กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-09-2021, 20:34
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,741
ได้ให้อนุโมทนา: 220,156
ได้รับอนุโมทนา 773,545 ครั้ง ใน 37,875 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๔


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-09-2021, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,619
ได้ให้อนุโมทนา: 155,092
ได้รับอนุโมทนา 4,451,612 ครั้ง ใน 35,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เจริญพรญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งที่อยู่ที่วัดท่าขนุนและที่รับฟังอยู่ทางบ้าน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔

กระผม/อาตมภาพหายไปหลายวัน เพราะว่ามีงานต่อเนื่อง ซึ่งถ้าวิ่งไปวิ่งมาก็คงจะเสียเวลามาก แล้วความแก่ก็ไม่ช่วยให้เดินทางลักษณะอย่างนั้นได้มากเหมือนก่อน จึงต้องขอไปโดยสัตตาหกรณียะ คือมีเหตุจำเป็นในช่วงระหว่างพรรษา ก็ขออนุญาตจากคณะสงฆ์ไปได้ไม่เกิน ๗ วัน

แต่คราวนี้การวิ่งไปวิ่งมาก็ยังจำเป็น เพราะอย่างเมื่อวันเสาร์กับวันอาทิตย์ วันเสาร์คุณหมอนัด วันอาทิตย์ก็ไปบวงสรวงปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดไตรมิตร ระยะทางจากโรงพยาบาลกลางกับวัดไตรมิตร ถ้าหากว่าเดินลัดไป ก็แค่สองสามร้อยเมตรเท่านั้น แต่กระผม/อาตมภาพก็ต้องวิ่งไปวิ่งกลับ ก็เลยกลายเป็นว่าเสียเวลาโดยใช่เหตุ หมดไปกับการเดินทางเยอะมาก ยังดีที่ว่าการประชุมต่าง ๆ สามารถที่จะประชุมออนไลน์ได้ แม้ว่าอยู่บนรถก็ตาม

คราวนี้ในงานประชุมสัมมนาต่าง ๆ นั้น มีบางงานที่ให้เด็ก ๆ รุ่นใหม่เข้ามาแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา กระผม/อาตมภาพฟังแล้วก็ได้แต่นั่งถอนใจ เพราะว่าเด็กสมัยนี้ตั้งข้อสงสัยในทุกเรื่อง การตั้งข้อสงสัยไม่ใช่เรื่องผิด เป็นการดีที่รู้จักสงสัย จะได้ไขว่คว้าหาคำตอบแต่ทั้งเด็กและญาติโยมสมัยนี้สงสัยอย่างเดียว โดยไม่หาคำตอบกันเลย

สงสัยเรื่องของพระพุทธศาสนา แต่ไม่ลงมือปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วอีกกี่ชาติถึงจะได้คำตอบ ? นอกจากได้แต่คิดว่า คาดว่า ซึ่งเป็นการเดาเอาล้วน ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-09-2021 เมื่อ 00:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 21-09-2021, 00:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,619
ได้ให้อนุโมทนา: 155,092
ได้รับอนุโมทนา 4,451,612 ครั้ง ใน 35,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาที่เป็นของจริง เป็นของแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมโดยที่ยืนยันว่า ตถาคตปฏิญาณว่าตนเองบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณก็บรรลุจริง ๆ ตถาคตแสดงธรรมเพื่อให้บุคคลหลุดพ้น ก็สามารถช่วยให้บุคคลหลุดพ้นได้จริง ๆ แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ สำคัญที่ต้องลงมือทำ ไม่ใช่สงสัยอย่างเดียวแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อย

อย่างวันก่อนในกลุ่มไลน์ ก็มีคนส่งความคิดเห็นเข้ามาว่า "คนเหี้..อะไรวะ เกิดมาก็เดินได้ ๗ ก้าวเลย ?" ก็มีคนเข้าไปคอมเมนต์ตอบว่า "เพราะว่าก้าวที่ ๘ จะเหยียบหน้าแม่มึง ท่านก็เลยต้องหยุดแค่นั้น..!" ซึ่งเรื่องพวกนี้ ทำให้เห็นชัด ๆ ว่า เป็นแค่การสงสัย แล้วก็ก่อกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ โดยไม่ได้คิดที่จะเข้ามาศึกษาและพิสูจน์อย่างจริงจังบ้างเลย

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า ระยะนี้พระพุทธศาสนาของเราไปเจริญในโลกตะวันตกอย่างมาก เฉพาะในยุโรป วัดไทยปรากฏขึ้นพึ่บพั่บ ๒๐ - ๓๐ วัด ก็เพราะว่าฝรั่ง เวลาสงสัยอะไร เขาจะลงมือพิสูจน์ เขาจะไม่แค่ตั้งข้อสงสัย แล้วก็จะไม่ตั้งแง่รังเกียจ

แต่ว่าคนไทยเราไม่ใช่อย่างนั้น คนไทยเราตั้งข้อสงสัย แล้วก็ตั้งแง่รังเกียจตามไปด้วย ก็คือไปหยิบยกเอาพฤติกรรมต่าง ๆ ของพระภิกษุสามเณรที่ไม่ดีไม่งาม เป็นข่าวเป็นคราวในวงโซเชียลมา แล้วก็เหมาเอาว่าพระพุทธศาสนาทั้งหมด หรือคณะสงฆ์ไทยทั้งหมดเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ชาตินี้ทั้งชาติของท่านก็ไม่มีหวังที่จะได้ดื่มอมตะรสของพระธรรม เพราะว่าไปตั้งแง่รังเกียจตั้งแต่แรกแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-09-2021 เมื่อ 00:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 21-09-2021, 00:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,619
ได้ให้อนุโมทนา: 155,092
ได้รับอนุโมทนา 4,451,612 ครั้ง ใน 35,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะนักวิชาการต่าง ๆ นอกจากตั้งแง่รังเกียจว่า พระภิกษุสามเณรสมัยนี้สอนแต่ให้คนยึดติดวัตถุ แล้วยังตั้งแง่รังเกียจว่า ผู้สอนมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ก็ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายเอง ปฏิเสธในของที่ดีที่สุดไปอย่างน่าเสียดาย เพราะความฉลาดของตนเอง ต่างกับฝรั่งที่เขาเข้ามาพิสูจน์เลย

ปัจจุบันนี้แม้แต่ราชวงศ์อังกฤษ ทหารองครักษ์รักษาพระองค์ทั้ง ๔,๐๐๐ คน ต้องใช้คำว่า ๔,๐๐๐ นาย ทุกเช้าต้องนั่งสมาธิภาวนาอย่างน้อย ๑๕ นาที ถึงจะเข้าประจำตำแหน่งรับหน้าที่ของตนเองได้ เพราะมีผลการวิจัยที่ยืนยันอย่างเป็นระบบว่า บุคคลที่ทำสมาธิทุกวัน ผลการปฏิบัติงานจะดีกว่าคนที่ไม่ทำสมาธิหลายเท่า โดยเฉพาะความอดทนอดกลั้น ความยับยั้งชั่งใจ และความมีสติรู้จักพิจารณาว่าสถานการณ์แบบนี้จะแก้ไขอย่างไร

ดังนั้น...เมื่อไปเข้าร่วมการสัมมนาต่าง ๆ แล้วเห็นเด็กรุ่นใหม่เรียกร้อง ตั้งแง่ ตั้งข้อสงสัยกับพระพุทธศาสนา กับพระสงฆ์ กับคำสอนในศาสนาพุทธ อาตมาก็ไปนึกถึงสมัยก่อนพุทธกาล ที่มีศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ ถึง ๖๒ ลัทธิ

แต่จะว่าไปแล้ว ศาสดาเจ้าลัทธิทั้ง ๖๒ ลัทธินั้น ท่านเก่งจริง เพราะว่าปุพพันตกัปปิกทิฏฐิทั้ง ๑๘ สำนัก ท่านสามารถที่จะระลึกชาติได้ เพียงแต่ว่าการระลึกได้นั้น มากน้อยต่างกันตามวาสนาบารมีของตน จึงบัญญัติทิฏฐิของตนเองขึ้นมา ตามสิ่งที่ตนเองระลึกได้มากน้อยไม่เท่ากัน

ถ้าสมมติก็อย่างเช่นว่า สำนักแรกบันทึกว่า คนเราต้องเรียนจบ ป.๔ อีกสำนักหนึ่งเห็นไกลกว่า บัญญัติว่าคนเราต้องเรียนจบ ป.๖ อีกสำนักหนึ่งเห็นไกลกว่า ก็ว่าอย่างน้อยต้องจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ อีกสำนักหนึ่งบอกว่าต้องจบปริญญาตรี เป็นต้น

ส่วนอปรันตกัปปิกทิฏฐิทั้ง ๔๔ ลัทธินั้นมองเห็นอนาคต แต่ก็เห็นมากน้อยไม่เท่ากัน ถึงได้บัญญัติทิฏฐิ คือความเห็นของตนเองต่างกันไป บ้างก็ว่าตายแล้วเกิด บ้างก็ว่าตายแล้วสูญ บ้างก็ว่าตายแล้วลงทุคติ บ้างก็ว่าตายแล้วไปสุคติ บ้างก็ว่าตายแล้วไปเป็นเทวดา นางฟ้า บ้างก็ว่าตายแล้วไปเป็นพรหม มากน้อยตามที่ตนเองทำได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2021 เมื่อ 03:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 21-09-2021, 00:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,619
ได้ให้อนุโมทนา: 155,092
ได้รับอนุโมทนา 4,451,612 ครั้ง ใน 35,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าในปัจจุบันของเราไม่ใช่อย่างนั้น ในปัจจุบันของเรา แม้แต่สิ่งที่เด็กวัยรุ่นตอนนี้นิยมกันนักหนา คอยดูไลฟ์สดจนกระทั่งดึกดื่น ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพ ก็บอกว่ามีแต่น้ำเปล่า ไม่ต้องไปหวังเนื้อ ไม่ต้องไปหวังผัก แต่ก็เป็นไปตามสภาพจิตของตน เนื่องเพราะว่าบุคคลสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน

พระพุทธเจ้าทรงแยกบุคคลออกเป็น ๔ ประเภท คือ

อุคฆฏิตัญญู ฟังเพียงหัวข้อก็บรรลุธรรมได้เลย

วิปจิตัญญู ฟังแล้วต้องอธิบายขยายความเพิ่มเติม ถึงบรรลุธรรมได้

เนยยะ ต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชกันอยู่ทุกวัน ได้หน้าลืมหลัง

แล้วที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ ปทปรมะ ตามรากศัพท์แปลว่า ผู้มากด้วยบทบาท ซึ่งอาตมภาพเคยใช้คำว่าเป็นพวก "คนเมืองกาญจน์"..!

ถ้าใครเคยมากาญจนบุรี ทันทีที่หลุดพ้นราชบุรีเข้ามา ก็ท่าผา ท่าไม้ ท่าล้อ ท่าเรือ ท่ามะกา ท่าม่วง มายันท่าขนุน เพราะฉะนั้น...ปทปรมะ ที่อาตมาเรียกว่า "ไอ้พวกคนเมืองกาญจน์" ก็คือ "ไอ้พวกท่ามาก" เป็นคนฉลาด แต่ฉลาดเกินไป ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ฟังในสิ่งที่เป็นอรรถเป็นธรรม แทนที่จะฟังแล้วแสวงหาประโยชน์ กลับฟังเพื่อที่จะหาข้อคัดค้าน ถ้าอย่างนั้น ชาตินี้ทั้งชาติท่านก็จะไม่ได้อะไร และสถานการณ์แบบนี้ ในปัจจุบันมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะว่าคนห่างศีลห่างธรรมไปมาก

อย่างวันนี้ที่กระผม/อาตมภาพ เข้าร่วมงานสัมมนาตลอดวันมา เป็นการสัมมนาเพื่อหาทางพัฒนาการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในยุคนี้ ว่าทำอย่างไรถึงจะให้เหมาะสมกับเด็กรุ่นนี้ ปรากฏว่าความผิดทั้งหมดโดนโยนไปที่ครูพระสอนศีลธรรม ว่าไม่มีความสามารถ ทำให้เด็กเข้าใจในพระพุทธศาสนามากกว่านั้นไม่ได้ โดยที่ไม่ได้ลงมาดูในพื้นที่เลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-09-2021 เมื่อ 00:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 21-09-2021, 00:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,619
ได้ให้อนุโมทนา: 155,092
ได้รับอนุโมทนา 4,451,612 ครั้ง ใน 35,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ครูพระสอนศีลธรรมแต่ละท่าน กว่าจะเข้าไปสอนในโรงเรียนได้นี่ แทบต้องกราบมือกราบตีนผู้อำนวยการถึงจะได้เข้าไปสอน แล้วชั่วโมงที่ให้ก็มีน้อยมาก ต่อให้มีเครื่องไม้เครื่องมือดีเลิศ อย่างเช่นว่ามีโน้ตบุ๊ก สามารถที่จะทำพาวเวอร์พ้อยท์ สามารถที่จะเปิดวีดีโอประกอบการสอน เพื่อให้เด็กรู้เข้าใจและสนุกสนาน

แต่โรงเรียนไม่มีเครื่องมือเครื่องไม้รองรับ ไม่มีจอโทรทัศน์ ไม่มีจอโปรเจ็คเตอร์ ไม่มีเครื่องฉาย แล้วครูพระสอนศีลธรรมต้องเก่งขนาดไหน ? เวลาก็ไม่มี เครื่องมือก็ไม่ให้ งบประมาณก็ไม่มี แล้วจะไปสอนเด็กให้ออกมามีความรู้ความสามารถ ?

ดังนั้น..ถ้าอาตมภาพเข้าไปในวงสัมมนาที่ไหน ส่วนใหญ่ก็ตีเขากระจายอยู่ตรงนั้น คือจำเป็นต้องทุบให้ได้สติ บางคนก็ว่าอาตมภาพเป็นคนหัวรุนแรง..ไม่ใช่ แบบเดียวกับที่คณะกรรมการมาตรวจประเมินโรงเรียน แล้วในระหว่างที่ประชุมกันก็บ่นว่า "โรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิได้คะแนนภาษาอังกฤษน้อย ไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน ท่านผู้อำนวยการ ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์และคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องพิจารณาดำเนินการเสียใหม่"

อาตมภาพยกมือขอพูดหน่อยว่า "ท่านคณะกรรมการเอาเกณฑ์อะไรมาประเมินเด็กของอาตมา ? เป็นเกณฑ์เดียวกับเด็กกรุงเทพฯ ใช่ไหม ? แล้วคณะกรรมการยอมรับไหมว่าไอ้เกณฑ์ประเมินนี้ก็ขโมยต่างประเทศเขามาด้วย ถ้าหากว่าบอกว่าเด็กของอาตมภาพไม่เก่งภาษาอังกฤษ ลองเอาเด็กกรุงเทพฯ ที่เก่งภาษาอังกฤษของโยมมาสิ มาพูดภาษามอญแข่งกับเด็กของอาตมา ใครจะเก่งกว่า ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2021 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 21-09-2021, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,619
ได้ให้อนุโมทนา: 155,092
ได้รับอนุโมทนา 4,451,612 ครั้ง ใน 35,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะว่าโยมตรวจประเมินตามเกณฑ์ที่มีอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งตายตัว แต่ไม่ได้ดูบริบท ก็คือว่าพื้นที่เป็นอย่างไร เด็กที่ญาติโยมว่าเก่งนักเก่งหนา ได้เหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิก ได้เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิก เอามาโยนเข้าป่าพร้อมกับเด็กของอาตมาดูสิ ใครจะอดตายก่อนกัน !!?

กรรมการทั้งหมดเงียบเป็นเป่าสาก จนในที่สุดประธานคณะกรรมการบอกว่า "ตั้งแต่ตรวจประเมินมา เพิ่งมีหลวงพ่อนี่แหละที่ชี้ปัญหานี้อย่างชัดเจนที่สุด" อาตมภาพบอกว่า ไม่ใช่ว่าคนอื่นไม่เห็นปัญหา แต่คนอื่นเกรงใจพวกท่านก็เลยไม่กล้าพูด แล้วก็ไปโยนความผิดให้กับท้องที่ ซึ่งตรงนี้อาตมารับไม่ได้

ดังนั้น...ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ญาติโยมต้องเข้าใจว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรม ความที่เรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา นอกจากทำให้เรามีความแกล้วกล้าแล้ว เรายังมีสติ มีปัญญา มองเห็นปัญหาต่าง ๆ อย่างชัดเจน เมื่อรู้แล้วก็อยู่ที่ว่า เรามีความสามารถเพียงพอที่จะแก้ไข หรือไม่สามารถแก้ไข เมื่อเราดิ้นรนจนสิ้นกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ แล้วแก้ไม่ได้ ค่อยยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นกฎของกรรม

กระผม/อาตมภาพเองก็คงต้องตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย ๆ เพราะว่าถ้าตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ลงมาเป็นเจ้าภาพ แล้วผ่าตัดระบบการศึกษาทางพระพุทธศาสนาของเด็กทั้งประเทศ ย่อมจะไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็คือปัญหาที่เด็กศึกษาแล้ว ไม่สามารถเข้าถึงพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

ทำอย่างไรที่จะมีคณะกรรมการสักชุดหนึ่ง ปรึกษาหารือกับทางคณะสงฆ์ว่า เด็กระดับไม่เกินประถม ๖ เรียนแล้วต้องมีความเข้าใจในศีล ๕ อย่างชัดเจน ต้องรักษาศีล ๕ ได้ เด็กในระดับไม่เกินมัธยม ๓ เรียนแล้ว ต้องเข้าใจศีลอย่างชัดเจน รักษาศีลได้ ทำสมาธิเป็น

นักเรียนในระดับมัธยม ๖ ทำอย่างไรจะเข้าใจศีลอย่างชัดแจ้ง รักษาศีลได้ ทำสมาธิได้ และเอากำลังสมาธินั้นมาก่อให้เกิดปัญญาในการศึกษาเล่าเรียนได้ แล้วถ้าหากว่าเป็นเด็กระดับปริญญาตรี ทำอย่างไรจะให้เข้าใจอริยสัจได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ ทุกอย่างจะดับหมด


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ขอฝากท่านทั้งหลายที่มีอำนาจ แล้วเข้ามาฟังอาตมภาพบ่นอยู่ตรงนี้ ถ้าเป็นไปได้ พยายามช่วยบ่นต่อให้ถึงรัฐบาลด้วย เพราะว่าถ้าไม่ได้เจ้าภาพระดับนั้น เราก็ไม่สามารถที่จะผ่าตัดระบบ ซึ่งอุ้ยอ้าย เทอะทะ และหลงออกทะเลไปนานแล้ว เพื่อให้กลับมาดีได้

จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และเจริญพรแก่ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2021 เมื่อ 03:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:54



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว