กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-03-2022, 21:20
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,598
ได้ให้อนุโมทนา: 216,269
ได้รับอนุโมทนา 739,776 ครั้ง ใน 36,062 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default ธรรมบรรยายในโครงการ "การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสำหรับสำหรับนิสิตระดับบัณฑิตศึกษาและประชาชนทั่วไป"

ธรรมบรรยายในโครงการ "การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสำหรับนิสิตระดับบัณฑิตศึกษาและประชาชนทั่วไป"



วันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๐๐ น.

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) พระวิปัสสนาจารย์ประจำกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย บรรยายธรรมในโครงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสำหรับนิสิตระดับบัณฑิตศึกษาและประชาชนทั่วไป ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ณ สถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถนนพหลโยธิน ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-03-2022 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-03-2022, 07:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอโอกาสพระมหาวริทธิ์ธร วรเวที ผู้อำนวยการส่วนวางแผนและพัฒนาสถาบันวิปัสสนาธุระ ท่านอาจารย์พระมหาไพโรจน์ กนโก รองผู้อำนวยการส่วนธรรมนิเทศ คณะพระวิปัสสนาจารย์ทุกรูป โยคีบุคคลฝ่ายบรรพชิต ตลอดจนกระทั่งเจริญพรโยคีบุคคลฝ่ายคฤหัสถ์ทุกท่าน

กระผม/อาตมภาพ พระครูวิลาศกาญจนธรรม ตำแหน่งทางคณะสงฆ์คือเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ส่วนตำแหน่งอื่น ๆ แม้กระทั่งตำแหน่งนักการเมืองอย่างประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ มีอยู่รวมแล้วเกือบ ๓๐ ตำแหน่งเห็นจะได้ วันนี้ได้รับอาราธนาจากท่านผู้อำนวยการส่วนวางแผนและพัฒนาการอบรม ให้มาช่วยบรรยายในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ซึ่งระยะเวลาก็มีให้ไม่เกิน ๑ ชั่วโมง แต่เท่าที่ดูเวลาแล้ว เหลืออยู่แค่ไม่เกิน ๔๐ นาทีเท่านั้น

ในส่วนนี้ที่เห็นท่านทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมกัน บางท่านมาด้วยใจรักจริง ๆ สมัครเข้ามาเรียนเพื่อที่จะได้ศึกษาในด้านกรรมฐานโดยเฉพาะ แต่ว่าส่วนใหญ่ของพวกเราก็คือมา "เก็บชั่วโมงปฏิบัติธรรม" ตามระเบียบของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะมาด้วยสาเหตุประการใดก็ตาม ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยบารมีอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นเรื่องของบุคคลที่เป็นปรมัตถบารมีเท่านั้น ต่ำกว่านั้นจะทำไม่ได้

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คือบารมีต้น เรียกว่าสามัญบารมี ถ้าหากว่าเป็นอย่างหยาบ เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา ไม่รู้เรื่องเลย พูดไปก็เหมือนพูดภาษานกภาษากา ผ่านหูไปเฉย ๆ

ถ้าหากว่าบารมีต้นอย่างกลาง ก็ประมาณว่าจะให้ทานทั้งที ตัดใจแล้วตัดใจอีก ควักออกมาแล้วก็ยังยัดกลับคืนเข้ากระเป๋าไปใหม่ สู้ความตระหนี่ของตนเองไม่ได้

บารมีต้นขั้นละเอียด ถ้าหากว่ามีผู้คนชักชวน สามารถให้ทานได้ แต่บอกให้รักษาศีลก็ฟังไม่รู้เรื่อง บอกว่าเจริญภาวนายิ่งไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-03-2022 เมื่อ 18:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-03-2022, 07:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก็ต้องมาบารมีระดับกลาง คืออุปบารมี ถ้าหากว่าเบื้องต้นให้ทานได้ บอกว่ารักษาศีลเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ศีล ๕ ข้อก็อาจจะเหลือแค่ข้อเดียว เป็นต้น

ถ้าหากว่าอุปบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลบกพร่องบ้าง เต็มสมบูรณ์บ้าง

ถ้าหากว่าเป็นอุปบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกให้เจริญภาวนานี่..ไม่รู้เรื่องเอาเลย

ก็ต้องมาปรมัตถบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาบ้าง ด่าชาวบ้านเขาบ้าง

ปรมัตถบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้ แต่รักษาอารมณ์ไม่อยู่ ก็คือทำได้ แต่พอลุกขึ้นก็หลุดหายหมด

ต้องปรมัตถบารมีขั้นละเอียด ซึ่งเป็นกำลังใจสูงสุดเท่านั้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาด้วยความเต็มอกเต็มใจ เพราะว่าเห็นประโยชน์จริง ๆ

ดังนั้น...เรื่องพวกนี้ ตามที่ท่านผอ.วริทธิ์ธร กล่าวมาว่า ถึงเวลานิสิตปฏิบัติธรรมออนไลน์ก็ปิดกล้องหนีบ้าง ถ้าหากว่าอยู่ออนไซต์แบบนี้ก็ไปห้องน้ำบ่อย ๆ บ้าง มาช้าบ้าง จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่ากำลังใจของคนไม่เท่ากัน แต่ขอให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ถ้ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ อย่างต่ำสุดเราต้องเป็นปรมัตถบารมี จะเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง หรือขั้นปลายเท่านั้นเอง ก็แปลว่าเราได้ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว กว่าที่จะมาถึงตรงจุดนี้ได้

ถ้าเราใช้ความเพียรพยายามในระยะเวลาที่เหลืออยู่นี้ ในการเร่งรัดการปฏิบัติของเราให้เข้มข้นยิ่งขึ้น หนทางในการแหวกว่ายข้ามทะเลทุกข์ของท่านทั้งหลายก็จะสั้นกว่าผู้อื่นเขา หรือถ้าหากว่าบุญพาวาสนาช่วย ถึงพร้อมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา จริง ๆ อาจจะสามารถขึ้นฝั่ง หลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ไปเลย..!

เนื่องจากว่าถ้าไม่ใช่ระดับปรมัตถบารมีซึ่งมีสิทธิ์บรรลุธรรมแล้ว เราไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมเช่นนี้ได้ ในเมื่อมีสิทธิ์ จะมีมากหรือมีน้อย ถ้าเราทุ่มเทอย่างเต็มที่ก็ย่อมสามารถเข้าถึงสิทธิของตนเองทุกประการ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-03-2022 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-03-2022, 07:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันปิฎกว่า อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ ตราบใดที่หลักธรรมของตถาคตยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ตราบนั้น สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ยังคงมีอยู่ได้

ปัจจุบันนี้หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์ และเราไม่จำเป็นต้องไปศึกษาทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ศึกษาอย่างเดียวก็พอแล้ว เนื่องเพราะว่าบุคคลมีมากมายหลายประเภท ถ้าโบราณเขาก็กล่าวว่า มีอยู่ ๕๐๐ จำพวก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ต้องแสดงธรรมถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็เพื่อให้ตรงกับอัธยาศัยของผู้ฟังส่วนใหญ่ในช่วงนั้น บางครั้งผู้ฟังก็มีคนเดียว มีรูปเดียว บางครั้งก็ฟังกันเป็นหมื่นเป็นแสนคน

ในเมื่อพระองค์ท่านต้องแสดงหลักธรรมที่เหมาะสมกับกำลังใจของคนส่วนใหญ่ในช่วงนั้น จึงต้องตรัสเอาไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ ปีในพระชนม์ชีพ แต่ไม่ใช่ว่าเราต้องทำทั้งหมด เพราะว่าหลักธรรมของพระองค์ท่านข้อใดข้อหนึ่ง ส่วนใดส่วนหนึ่ง ถ้าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจริง ทำถูก มีสิทธิ์เข้าถึงมรรคผลทั้งนั้น

ถ้าเราดูในมหาสติปัฏฐานสูตรซึ่งมีอยู่ทั้งในทีฆนิกายและมัชฌิมนิกาย พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ชัดเจน เริ่มตั้งแต่อานาปานปัพพะ คือบทที่ว่าด้วยลมหายใจเข้าออก แล้วต่อไปก็อิริยาปถปัพพะ เกี่ยวกับอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย สัมปชัญญปัพพะ เกี่ยวกับการรู้ตัวทั่วพร้อม

ไม่ว่าจะเป็นหมวดไหน ตอนไหน ปัพพะใดก็ตาม จะลงท้ายเสมอว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เธอทั้งหลายจงอย่าได้ยึดติดสิ่งหนึ่งประการใดแม้แต่น้อยในโลกนี้ ก็แปลว่า ถ้าเราทำกำลังใจ
ได้แบบนั้นจริง ๆ เราย่อมสามารถเข้าถึงมรรคถึงผลตั้งแต่ปัพพะคือตอนแรกแล้ว ไม่จำเป็นต้องศึกษามหาสติปัฏฐานสูตรจนครบถ้วนทั้งสูตรเลยก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-03-2022 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 29-03-2022, 20:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้เป็นการปฏิบัติธรรมวันที่ ๓ ของท่านทั้งหลาย ซึ่งมีการสอบอารมณ์ การสอบอารมณ์เป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราสามารถนำส่งอารมณ์ได้ถูกต้อง พระวิปัสสนาจารย์จะแก้ไขให้ท่านสามารถปฏิบัติต่อได้ โดยไม่มีอุปสรรคมากนัก แต่ถ้าท่านวางกำลังใจผิดจะกลายเป็น "ท่อประปาแตก" ก็คือด้วยความที่เก็บกด ปิดวาจา ปฏิบัติมา ๒ วัน ๓ วัน แล้ว พอมีโอกาสได้พูดแล้วจึงหยุดได้ยาก..!

ต้องตั้งสติให้มั่นคงว่าตอนนี้เราทำอะไร ? เรามีหน้าที่ส่งอารมณ์ ส่งไปตามที่เราปฏิบัติมา สงสัยตรงจุดไหนก็สอบถาม แล้วพยายามจบแค่นั้น ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ท่านอยากรู้มากจนเกินไป เมื่อรับรู้แล้วก็จะฟุ้งซ่าน อยากมีอย่างนั้น อยากได้อย่างนั้น อยากเป็นอย่างนั้น ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายเสียผลการปฏิบัติไปโดยใช่เหตุ

การส่งอารมณ์และสอบอารมณ์นั้น ยังมีส่วนที่สำคัญยิ่งไปกว่า คือการรักษาอารมณ์นั้นไว้ เพราะว่านักปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่ง พอลุกขึ้นก็ทิ้งหมดเลย บางท่านพอก้าวพ้นห้องนี้ไป ก็เริ่มจับกลุ่มคุยกัน บางท่านก็ไปนั่งเขี่ยไลน์ แช็ตไลน์เป็นชั่วโมง ๆ ตรงจุดนี้ทำให้ท่านทั้งหลายบางคนที่ปฏิบัติมาเป็น ๑๐ ปีแล้วไม่ได้อะไรเลย..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า การที่เราจะสู้กับกิเลส เราต้องมีกำลังสมบูรณ์พร้อม มีอาวุธที่คมกล้า ถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป เราจะไม่มีวันสู้กิเลสได้

คราวนี้กำลังของเราจะสมบูรณ์พร้อมได้ ก็ต่อเมื่อเราระมัดระวังสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา ปิดทุกช่องทางที่กำลังจะรั่วไหลไปหมด เราจะเห็นว่าด้านหลังมีป้ายปิดวาจา นั่นคือปิดช่องทางหนึ่งที่ช่วยทำให้กำลังในการปฏิบัติของเรา จะคงเอาไว้ได้นานหน่อย

ไม่เช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาตาสนใจรูป เราก็รีบไปดูรูปนั้น กำลังที่เราปฏิบัติได้ก็รั่วออกทางตาไป หูอยากได้ยินเสียง เรารีบไปฟัง กำลังของเราก็รั่วออกทางหู จมูกอยากได้กลิ่น เรารีบหามาดม กำลังของเราก็รั่วออกทางจมูก ลิ้นอยากได้รส เรารีบหามาให้ถูกใจตัวเอง กำลังของเราก็รั่วออกทางลิ้น กายอยากได้สัมผัสที่ชอบใจ เราก็รีบหามา กำลังของเราก็รั่วออกทางกาย ถ้าลักษณะอย่างนี้ไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าเรารักษากำลังใจไม่ได้อย่างแน่นอน

ในเมื่อปฏิบัติไปแล้ว วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า เราไม่สามารถที่จะรักษากำลังของเราเอาไว้ได้ ถึงเวลาก็ปล่อยให้รั่วหายไปหมด แล้วเราจะเอากำลังที่ไหนมาชนะกิเลส ? ต่อให้มีปัญญาดีแค่ไหน เปรียบกับบุคคลที่มีอาวุธคมกล้าถึงที่สุด แต่ไม่มีกำลังที่จะยกอาวุธขึ้นได้ แล้วเราจะไปตัดไปฟันอะไรให้ขาดได้ ?

ดังนั้น...บางทีเราไม่เข้าใจเหตุผลที่พระวิปัสสนาจารย์ต้องการให้เราสำรวมอินทรีย์ ทำไมต้องให้เราปิดวาจา ? บางที่ก็ขออนุญาตยึดโทรศัพท์ไปด้วย ก็เพราะว่าต้องการให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมแล้วไม่สูญเปล่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2022 เมื่อ 21:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 29-03-2022, 20:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติธรรมเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ เพราะว่าเป็นการทวนกระแสโลก โลกเขานิยมการไหลลงต่ำ เราต้องพยายามตะกายขึ้นสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนื่อยยาก และผิดทิศผิดทางกับคนอื่นเขา คนเขาจะว่าเราบ้า..! ดังนั้น...ถ้าเราสะสมกำลังของเราไม่พอ นอกจากสู้กิเลสไม่ได้แล้ว เรายังสู้ปากคนอื่นไม่ได้ด้วย ถึงเวลาโดนเขาว่ามาก ๆ เข้าก็ท้อใจ เลิกการปฏิบัติไปเลย

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติไปแล้ว เพียรพยายามประคับประคอง รักษาอารมณ์นั้นเอาไว้กับเรา อย่าให้หลุดหายไปไหนได้

ถ้าหากว่าท่านใดฟังเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม จะเห็นท่านอาจารย์พระมหาไพโรจน์ กนโก นำสวดมนต์แปลอยู่เกือบทุกวัน ครูบาอาจารย์ที่ถึงวาระจะต้องมารับหน้าที่ อย่างเช่นท่านพระครูภาวนาสารบัณฑิต เป็นต้น พอถึงเวลาก็มาแสดงธรรม

ประโยคหนึ่งที่ท่านทั้งหลายจะได้ยินเป็นปกติ ก็คือ ต้องจดจ่อ ต่อเนื่อง ตามกันทุกลมหายใจเข้าออก เป็นประโยคที่สำคัญที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรมในระดับของพวกเรา แต่ถ้าเรายังไม่เห็นคุณค่าของตรงนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดประโยคนี้จะผ่านหูไปเฉย ๆ ฟังเป็นร้อย ๆ ครั้งก็ผ่านไปเฉย ๆ

เนื่องเพราะว่าเราว่ายทวนน้ำ เราทวนกระแสโลก ถ้าไม่ว่ายเอาไว้ตลอดเวลาก็จะไหลตามกระแสไป เมื่อถึงเวลาเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมใหม่ ก็คือตั้งหน้าตั้งตาว่ายขึ้นมาใหม่ แล้วพอเลิกปฏิบัติธรรม เราก็ปล่อยไหลตามน้ำไปอีก พอรุ่งขึ้นก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมใหม่ แล้วก็ปล่อยไหลไปอีกตามเคย

เราจะกลายเป็นคนขยัน ทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่มี เพราะว่าเราปล่อยให้ผลงานของเราไหลตามกระแสโลกไปหมด นั่งสมาธิพยายาม "เพียรหนอ..เพียรหนอ" "อดทนหนอ..อดทนหนอ" ครึ่งชั่วโมงบ้าง หนึ่งชั่วโมงบ้าง แต่พอเลิกแล้ว เราก็ไปก้มหน้าก้มตาจิ้มไลน์ เปิดเฟซฯ ดูไปสัก ๒ - ๓ ชั่วโมง จะคุ้มกับสิ่งที่เราทำไหม ? เราทำมา ๑ ชั่วโมง แล้วไปใช้ ๒ ชั่วโมง ก็ย่อมขาดทุนอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น...การที่ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะส่งอารมณ์ สอบอารมณ์อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการรักษาอารมณ์เอาไว้ เพื่อที่ให้เรามีกำลังเพียงพอที่จะสู้กับกิเลส ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมมานานเท่าไรก็ไม่มีผลดีเกิดขึ้น เพราะว่าเราปล่อยให้รั่วไหลไปหมด แล้วก็เก็บเอาไว้แต่กิเลส ในลักษณะของ "การเก็บกด" ก็คือทำให้ตัวเองกด รัก โลก โกรธ หลง เอาไว้ แต่ไม่มีกำลังพอที่จะประหัตประหารหรือขับไล่ออกไปจากใจของเราได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-03-2022 เมื่อ 18:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 29-03-2022, 20:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอถึงเวลาเผลอสติ กิเลสตีกลับ เราก็จะกลายเป็นคนอารมณ์รุนแรง เที่ยวไประเบิดใส่คนอื่นเขาโดยไม่รู้ตัว ก็จะโดนคนตำหนิติเตียน เกิด "ดราม่า" ขึ้นมาอีกว่า คุณเป็นนักปฏิบัติธรรมภาษาอะไร ทำไม กาย วาจา ใจ ถึงไม่มีการพัฒนาขึ้นเลย ? มีแต่แย่ลง ตรงนี้ก็ยิ่งทำให้เราเสียกำลังใจในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น

อย่าลืมว่าเราทั้งหลายได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรม ประกอบด้วยความศรัทธาเลื่อมใส อยู่ในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฐิ ไม่ขัดขวางการปฏิบัติธรรมของเรา หรือว่ามีโอกาสเข้ามาศึกษาวิชาการในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งบังคับให้ท่านต้องดี ก็คือต้องปฏิบัติธรรมให้ได้

ก็เท่ากับว่าเราสร้างบุญไว้อย่างมหาศาล ถึงพร้อมด้วยโอกาสทั้งปวงแล้วยังไม่พอ ยังมีคนมาบังคับให้เราทำดีอีก แล้วเราจะไม่ฉวยโอกาสดีที่มีแต่เพียงน้อยนิดแค่นี้ ในการกอบโกยความดีทั้งหลายทั้งปวงเข้ามาสู่ใจของเราให้มากมายยิ่งขึ้นไปกว่านี้หรือ ?

เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ได้ติดตัวเป็นประโยชน์แก่เราเฉพาะในชาติปัจจุบัน แต่ว่าจะนำพาเราไปสู่สุคติในอนาคต หรือก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

เมื่อท่านทั้งหลายประกอบไปด้วยโอกาส ถึงพร้อมด้วยสถานที่และเวลา ทุกวินาทีของเราจึงควรที่จะจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับการปฏิบัติธรรม มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ใหม่ ๆ ก็ยาก แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาใส่สติลงไปในทุกอิริยาบถ จะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ถ้าใส่สติเข้าไป นั่นก็คือกรรมฐานทั้งหมด นั่นคือการปฏิบัติธรรมทั้งหมด

ยิ่งสติสัมปชัญญะของท่านทรงตัวเท่าไร การเคลื่อนไหวทุกอย่าง แม้แต่การกระพริบตาเราก็รู้ทัน หรือว่าลมพัดมากระทบร่างกาย ขนบนร่างกายส่วนไหนไหวเพราะแรงลมเราก็รู้ แต่ถ้าหากว่าเรายังทำไม่ถึงตรงจุดนี้ก็ต้องเพียรพยายามยิ่งขึ้น เพราะว่าที่สูงไปกว่านี้ยังมีอยู่ ก็คือ เป็นผู้มีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2022 เมื่อ 21:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 29-03-2022, 20:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าถึงสภาวะนั้น บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ความจริงแล้วท่านได้นอน และนอนมากด้วย เพียงแต่สติของเรารู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้ารู้จักสังเกต บางคนจะรู้ด้วยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังหลับ กรนอยู่ก็ได้ยินเสียงตัวเองกรน

ถ้ามีสิ่งหนึ่งประการใดที่มากระทบในตอนนั้น ความที่มีสติและปัญญาแหลมคมว่องไวมาก ก็จะพิจารณาเหมือนกับสายฟ้าแลบว่า สิ่งเหล่านี้ ถ้าเรารับรู้แล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์หรือโทษ ? ถ้าก่อให้เกิดประโยชน์ก็จะคลายจิตออกมา ปฏิสัมพันธ์รับรู้ในสิ่งนั้น ๆ แล้วรีบกลับเข้าไปด้วยความระมัดระวัง เพราะว่าถ้าเผลอแล้วกิเลสจะกินเราอีก แต่ถ้าสิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดโทษ เราก็จะตัดทิ้งไป ไม่สนใจเลย

เมื่อท่านพักผ่อนเพียงพอแล้ว ถึงเวลาที่จะตื่นขึ้น สติจะถามตัวเองว่าพร้อมที่จะตื่นหรือยัง ? เมื่อพร้อมแล้ว ก็จะคลายสมาธิออก ประสาทความรู้สึกจะกระจายจากส่วนกลางออกไปรอบข้าง เมื่อไปถึงปลายมือปลายเท้าสมบูรณ์พร้อมแล้ว ก็จะบอกตัวเองว่าลืมตาขึ้น..เห็นหนอ แล้วลุกขึ้น..ขยับหนอ..ลุกหนอ ยืนขึ้น..ยืนหนอ เดินไปห้องน้ำ..เดินหนอ

ถ้าสำหรับคนทั่ว ๆ ไป ความรู้สึกตอนแรกเหมือนกับเป็นหุ่นยนต์ คือรู้สึกว่าเราสั่งได้ทุกขั้นตอน ช้ามาก ๆ แต่สำหรับคนอื่นถ้าเห็นก็คือ เราลืมตาตื่น พลิกตัว ลุก นั่ง ยืนขึ้น แล้วเดินไปห้องน้ำเลย แปลว่าสติของเราเมื่อสร้างถึงที่สุดแล้ว จะแหลมคมว่องไวและรวดเร็วมาก เพราะว่าถ้าเร็วไม่พอ ก็ไม่สามารถที่จะสกัดกั้น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ต่าง ๆ ที่วิ่งเข้ามาหาเราทัน ซึ่งจะก่อให้เกิดโทษได้ แต่ถ้าสติถึงระดับนั้นแล้ว ที่บางทีเขาใช้คำอธิบายว่า พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็คือ มีสติรู้อยู่ตลอดเวลา

สิ่งใดที่ก่อให้เกิดประโยชน์ เกิดความเจริญแก่จิตแก่ใจ เกิดความเจริญต่อกาย วาจา ดีต่อคนรอบข้าง เราจะทำสิ่งนั้น สิ่งใดที่ไม่ก่อให้เกิดความเจริญ มีแต่จะสร้างทุกข์สร้างโทษแก่ทั้งตัวเราเองและบุคคลอื่น เราจะตัดทิ้งออกจากใจไปเลย

ก็จะไปเข้ากับหลักปธาน ๔ ก็คือ ในหลักของเพียรพยายามสร้างความดีให้เกิด เพียรพยายามรักษาความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้น เพียรพยายามละความชั่วที่เกิดแล้ว และเพียรระมัดระวังอย่าให้ความชั่วเหล่านั้นเกิดขึ้นอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2022 เมื่อ 21:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 31-03-2022, 22:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อท่านทั้งหลายปฏิบัติมาถึงตรงจุดนี้ ท่านก็จะมีกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านกิเลสได้ระยะหนึ่ง แต่ถ้าขาดช่วงลงเมื่อไร กิเลสก็จะชนะเราอีก นักปฏิบัติที่มาถึงตรงจุดนี้ แทบจะไม่สนใจสิ่งอื่นเลย นอกจากการปฏิบัติต่อสู้กับอารมณ์ภายใน แย่งชิงกันว่าคะแนนนี้เราจะได้ หรือว่าคะแนนนี้กิเลสจะได้

ใหม่ ๆ ก็แพ้มากกว่าชนะ เมื่อเพียรพยายามทำมาก ๆ เข้า การแพ้ชนะก็เริ่มก้ำกึ่งกัน คราวนี้จะสนุกสนานยิ่งกว่าการดูหนังดูละคร เพราะว่าแต้มต่อไปใครจะได้ แล้วหลังจากที่เพียรพยายามต่อไป เราก็จะชนะมากกว่าแพ้ แล้วท้ายที่สุดก็จะเข้าไปถึงจุดที่ไม่แพ้อีก

ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติมาจนถึงจุดนี้แล้ว มีจุดที่สังเกตได้ง่าย อันดับแรกเลย คือเป็นคนตรงต่อเวลามาก เพราะว่าเวลาทุกวินาทีมีคุณค่า ที่เราจะต้องเพียรพยายามในการเอาชนะกิเลส

เป็นบุคคลที่มีความอดทน ไม่ว่าจะงานทางโลกหรืองานทางธรรม เราก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเต็มที่

เป็นบุคคลที่พร้อมทุกอย่าง สำหรับการละโลกนี้ไป
ฟังแล้วท่านที่กำลังใจไม่ถึง อาจจะรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง แต่ขอบอกว่าท่านที่ทำมาถึงตรงนี้แล้ว ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเลย เพราะปัญญาท่านเห็นชัดแล้วว่า เป็นการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามบาปที่เราทำมาเท่านั้น ท่านที่ปฏิบัติในบุญในกุศลมาเต็มที่แล้ว ย่อมพร้อมที่จะไปได้ทุกเวลา

ฟังให้ดี ๆ นะ "ไม่ได้อยากตาย แต่พร้อมที่จะตาย" มีบางท่านปฏิบัติธรรมไปถึงระดับหนึ่งแล้วอยากตาย คิดว่าตนเองทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว ขอยืนยันว่ายังไม่ใช่ อารมณ์อยากตายเป็นความเศร้าหมองของจิตอย่างหนึ่ง ถ้าตายตอนนั้น มีโอกาสที่จะลงอบายภูมิสูงมาก

นักปฏิบัติที่ทำดี ทำถูกทางแล้ว ไม่ได้อยากตาย แต่มีความพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ สติปัญญาถึงพร้อมสมบูรณ์ เพราะรู้ว่าการอยู่อาศัยกับร่างกายนี้เป็นแค่ของชั่วคราวเท่านั้น เรารักษาร่างกายนี้ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพื่อที่จะได้ปฏิบัติธรรมให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ก็ยิ่งดี แต่ถ้าเราไม่สามารถปฏิบัติถึงที่สุดได้ ก็ต้องทำให้เส้นทางการเวียนว่ายตายเกิดของเรา เส้นทางการแหวกว่ายข้ามวัฏสงสารของเรา เหลือสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2022 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
ต้นบุญ (03-04-2022), ไพเดช (01-04-2022), วุฒิชัย (03-04-2022), สุธรรม (01-04-2022), สุพรรณหงส์ (17-10-2023)
  #10  
เก่า 31-03-2022, 22:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เท่าที่ได้บอกกล่าวกับพวกเรามา ก็เหลือเวลาอีกประมาณ ๑๐ นาที ไม่ทราบว่าโยคีบุคคลของเรา ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ จะมีคำถามอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมบ้าง ? ถ้าตอบได้ก็จะได้แก้ไข ช่วยเฉลยให้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ต้องไปสอบถามตอนที่เราไปส่งอารมณ์ตามเคย ถ้ามีใครข้องใจสงสัยตรงไหนสามารถไต่ถามได้เลยครับ

ถ้าหากว่าไม่มีจุดที่จะไต่ถาม ก็ขอย้ำว่าการปฏิบัติธรรมของเรา สำคัญที่สุดคือรักษาอารมณ์การปฏิบัติของเราเอาไว้ ถ้าเรารักษาไม่ได้ การปฏิบัติของเราเท่ากับว่าเป็นหมัน เพราะว่าทำไปเท่าไร ผลดีก็ไม่เกิดขึ้น ถ้ามีคำถามก็เชิญเลยครับ


ถาม : เวทนาเรากำหนดเท่าไร ยิ่งแรงขึ้นแรงขึ้น จนไม่ไหวแล้วครับ ทำอย่างไรต่อไปครับ ?

ตอบ : ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรายังไม่เข้าใจว่าวัตถุประสงค์ของการดูเวทนาของเราคืออะไร เวทนาที่เรากำหนดดูนั้นมี ๒ รูปแบบ

รูปแบบแรกที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ดูให้รู้ว่าเวทนาเป็นเราหรือเปล่า ? เวทนานั้นใช่เราหรือเปล่า ? คำว่า เรา ในที่นี้หมายถึงจิตที่มาอาศัยร่างกายนี้อยู่ ถ้าเราสามารถแยกแยะได้ว่าเวทนาเป็นสมบัติของร่างกาย ไม่ใช่สมบัติของใจ ต่อให้มีเวทนาเกิดขึ้น เราก็จะไม่สนใจ ในที่สุดสภาพจิตก็จะก้าวข้ามตรงนั้นไปได้

อีกอย่างหนึ่งก็คือแนวปฏิบัติแบบสุกขวิปัสสโกที่ว่า สุขาปฏิปทา ก็คือปฏิบัติสบายหน่อย ถ้าถึงเวลาลำบาก เราคิดว่าเราจะทรงสมาธิต่อไป เราสามารถที่จะเปลี่ยนอิริยาบถได้ แต่ว่ากระผมอยากจะถวายคำแนะนำว่า การปฏิบัติธรรมของเรา เป็นเรื่องของบุคคลที่เป็นปรมัตถบารมีจริง ๆ เพื่อเข้าถึงความดี แม้จะแลกด้วยชีวิตเขาก็ยอม เพราะฉะนั้น...ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะไม่มีคำว่าไม่ไหว ก็คือสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งเลย..!

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2022 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
ต้นบุญ (03-04-2022), ไพเดช (01-04-2022), วุฒิชัย (03-04-2022), สุธรรม (01-04-2022), สุพรรณหงส์ (17-10-2023)
  #11  
เก่า 31-03-2022, 22:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้าหากว่าไม่ไหวจริง ๆ รู้สึกว่าเหงื่อไหลเหมือนงูเลื้อยเลย หลายท่านก็คงจะรู้ กระผม/อาตมภาพก็เคยนั่งแบบนี้ ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมงผ่านไป เหงื่อไหลตามหลัง รู้สึกเหมือนอย่างกับงูเลื้อยเลย ถ้าหากว่าถึงระดับนั้นแล้ว ไม่ไหวจริง ๆ ก็คลายบัลลังก์เสียหน่อย เพราะว่ากำลังใจเรายังไม่ไหว

แต่ถ้ากำลังใจเราไหว สู้กันแค่ตายไปข้างหนึ่ง อยากรู้จริง ๆ ว่าปวดตรงไหน ? ความปวดใช่เราหรือไม่ ? ปวดตรงนี้จริงหรือ ? ตามดูไปเถอะครับ แล้วจะเห็นมายาของร่างกายนี้ เพราะว่าพอเราตั้งใจเอาจิตจดจ่อลงไป ปวดหนอ ๆ ๆ ตรงนั้น ความปวดก็จะเลื่อนหนีไปเรื่อย จนกระทั่งหาทางหนีไม่ได้ก็จะหายวับไปเฉย ๆ ก็มี

ดังนั้น...ตรงจุดนี้ขึ้นอยู่กับเราว่า เราปฏิบัติแบบไหน แต่ขอถวายคำพูดของสายวัดป่าที่ว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย ถ้าหากว่าเราสู้แค่ตาย เราถึงมีโอกาสเข้าถึงความดีได้ง่ายขึ้น

ตรงนี้มีทั้งพระทั้งฆราวาสเคยเป็นลูกศิษย์ที่สนิทสนมกันอยู่หลายราย ก็ดีใจว่าท่านทั้งหลายยังมีการมาต่อบุญของตัวเองอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2022 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
ต้นบุญ (03-04-2022), ไพเดช (01-04-2022), วุฒิชัย (03-04-2022), สุธรรม (01-04-2022), สุพรรณหงส์ (17-10-2023)
  #12  
เก่า 31-03-2022, 22:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมื่อเช้าเดินจงกรมที่ข้างนอก ที่เดินจะไปเจอขี้โคลน เป็นเม็ดหินเยอะแยะ ตัวเองเพิ่งมาทำจริงจังครั้งนี้เป็นครั้งแรก เจ็บเท้ามาก อยากจะกลับก็กลับไม่ได้ อยากจะไปก็ไปไม่ไหว จะแก้ปัญหาอย่างไรดี เหมือนใจจะขาด ตายแน่..ตายแน่..! แต่ก็ไม่ตาย ทำอย่างไรที่จะให้ผ่านจุดนั้นไปได้คะ ?

ตอบ : ความจริงกำหนดใจถูกแล้ว "ตายแน่...ตายแน่" แต่เพียงแต่ว่าร่างกายไปไม่ได้ ในเมื่อสภาพจิตใจกับร่างกายยังไปไม่ได้ โดยทั่ว ๆ ไป ถ้าเราปฏิบัติเอง เขาให้เปลี่ยนอิริยาบถ จากเดินไม่ไหว เราก็ยืน จากยืนไม่ไหวเราก็นั่ง นั่งแล้วไม่ไหว เราก็นอน แต่ด้วยความที่ว่าเรามาปฏิบัติแบบนี้ ต้องไปพร้อมหมู่พร้อมคณะ ก็เลยทำให้เราไม่สามารถเปลี่ยนอิริยาบถได้ ก็เหลือแค่ "อดทนหนอ พากเพียรหนอ แล้วก็ตายแน่หนอ"


ถาม : มองไปข้างหน้า พระท่านก็เดินไปไกลมาก มองไปข้างหลัง ก็ไม่เหลือใครแล้ว ที่เหลือมี ๓ - ๔ คน ?

ตอบ : เอาเป็นว่าต่อไปให้คิดว่า นี่คือทางที่เราจะก้าวล่วงวัฏสงสาร ถ้าเรามัวแต่ช้าอยู่ คนอื่นจะไปกันเสียหมดแล้ว เพราะฉะนั้น..เราต้องสู้แค่ตาย แล้วก็ลุยต่อไปเลย ดูว่าจะตายจริงหรือไม่ ?


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ธรรมบรรยายในโครงการ "การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสำหรับสำหรับนิสิตระดับบัณฑิตศึกษาและประชาชนทั่วไป"
วันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2022 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:45



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว