช้ตามกาลเวลาที่เหมาะสม จะใช้แบบนี้ก็ปุ๊บ ใส่แบบนี้ปิ๊งเข้าไปเลย จะใช้แบบไหนใช้แบบนั้นเลย ใช้แล้วหายเงียบไปเลยไม่มีอะไร ใครจะเป็นบ้าอะไรก็ช่างใคร เราไม่เป็นกับใคร เฉยเลย.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 20:02 |
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|