|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
|||
|
|||
ชีวประวัติคำสอน หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (ตอน ๑)
ชีวประวัติคำสอน หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (ตอน ๑) อ้างอิง หนังสือ จันทร์ศรีผ่องเพ็ญ อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺทาทีโป วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี สงวนลิขสิทธิ์ ... ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไข ทำซ้ำ ด้วยวิธีการใด ๆ เพื่อนำไปจำหน่ายเป็นสินค้า หากผู้ใดประสงค์พิมพ์เพื่อแจกเป็นธรรมทาน อนุญาตให้ดำเนินการได้ โดยคงรักษาต้นฉบับเดิมที่ถูกต้อง และขออนุโมทนาอำนวยพร ........................................... ให้เอาสติควบคุมจิต ดึงเข้ามาอยู่ที่หัวใจ ให้ว่า พุทโธ ๆ จนจิตสงบ แล้วใช้ปัญญาพิจารณากายของตน ตั้งแต่หนังที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่นี้ ให้จิตเห็นเป็นอสุภกรรมฐาน เป็นของสกปรกน่าเกลียด เมื่อตายแล้วไม่มีใครต้องการ สังขารทั้งปวงตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งนั้น โอวาทธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2012 เมื่อ 13:41 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
|||
|
|||
กำไรแห่งชีวิตพรหมจรรย์ หลวงปู่เล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังอยู่เสมอว่า ที่อยู่ในพระพุทธศาสนาจนตลอดรอดฝั่ง และได้รับความผาสุกร่มเย็นมาเป็นลำดับ ก็เพราะช่วงหนึ่งในชีวิตของท่านได้อุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้รับการฝึกหัดทรมานจนได้หลักในการปฏิบัติเรื่อยมา ซึ่งท่านใช้คำว่า เป็นกำไรแห่งชีวิตพรหมจรรย์ ท่านเล่าถึงความหลังด้วยความปีติและระลึกถึงพระคุณของหลวงปู่มั่น อันลึกซึ้งถึงจิตถึงใจไว้ดังนี้ “ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีพระบัญชาให้ไปสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม และบาลีไวยากรณ์ ป.ธ.๓ วัดสุทธาวาส ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) ขณะนั้นท่านยังเป็นเปรียญอยู่ เป็นเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร (ธ) พอออกพรรษาแล้ว คณะศรัทธาญาติโยมชาวจังหวัดสกลนคร ได้พร้อมกันจัดรถไปกราบอาราธนา นิมนต์ให้หลวงปู่ไปโปรดชาวสกลนครบ้าง ต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๔ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จึงได้เดินทางไปสกลนคร พักวัดสุทธาวาส ๑๕ วัน มีพระเณรมากราบนมัสการและรับฟังโอวาทมิได้ขาด จากนั้นท่านก็ออกเดินทางไปพักที่เสนาสนะป่าบ้านนามน พอสมควรแล้วก็เดินทางมาพักที่บ้านโคก (บ้านเกิดพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ) และจำพรรษาที่นั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 04-02-2012 เมื่อ 13:16 |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
|||
|
|||
ณ วัดสุทธาวาส พระมหาเส็ง ปุสฺโส ได้มอบให้หลวงปู่เป็นผู้อุปัฏฐากดูแลประจำทุกวัน หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต มีปฏิปทาฝ่ายวิปัสสนาธุระอันเยี่ยมยอดหาที่เปรียบมิได้ สามารถกำหนดรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตได้”
“ความรู้ของท่านพระอาจารย์มั่นที่มั่นคงอยู่นั้น สุดวิสัยของสัตว์ที่จะรู้ตามเห็นตามได้ เพราะฝ่าอันตรายลงไปหลายชั้นหลายเชิง จึงเห็นธรรมของท่าน ลึกลับสุขุมคัมภีรภาพ จึงเห็นคุณธรรมของท่านเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ถ้าจิตฟูตามกิเลสแล้ว จะไม่เห็นคุณธรรมของท่านเลย ท่านไม่ส่งจิตออกนอก เกรงจะเป็นมิจฉาทิฐิ ท่านพิจารณาแต่กายกับจิต สายตาตกต่ำเพราะท่านสำรวม ท่านทำปัญญาและสติคล่องแคล่วชำนิชำนาญมาก ความรู้ความเห็นของท่านหนักแน่นมาก ท่านพูดธรรมไปไม่มีใครชอนเข็มคัดค้านท่านได้เลย ท่านแนะนำว่า อย่าหลงญาณ ผู้ที่จะพ้นทุกข์จริงแล้วไม่หลง ญาณคือความรู้วิเศษที่เกิดขึ้นจากสมาธิ เช่น ระลึกชาติหนหลังได้ รู้อดีต รู้อนาคต รู้จักความนึกคิดของคนอื่น เป็นวิชาที่น่าอัศจรรย์ทั้งนั้น เมื่อติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ทำให้ล่าช้าในการเข้าสู่อริยสัจธรรม เทวทัตติดกลับเสื่อมได้ เกิดทิฐิมานะแข่งขันสู้พระพุทธเจ้า ฤๅษีทั้งหลายติดญาณอันนี้ ท่านพระอาจารย์หนูใหญ่ติดญาณอันนี้ เสื่อมแล้วก็สึกกันเท่านั้นเอง เล่นนิมิตก็ดี ยินดียินร้ายก็ดี เรียกว่าตะครุบเงาตน เชื่อนิมิตเป็นบ้า ท่านเห็นความรู้นั้นว่า ธาตุจริง ความรู้จริง มันจริงทางวิปัสสนูปกิเลส แต่ทำความรู้นั้นให้ยิ่งจึงเป็นวิปัสสนา ท่านสอนศิษย์ไม่ให้หลงญาณ โยคาวจรเจ้าติดทางนี้มาก ติดพรหมโลกเพราะอ่อนวิปัสสนา” (หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ผู้บันทึก)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2012 เมื่อ 18:02 |
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
|||
|
|||
หลวงปู่เป็นคนปฏิบัติหลวงปู่มั่นจนกระทั่งว่าการบิณฑบาต ตอนเวลาเย็นขนาดนี้ท่านก็เดินจงกรม เมื่อท่านเดินจงกรมเสร็จก็ขึ้นไปบนศาลา ฉันน้ำร้อนน้ำชาเสร็จ ท่านก็ให้โอวาทแก่พระภิกษุสามเณร ซึ่งอยู่ในสำนักนั้นประมาณ ๔๐ หรือ ๕๐ รูป ส่วนครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ก็มี ท่านอาจารย์เทสก์ เทสรํสี ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านพระอาจารย์อ่อน และท่านพระอาจารย์กงมา พอกลางคืนก็ไปนวดให้ท่าน
วันหนึ่งก็มีญาติโยมเขามาอาราธนาท่านว่า การบิณฑบาตนั้นไม่ต้องเข้าไปถึงในเมือง ให้อยู่นอกวัดประมาณสัก ๑๐ เส้น แล้วผู้ที่จะมาใส่บาตรนั้น ก็มีพวกคุณแม่นุ่ม แม่นิล คุณวิศิษฎ์ คุณวิเศษ และกลุ่มลูกหลานที่เขาสร้างวัดมาใส่บาตร หลวงปู่ก็สะพายบาตรให้ พอไปรับบาตรถึงจะเอาใส่มือท่าน และก็ไม่ไกลจากที่รับบาตรขนาดนอกวัด เพราะตอนนั้น อายุท่านประมาณ ๗๐ แล้ว แต่ยังแข็งแรง มีแปลกอยู่วันหนึ่ง ท่านเดินจงกรมตั้งแต่ประมาณตี ๕ จนกระทั่งถึงหนึ่งโมง หลวงปู่ก็ไปอาราธนาท่าน เตรียมบาตรเตรียมอะไรเสร็จแล้ว ไปอาราธนาท่านให้ออกบิณฑบาต ท่านก็บอกว่า “เขายังไม่มา เมื่อคืนนี้เขาไปดูหนัง แล้วมันนอนตื่นสาย มันนึ่งข้าวยังไม่สุก” พอประมาณสักโมงครึ่งท่านก็บอกว่า “เอ้า..ไปหละ” หลวงปู่ก็สะพายบาตรเดินตามหลังไป พอไปถึงที่ ๆ เคยรับบาตร เขามักจะนั่งรถสามล้อสีแดงมา ทีนี้พอเขามาถึง เขาก็นั่งรถสามล้อคันสีแดงนั้นมา มาแล้วเข้าแถวแล้ว ก็เอาบาตรถวายท่าน ท่านก็รับบาตร เมื่อรับบาตรเสร็จ หลวงปู่ก็รับเอาบาตรจากท่านมาสะพาย ทั้งบาตรตนเองด้วย ทีนี้พอกลับมา ก็มีโยมผู้มีศรัทธาไม่ทราบว่าใคร เอาผ้าไหมชนิดอย่างดีเรียกว่า หูกหนึ่ง คือยาวตัดจีวรได้สัก ๒ ตัวโน่นแหละ พอท่านชักบังสุกุลเสร็จแล้ว เราก็รับจากท่านเอาไปเก็บไว้ก่อน ก็ขึ้นบนศาลาหอฉัน แล้วก็จัดอาหารลงบาตร ในขณะนั้น หลวงปู่ได้สังเกต ท่านเอาอาหารอะไรบ้างลงไปในบาตร เอามากเอาน้อยเท่าไหร่ แล้วทีนี้ก็นั่งดูอยู่ ๓ วันก็จำได้ พอวันที่ ๔ ก็จัดอาหารลงบาตรท่านได้ เมื่อท่านฉันเสร็จแล้วก็เหลือนิดหน่อย เราก็เอาบาตรท่านไปล้าง ไปเช็ด ไปผึ่งให้ดีตามปกติที่ท่านเคยทำเอง ทีนี้ส่วนครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ เช่น พระอาจารย์ฝั้น ท่านพระอาจารย์เทสก์ เป็นต้น พอฉันเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า “เอ๋..มหานี้ มีคาถาดีอย่างไร หลวงปู่ท่านถึงไม่ดุ พวกผมไปรับบาตรท่านไม่ได้ มีแต่ท่านดุ แล้วก็มหาองค์เดียวนี้แหละ ที่จัดบาตรท่านได้ หลวงปู่ก็เกิดปีติคือความดีใจ ว่าเราได้ปฏิบัติพระผู้เฒ่าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในขณะนั้นอายุท่านก็ประมาณ ๗๐ ปีเศษแล้ว เมื่อเสร็จจากนั้นก็ไปคุยกัน มีพระมหาน้อย พระมหาปิ่น ซึ่งไปเป็นครูด้วยกัน ชวนกันว่า ไปขอผ้าไหมของท่านไปตัดเสื้อกางเกงซะ ว่างั้น พวกเราก็อยู่ในพรรษา ๘ พรรษา ๙ คิดอยากจะสึกกัน ที่นี้พอประมาณสักเที่ยง ท่านก็เรียกครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัดนั้นไป แล้วก็เอาผ้านั้นไปตัดเป็นผ้าสบงหมด แล้วก็ไปย้อมกรัก เสร็จเรียบร้อยเอาไปถวายเณรหมด พระไม่ให้ เพราะเกี่ยวกับว่าเราคงมาคุยกันว่า เราจะไปขอผ้ามาตัดเสื้อกางเกง ท่านคงจะรู้ นี้เป็นการนึกเอา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-02-2012 เมื่อ 12:27 |
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
|||
|
|||
ทีนี้ครั้นต่อมา ๒ วัน ก็มีโยมเอาผ้ามัสลินอย่างดีมาถวายอีก แต่ก่อนเรียกว่าไม้หนึ่ง ก็ตัดจีวรได้ผืนหรือสองผืนนี้แหละ ทีนี้หลวงปู่ก็เอาผ้านั้นไปวัดจีวรครองของท่านเสียก่อน ท่านไม่ยอมเปลี่ยน หลวงปู่ใช้ไม้บรรทัดวัดกุสิว่า กว้างเท่าไหร่ อนุวาตกว้างเท่าไหร่ วัดเอาตัวเท่าจีวรท่านมาตัด ท่านใช้ขันธ์ ๙ วัดทุกชิ้นทุกส่วนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีสามเณรมาช่วยตัด หลวงปู่เป็นคนตัดเอง พอตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เอาไปให้พวกลูกหลานแม่นุ่ม แม่นิลนั้น เดินจักรให้เสียก่อน แล้วก็มาสอยมือ ประมาณ ๗ วันก็เสร็จ แล้วก็ย้อมแก่นขนุน จนกระทั่งสีได้ที่เหมือนสีสังฆาฏิ
พอเสร็จแล้ว ก็ให้เณรทองคำไปหากิ่งไม้แห้งมาให้ มาปักไว้ที่บันไดท่าน แล้วก็เอาเทียนไขมาจุดไว้แล้วเอาผ้าพาดไว้ หลวงปู่ก็ไปเดินจงกรม คอยดูท่านว่าจะชักผ้าบังสุกุลให้หรือไม่ พอท่านเดินจงกรมเสร็จประมาณ ๒ ทุ่ม ท่านก็ขึ้น ท่านชักเอาผ้าแล้ว ท่านก็ไปถอนจีวรครองของท่านออกตามพระธรรมวินัย แล้วก็พินทุอธิษฐานจีวรที่หลวงปู่ตัดเอาไปถวายท่านนั้น ท่านเอาเป็นจีวรครอง พอตื่นเช้ามาจีวรเก่าของท่านนั้นมันขาด ท่านปะโน่นปะนี่ เราก็เอาไปซักให้ดีแล้วก็มาเย็บเป็นผ้าปูนอนหรือที่นอนของท่าน อันนี้ก็เรียกว่าได้ปฏิบัติท่านอย่างใกล้ชิด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2012 เมื่อ 17:22 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
|||
|
|||
มีอยู่วันหนึ่งท่านสั่งว่า "มหา..วันนี้ให้ไปปูเสื่อ จัดอาสนะ ดูความสะอาดเรียบร้อยศาลา จะมีคนมา" แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่าใคร เราก็ไปจัดการ พอสาย ๆ พ.ต.อ.ขุนศุภกิจวิเลขการ ข้าหลวงประจำจังหวัดสกลนคร มาหาหลวงปู่มั่น พอไปถึง ท่านทักขึ้นทีแรกเลยว่า “เมาหรือเปล่า ?” พ.ต.อ.ขุนศุภกิจฯ ตอบว่า “นิดหน่อยครับ” แล้วก็ไปกราบหลวงปู่มั่น ท่านก็ถามว่า “อยากอยู่นาน หรืออยากตายเร็ว ?” ” พ.ต.อ.ขุนศุภกิจฯ ตอบว่า “อยากอยู่ครับ” “ถ้าอย่างนั้น ให้เลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่ ไม่อย่างนั้น อายุ ๕๐ ปีก็ตาย” ” พ.ต.อ.ขุนศุภกิจฯ ก็เลยเลิกหมด อยู่มาได้จนอายุ ๙๐ กว่าปี มาตอนหลัง ย้ายมาเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดอุดรธานี
ในปีนี้ (พ.ศ. ๒๔๘๔) หลวงปู่สอบได้ ป.ธ. ๔ ซึ่งท่านเล่าถึงเรื่องดังกล่าวว่า อยากสอบได้ก็ไปเรียนถามหลวงปู่มั่น “หลวงปู่ ๆ ผมสอบประโยค ๔ ตกมาตั้ง ๓ ปีแล้ว เขาจะออกอะไร ?” ท่านหัวเราะ ท่านบอกว่า “เขาด่าโกรธไหม ? เขายกย่องดีใจไหม ?” เรียนท่านว่า “เขาด่าก็โกรธ ถ้าเขาสรรเสริญก็ยินดี” ท่านกล่าวว่า “มันมีไหมล่ะ ในหลักสูตร ?” เรียนท่านว่า “มีกระผม” ท่านกล่าวว่า “อะไรล่ะ ?” เรียนท่านว่า “โลกธรรม ๘ มันอยู่ในมงคลภาค ๒ กระผม” อีกสามวันที่ไปนวดให้ท่านทุกวัน ๆ วันที่สามท่านก็เลยถามว่า “มหา ๆ ตัดจีวรเป็นไหม ?” เรียนท่านว่า “ที่หลวงปู่อธิษฐานเป็นผ้าครองนั้น กระผมก็ดีใจมาก” ที่นี้เวลามาสอบครั้งแรก แม่กองธรรมสมัยนั้นคือ สมเด็จพระวันรัต (ปลด กิตติโสภโณ) วัดเบญจมบพิตร เป็นแม่กองฯ พอสอบแล้วบอกว่าประโยค ๓ ประโยค ๔ ปัญหารั่ว ยกเลิกไม่ตรวจ เสียใจมากตอนนั้น ที่นี้พอประกาศยกเลิกไม่ตรวจแล้ว ก็ขึ้นไปเที่ยวขอนแก่น เที่ยวขอนแก่นอยู่ประมาณ ๗ เดือน และก็สั่งเพื่อนไว้ว่า ถ้าแม่กองฯ ประกาศสอบใหม่ให้โทรเลขไปที่วัดศรีจันทร์ ตอนหลวงปู่ออกไปบ้านนอกโทรเลขไปว่า ให้ประโยค ๓ ประโยค ๔ สอบใหม่ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๗ ก็เตรียมตัวลงกรุงเทพฯ มาวันหนึ่งก็เอาหนังสือมาดู ดูไปดูมา จิตมันไม่จำ ก็เลยเอาหนังสือมากองรวมไว้บนโต๊ะ แล้วก็กราบ แล้วนั่งสมาธิ พอจิตมันรวมแล้ว ปรากฏหลวงปู่มั่นถามว่า “มหา ๆ ตัดจีวรเป็นไหม ?” ดังขึ้นที่หู ๓ ครั้ง ก็เลยมากราบหนังสือ แล้วก็เปิดหาประโยคตัดจีวร เป็นภาค ๑ ของมงคลทีปนี ก็ดูอยู่ประมาณ ๔-๕ วัน ดูแต่อันเดียวนั่นแหละ ได้แปลตามเผด็จสำนวนแปลของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันนี้บ้าง ของท่านเจ้าคุณพระอริยเวที (เขียน) บ้าง ท่านกำลังสอบประโยค ๙ อยู่ แปลให้คล่องเลย เวลาออกมาตรงเป๊ะ จึงสอบได้ประโยค ๔ ปีนั้น ท่านพูดอีกคำหนึ่งว่า เอาประโยค ๔ พอ ถ้ามากประโยคกิเลสมันมาก ว่าอย่างนั้น พยายามสอบประโยค ๕ อยู่เจ็ดปีก็ไม่ได้” “ในวันหนึ่ง พอกลางคืนหลวงปู่ก็ไปนวดให้ท่าน นวดไป ๆ ก็เรียนถามท่านว่า “หลวงปู่ ๆ จิตเป็นโสดา สกิทาคา อนาคา มันเป็นอย่างไร ?” ท่านไล่ลงไปเดินจงกรม ไปเดินจงกรมได้ ๒ ชั่วโมง จิตมันไม่รวม จึงขึ้นมาบนกุฏิ กราบเรียนท่านว่า จิตมันฟุ้งซ่าน มองเห็นแต่หน้าสตรี ท่านก็ไล่ลง ให้ไปเดินอยู่อย่างนั้นแหละ พอเดินไปเดินมาขึ้นมาอีก พอวันที่ ๗ ท่านทรมาน ประมาณตั้งแต่ ๔ ทุ่ม ให้หลวงปู่นั่งสมาธิ ท่านก็นอนอยู่บนเตียงนี่แหละ ทีนี้ท่านคุมจิตเรา เวลาท่านคุมจิต จิตเรามันคิดไปไหน ๆ ท่านก็ทักเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราเกิดความรู้สึกกลัวท่าน ท่านรู้จักวาระจิตเราจริง ๆ ไม่กล้าคิดไปไหน ท่านบอกว่า ให้เอาสติควบคุมจิต ดึงเข้ามาอยู่ที่หัวใจ ให้ว่า พุทโธ ๆ จนจิตสงบ แล้วใช้ปัญญาพิจารณากายของตนเอง ตั้งแต่หนังที่หุ้มห่อร่างกายอยู่นี้ ให้จิตเห็นเป็นอสุภกรรมฐาน เป็นของสกปรกน่าเกลียด เมื่อตายแล้วไม่มีใครต้องการ สังขารทั้งปวงตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งนั้น เวลา ๐๒.๐๐ น. จิตของหลวงปู่สงบจากอารมณ์ภายนอกที่จะมาสัมผัส เกิดความสว่างขึ้นกับจิต พอจิตรวมได้ รู้สึกว่ากายมันเบา นั่งอยู่ตลอดจนกระทั่งถึงตี ๕ ท่านก็บอกว่า “เอ้า มหา ก่อนที่จะถอนจิตนั้น ให้ตั้งสติสัมปชัญญะ ทวนกระแสจิตดูซิว่า ก่อนจิตจะสงบได้นั้นมันยึดอารมณ์อะไร ?” หลวงปู่ ก็ทวนกระแสจิต ๑๐ ครั้ง ว่าเราทำอย่างไร จิตถึงได้รับผลอย่างนี้ ท่านบอกให้กราบ ๓ ครั้ง แล้วท่านพูดว่า “วันนี้มหาภาวนาได้ดีพอสมควร จำวิธีพิจารณาจิตไว้นะ อย่าปล่อย ให้ทำภาวนาอย่างนี้ทุกวัน” แล้วก็กราบพระ เตรียมไปบิณฑบาต หลวงปู่ก็ได้หลักใจจากหลวงปู่มั่น ตั้งแต่บัดนั้นมา กระทั่งว่าอยู่มาจนกระทั่งบัดนี้ เรียกว่าเป็นโชคดี ตอนนั้นอายุ ๒๙ ปีเตรียมจะลาสิกขาอยู่แล้ว ในตอนนั้นก็มีลูกสาวทนาย มาใส่บาตรอยู่เรื่อย..สวย..บางทีก็มาขอสบงจีวรของหลวงปู่ไปซัก หลวงปู่ก็ไม่ให้ หลวงปู่ได้หลักฐานการปฏิบัติสมถวิปัสสนากัมมัฏฐานจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิปัสสนาธุระ เป็นพระบูรพาจารย์ของพระธุดงค์กัมมัฏฐานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคอีสาน การที่ได้รับการศึกษาอบรมจิตภาวนากับท่าน ๑๕ วัน สามารถทำจิตของตนให้มั่นคงในการดำรงเพศสมณะ ตั้งแต่นั้นมาพยายามภาวนาตามแบบที่ท่านสอน คือ เอาพุทโธคำเดียวนั่นล่ะ และก็พิจารณาอสุภกรรมฐานไปด้วย ผลที่รับคือจิตสงบเยือกเย็นจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ที่จะมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ได้รับแสงสว่างอันเกิดจากภาวนาตามสมควรแก่ฐานะ นับว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ซึ่งเกิดจากดวงจิตของหลวงปู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ถึงกับท่านพูดกับหลวงปู่ว่า มหา..ภาวนาเป็น ควรเลิกเรียนปริยัติ ออกปฏิบัติกัมมัฏฐานอีกจะได้พ้นทุกข์ ประสบแต่ความสุขกาย สุขใจ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก ดังนี้เป็นต้น เป็นอันว่า ได้อุปัฏฐากใกล้ชิดกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ชั่วระยะหนึ่งเป็นเวลา ๑๕ วัน ท่านจึงจากไป ในปีนั้นหลวงปู่ได้กำไรแห่งชีวิต ทำศาสนกิจอยู่ในเพศพรหมจรรย์จนถึงปัจจุบัน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2012 เมื่อ 13:50 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|