กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนสิงหาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 31-08-2022, 19:46
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,524
ได้ให้อนุโมทนา: 215,913
ได้รับอนุโมทนา 736,882 ครั้ง ใน 35,896 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 31-08-2022, 23:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ต้องบอกว่าทุกวันพุธงานจะมาก แล้วถ้าเป็นวันพุธสิ้นเดือนก็ต้องจ่ายหนักมาก..!

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทางวัดต้องจ่ายค่าสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนต้องจ่ายงวดละ ๘ ล้านบาท แล้วจ่ายค่าก่อสร้างตลาดชุมชนริมฝั่งแม่น้ำแควน้อยอีก งวดหนึ่งประมาณ ๒ ล้านเศษ แค่ ๒ รายการนี้ เดือนหนึ่งก็ตกประมาณ ๑๐ ล้านบาทเข้าไปแล้ว ถ้าเป็นพวกคุณก็เป็นลมตาย..!

เรื่องพวกนี้อย่างที่เมื่อวานที่กระผม/อาตมภาพได้กล่าวไปแล้ว ว่าเราต้องมีความมั่นใจ กระผม/อาตมภาพสร้างเกาะพระฤๅษีฯ ขึ้นมาจากพื้นดินเปล่า ๆ ใช้เวลาแค่ปีกว่า มีอาคาร ๑๐ กว่าหลัง รวมทั้งอาคารแทนโบสถ์ด้วย โดยที่พระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล พระน้องชายท่านเตือนว่า "หลวงพี่ครับ ถ้าเฝือนี่ติดหนี้หัวโตเลยนะครับ" คำว่า "เฝือ" ก็คือกำลังใจของเราผิดพลาด

แต่คราวนี้ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพ เป็นคนที่นอกจากช่างสังเกตแล้ว สิ่งหนึ่งประการใดที่ฝึกฝนอยู่ก็ยังซ้อมแล้วซ้อมอีก ย้ำแล้วย้ำอีก โดยเฉพาะสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ หลายอย่างเป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติทิพจักขุญาณ แต่คนส่วนมากมักจะมองข้ามไป

อย่างเช่นที่ท่านบอกว่า "ให้เชื่ออารมณ์แรกที่เกิดขึ้น" พวกที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วมาเสียตรงนี้ ร้อยละ ๘๐ - ๙๐ เลย..! ก็คือพอเกิดความรู้สึกขึ้น แล้วก็ "เอ๊ะ..จะใช่หรือ ?" เอ๊ะ..เมื่อไรก็เจ๊งเมื่อนั้น..! พอถึงเวลาเราเปลี่ยนแปลงไป ก็ปรากฏว่าผลออกมาตามความรู้สึกแรกจริง ๆ ดังนั้น..ตรงเรื่องของเคล็ดลับต่าง ๆ บางทีเราก็ต้องมีประสบการณ์ด้วยตนเอง จนกระทั่งจดจำได้

สมัยที่กระผม/อาตมภาพฝึกทิพจักขุญาณอยู่ ไม่ได้เหมือนกับที่พวกท่านฝึกนะครับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้
กระผม/อาตมภาพไปนั่งข้างถนน หลับตาลง วางกำลังใจสบาย ๆ ในระดับที่จะรับรู้ทุกอย่างได้ พอเสียงรถยนต์วิ่งมา ให้ถามตัวเองเดี๋ยวนั้นเลยว่ารถยนต์คันนี้สีอะไร ? พอความรู้สึกมีคำตอบขึ้นในใจ ให้จดใจไว้แล้วลืมตาขึ้นมาดู จะพิสูจน์ได้ในระยะเวลาแค่ไม่กี่นาที หรือไม่กี่วินาที ถ้าถูกให้จดจำอารมณ์นั้นไว้ ถ้าผิดให้ลืมเสียแล้วเริ่มต้นใหม่

ถ้าหากว่าทายถูกประมาณ ๘ ใน ๑๐ คันแล้ว ให้เพิ่มรายละเอียดว่า รถยนต์คันนั้นสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ?

เมื่อถูกถึงขนาด ๘ ใน ๑๐ คันแล้วก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีกว่ารถยนต์คันนั้นสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ?
อย่าคิดว่ายุ่งยากนะครับ ความเป็นทิพย์นี่เร็วมหาศาลเลย แค่ช่วงการรับรู้ไม่ถึงวินาทีนี่ บางทีอธิบายออกมาได้หลายหน้ากระดาษ..!

จนกระทั่งท้ายสุดรถยนต์คันนั้นสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? ผู้หญิงกี่คน ? ผู้ชายกี่คน ? แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ? แม้กระทั่งเลขทะเบียนอะไรก็บอกถูก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2022 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 01-09-2022, 00:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพียงแต่ว่าถ้าพวกท่านจะฝึกจริง ๆ ขอให้อยู่คนเดียวนะครับ ของกระผม/อาตมภาพกองเชียร์เยอะ อย่างพวกเจ๊เกียง (นางสาวมาลินี ตีรเลิศพานิช) เจ๊นี๊ (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) พอถึงเวลา ๗ คน ๘ คน อยู่ข้างหลัง ทายถูกปุ๊บก็เฮ ตบมือชอบใจ ถ้าสมาธิไม่ดีนี่พังฉิบหายตั้งแต่แรกเลย..!

ในเมื่อมีการซักซ้อมแบบนั้น จนกระทั่งจำแม่นว่าอารมณ์อะไรที่ใช่ วางกำลังใจแบบไหนถูก แบบไหนไม่ถูก แล้วค่อยไปลองอย่างอื่น ก็เปลี่ยนจากการรู้เรื่องพวกนี้ไปดูใจชาวบ้านเขา แต่จนกระทั่งทุกวันนี้
กระผม/อาตมภาพเองก็นั่งเซ็ง ๆ อยู่ ก็คือพอพูดอะไรไป ไอ้พวกเราก็จะไปว่าใครฟ้อง ? "หลวงพ่อไม่อยู่ รู้ได้อย่างไร ?" ไม่ได้คิดในแง่ดีเลย กลายเป็นไปจับผิดคนอื่นเพิ่มขึ้นอีก..!

เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ของแปลก ในสมัยพุทธกาลเขาทำกันได้จนกระทั่งเป็นสาธารณะ แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ คนที่ทำได้ก็มีมากต่อมากด้วยกัน เพียงแต่เขาไม่ได้มาแสดงให้พวกเราดู เนื่องจากว่าบุคคลที่รู้จริง จะต้องรู้ด้วยว่าสามารถแสดงออกได้เท่าไร สามารถพูดได้เท่าไร บางทีกระผม/อาตมภาพไปเจอที่ญาติโยมส่งมาในกลุ่มไลน์ เห็นแล้วจะเป็นลม..! คือบ้านเรา "ไอ้พวกโง่แล้วขยัน" มีมากเป็นพิเศษ

พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องอะไรมา ด้วยความสามารถระดับของท่านจะพอเหมาะ พอดี พอควร ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเราไปเติมก็เกิน ถ้าตัดก็ขาด อย่างเช่น ท่านเล่าเรื่องอดีตชาติให้ฟัง ก็จะมี "ไอ้ควายพวกนี้" ไปฟันธงออกโซเชียลว่า หลวงพ่อเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นพระองค์นี้ นี่ถ้าหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่
กระผม/อาตมภาพรับประกันว่าได้รางวัลแน่นอน..! เพราะว่าเท่ากับละเมิดเบื้องสูง ไปดึงฟ้าต่ำ หาเรื่องเดือดร้อนเพราะมาตรา ๑๑๒ ให้ท่าน..!

หรือไม่ที่
กระผม/อาตมภาพเล่าเรื่องพระองค์ที่ ๑๐ พระองค์ที่ ๑๑ ก็มี "ไอ้โง่บางคน" ไปบอกว่า พระพุทธเจ้าเหยียบรอยเท้าบนผ้าขนหนูประทานให้ แล้วคุณคิดว่าคนทั้งโลกจะคิดไหมว่าพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ?

เรื่องบางเรื่อง คนทั่วไปเขารับไม่ได้ไม่พอ ยังจะปรามาสพระรัตนตรัยอีก แล้วเราเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำไปแล้วจะก่อทุกข์ก่อโทษให้คนอื่นมากมายเท่าไร ในเมื่อไปฟันธงอย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่คนอื่นพูดไว้พอดี พอเหมาะ พอควร แต่ดันไปเติมเข้าก็กลายเป็นเกิน แล้วก็ยังทะลึ่งภูมิใจอีกว่า "กูรู้" แล้วก็รีบบอกคนอื่น อวดโง่ชัด ๆ...!

ฉะนั้น...หลายต่อหลายเรื่อง ก่อนที่เราจะนำลงโซเชียล โปรดพินิจพิจารณาให้รอบคอบ ว่าจะสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับคนอื่นมากมายแค่ไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2022 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 01-09-2022, 00:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้กระผม/อาตมภาพได้เซ็นอนุญาตให้ Pada ชื่อจริงก็คือนางสาวฌานิยา ลิขิตกุล นำเอาเนื้อหาเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเทศน์ การเขียนในเว็บวัดท่าขนุน ไปเผยแพร่ได้ แต่ต้องไม่เป็นไปเพื่อการพาณิชย์

แต่ก็ยังมีหลายคนที่พยายามอวดฉลาดว่า
กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวไว้นานแล้วว่าเรื่องของธรรมะไม่หวง ใช่...ไม่หวง แต่มึงควรที่จะมีมารยาทบ้างไหม ? ไม่ใช่ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เขาไม่หวงของในบ้าน แล้วมึงก็เดินเข้าไปหยิบใช้สบายใจเฉิบ ช่วยบอกสักคำได้ไหม ? ความมีมารยาท ความมีกาลเทศะ ไปอยู่ที่ไหนหมด ?

โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพไม่หวง แต่ไม่ใช่ว่าผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเปิดเว็บเพจ เปิดเฟซบุ๊ก เปิดเว็บไซต์ เขาจะไม่หวงไปด้วย เพราะถ้าหากว่ากิเลสเท่ากัน หรือกิเลสมากกว่าคุณ คุณอาจจะเดือดร้อน ก็เลยเอาตัวอย่างที่ทางวัดท่าขนุนขออนุญาตนำเรื่องของท่านอาจารย์วศิน อินทสระก็ดี ท่านอาจารย์แสง จันทร์งามก็ดี มาลงในเว็บไซต์วัดท่าขนุนว่า เรามีการทำหนังสือขออนุญาต เมื่อได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องแล้ว ยังต้องมีหนังสือขอบคุณอีกต่างหาก

เรื่องพวกนี้เป็นมารยาทในสังคม ถ้าคุณจะไปอ้างว่า คุณอยู่ในสังคมโดยไม่ต้องใช้มารยาทก็ได้ ผมเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าคุณเป็นผู้ปฏิบัติธรรมจริง คุณมาสนใจอะไรกับมารยาทของผม ไอ้นั่นก็ควายอีก..! ก็ในเมื่อเราอยู่ร่วมกับคนอื่น แล้วดันไปทำตัวเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น

อย่างบางคน พ่อท้วงบอกว่าผมยาวเกินไป ไปตัดผมซะบ้าง ก็ยังอุตส่าห์เถียงพ่อว่า "ผมอยู่บนหัวของผม พ่อเป็นนักปฏิบัติธรรม มายุ่งอะไรกับตัวผมด้วย" ลักษณะอย่างนี้เขาเรียกว่าปล่อยวางแบบวางลงบนกบาลคนอื่น..!

ตราบใดที่ตัวคุณยังอยู่ในสังคม ก็โปรดเกรงใจสังคมเขาบ้าง ไม่ใช่ว่านึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจตัวเอง การทำตามใจตัวเองโดยไม่ดูกาลเทศะ ก็มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเอง

โดยเฉพาะสมัยนี้พวกเกรียนคีย์บอร์ดมีเยอะ แสดงความคิดเห็นอะไรผิดพลาดหน่อยเดียว ก็โดนถล่มจนไม่มีที่จะไป แล้วมาคุยว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่กำลังใจหยาบจนไม่รู้ว่ากาย วาจา ใจ ตัวเองเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเท่าไร คิดอยู่อย่างเดียวว่ากูทำแบบนี้แล้วถูก

ตราบใดที่เรายังสร้างกรรมอยู่ การที่จะตัดวิบากกรรม เพื่อที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เป็นเรื่องที่ยากมาก จึงต้องพยายามลดกรรมใหม่ให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะได้มีเวลาชดใช้กรรมเก่า ไม่ใช่สร้างหนี้เพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน

ถ้าหากว่าเราหยุดสร้างกรรมใหม่ ขัดเกลาจิตใจของเราที่มืดบอดด้วยกรรมเก่า ทำไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดดวงจิตก็ผ่องใสพอที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล ไม่ใช่มีแต่ กาย วาจา ใจ เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นตลอด แล้วไปหวังมรรคหวังผล จะบอกว่าชาติหน้าบ่าย ๆ จะได้ก็เกรงใจ น่าจะนานกว่านั้นมาก..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกเล่าแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2022 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:24



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว