#1
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมสัปดาห์วันวิสาขบูชา ช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๖
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
(หลังจากเสียงตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจบ) เมื่อครู่พวกเราได้ฟังแล้วว่าคุณยายในเสียงตามสาย ตอนนี้น่าจะเป็นยายทวด เพราะว่าปี ๒๕๑๒ คุณยายอายุประมาณ ๗๐ ปี ตอนนี้คุณยายก็จะอายุ ๑๒๔ ปี เสียดายตายไปนานแล้ว คุณยายกำหนดภาพพระเป็นพุทธานุสติอย่างเดียว กลายเป็นกสิณ ใช้ทิพจักขุญาณได้
พวกเราส่วนใหญ่เป็นคนหลายใจ ก็เลยทำอะไรไม่จริงจัง ถ้าท่านใดศึกษากรรมฐานตามสายหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จะได้ยินหรือได้อ่านในสิ่งที่ท่านบอกกล่าวเสมอว่า "ให้เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือว่าหนังสือวิสุทธิมรรค ตั้งใจบูชาพระ แล้วอธิษฐานว่า กรรมฐานกองใดที่เหมาะสมกับข้าพเจ้า ฝึกแล้วสามารถทำได้เร็วที่สุด ขอให้ข้าพเจ้าอ่านแล้วรักชอบกรรมฐานกองนั้นมากที่สุด" ปรากฏว่าอาตมภาพอ่านแล้วชอบเกือบทุกกอง..+ ท้ายที่สุดก็ไปหาเจอกองที่ตัวเองชอบ ก็คือทำพุทธานุสติเป็นสมาบัติแปด พอได้ของที่รักเดียวใจเดียวแล้วลุยยาวไปเลยก็จะไม่ยาก พวกเราถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมในช่วงเช้ามืด ถ้าฟังแล้วตั้งใจพิจารณาตาม จะเห็นว่าอาตมาภาพแทรกกรรมฐาน ๔๐ ไว้เกือบทุกกอง อย่างเช่นว่าถ้าเราเอาพุทธานุสติ อนุสติทั้งหมดก็เท่ากับได้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็คือนึกถึงภาพพระ บวกกับอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออก คราวนี้พอเรากำหนดแสงสว่างเป็นอาโลกกสิณ ถ้าได้กสิณหนึ่งกอง อีก ๙ กองก็หมูในอวย ฟังดูแล้วก็น่าจะง่ายนะ เหมือนพวกด็อกเตอร์มาบอกเราว่า "เรียนไม่ยากหรอก..เชื่อเถอะ" ลูกศิษย์อาตมาเจอมาเอง ด็อกเตอร์หนึ่ง (พระวินัยธรจิตศิลป์ เหมรํสี, ดร.) มาถึง "หลวงพ่อครับ ผมขอเรียนปริญญาเอกสาขาเดียวกับหลวงพ่อนะครับ" อาตมาก็ "เอิ่ม...กูจะบอกอย่างไรวะว่ายากฉิบหายเลย กูก็เรียนไม่ครบเวลาตามหลักสูตรด้วย" ปกติเขาให้เรียนอย่างน้อยสามปี อาตมาดันจบก่อนหลักสูตรแล้วถ้าไปบอกเขาว่ายาก "กูก็อวยตัวเองว่ากูเก่งสิวะ" ก็เลย "มึงไปเรียนเองก็แล้วกัน" หายไปหนึ่งเทอม กลับมาจากหนุ่มอ้วนกลายเป็นสูงระหงทรงเพรียวเรียวชะลูด เทอมเดียวน้ำหนักหายไป ๒๐ กว่ากิโลกรัม บอกว่า "หลวงพ่อครับ ผมรู้แล้วครับ ยากฉิบหายเลยครับ..!" เพราะฉะนั้น..คนที่ผ่านมาแล้วเขาพูดนั้นง่าย ขอให้รู้ว่าก่อนที่จะง่ายต้องยากมาก่อนทั้งนั้น แต่ให้เราสู้จริงมีโอกาสทำได้ ไม่เกินความสามารถของเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2023 เมื่อ 15:51 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถ้าเรามีใจรักและชอบกรรมฐานกองนั้น แสดงว่าในอดีตเราเคยทำไว้เยอะแล้ว ก็แค่มาทวนของเก่าเท่านั้น ฟังดูแล้วพอมีความหวัง..ใช่ไหม ? ก็ดูคุณยายสิ..ไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย แค่จับภาพพระพร้อมกับลมหายใจเท่านั้นเอง เหมือนกับที่อาตมาสอนพวกเราตอนเช้ามืดนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเคล็ดลับนี่เอาให้แน่ ๆ นะ บอกทุกครั้งแต่ไม่เคยจำ ส่วนที่สำคัญที่สุดดันไม่จำ..!
อันดับแรกเลย อย่าบังคับลมหายใจ ร่างกายต้องการแค่ไหนปล่อยไปแค่นั้น เราตามดูไปเท่านั้น อันดับที่สอง อย่าเอาความชัดเจนของภาพพระ นึกได้ก็พอแล้ว ภาพพระจะชัดขึ้นเรื่อย สว่างขึ้นเรื่อย ตามสมาธิของเราที่เพิ่มขึ้น อันดับต่อไปก็คือ อย่าใช้สายตา..ไม่ใช่ตา หลับตาแล้วนึกถึง ก็หลับตาอยู่แล้วจะเป็นสายตาไปได้อย่างไร ? เหมือนกับเรานึกถึงบ้าน นึกถึงรถยนต์ นึกถึงข้าวของที่เราคุ้นเคย เห็นชัด ๆ เลยแต่ไม่ใช่ตาเห็น เขาเห็นกันแบบนั้นแหละ แรก ๆ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอก เดี๋ยวพอทำไป ทำไป เคยชินแล้วจะเก่งขึ้นเอง แต่..ที่สำคัญที่สุดก็คือซักซ้อมไว้ทุกวัน เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม...................ดนตรี ห้าวันอักขระหนี......................เนิ่นช้า เขาว่าดนตรีถ้าไม่ซ้อม เจ็ดวันก็เจ๊งแล้ว คืนครูหมด ห้าวันถ้าไม่เรียนหนังสือ ก็ลืมเกลี้ยง สามวันจากนารี..................เป็นอื่น สันดานผู้ชายเป็นอย่างนั้นแหละ พอห่างแฟนแล้วก็ไปแรดที่อื่น ตรงนี้อย่าไปตีความผิดนะ เขาบอกสามวันจากนารีเป็นอื่น นี่ผู้ชายเป็นนะ..ไม่ใช่ผู้หญิง..! หนึ่งวันเว้นล้างหน้า..............หม่นไหม้ หมองศรี ก็แปลว่าวันหนึ่งถ้าไม่ได้ล้างหน้าก็ดูไม่ได้แล้ว..ใช่ไหม ? กระดาษซับมันหนึ่งโหลก็เอาไม่อยู่..ไปสนใจอะไรกันมากมาย รู้ไหมว่าไขมันบนหน้าของเราโดยเฉพาะที่จมูกเป็นสุดยอดไขมันเลยนะ เป็นไขมันที่อุณหภูมิติดลบ ๔๐ องศาเซลเซียสยังไม่สามารถทำให้แข็งตัวได้ มีเอาไว้เพื่อช่วยชีวิตเราโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นถ้าอุณหภูมิติดลบมาก ๆ จมูกเราจะแข็งโป๊ก แล้วหลุดจากตัวไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2023 เมื่อ 15:56 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
กลับมาที่กรรมฐานต่อ คราวนี้พวกเราจำเป็นที่จะต้องรักเดียวใจเดียว ก็คือถ้ามีกรรมฐาน มีหลักของตัวเองแล้ว ก็ลุยยาวไปเลย อย่างอื่นปล่อยไปก่อน ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าได้หนึ่งอย่างแล้ว อย่างอื่นก็ได้หมด
แบบเดียวกับอาตมภาพตอนแรก ๆ ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านให้ฝึกคาถา ภาวนาจนเกิดผลแล้วไปรายงานท่าน ท่านก็ให้คาถาใหม่ พอภาวนาเกิดผล ไปรายงานท่าน ท่านก็ให้คาถาใหม่มา เจอไป ๒ - ๓ คาถา คราวนี้ให้อะไรมาก็ได้เลย เพราะจับจุดได้แล้วว่าตอนภาวนาแล้วเกิดผลนั้น ใช้กำลังใจแค่ไหน แล้วเราก็ใช้แค่นั้น ลักษณะของกองกรรมฐานก็เหมือนกัน เต็มที่ทุกกองคือสามารถทำเป็นฌาณ ๔ หรือสมาบัติ ๘ ได้ ถ้าทำได้หนึ่งกอง ที่เหลือก็เหมือนกันหมด เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุ เปลี่ยนวิธีการ นิด ๆ หน่อย ๆ แค่นั้นเอง ใหม่ ๆ อาตมภาพก็ฝึกหัวทิ่มหัวตำ แทบจะไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน คนรอบข้างว่า "ไอ้นี่บ้า" จนกระทั่งมีความคล่องตัว แล้วก็ไปกราบรายงานหลวงพ่อ "หลวงพ่อครับ ตอนนี้ผมสามารถทรงอารมณ์ในอนุสติทั้ง ๑๐ กองให้เต็มที่ได้ภายใน ๓๐ นาทีเท่านั้นครับ" ภูมิใจมาก ยืดเลย..! หลวงพ่อท่านบอกว่า "ใช้ไม่ได้ลูก สมัยที่พ่อทำ กรรมฐาน ๔๐ กอง ถ้าถึง ๒ นาทีนี่ฝืดมากแล้ว..!" โอ้..พระเจ้า..! หลวงพ่อหลอกกูหรือเปล่าวะ ? นี่กูปล้ำมาเป็นปี ๆ เลยนะ สิบกองภายใน ๓๐ นาที กูว่ากูเจ๋งสุด ๆ แล้วนะ แต่ท่านบอกว่า ๔๐ กอง ๒ นาทีนี่ถือว่าช้าเกินไป มารู้เอาตอนหลัง ก็ตอนที่มาสอนพวกเรานี่แหละ ก็คือกรรมฐานทุกกองอารมณ์เท่ากันหมด ตั้งอารมณ์สุดท้ายไว้แล้วก็เปลี่ยนกองเท่านั้นเอง ๔๐ กองไม่ถึง ๒ นาทีหรอก จริงของหลวงพ่อท่าน แต่ตอนนั้นเถียงในใจว่า "เป็นไปได้หรือวะ ๔๐ กอง ๒ นาที ? สิบกองนี่กูล่อไป ๓๐ นาทีแล้วนะ" ดังนั้น..เราต้องยึดกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง คาถาบทใดบทหนึ่ง วิธีปฏิบัติแบบใดแบบหนึ่ง แล้วตั้งใจใส่ให้สุดไปเลย พอได้ผลแล้วค่อยเปลี่ยนกองใหม่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2023 เมื่อ 15:59 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
อาตมาก็เหมือนกัน ได้ผลแล้วก็เปลี่ยน ไปถึงแทบจะโดนหลวงพ่อฟาดกบาลแยก "ใครใช้ให้มึงทิ้งของเก่าวะ..?!"
อาตมาก็ "อ้าว..แล้วของเก่าต้องเก็บไว้ด้วยหรือครับหลวงพ่อ ? ก็เราทำได้แล้ว" หลวงพ่อบอกว่า "ทำได้แล้วก็ต้องทวนเอาไว้ทุกวัน ก่อนจะขึ้นกองใหม่ต้องทวนของเก่าให้เต็มที่ก่อน" อาตมาก็ไม่รู้ นึกว่าจบแล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งกับกองนั้นอีก เพราะว่าถ้าเราทิ้งก็จะเกิดอาการที่บอกว่า เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม.............ดนตรี ห้าวันอักขระหนี................เนิ่นช้า สนิมกิน..ก็เลยต้องทวนของเก่าเต็มที่ก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนไปขึ้นกองใหม่ กองใหม่ได้แล้วคราวนี้ก็ทวน ๒ กอง แล้วไปขึ้นกองที่ ๓ ไล่ไปเรื่อย มีกรรมฐานอยู่สองอย่างเท่านั้นในชีวิตที่อาตมภาพว่ายากมาก แต่สอนพวกเราอยู่ทุกวัน ก็คือ พรหมวิหาร ๔ กับ อรูปฌาน ๔ ถามว่า "สอนอยู่ทุกวัน..สอนตรงไหน ?" ก็แผ่เมตตานั่นแหละ กำหนดภาพพระในอก ในท้อง กำหนดอยู่ข้างนอกเป็นรูปฌาน กำหนดอยู่ข้างในเป็นอรูปฌาน ฟังดูแล้วบ้าไปเลยนะ..บ้าไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวทำได้ก็จะรู้เอง เป็นกรรมฐานแปดกอง สองหมวด ที่ยากมาก เพราะว่าใหม่ ๆ ไม่มีความเข้าใจ เมื่อคล่องตัวขึ้นมาสามารถแยกแยะได้แล้ว คนเขาถามว่า "อากาสกสิณหรือว่ากสิณอากาศ กับอากาสานัญจายตนฌาน ต่างกันตรงไหน ?" ใครตอบได้บ้าง ? อากาศกสิณเราจับเฉพาะช่องว่างส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่อากาสานัญจายตนฌานจับความกว้างไร้ขอบเขตของอากาศ จะเรียกว่าอวกาศก็ได้ ต่างกันแค่นี้เอง กำลังคือฌาน ๔ เท่ากัน แต่วิธีการปฏิบัติต่างกัน กองหนึ่งเลยเป็นรูปฌาน อีกกองหนึ่งเป็นอรูปฌาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2023 เมื่อ 16:02 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เมื่อเราได้หลักแล้วก็รีบทำ ใครใช้พระคาถาเงินล้านก็ใช้ไป ไม่ได้ว่าอะไร แถมหน่อยหนึ่งก็คือนึกถึงภาพพระไปด้วย ให้ตัวคาถากับภาพพระไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา
ถ้าเหลือแต่ลมหายใจกับคาถา..ก็นึกถึงภาพพระใหม่ หรือถ้าหากว่าคาถาหายไป..ลมหายใจหายไป..เหลือแต่ภาพพระ..ก็เอาแค่นั้นแหละ ไม่ต้องกลับไปหายใจใหม่นะ ส่วนใหญ่พวกเราเก่งมากเลย พอไม่หายใจ อุ๊ย..ตกใจ..! รีบกลับไปหายใจใหม่ นั่นขึ้นบันไดไปจนเกือบจะถึงยอดแล้ว พอถึงเวลากลับมาหายใจใหม่ ก็เท่ากับย้อนกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โคตรขยันเลย ทำบ่อย ๆ นะเดี๋ยวจะคล่องตัว สอนคนอื่นได้ชัดเจนมาก บอกเขาได้ว่า "เพราะว่ากูพลาดมาเยอะแล้ว..!" แบบเดียวกับโยมคนหนึ่งอยู่บ้านวังปริง ที่จังหวัดสงขลา มาถามอาตมภาพว่า "ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร ? ไปหาหมอแล้วหมอตรวจไม่เจอ ตั้งใจขี่มอเตอร์ไซค์ก็จะแข็งค้างเลย ขยับไม่ได้ ต้องเขย่าให้หลุด ขับไปได้หน่อย แข็งอีกแล้ว ต้องเขย่าให้หลุด ไม่อย่างนั้นมอเตอร์ไซค์จะชนคนอื่น" อาตมาบอกไปว่า "ไม่มีอะไรหรอก โยมทรงฌาน ๓ ได้ แล้วคล่องตัวเกินไป แค่ตั้งสมาธินิดเดียวก็วิ่งไปที่ฌาน ๓ เลย" เพราะฉะนั้น..ต่อไปโยมคนนี้จะคล่องเรื่องของการเข้าออกฌาน ๓ มาก บอกได้หมดเลย เพราะว่าเขย่าตัวเองมาหลายปี โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำได้ ใช้คาถาก็ได้ จับลมหายใจอย่างเดียวก็ได้ กำหนดภาพพระอย่างเดียวก็ได้ หรือไม่มีอะไรก็เอาจิตเกาะนิพพานอย่างเดียวก็ได้ ทำไปจนกว่าจะเต็มที่แล้วยังไม่จบ เต็มที่แล้วกำลังเราเหมือนกับเดินไปชนข้างฝา ไปต่อไม่ได้ สภาพจิตก็จะถอยออกมา ตอนนี้ระวังให้สุด ๆ กันเลยนะ สภาพจิตคลายออกมาเมื่อไร รีบหาวิปัสสนาญาณให้พิจารณาโดยด่วนเลย สภาพร่างกายของเรา ของคนอื่น ของสัตว์อื่น ของวัตถุธาตุ ของสิ่งของต่าง ๆ ไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร ดูให้ละเอียด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2023 เมื่อ 16:05 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ถ้าไม่เอาวิปัสสนาญาณมาใช้ ความซวยจะมาเยือน เท่ากับว่าเราสร้างกำลังเอาไว้แล้ว แต่ไม่ยอมไปแบกไปหาม ไปทำมาหากิน กิเลสก็จะลากเราเอากำลังไปปล้นชาวบ้านเขา แล้วก็จะฟุ้งซ่านไป รัก โลภ โกรธ หลง และจะแข็งแรงมาก คราวนี้เอาไม่อยู่..เพราะว่าได้กำลังจากสมาธิของเราไปอาละวาด..!
จึงเป็นเรื่องที่หลายคนเขาสงสัยว่าทำไมยิ่งทำยิ่งกิเลสมาก ? สะกิดนิดเดียว เราโกรธ..ระเบิดตูมใส่หน้าเขาเลย..! แบบที่บางคนเขาบอกว่า "วิปัสสนาขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ อุเบกขาบ้ายอ" นั่นแหละ เพราะว่าเราไม่ได้เอากำลังที่ทำได้ไปพิจารณาให้เกิดปัญญาแล้วยอมรับความเป็นจริง เท่ากับเราสะสมกำลังให้กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ก็เลยแรงมาก คราวนี้เราก็เดือดร้อน เพราะว่ากิเลสแรงเท่าไรก็ฟัดเรา เพราะว่าเราไม่ได้เอากำลังนั้นไปทำอะไรกับใครเลย อยากจะละกิเลสตัวไหน กิเลสตัวนั้นก็จะมา อยากจะตัดโกรธ วันนี้ตั้งใจใครทำอะไรจะไม่โกรธ โอ๊ย..มาให้โกรธเช้ายันค่ำเลย อยากจะตัดโลภ เห็นอะไรทำไมอยากได้ไปหมด ? ทำไมวันก่อนเดินผ่านตรงนี้เหมือนกันแต่ไม่อยากจะซื้อ ? แต่วันนี้กลับอยากได้ใจจะขาด..! หรือไม่ก็เห็นหนุ่มเดินผ่านไปหรือเห็นสาวเดินผ่านไป ที่สวนมามีแต่สาวสวยหนุ่มหล่อล้วน ๆ ถูกใจของเราอีกต่างหาก มารเขาไม่ชอบที่จะให้เราออกห่าง เพราะฉะนั้น..เราจะตัดตัวไหน ตัวนั้นก็จะมารั้งเราไว้ เพราะฉะนั้น..ให้ทุกคนตั้งใจเลยนะว่า "ชีวิตนี้เรื่องร่ำรวยอย่ามาใกล้กู กูไม่เอาเด็ดขาด..!" ดูซิว่าพญามารมีปัญญาให้ไหม ? ไหน ๆ จะตัดแล้ว ก็ให้ได้ประโยชน์ด้วยสิ แต่เดี๋ยวก็รู้ว่าใครหลอกใคร..!? มีแต่เขาจะหลอกเรา ไอ้เราหลอกเขานั้นยากหน่อย ดังนั้น..พอได้หลักของเราแล้วว่าจะทำกรรมฐานกองไหน หรือว่าอย่างไร แบบไหน วิธีไหน ครูบาอาจารย์คนไหน ทำได้เลย ลุยไปให้สุด หลังจากนั้นอยากเก่งแค่ไหนค่อยมาเปลี่ยนกองกรรมฐาน เหมือนอย่างกับเรียนจบปริญญาตรี ๑ ใบก่อนแล้วค่อยไปเรียนเพิ่มเติมสาขาอื่น ๆ ทีหลัง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2023 เมื่อ 08:58 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
รุ่นน้องของอาตมภาพ ผศ.ดร.มงคลกานต์ ฐิตธมฺโม เรียนปริญญาตรีไป ๑๙ ใบ ถามว่า "ทำได้อย่างไร ?" "ก็พอคุณจบใบแรกแล้ว วิชาสามัญโอนหน่วยกิตได้ ก็ข้ามไปเรียนปี ๓ เลย เท่ากับว่าใบอื่นก็ใช้เวลาแค่ ๒ ปี แค่หาเวลาเช้าเรียนหนึ่งวิชา บ่ายเรียนหนึ่งวิชา ค่ำเรียนหนึ่งวิชา สองปีก็ได้มาอีกสามใบแล้ว พอถึงเวลาก็โอนวิชาสามัญไป วิชาเฉพาะของสาขานั้น ๆ ก็เรียนตามเขา"
ลักษณะของการปฏิบัติกรรมฐานก็เหมือนกัน พอกองแรกได้ กองอื่นก็แค่เปลี่ยนหลักการหรือวิธีการนิดเดียว คราวนี้อยากเก่งอย่างไรก็เอา ไม่มีใครว่า จะให้เกินมนุษย์มนาแบบพระมหามงคลกานต์ก็ทำไป เวลาไปคุยกับใครคุยไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะว่ารู้เยอะเกินไป ฟังดูแล้วเหมือนกับง่ายนะ ซ้ายย่างหนอ..ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ อ้าว..สะดุดแล้ว ไหนบอกว่าง่าย ? นั่นเป็นเพราะตั้งใจเกินไป เดินปกติ ๆ กำหนดความรู้สึกตามไปเท่านั้นเอง อยู่ที่บ้านเดินคนเดียวสบายสุด มาอยู่รวมกันเยอะ ๆ เราต้องเดินตามจังหวะเขา บางคนก็ก้าวสั้น บางคนก็ก้าวยาว ปฏิบัติไปไม่เท่าไร โกรธเพื่อนอีกแล้ว "มันจะรีบเดินไปไหนวะ ? ติดตูดเราเลย..!" ยิ่งทำจะยิ่งเห็นกิเลสตัวเอง เห็นแล้วอย่าเห็นเฉย ๆ ให้รังเกียจด้วย เบื่อหน่ายด้วย อยากจะไปให้พ้นด้วย แล้วรีบหาช่องทางที่จะไป พวกนี้จัดอยู่ในวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง พอหาช่องทางได้แล้วคราวนี้ก็ไล่ไปเลย รถ ๗ ผลัด สีลวิสุทธิ..รักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จิตตวิสุทธิย่อมเกิดขึ้น เมื่อจิตตวิสุทธิเกิดขึ้น ความลังเลสงสัยต่าง ๆ หมดไป กังขาวิตรณวิสุทธิก็เกิดขึ้น เมื่อความลังเลสงสัยหมดไปก็เร่งหาทางตรงที่จะวิ่งต่อไป ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิก็เกิดขึ้น เมื่อปฏิบัติตามแนวทางนั้น ๆ แล้ว มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิก็เกิดขึ้น ไล่ไปเรื่อยเดี๋ยวก็จบ..นั่นแค่ตำรา..! ไม่ต้องไปสนใจมาก จะเรียกอะไรช่างหัวมัน เรามีหน้าที่ทำ ทำได้สำคัญกว่ารู้ว่าเรียกว่าอะไร ? รู้มากยากนาน รู้น้อยก็พลอยรำคาญ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2023 เมื่อ 09:02 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
คุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ? ไม่เป็นไร ให้รู้แค่ว่า รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้คนอื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นละเมิดศีล
รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย กำหนดใจสุดท้ายไว้ที่พระนิพพาน ถ้ากำหนดยากก็นึกถึงพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบมากที่สุดว่า นั่นแหละคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ก็ไม่ยาก..ใช่ไหม ? งานมีอยู่แค่นี้เอง เพียงแต่ว่าแต่ละวันนึกถึงแบบนี้ให้มากกว่านึกชั่ว ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ เตะให้ไปไกล ๆ ใจของเราเหมือนเก้าอี้ที่นั่งได้คนเดียว ถ้าความดีนั่งอยู่ความชั่วก็นั่งไม่ได้ ถ้าความชั่วนั่งอยู่ความดีก็เข้าไปไม่ถึง เพราะฉะนั้น..ตื่นเช้าขึ้นมา เราถึงต้องรีบเอาความดีเข้ามาใส่ใจก่อน ดังนั้น..พวกเราจะเห็นว่า ตี ๓ ตี ๔ พวกเราต้องรีบมาทำกรรมฐานแล้ว พอกำลังใจทรงตัว วันนี้มีความสุข รอดตายไปอีกวัน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเอาความดีเข้ามาในใจของเราทันหรือเปล่า ? ถ้าไม่ทันก็เดือดร้อนไปอีกหนึ่งวัน แต่ละวันชิงกันอยู่แค่นี้ ใครจะนั่งเก้าอี้ได้ก่อน ? ดังนั้น..ทันทีที่ได้สติรู้สึกตัว อันดับแรกเลยให้ภาวนาไว้ก่อน "พุทโธ..พุทโธ" นึกถึงภาพพระไว้ กำลังใจมั่นคงแล้วค่อยลุกไปเข้าห้องน้ำ ถึงจะปวดแค่ไหนอั้นไว้ก่อน พุทโธให้ได้ก่อน แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ไปห้องน้ำก่อนนะ..! พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ปกิณกธรรมสัปดาห์วันวิสาขบูชา ช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2023 เมื่อ 09:04 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|