กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-07-2022, 17:00
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,617
ได้ให้อนุโมทนา: 216,312
ได้รับอนุโมทนา 741,323 ครั้ง ใน 36,109 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-07-2022, 22:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,204 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพต้องขอออกจากวัดโดยสัตตาหากรณียะ ซึ่งสัตตาหากรณียะนี้ มีไว้ให้สำหรับพระภิกษุที่มีความจำเป็น จะต้องออกจากวัดในช่วงเข้าพรรษา สามารถที่จะไปได้ แต่ไปได้นานที่สุดไม่เกิน ๗ วัน

โดยที่สิ่งที่ให้ไปได้นั้นก็ประกอบไปด้วย
๑) พ่อป่วย
๒) แม่ป่วย
๓) พระอุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย
ไปเพื่อช่วยดูแลรักษาพยาบาลได้
๔) เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดกระสันจะสึก สามารถที่จะไปเพื่อห้ามปรามได้
๕) วัดพัง ไปหาทัพพสัมภาระมาเพื่อซ่อมสร้างวัด สามารถที่จะไปได้
๖) ได้รับกิจนิมนต์ ไปเจริญศรัทธา สามารถที่จะไปได้

แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น เมื่อมาถึงยุคนี้สมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าเป็นในเรื่องของวัดพัง แค่เรายกหูโทรศัพท์หน่อยเดียว ก็สามารถโทรสั่งวัสดุอุปกรณ์สำหรับการก่อสร้างได้แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องลาไปโดยสัตตาหากรณียะ

ในส่วนของเพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดกระสันจะสึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านวินิจฉัยไว้ว่า "ถ้าอยากจะสึกก็ปล่อยให้เขาสึกไป"

เหตุที่ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตให้ไปเพื่อห้ามปรามพระรูปนั้นไม่ให้สึก ก็เพราะว่าถ้าท่านอยู่ต่อไปแล้วจะสำเร็จอรหัตผล เมื่อเพื่อนสหธรรมิกไปห้ามปรามแล้วท่านไม่สึก สามารถปฏิบัติธรรมต่อแล้วก็บรรลุมรรคผลได้จริง ๆ แต่สำหรับยุคนี้สมัยนี้ จะหวังในเรื่องของการบรรลุมรรคผลก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้น...จึงไม่สมควรที่จะใช้สิทธิ์ในการลาเพื่อไปห้ามเพื่อนสหธรรมิกต่างวัดไม่ให้สึก

อีกประการหนึ่งก็คือ การไปเพื่อเจริญศรัทธานั้น ต้องได้รับกิจนิมนต์จากทางเจ้าภาพจริง ๆ ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังบวชอยู่ที่วัดท่าซุง มีรุ่นน้องใช้วิธีเขียนจดหมายไปบอกทางบ้านให้นิมนต์ เพื่อที่จะได้ขออนุญาตลาไปโดยสัตตาหกรณียะ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านทราบเข้า ก็ทำการตำหนิในท่ามกลางสงฆ์เลย ว่าลักษณะอย่างนั้นไม่ใช่นิมนต์ด้วยศรัทธา ถ้าหากว่าไปถือว่าขาดพรรษา..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2022 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-07-2022, 22:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,204 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนอื่น ๆ นั้น ต้องพิจารณาดูโดยหลักมหาปเทส ๔ อย่างเช่นว่า พระภิกษุสามเณรป่วยไข้ อาการหนัก ต้องอยู่โรงพยาบาลข้ามวันข้ามคืน ถ้าอย่างนั้นก็สามารถลาไปโดยสัตตาหกรณียะ การพิจารณาก็คือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะว่าไม่มีพระบรมพุทธานุญาตไว้ แต่ว่าเมื่อพิจารณาแล้วว่าสมควร เนื่องจากว่าถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจจะถึงแก่มรณภาพ เสียชีวิตได้ ดังนั้น..จึงอนุญาตให้ไปเพื่อรักษาตัวได้

หรืออย่างที่วัดท่าขนุน มีพระภิกษุสามเณรศึกษาในส่วนของประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ตรงนี้ถ้าหากว่าพิจารณาแล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะว่าไม่มีพระบรมพุทธานุญาตไว้ แต่ว่าการศึกษานั้นก็เพื่อให้เราได้มีความรู้ที่ชัดเจน เป็นระบบ ช่วยส่งเสริมในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น..จึงควรที่จะอนุญาตให้ไปได้ เป็นต้น

เมื่อกระผม/อาตมภาพออกจากวัดมา สถานที่แรกที่ไปก็คือวัดหัวรัง ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ไปร่วมถวายมุทิตาในงานฉลองตราตั้งเจ้าอาวาส และฉลองตราตั้งตราตั้งฐานานุกรมที่พระครูปลัด ของพระครูปลัดสุพรรณ สุภทฺโท เจ้าอาวาสวัดหัวรัง ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ เรียนอยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์

เมื่อร่วมงาน ฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางต่อมายังวัดห้วยเจริญ ตำบลวังน้ำซับ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเข้าร่วมงานปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับพระครูสมุห์สุทัศน์ ทตฺตมโน เจ้าอาวาสวัดห้วยเจริญ เลขานุการเจ้าคณะตำบลวังน้ำซับ ซึ่งท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งรุ่นเดียวกัน คือแต่งตั้งให้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ประจำกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะท่านพระครูสมุห์สุทัศน์นั้น มีความเลื่อมใสในพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงมาก ถึงขนาดสร้างหุ่นขึ้ผึ้งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเอาไว้ในโบสถ์ เพื่อกราบไหว้บูชา

เมื่อกระผม/อาตมภาพเข้าที่ภาวนา ก็เห็นหลวงปู่เนียม วัดน้อย ครูบาอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่อิ่ม วัดหัวเขา และหลวงปู่สังวาลย์ วัดเขาสารพัดดี ตลอดจนกระทั่งหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แห่กันมาให้การสงเคราะห์ จึงได้มั่นใจว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งนี้ ท่านเจ้าอาวาสน่าจะกระทำได้ถูกต้องตามแบบของสายกรรมฐานวัดท่าซุง โดยเฉพาะก่อนที่
กระผม/อาตมภาพจะเดินเข้าโบสถ์ เห็นมีการตั้งเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่เต็มชุดอยู่แล้ว และท่านแจ้งว่า ได้บวงสรวงไปตั้งแต่ตอนช่วงเช้า ๙ โมง ๙ นาทีแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2022 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 15-07-2022, 22:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,204 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อกระผม/อาตมภาพทำการปลุกเสกจนครบตามที่พระท่านสั่ง ก็คือ ให้ภาวนาอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๑๐ จบ พระคาถาชินบัญชร ๓ จบ และพระคาถาเงินล้านสูตรพิเศษ ๓ จบ เมื่อลืมตาขึ้นมา ทำน้ำมนต์เสร็จเรียบร้อย ท่านพระครูสมุห์สุทัศน์บอกว่า "เมื่อหลวงพ่อหลับตาเริ่มทำพิธี ก็มีฝนปรอยลงมาตลอดเวลา พอหลวงพ่อลืมตาขึ้นทำน้ำมนต์ ฝนก็หยุดตกและแดดออกทันที เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากครับ"

กระผม/อาตมภาพก็บอกไปว่า "เรื่องเหล่านี้แล้วแต่ครูบาอาจารย์ท่านจะสงเคราะห์ แสดงว่าคุณนั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมควรแก่การสงเคราะห์ได้ ขอให้ตั้งใจรักษาการปฏิบัติของเราในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อที่ครูบาอาจารย์ท่านจะได้สงเคราะห์ต่อไปในกาลข้างหน้า"

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่ากลัว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า การที่พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี พรหม เทวดา นางฟ้า ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านให้การสงเคราะห์ต่าง ๆ นั้น ถ้าหากว่าเราเผลอสติเมื่อไร เราก็จะไปคิดว่าตัวเราเก่ง ถ้าหากว่าเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ครั้งต่อไป ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้การสงเคราะห์ เราไม่สามารถที่จะทำได้เหมือนเดิม บางท่านก็จะออกอาการในลักษณะเริ่มหลอกลวงชาวบ้านเขา ซึ่งที่กระผม/อาตมภาพเจอมาบางท่านนั้น ต้องบอกว่าเป็นการหลอกลวงของมารที่น่ากลัวมาก ๆ

เพราะว่าพระเดชพระคุณท่านผู้ที่โดนหลอกลวงนี้ เป็นพระภิกษุอยู่ในระดับครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านพระครูปลัดสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตฺโตให้ความเคารพนับถือมาตั้งแต่ก่อนจะบวช ซึ่งท่านพระครูปลัดสมปอง หรือมาภายหลังก็คือพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ ฐานานุกรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมสิทธิเวที หรือหลวงพ่อถมยา ที่กระผม/อาตมภาพเรียกด้วยความเคารพนั้น

เมื่อท่านบวชเข้ามาแล้ว ก็ปรากฏว่าได้รับคำแนะนำบางอย่างที่ท่านนำมาปรึกษาว่า "หลวงพี่ครับ ผมว่าหลวงพ่อของผมน่าจะเพี้ยนแล้ว" เมื่อกระผม/อาตมภาพพิจารณาดูแล้ว ก็เห็นว่าออกนอกลู่นอกทางจริง ๆ

แต่ด้วยความที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านนั้น ในตอนแรกท่านได้ปวารณาเอาไว้กับกระผม/อาตมภาพ โดยบอกว่า "พระน้อง..ถ้าหากว่าพี่มีอะไรที่ควรจะได้รับการบอกกล่าวตักเตือน เพื่อให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างแท้จริง พี่ขอปวารณาไว้ ให้พระน้องตักเตือนได้ทุกเวลา" กระผม/อาตมภาพจึงใช้สิทธิ์ในการตักเตือนท่านไป โดยบอกกล่าวอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นของจริงควรจะเป็นอย่างนี้ แต่ที่ท่านทำอย่างนี้นั้น จุดที่ผิดพลาดอยู่ที่ตรงไหน

นี่คือสิ่งที่กิเลสให้เรามา โดยเฉพาะในส่วนของอภิญญาสมาบัติ ท่านไม่ได้ฝึกฝนมาด้วยตัวเอง แต่ว่าผลทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากกิเลสมารมอบให้ ถ้าเขาถอนกำลังกลับไปเมื่อไร กำลังส่วนนี้ของท่านจะหายไปทันที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2022 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 15-07-2022, 22:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,204 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อท่านอาจารย์รูปนั้นได้ฟังแล้ว ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติมาในแนวทางวิสุทธิมรรค ปรากฏว่าอภิญญาสมาบัติต่าง ๆ ที่ท่านได้รับนั้นสูญหายไปหมด เนื่องจากว่าเมื่อมารเห็นว่าท่านตั้งใจเดินในทางที่ถูกต้อง ไม่สามารถที่จะหลอกลวงได้อีก จึงถอนกำลังที่ท่านเคยทำโน่นทำนี่เป็นที่อัศจรรย์กลับไปจนหมด

กระผม/อาตมภาพคิดว่าหมดปัญหาไปแล้ว..แต่ก็ไม่ใช่ เพราะว่าหลังจากนั้นไม่นาน พระเดชพระคุณท่านอาจารย์รูปนี้ก็กลับไปเหมือนเดิม แต่คราวนี้ท่านไม่อนุญาตให้
กระผม/อาตมภาพตักเตือนท่านอีกแล้ว

กระผม/อาตมภาพพิจารณาดูว่า ท่านเองรับไม่ได้ที่ความสามารถพิเศษต่าง ๆ หายไปหมด ต้องการจะใช้ความสามารถพิเศษเหล่านั้นต่อไป จึงยอมกลับไปปฏิบัติผิด ปฏิบัติพลาดเหมือนเดิม จนกระทั่งท้ายสุดก็อาการหนัก ถึงขนาดเข้าทรงพระพุทธเจ้า แล้วท้ายที่สุดก็เข้าทรงสมเด็จองค์ปฐม..!

ครั้งล่าสุดที่ได้ยินก็คือ ถึงขนาดบวชลูกศิษย์ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา นับว่าเป็นเรื่องที่ออกนอกลู่นอกทางจนน่ากลัวมาก แต่ว่าต้องขาดการติดต่อไป เพราะว่าท่านไม่อนุญาตให้ตักเตือน และถึงตักเตือนไป ท่านก็คงจะไม่ฟังอีกแล้ว เป็นต้น

ดังนั้น...ในส่วนของพระครูสมุห์สุทัศน์ ทตฺตมโนนั้น ตอนนี้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ครูบาอาจารย์มาให้การสงเคราะห์ แต่ด้วยความที่ท่านอายุน้อยมาก ตอนนี้เพิ่งจะอายุ ๓๔ พรรษา ๑๔ แล้วหน้าที่การงานของท่านก็มากขึ้น

โดยเฉพาะตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะตำบลนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่แบกงานทั้งตำบลเอาไว้แทนตัวเจ้าคณะตำบล อาจจะทำให้ท่านมีเวลาในการปฏิบัติรักษากำลังใจน้อยลง ถ้าหากว่าท่านพลาด อาจจะออกนอกลู่นอกทางได้ จึงได้แต่เอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ แต่ว่ายังดีใจที่ว่า ท่านขออนุญาตแอดฯ ไลน์เอาไว้ โดยบอกว่า "ถ้ามีอะไร กระผมจะเรียนสอบถามจากหลวงพ่อเป็นระยะไป" เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยังอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

ดังนั้น...เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ส่วนที่ต้องระมัดระวังที่สุดก็คือ อย่าคิดว่าตัวเราดีเป็นอันขาด โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้ตักเตือนเอาไว้ว่า "ตราบใดที่ยังไม่ตายเข้าสู่พระนิพพาน ตราบนั้นเรื่องดีที่แท้จริงสำหรับเรายังไม่มี" ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านได้ตักเตือนเอาไว้อย่างนี้ กระผม/อาตมภาพก็เทิดคำเตือนนี้ไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า และพยายามที่จะปฏิบัติตามตลอดมา

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2022 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว