กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-05-2021, 22:54
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,529
ได้ให้อนุโมทนา: 215,924
ได้รับอนุโมทนา 736,963 ครั้ง ใน 35,904 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 30-05-2021 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-05-2021, 23:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ หลายท่านก็คงเห็นคณะรวมใจภักดิ์ของท่านอาจารย์วิชชุ อารมณ์ดี มาช่วยดูแลแปลงเกษตรสาธิตของทางวัดท่าขนุนให้ ทางวัดของเราตอนนี้ก็เท่ากับว่ามีแปลงเกษตรสาธิตอยู่ ๓ ส่วน

ส่วนหนึ่งก็คือ แปลงสาธิตโครงการผักสวนครัวรั้วกินได้ ของชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน ก็คือตรงจุดที่ผมตั้งใจซื้อเอาไว้เพื่อสร้างกุฏิเจ้าอาวาส แล้วกลายเป็นแปลงผักไปแทน

ส่วนที่สอง แปลงสาธิตเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยศาสตร์พระราชา ซึ่งพอถึงเวลาแล้วก็ขาดคนดูแล ผมก็เลยต้องขอร้องคณะของท่านอาจารย์วิชชุมาช่วยดูแลต่อให้

ส่วนที่สามก็คือ แปลงสาธิตตามโครงการปลูกผักสวนครัวทั่วกาญจน์ต้านภัยโควิด-๑๙ ซึ่งทางจังหวัดกาญจนบุรีเซ็นต์เอ็มโอยูร่วมกับหน่วยราชการและคณะสงฆ์ ซึ่งความจริงแล้วน่าจะมีแปลงสาธิตโคกหนองนาอีกสักจุดหนึ่ง แต่พื้นที่ของเรามี
ไม่พอที่จะทำเพิ่มได้

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วเป็นพื้นฐานของชาติไทยเรามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ก็คือประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรม พอเริ่มมาเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมก่อนผมเกิดไม่กี่ปี ก็เกิดการตัดไม้ทำลายป่าขนานใหญ่ เพราะว่าต้องการปลูกพืชผลการเกษตรเพื่อการส่งออก ซึ่งสมัยผมเรียนหนังสือชั้น ป.๒ ป.๓ ก็ต้องท่องแล้วว่า สินค้าส่งออกของประเทศไทยเราก็คือไม้สัก ยางพารา ข้าว ข้าวโพด นอกจากไม้สักที่แต่เดิมยังไม่มีการปลูกแล้ว อย่างอื่นล้วนแล้วแต่ต้องใช้พื้นที่ในการปลูกมาก

ในเมื่อต้องทำเป็นสินค้าส่งออก ก็เลยมีการตัดไม้ทำลายป่ากันขนานใหญ่ จนบ้านเราถึงปัจจุบันนี้มีพื้นที่ป่าเหลือแค่ ๑๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าหากว่าตามตัวเลขที่กรมป่าไม้รายงานมา มีประมาณ ๒๓ เปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นเพราะดาวเทียมฉลาดน้อยไปหน่อย สแกนลงมาเจอสีเขียว ๆ ของสวนปาล์ม ของสวนยางพาราก็นับเป็นป่าทั้งหมด

ถ้าหากว่าสังเกตดู คนทองผาภูมิของเรา ช่วงเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาดตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปีนี้ ประมาณ ๒ ปี มีผลกระทบน้อยมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วทุกคน แม้แต่ท่านที่มีกิจการร้านค้าในตลาด ก็จะมีสวนของตนเอง ส่วนใหญ่ก็ปลูกพืชผักผลไม้อยู่ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือพี่น้องมอญพม่าซึ่งไม่มีที่ดินของตนเอง ส่วนใหญ่ก็ทำงานรับจ้าง แต่ถ้าพวกท่านสังเกตจะเห็นว่า ปัจจุบันนี้จำนวนมากเริ่มเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ แล้ว แต่ถ้าบอกว่าเจ้าของกิจการเล็ก ๆ ถ้าอย่างร้านลัดดาวัลย์ที่เขาเซ้งไป อันนั้นก็ไม่ถือว่าเล็ก เพราะว่าแทบจะเป็นร้านขายส่งขนาดใหญ่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-05-2021 เมื่อ 14:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 29-05-2021, 23:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พี่น้องมอญพม่าที่มาบ้านเรา ก็เหมือนกับสมัยก่อนที่คนจีนมาแบบเสื่อผืนหมอนใบ ก็คือต้องขยันขันแข็งถึงจะเอาตัวรอดได้

แล้วพี่น้องมอญพม่ามีค่านิยมอยู่อย่างหนึ่ง เนื่องจากการปกครองในบ้านเมืองของตนเองไม่เหมือนที่อื่น เพราะว่าอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลทหารมาเกิน ๔๐ - ๕๐ ปี วันดีคืนดีทหารก็ยกเลิกเงิน เปลี่ยนมาใช้เงินรุ่นใหม่ เงินรุ่นเก่าก็กลายเป็นเศษกระดาษไม่มีราคา พี่น้องมอญพม่าก็เลยเคยชินกับการที่ทำงานได้เงินแล้วซื้อทองเก็บไว้ พอซื้อทองสลึงหนึ่งก็ซื้อสลึงหนึ่ง พอซื้อทอง ๕๐ สตางค์ก็ซื้อ ๕๐ สตางค์ พอซื้อทองหนึ่งบาทก็ซื้อบาทหนึ่ง ตรงจุดนี้ทำให้ทุกคนมีเงินออมที่มั่นคงมาก

คนไทยของเราไม่มีตรงจุดนี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้เงินแบบไม่คิด แล้วจำนวนมากด้วยกันก็เป็นหนี้บัตรเครดิต และที่จำนวนมากกว่านั้นก็คือมีบัตรเครดิตมากกว่า ๑ ใบ รูดเงินจากบัตรใบที่ ๒ มาโปะใบที่ ๑ รูดเงินจากบัตรใบที่ ๓ มาโปะใบที่ ๒ ท้ายสุดก็เป็นหนี้ท่วมหัว ขาดหลักสันโดษในการดำเนินชีวิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หลักสันโดษขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เปลี่ยนมาใช้คำว่า "พอเพียง" พระองค์ท่านพยายามที่จะบอกกล่าวพวกเราว่า พอเพียงไม่ได้แปลว่าจน เพราะว่าหลักสันโดษนั้นมี ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังของตนที่หาได้ ถ้าไปบอกตระกูลสิริวัฒนภักดีหรือว่าตระกูลเจียรวนนท์ ระดับเขาหาได้เป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ยืนยันได้ว่าหลักสันโดษไม่ใช่จน

สำคัญอยู่ตรงข้อสุดท้าย ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน คนไทยเราส่วนใหญ่ขาดข้อสุดท้ายนี้มาก ใช้จ่ายเงินเกินตัว กู้เงินทุกรูปแบบที่กู้ได้ เพื่อที่จะเสาะหาสิ่งต่าง ๆ มาเป็นหน้าเป็นตาของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรถ เป็นของใช้แบรนด์เนม เป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด แล้วก็เป็นหนี้เป็นสินกันรุงรัง

ถ้าหากว่าเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องนี้จะไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสถึงหลักโภควิภาค คือการแบ่งทรัพย์สินเอาไว้ เมื่อหาได้มาแล้ว พระองค์ท่านตรัสว่า

เอเกนะ โภเค ภุญเชยยะ ๑ ส่วนเอาไว้ใช้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ทวีหิ กัมมัง ปะโยชะเย ๒ ส่วนใช้ในการลงทุนให้เกิดดอกเกิดผล ก็คือใช้ในหน้าที่การงานที่เราจะต้องทำ จะตุตถัญจะ นิธาเปยยะ ส่วนที่ ๔ เก็บเอาไว้ในลักษณะของทรัพย์สินที่เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งก็คือเงินออม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-05-2021 เมื่อ 16:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 29-05-2021, 23:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าลักษณะนี้เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราออมเงินจากรายได้ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าแบ่งเป็น ๔ ส่วน ที่โบราณเขียนเป็นโคลงเป็นกลอนว่า

ทรัพย์มีสี่ส่วนไซร้..................ปูนปัน
ส่วนหนึ่งพึงเกียดกัน...............เก็บไว้
สองส่วนคิดควรผัน การกิจ..........งานนา
เหลืออีกส่วนควรใคร่ ไว้ใช้..........ยามจน

๒๕ เปอร์เซ็นต์นะครับ แล้วดูว่าคนไทยเรา ปัจจุบันมีกี่ครอบครัวที่มีเงินออม ๒๕ เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ?

ท่านทั้งหลายเป็นพระเป็นเณร ตรงส่วนนี้ไม่จำเป็น ผมก็ไม่เคยออม แต่สำหรับฆราวาสนั้น จำเป็น อย่างที่มีบางท่านกล่าวว่า "เป็นพระต้องมีมนต์ เป็นคนต้องมีเงิน เขาถึงจะนับถือ" หรือบางทีก็กล่าวกันว่า "มีเงินเขานับเป็นน้อง มีทองเขานับเป็นพี่" สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คือภูมิปัญญาที่ตกผลึก เมื่อนำมาบอกกล่าวกันแล้ว เป็นสิ่งที่เถียงได้ยากครับ

การออมเงินนั้นก็เท่ากับหลักไม่ประมาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมคำสอนของพระองค์ท่าน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ในเมื่อคนไทยเราขาดตรงจุดนี้ ส่วนหนึ่งเมื่อเกิดสถานการณ์ยากลำบากขึ้นมา ก็ทำให้ลำบากมาก แล้วก็จะมีภาพอย่างเช่นพี่น้องมอญพม่าที่จังหวัดภูเก็ต นำเอาข้าวสารอาหารแห้งไปไล่แจกคนไทย พอนักข่าวไปสัมภาษณ์ ก็บอกว่าตนเองทำมาหากิน มีเงินมีทองก็เพราะประเทศไทยไม่กีดกัน เมื่อคนไทยลำบากจึงต้องมาช่วย

แล้วปัจจุบันนี้กิจการส่วนใหญ่ในทองผาภูมิ พี่น้องมอญพม่าเป็นเจ้าของไปน่าจะเกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว สังเกตไหมครับ..โดยเฉพาะร้านขายโทรศัพท์มือถือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกไม่นานพี่น้องมอญพม่าในบ้านเราก็จะเหมือนอย่างกับบรรพบุรุษชาวจีน ก็คือกลายเป็นเจ้าของกิจการหลัก ๆ แล้วคนไทยเราจะยืนอยู่ตรงไหน ?

โดยเฉพาะลูกหลานไทยในปัจจุบันนี้ เป็นอะไรที่จับจด กลวงเปล่า งานก็ไม่เป็น เรียนก็ไม่เอา มีแต่จะขอเงินพ่อแม่ใช้เท่านั้น ในเมื่อการงานก็ทำไม่เป็น อ้างว่าหนัก เรียนก็ไม่เอา แถมยังลดเวลาเรียนลงไปอีก แล้วจะเอาความรู้ความสามารถที่ไหนไปแข่งขันกับคนอื่น คาดว่าชีวิตของผมที่เหลือ น่าจะมีโอกาสได้เห็นคนไทยเป็นลูกจ้างมอญพม่ากัน..!

สมัยก่อนคนไทยเรา โดยเฉพาะภาคอีสานเป็นลูกจ้างเถ้าแก่คือคนจีน ปัจจุบันนี้ลองดูสิครับ..ถ้าเข้าไปที่มหาชัย เมืองพม่าชัด ๆ..! ป้ายโฆษณาทุกอย่าง แม้กระทั่งตู้เอทีเอ็มต้องมีภาษาพม่า แล้วบรรดาเจ้าของกิจการก็คือพี่น้องมอญพม่า

ดังนั้น ในส่วนนี้ถ้าหากว่าทุกท่านระลึกได้ หรือว่าศึกษาถึง เคยได้ยินมา อยู่ได้นานพอ จะได้ยินหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงบอกไว้ชัดเจน บอกกับลูกศิษย์ว่า มีที่ดินอย่าขาย ปลูกพืชผักผลไม้เอาไว้บ้าง ถึงเวลาลำบาก โดยเฉพาะภาวะสงคราม จะได้มีกินมีใช้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2021 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 29-05-2021, 23:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ค้นคิดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมา ก็เน้นในเรื่องของเกษตรทฤษฎีใหม่ ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ก็เน้นเรื่องของโคกหนองนา เพราะว่าพื้นฐานบ้านเราจริง ๆ อยู่ได้ด้วยการเกษตร ไม่ว่าจะโรงงานอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีพืชผลการเกษตรจะไปได้อย่างไร จะเอาผลผลิตที่ไหนมา โดยเฉพาะข้าวที่จำเป็นต้องกิน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ส่วนที่ผมทำเอาไว้ ที่ดูแล้วก็คือปัจจุบันนี้ยังเป็นแค่แปลงสาธิตเวลาคนมาดูงานเท่านั้น เพราะว่าส่วนหนึ่งถ้าไม่ใช่ตนเองมีเรือกสวนไร่นาอยู่แล้ว ก็ไม่ได้สนใจที่จะทำ เห็นว่าเป็นงานยาก ทำแล้วไม่เท่ ตากแดดตัวดำ ต้องทำงานในห้องปรับอากาศเท่านั้น

ซึ่งแนวคิดแบบนี้มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้วครับ ถึงได้มีคำว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง" สอนลูกให้พยายามรับราชการไว้ ถึงเวลาจะได้เป็นใหญ่เป็นโต สอนได้ครับ แต่เด็กเอาไหม ? โดยเฉพาะเด็กสมัยนี้ที่ก้มหน้าก้มตาเล่นแต่โทรศัพท์มือถือ เล่นแต่เกม ถ้าพ่อแม่ไม่กล้าเข้มงวดด้วย อีกไม่นานจะได้เห็นลูกหลานตัวเองเป็นคนงาน ซึ่งจะมีเจ้านายเป็นคนมอญคนพม่า น่าภูมิใจนะครับ..!

ตรงส่วนนี้ผลกระทบต่อเราคงจะมีน้อย เพราะว่าพี่น้องมอญพม่าขยันทำบุญ แต่ที่จะกระทบมากก็คือกระทบต่อญาติโยมทั้งในที่นี้และที่อื่น แม้กระทั่งที่อยู่ในต่างประเทศ คิดหาทางขยับขยายกันให้ทันนะครับ ไม่อย่างนั้นแล้วกิจการงานทั่วไปในภายหน้า อาจจะต้องสื่อสารกันด้วยภาษาพม่าหรือภาษาอังกฤษก็เป็นได้

ก่อนจบ...บอกกล่าวเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตรงนี้เลยก็คือ ผมแลกเงินดอลลาร์เป็นเงินไทยหมดแล้ว..! ขอบคุณมากครับ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-05-2021 เมื่อ 16:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:20



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว