|
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
![]()
การให้ทาน ถ้าเราเกิดใหม่จะมีฐานะร่ำรวย มั่นคง มีโภคทรัพย์สมบูรณ์ พูดง่าย ๆ ว่ารวย
การรักษาศีล เกิดใหม่เป็นคนรูปสวย มีจิตใจดีงาม มีแต่คนรักนับถือ การเจริญภาวนา ถ้าเกิดใหม่เราจะมีปัญญามาก มีปัญหาทางโลกก็แก้ไขให้ล่วงไปได้โดยง่าย มีปัญหาทางธรรมก็สามารถพิจารณารู้แจ้งแทงตลอดไปได้ อานิสงส์ไปคนละทิศคนละทาง เพราะฉะนั้น..เพื่อความปลอดภัยก็ทำให้ครบทั้งสามอย่าง ก็คือให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แล้วทั้งหมดนี้ยังต้องเกิดใหม่นะ..! โดยเฉพาะเกิดเป็นคน ถ้าไม่มั่นคงนี่เทวดาก็ไม่ได้เป็น นางฟ้าก็ไม่ได้เป็น พรหมก็ไม่ได้เป็น อย่างเก่งก็เป็นคน แล้วก็ทุกข์ยากลำบากอย่างที่เห็นนี่แหละ อยากจะไปเที่ยวก็กลัวเขาจะว่าเหลวไหล อุตส่าห์ทำมาจนคนเขาชมว่าดี กัดฟันเข้าวัดช่วงปีใหม่หน่อยก็แล้วกัน..! ดังนั้น..ความเพียรพยายามที่เราทำอยู่ ถ้าเราไม่เห็นผล บางทีเราก็เหนื่อย เราก็ท้อ แต่คราวนี้ต่อให้เราเหนื่อยแค่ไหน เราท้อแค่ไหน อาตมาภาพไม่เอาเยอะ ภาวนาให้สามารถรู้ลมหายใจอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องบังคับ จะ พุท..โธ พุท..โธ เข้าออกเอง เรามีหน้าที่แค่ตามดูไปเฉย ๆ เอาแค่นี้ ไม่ต้องเยอะ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เรามีสิทธิ์ปิดอบายภูมิเลย นรกเขาไม่ให้ลง เปรตก็ห้ามไป อสุรกายก็ไม่ให้เกิด สัตว์เดรัจฉานก็ไปไม่ได้ เพราะนี่ก็คือคุณสมบัติของปฐมฌานละเอียด ต่ำสุดต้องเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๓ แต่เราไปได้ไกลกว่านั้น ไปได้ไกลกว่านั้นตรงที่ว่า เราสามารถเอากำลังฌานสมาบัติตรงนี้ มาช่วยตัดกิเลส เราก็มุ่งเป้าไปเลย เป้าหมายแรกชายฝั่งที่ต้องยึดให้ได้ กองทัพสัมพันธมิตรจะบุกไปตีเยอรมันที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ต้องยกพลยึดหัวหาดให้ได้ เขาเรียกดีเดย์ ในหนังเรื่อง เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน (Saving Private Ryan) ฝ่าสมรภูมินรก เขาไปรบที่ชายหาดนอร์มังดี ตายกันไปเท่าไรก็ไม่รู้ ?!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2025 เมื่อ 01:07 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
![]()
แต่คราวนี้เราจะยึดหัวหาดในการปฏิบัติธรรมได้ต้องรู้หลักก่อน ก็คือต้องรู้เป้าหมายว่าหาดอยู่ที่ไหน ? สิ่งแรกที่จะทำให้เราพ้นจากกระแส ซึ่งคือการเวียนว่ายตายเกิดได้ ก็คือต้องก้าวขึ้นฝั่งให้ได้ก่อน ก็คือต้องเกาะความเป็นพระโสดาบันให้ได้
กฎเกณฑ์กติกาความเป็นพระโสดาบัน ๑. ต้องเคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ ๒. ต้องเคารพพระธรรมจริง ๆ ๓. ต้องเคารพพระสงฆ์จริง ๆ ๔. ต้องรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ๕. มีปัญญาประกอบ รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว คราวนี้รู้หรือยังว่าตอนกรรมฐานเช้ามืด หลวงพ่อจูงพวกเราไปถึงไหน ? แต่ตามกันไม่ค่อยจะทัน พาไปทุกวันถ้าอยู่ตรงนี้ แต่ไปกันไหมล่ะ ? นั่งหลับก็มี..! ถ้าเรารู้สึกว่าเยอะเกินไป ย่อลงมาเหลือสาม ปีใหม่ลดแลกแจกแถมเมกะเซลล์..! ๑. เราก็ย่อเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเราเคารพในคุณพระศรีรัตนตรัย ๑ ข้อ ๒. รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ๓. คิดว่าตายแล้วไปพระนิพพาน เหลือสามข้อเท่านั้น ปีใหม่ทั้งทีลดแค่นี้เองหรือ ? เอาอีกหน่อยก็ได้ เหลือข้อเดียว..! ๑. เอาศีลเป็นหลัก เรารักษาศีลเพราะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรารักษาศีลเพราะจะไปพระนิพพาน เหลือข้อเดียวจริง ๆ คราวนี้เราจะเห็นว่าที่เราทำกันแทบล้มประดาตายนั่นหลงประเด็น..! ที่เขาต้องการมีอยู่นิดเดียวเท่านั้น ตั้งเป้าให้ชัดเจนไว้แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาไปให้ถึง เพราะฉะนั้น..ที่บางคนว่า "อะไรวะ ปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบ ๆ ปี หลวงพ่อสอนซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่แค่เรื่องเดียว ไม่เห็นไปไหนเลย เมื่อไร ๆ ก็สอนแค่นี้ เมื่อไร ๆ ก็ทำแค่นี้" แล้วทำได้หรือยังเล่า..!? ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชแล้วสิ หลวงพ่อลากไปจนถึงทุกวัน รักษาอารมณ์อยู่กับพระพุทธเจ้าเอาไว้ทุกวัน แต่ "พุท" ไม่ทันจะ "โธ" ก็หลับแล้ว น่าเหวี่ยงไหมล่ะ ?!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2025 เมื่อ 02:45 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
![]()
เพราะฉะนั้น..เรื่องของการปฏิบัติธรรมคือเรื่องของการประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลัก Psychology หรือจิตวิทยาของฝรั่งเขาว่า เราทำอะไรซ้ำ ๆ กัน ๓ วัน ๗ วันก็จะเคยชิน พอเคยชินถึงเวลาก็จะทำแบบนั้นโดยอัตโนมัติ
หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านแปลความเคยชินว่าฌาน สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ถึงเวลาจะรู้ตัวเลยว่าเราต้องสวดมนต์ นั่นคือสวดมนต์จนเป็นฌาน ใส่บาตรทุกวัน ถึงเวลาตื่นขึ้นมา นึกก่อนเลยว่าต้องหุงข้าว ต้องทำกับข้าวใส่บาตร นั่นก็คือใส่บาตรจนเป็นฌาน เรามีฌานในเรื่องของทานบารมีแล้ว ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ภาวนาให้จริง ๆ จัง ๆ เพราะว่าเราต้องการกำลังในการตัดกิเลส ถ้ากำลังไม่พอจะตัดกิเลสไม่ได้ กำลังที่ถือว่าพอต่ำสุดก็คือปฐมฌานละเอียด รู้ลมอัตโนมัติ รู้คำภาวนาอัตโนมัติ เอาจิตประคับประคองอยู่แค่นี้ อย่าให้หลุดไปไหน เราจะอยู่กับปัจจุบันเฉพาะหน้า ไม่ไปอดีต ไม่ไปอนาคต ความทุกข์ก็เหลืออยู่แค่นิดเดียว ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง "แก่จนป่านนี้แล้ว ถ้ามีผัวจะดีไหมนะ ? จะทันมีลูกใช้หรือเปล่าวะ ?" เฮ้อ..รู้ตัวว่าแก่ด้วยนะ แล้วยังจะคิดทำไม ? บางทีหลวงพ่อเห็นพวกเราคิดแล้วก็เซ็งเหมือนกันนะ "จะถามพระดีไหมนะ ?" มาถามสิจะยันให้..ไม่โดนกระโถนหรอก..! อุตส่าห์หลุดมาได้จนขนาดนี้แล้ว ยังจะตะเกียกตะกายกลับไปหาทุกข์อีก ตัวเองก็ทุกข์แทบตาย ยังจะไปหาเพื่อนมาร่วมทุกข์ "อูย..เดี๋ยวแก่ ๆ แล้วไม่มีใครดูแล" แล้วตอนนี้แก่หรือยัง ? มีใครดูไหม ? หรือจะไปดูแลเขา ? อ้าว..แล้วกัน..ไปยันโน่น..! สมาทานพระกรรมฐานกันเถอะ ฟุ้งซ่านใหญ่แล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2025 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
![]() ก่อนสวดพระคาถาเงินล้านข้ามปี วันอังคารที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ความจริงการสวดมนต์ข้ามปีทั่ว ๆ ไปเราก็จะได้ในส่วนของศีลของสมาธิเสียมาก ก็คือมีการสมาทานศีลก่อน แล้วเวลาสวดก็จะได้ส่วนของสมาธิเพิ่มเข้ามา แต่ในส่วนของปัญญาส่วนใหญ่แล้วเราไม่ค่อยใช้กัน มีวิธีง่าย ๆ ก็คือตั้งใจจับภาพพระ ก็คือภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่า "พระองค์ท่านไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่าน ก็คือเราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน ก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน" เป็นวิธีใช้ปัญญาที่รวบรัดตัดตรงที่สุด เพียงแต่ว่าถ้ากำลังใจของเราไม่พอ จะรักษาได้นิดเดียวหรือว่าพักเดียว หลังจากนั้นก็เคลื่อนคลายไปที่อื่น บางคนก็ฟุ้งซ่านยาว ๆ ไปเลย..! ด้วยความที่ส่วนใหญ่ของพวกเราปฏิบัติธรรมรักษาศีลแปดกันอยู่เป็นปกติ ดังนั้น..วันนี้เราก็ไม่ต้องสมาทานศีล เดี๋ยวถึงเวลาเราจะเริ่มเข้าสู่การภาวนาพระคาถาเงินล้านกันเลย นอกจากเป็นการสวดมนต์สร้างสมาธิแล้ว เรายังต้องการผลพิเศษอีกต่างหาก ก็คืออาศัยผลพิเศษของพระคาถาเงินล้าน ที่จะช่วยให้มีความคล่องตัว โดยเฉพาะด้านการเงิน ส่งผลให้พวกเรามีความสะดวกคล่องตัวมากขึ้น ถ้าสามารถทำได้ทุกวันก็จะสะดวกคล่องตัวไปทั้งปี การสวดมนต์ภาวนาเหมือนกับการกินข้าว ก็คือต้องกินทุกวัน ไม่ใช่สวดวันนี้แล้วก็เว้นไป ๗ - ๘ วันแล้วค่อยว่ากันใหม่ หรือไม่ก็เว้นไปทั้งชาติ ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ ถ้าลักษณะแบบนั้นย่อมจะเอาดีได้ยาก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 02-02-2025 เมื่อ 06:46 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
![]() ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันพุธที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘ (หลังจากพระภิกษุรับบิณฑบาตปีใหม่ที่ตลาดริมแควเมืองท่าขนุน) มาไม่ทันกันใช่ไหม ? หลวงพ่อยังสงสัยว่าตัวเองทำอะไรเร็วแท้ กลับมาเข้าห้องน้ำ เอาสตางค์ไปเทรวมกับสังฆทานส่วนกลาง พับจีวร ห่มจีวรใหม่ สั่งงาน แล้วก็ออกมาที่ศาลา ๑๐๐ ปีฯ นี่ รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไปเยอะมากเลย ส่วนโยมแค่เดินเข้ามาในศาลา ทำไมถึงช้าแท้ ? การทำบุญสร้างกุศลรับปีใหม่ของพวกเรา เริ่มกันตั้งแต่สี่ทุ่มครึ่งเมื่อวาน สวดมนต์ข้ามปีจนเกือบ ๆ จะตีหนึ่ง หลังจากนั้นแล้ว เช้ามืดพวกเราก็ใส่บาตรรับปีใหม่ แล้วจะมาปิดท้ายด้วยการปฏิบัติธรรม นี่ต้องนับเฉพาะผู้ที่มาปฏิบัติธรรมเท่านั้น เนื่องเพราะว่าคนอื่นจะไม่ได้ในส่วนนี้ เขาแค่ใส่บาตรเสร็จก็กลับกันหมดแล้ว ส่วนใหญ่การเดินทางกลับวันนี้ จากประสบการณ์ที่เจอมาก็คือนอนวัดไปเลย ๔ - ๕ โมงเย็นแล้วค่อยกลับ คนอื่นเขารีบกลับ จะไปประเดประดังติดกันอยู่บนถนน ของเราออก ๔ - ๕ โมงเย็นก็ถึงบ้านพร้อม ๆ กับเขา..! เพราะว่าตอนที่เราไปรถจะไม่ติดแล้ว วิ่งกันยาว ๆ ชนิดแทบจะไม่ต้องเบรกเลย..! วันก่อนไปประชุมที่วัดไร่ขิง ในตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี และเป็นการลงประชุมครั้งแรก โยมเขาส่งรูปมาให้ดูว่ามอเตอร์เวย์สาย M ๘๑ รถติดหนักมาก ปรากฏว่าเลิกประชุมอาตมาขึ้นมอเตอร์เวย์สาย M ๘๑ เกือบ ๆ จะ ๕ โมงเย็น ไม่มีรถสักคัน..! สรุปก็คือติดหนักมากตอนที่กำลังประชุม พอประชุมเสร็จเขาก็ไปกันหมดแล้ว..! ขึ้นอยู่กับจังหวัดกาญจนบุรีของเราว่าจะจัดการอย่างไรกับสี่แยกวังสารภี เนื่องเพราะว่าพอรถลงจากทางด่วนสาย M ๘๑ มา ก็จะมาประเดประดังอุดกันอยู่ตรงนั้น ทำอย่างไรที่จะให้รถขาลงเลี้ยวซ้าย ไปตรง และเลี้ยวขวาได้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะติดอย่างนี้ทุกครั้งที่มีเทศกาลหรือวันหยุดยาว ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 05-02-2025 เมื่อ 07:12 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
![]()
(โยมถวายของ) น่ารักเชียว..มีรูปแมวเหมียวด้วย ขาวมณี ศุภลักษณ์ วิเชียรมาศ โกญจา สีสวาด สิงหเสพย์ ปัดเศวต แซมเศวต เก้าแต้ม แสดงว่าอาตมาเรียกผิดมาตลอดสินะ อาตมาเรียกวิเชียรมาศสมัยนี้ว่า "เก้าแต้ม" มาตลอด
วิเชียรมาศสมัยอาตมามีขนสีเหมือนเสือไฟ ก็คือเป็นสีน้ำตาลแดงแกมทอง รุ่นหลัง ๆ นี่ไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว เขาก็เลยมาเหมาว่าแมว Chocolate point ของฝรั่ง เป็นวิเชียรมาศ แต่พันธ์นั้นอาตมาเรียก "เก้าแต้ม" มาตั้งแต่เด็ก เพราะว่ามีสีแต้มที่ขา ๔ หู ๒ ปาก ๑ ปลายหาง ๑ อวัยวะเพศ ๑ รวมเป็น ๙ เลยเรียก "เก้าแต้ม" แต่ในรูปนี้เขาเอารูปแมวที่มีลายแปะ ๆ ๆ ทั่วตัวมา แล้วบอกว่าเป็น "เก้าแต้ม"..! อีกพันธุ์หนึ่งที่ยังไม่ได้เจอเลยก็คือ "ปัดตลอด" หรือ "ปัดเศวต" เป็นแมวที่สันหลังสีขาวเป็นแนวยาว ๆ ตั้งแต่ท้ายทอยไปถึงหาง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2025 เมื่อ 01:47 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
![]()
(เด็กมาขอให้เข้าโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาได้) โน่นเลย..ไปขอกับท่านปู่พระอินทร์ บอกท่านว่า "ถ้าไม่ให้หนู แล้วปู่จะให้ใคร ?!"
โรงเรียนการกุศลในวัดเป็นโรงเรียนที่บริหารจัดการยาก เพราะคนเขาไปดูถูกว่าเป็นโรงเรียนวัด แต่ปัจจุบันนี้โรงเรียนการกุศลในวัดสองแห่ง แห่งแรกก็คือโรงเรียนนาคประสิทธิ์ มูลนิธิวัดบางช้างเหนือ เด็ก ๔ - ๕ จังหวัดรอบ ๆ นครปฐม แย่งกันเรียนโรงเรียนนาคประสิทธิ์ เพราะว่าที่โรงเรียนนี้เด็กแต่ละปีเอนทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยดัง ๆ ได้เป็นร้อย ๆ คน เฉพาะแค่ภาษาต่างประเทศ ที่นี่เขามีครูฝรั่งอยู่เป็นสิบคน จ้างฝรั่งมาสอนโดยตรง ให้ได้สำเนียงตั้งแต่เด็กเลย เพราะว่าเขามีตั้งแต่ชั้นอนุบาล อีกแห่งหนึ่งก็คือโรงเรียนวินิตศึกษา ในพระราชูปถัมภ์กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่จังหวัดลพบุรี เข้าไปแล้วจะตกใจ หลวงพ่อเจ้าคุณประเทือง (ประเทือง อาภาธโร ป.ธ. ๔) ปัจจุบันก็คือพระธรรมวชิรสุนทร เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ท่านทำเอาไว้ยิ่งใหญ่มาก แค่อาคารเรียนอย่างเดียวก็หลายร้อยล้าน ท่านมีความคิดง่าย ๆ แค่ว่า "อย่าให้เขาดูถูกได้ว่าเป็นแค่โรงเรียนวัด" ตอนนี้โรงเรียนวินิตศึกษามีทุกอย่างพร้อม โดยเฉพาะแปลงเกษตรสาธิตเศรษฐกิจพอเพียง หรือว่าแปลงเกษตรโคกหนองนาในพระราชดำริ นั่นคือพื้นที่จริง ทำเพื่อเอาไว้เลี้ยงโรงเรียนตัวเอง ก็คือเด็กจบไปแล้วถ้าไม่ทำมาหากินอย่างอื่น ไปทำการเกษตรก็ทำมาหากินเองได้เลย แต่เป็นเรื่องแปลกตรงที่ว่า โรงเรียนการกุศลภายในวัดทำอย่างไรก็ไม่ดัง ถ้าไม่ใช่ในวงการเดียวกัน ไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณนั้นสุดยอดแค่ไหน โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาของเรา เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ปรากฏว่าไม่สามารถจะคุมคุณภาพครูได้ เนื่องเพราะว่าพอเป็นโรงเรียนรัฐบาลแล้ว เขาสอบแข่งกันเข้ามาเป็นครู ครูอาจจะมีความรู้ความสามารถ แต่ขาดคุณธรรม ท้ายสุดหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็เลยเอาออกจากระบบ มาเป็นโรงเรียนการกุศล แล้วก็เอาพวกลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ที่จบไป กลับมาเป็นครูสอนรุ่นน้อง เด็กที่นี่ต้องเข้าฝึกมโนมยิทธิวันเสาร์ - วันอาทิตย์ พูดง่าย ๆ ก็คือทุกอาทิตย์ต้องอยู่กับกรรมฐาน แต่ก็มีเด็กที่แหกคอกเยอะ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่น ช่วงนั้นอาตมภาพเป็นเวรดึก พายเรือตรวจดูว่ามีใครมาขโมยปลาหน้าวัดไหม ? ส่องไฟขึ้นไป โอ๊ย..เด็กนักเรียนปีนกำแพงอย่างกับลิง หนีเที่ยวกัน..! เลยตะโกนบอกว่า "ปีนเร็ว ๆ หน่อยไอ้ห่..เดี๋ยวคนอื่นเห็น !" เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถ้าเด็กเห็น "หลวงพี่เล็ก" ของเขาพายเรือออกมาเมื่อไร เขาไม่เดือดร้อนหรอก เขารู้ว่าปีนให้ตายหลวงพี่ก็ไม่ว่าเขา เพราะว่าท่านเคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2025 เมื่อ 02:14 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
![]()
ทุกวันนี้พวกรุ่นเก่า ๆ เขายังคิดถึงวันเก่า ๆ เพราะว่ารุ่นที่พวกเราบริหารจัดการอยู่นั้น อยู่กันแบบพี่น้องจริง ๆ อะไรหนักนิดเบาหน่อยพอที่จะให้อภัยก็ให้อภัย ถ้าหากว่าเอ็งต้องการจะ "เคลียร์" กันก็ไปเอานวมมา เดี๋ยวพระจะเป็นกรรมการให้ ต่อยกันให้หมดแรงเดี๋ยวก็ดีกันไปเอง แล้วพอโตมาเป็นครู พวกนี้จะดีตรงที่ว่าตัวเองเคยเกเรมาแล้ว จะรู้หมดทุกช่องทางว่าต้องทำอย่างไร แล้วรุ่นน้องจะไปทำอะไรได้ ?!
เรื่องของโรงเรียนเป็นเรื่องของธรรมทาน แต่ว่าไม่ใช่ธรรมทานโดยตรง คือความรู้ทุกอย่างจัดเป็นธรรมทาน แต่ธรรมทานที่แท้จริงก็คือทานใน ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้น..ในเรื่องของอานิสงส์ถ้าจะเอากันจริง ๆ ก็คือธัมมเทสนามัย ของเราได้ตั้งแต่ธัมมัสสวนมัย ก็คือฟังธรรมแล้วน้อมนำไปปฏิบัติให้เกิดผล แปลให้ดี ๆ นะ นักเรียนบาลีมักจะแปลว่าบุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม ฟังอย่างเดียวไม่สำเร็จหรอก อย่างเก่งก็ได้มาบาทหนึ่ง สลึงหนึ่ง ต้องฟังแล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วย เมื่อเกิดผลแล้วทบทวนจนมั่นใจ แล้วก็ธัมมเทสนามัย เอาไปสอนคนอื่นต่อ สำคัญตรงที่ว่าต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จำไชกันทุกวัน เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า เพิ่งจะบ่นจบ เดินห่างไปสามก้าว ก็ทำเหมือนเดิมอีกแล้ว..! อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ขึ้นชื่อว่าการฝึกตนนี้ช่างยากจริงหนอ พระพุทธเจ้าตรัสเองเลยนะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าเราต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูง เพราะว่าการปฏิบัติธรรมคือการทวนกระแสโลก ยิ่งกว่าว่ายทวนน้ำอีก..! เพราะว่าการว่ายทวนน้ำนั้น ต่อให้เราไม่ไปไหน ก็ไม่มีใคร "บูลลี่" เรา..ใช่ไหม ? แต่การปฏิบัติธรรมนี่รอบข้างสารพัดเลย อาตมาเจอมาตั้งแต่เด็ก "หลวงพ่อขอหวยสองตัว" "มหา..มึงจะเอาอะไรจริงจังกับชีวิตนักหนาวะ ?!" โดนเรียก "มหา" ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นเลย "ไอ้นี่ถ้าจะบ้าแล้ว ใครเขาปฏิบัติธรรมกันตั้งแต่เด็ก ?" เพราะฉะนั้น..ถ้าเขายังไม่ว่าเราบ้า ถือว่าการปฏิบัติของเรายังไม่เกิดผล คนรอบข้างยังไม่ตีตรารับรองให้ ถ้าเขาตีตรารับรองให้ว่าบ้าแล้วก็โอเคเลย แสดงว่าเราทำดีแล้ว ฟังแล้วเครียดไหม ? ไม่หรอก..สนุกจะตาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2025 เมื่อ 02:18 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
![]()
พวกเราเองก็ไม่ได้อยากได้เพื่อนที่พาเราออกนอกลู่นอกทาง ในเมื่อเขาว่าเราบ้า ไม่มายุ่งกับเราก็จบ เราก็ไม่ยุ่งกับเขาเหมือนกัน เรื่องของการปฏิบัติธรรม เราจะอยู่กับสังคมได้ ก็ต่อเมื่อการปฏิบัตินั้นได้ผลไปแล้วระดับหนึ่ง ซึ่งจะเหมือนกับคนกะล่อน ก็คือเอ็งมาท่าไหนข้าไปด้วยได้หมด บ้าอะไรบ้าตามกัน แต่ถ้าจะหลุดกรอบของศีลเมื่อไรข้าไม่ไปด้วย..!
สังเกตคนประเภทนี้ได้เลย จะชวนทำอะไรทำด้วยหมด แต่ถ้าจะผิดศีลเมื่อไร เชิญไปทำคนเดียวเถอะ เขาจะติดธุระทันทีเลย ก็คือเขาเอาสังคมเพื่อปิดบังตัวเองไม่ให้เกิดโทษกับคนอื่น พอถึงเวลาชวนเขากินข้าวเย็น เขาไม่บอกเราหรอกว่า "ไม่กินหรอก ถือศีลแปดอยู่" เขาอาจจะบอกว่า "หมอสั่งให้ลดความอ้วน พี่ไปกินคนเดียวเถอะ" ก็เข้ากับยุคสมัยได้..ใช่ไหม ? หรือไม่ก็บอกว่า "รู้สึกมีห่วงยางเป็นของส่วนตัวแล้ว ขออดข้าวเย็นหน่อยแล้วกัน" ใครเขาจะไปบอกว่ารักษาศีลแปด เดี๋ยวก็โดนมองหัวถึงตีน หรือเราโกหกไม่ได้ ? เราเป็นผู้รักษาศีล เราต้องตรงไปตรงมา แบบนั้นก็โง่เกิน เรียกว่า "เถรตรง" ตรงเกินไป ไม่รู้จักเลี้ยว ชนอะไรหัวร้างคางแตกก็ปล่อยไป..! เมื่อถึงระดับนั้นก็แปลว่าศีลกับตัวเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขยับเมื่อไรก็รู้ว่าศีลจะขาดหรือเปล่า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ไปแค่สุดขอบของศีล แล้วก็เลี้ยวกลับ ลักษณะเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน กลิ้งไปเถอะ..ไม่ติดบนใบบอนหรอก..! เราจะมีศีลเป็นเกราะ เป็นเครื่องกำบัง ไม่ให้เราตกไปอยู่ในที่ต่ำ ซึ่งก็คืออบายภูมิ มีสมาธิเป็นตัวระงับยับยั้งไม่ให้เราละเมิดศีล อย่าลืมว่ากิเลสยั่วเราทุกอย่าง อะไรที่เราอยากได้จะเอามาล่อเราหมด ก็สำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราห้ามตัวเองได้ไหม ? ถ้าเราอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ละเมิดศีลนี่อานิสงส์ไม่มีนะ ศีลจะเป็นศีลก็ต่อเมื่อเราหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ละเมิดได้ จนกว่าจะพ้นจากระดับนั้นไป ก็คือศีลเป็นเรา..เราเป็นศีล ตอนแรกเรารักษาศีล พอถึงตอนนี้ศีลจะรักษาเรา..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2025 เมื่อ 00:54 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
![]()
เพราะฉะนั้น..คนมีศีลจะเป็นคนกล้า กล้าที่จะปฏิเสธเรื่องโลก ๆ ที่ทำให้เราผิดศีล ประมาณว่าให้อยู่คนเดียวก็ได้ สมัยก่อนบวชมีคุณยายคนหนึ่ง มาจากจังหวัดสุรินทร์ แกนุ่งขาวห่มขาวคล้าย ๆ แม่ชี แต่ไม่ได้โกนหัว ผ้าก็กระดำกระด่างมาเชียว มาถึงบ้านสายลมตั้งแต่ยังไม่ทันแปดโมงเช้าดี
อาตมาเห็นก็แปลกใจ เข้าไปถามว่า "คุณยายมาธุระอะไร ?" แกบอกว่า "มาหาหลวงพ่อฤๅษีฯ มีเรื่องจะปรึกษาหลวงพ่อหลายเรื่อง" ก็เลยบอกว่า "หลวงพ่อท่านจะลงมาก็ต่อเมื่อแปดโมงครึ่งไปแล้ว ยายกินอะไรมาหรือยัง ? ถ้ายังเดี๋ยวจะไปหาให้" แกบอกว่า "กินข้าวแกงที่กลางซอยมาแล้ว" คุณยายนั่งรถไฟมาเป็นวัน แล้วยังต้องมาต่อรถอีก ถามเขามาว่าซอยสายลมมาทางไหน มาถึงปากซอยแล้วแกก็เดินเข้าไป สมัยนี้เห็นนั่งวินมอเตอร์ไซค์กันทั้งนั้น..! พอหลวงพ่อท่านลงมา ยายแกก็เล่าให้ฟังว่า ทั้งหมู่บ้านมีแกนุ่งขาวห่มขาว รักษาศีลคนเดียว คนเขาว่าแกเป็นผีบ้า แกบ้าจริงหรือเปล่า ? แต่คราวนี้ยายแกพูดอีสาน ปนส่วย ปนเขมร หลวงพ่อท่านถามว่า "เฮ้ย..ใครฟังออกช่วยแปลให้หน่อยโว้ย" ก็เลยกราบเรียนหลวงพ่อว่า "ผมพอฟังได้ครับ" ก็แปลให้หลวงพ่อฟัง พอหลวงพ่อท่านได้ยินก็หัวเราะ ท่านบอกว่า "โยมสติดีอยู่คนเดียว ไอ้ที่เหลือน่ะมันบ้าทั้งหมู่บ้านแหละ..!" แล้วคุณยายก็ถามไปอีกหลายเรื่องอย่างเช่นว่า "ต้นไม้เทวดาลงนั้นใช้งานได้ไหม ?" ก็คือต้นไม้โดนฟ้าผ่า หลวงพ่อก็บอกว่า "ได้..เผาแล้วไหม้ไหมล่ะ ? ถ้าเผาไหม้ก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ" คุณยายบอกว่าทางด้านบ้านเขาถือว่าเป็นอาถรรพ์ แตะต้องไม่ได้ อะไรประมาณนั้น อาตมภาพก็แปลไปเรื่อย ไปจับจุดได้ตรงคำสุดท้าย แปลจนเหนื่อย พอยายแกถามไม่ทันจะแปล หลวงพ่อท่านตอบแล้ว อ้าว..หลวงพ่อฟังรู้เรื่อง..! เพียงแต่กลัวคนอื่นจะรู้ว่าท่านฟังรู้ ก็เลยหาคนช่วยแปล..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2025 เมื่อ 00:58 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
![]()
คราวนี้รู้หรือยังว่า การที่เราทำอะไรต่างจากคนอื่นเขาแล้วเป็นอย่างไร ? แต่ยายแกโดนหนัก เพราะว่าทั้งหมู่บ้านมีแกทำอยู่คนเดียว แต่ก็สบายใจกลับไป แล้วคิดดูว่ากำลังใจคนแก่ขนาดนั้น ยุคนั้นจากสุรินทร์มานี่ไม่ใช่ง่าย ๆ นะ ประมาณปี ๒๕๒๕ ก็ประมาณ ๔๒ - ๔๓ ปีที่แล้วกระมัง แกพยายามหารถมาจนถึงบ้านสายลมได้ กำลังใจสุดยอดมาก แกแทบจะไม่มีสตางค์ติดกระเป๋าก็ยังอุตส่าห์มาจนถึง..!
ต้องบอกว่าแกมาด้วยกำลังใจและกำลังบุญจริง ๆ พอสบายใจแกก็กลับไปทำ แต่หลวงพ่อท่านก็บอกไปว่า "อย่าไปว่าคนอื่นเขา เรามีหน้าที่คอยกล่าวโทษโจทย์ตัวเองไว้ ว่าเราทำผิดทำชั่วตรงไหน แล้วแก้ไขให้ดี เราจะไปแก้ไขปากชาวบ้านเขาไม่ได้ เขาว่ามา เราก็อภัยให้เขาไป" พวกเราโดนกันเยอะไหม ? ก็เป็นเรื่องประหลาดดีนะ แม้กระทั่งการสวดมนต์ข้ามปี เขายังเอามา "แซะ" กัน ท่านเจ้าคุณอาจารย์ประสาร (ประสาร จนฺทสาโร) รศ., ดร. - พระเทพวัชรสารบัณฑิต ท่านถามสังคมว่า "อยากจะเห็นพ่อเราเข้าวัดสวดมนต์ หรืออยากให้เข้าคลับเข้าบาร์ไปเมาทั้งคืนตอนปีใหม่กันเล่า ?" ถามง่าย ๆ แค่นี้ ถ้าบอกว่าสวดมนต์ข้ามปีไม่ดี แล้วอยากเห็นแบบไหนล่ะ ? เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้เราต้องยอมรับ เรื่องของโลก โลกต้องเป็นอย่างนั้น ในเมื่อโลกเป็นอย่างนั้นก็ไปของเขาเถอะ ของเราเองก็พยายามไปคนละทางกับเขาก็แล้วกัน หรือถ้าหากว่าเดินไปด้วยกันถึงทางแยกก็เลี้ยวให้ทัน เลี้ยวไม่ทันเดี๋ยวเผลอไปกับเขาก็ลำบากอีก..! ต้องรู้จักเสียดายความดีที่เราทำมา ไม่ใช่ทำมาเสียเยอะเสียแยะแล้ว แต่เสียเพื่อนชวนไม่ได้ บางคนรักษาศีลแปดมาหลายปี เพื่อนกลับมาจากต่างประเทศ ตื๊อให้ไปกินข้าวด้วยกัน ทำอย่างกับเราไม่ไปแล้วเขากินไม่ได้อย่างนั้นแหละ..! ในที่สุดเสียเพื่อนไม่ได้ก็ยอมละศีลแปดสักมื้อหนึ่งไปกิน ปรากฏว่าตัวเองท้องอืดเกือบตาย อาหารไม่ย่อย ถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลล้างท้องให้น้ำเกลือกันไปเลย เพราะว่าช่วงนั้นร่างกายไม่ทำงานแล้ว ไม่ได้กินมาตั้งหลายปี..ใช่ไหม ? ไม่เสียดายความดีของตัวเอง กลัวเพื่อนเสียน้ำใจ ปัญญาไม่พอ ถ้าปัญญาพอจะเห็นว่าเพื่อนที่ชวนเราลงต่ำแบบนี้เราไม่ไปด้วยหรอก ปฏิเสธให้เป็น ถ้าพูดคำว่า "ไม่" เป็น เรื่องจะน้อยลงเยอะเลย ส่วนใหญ่พวกเราก็ประเภทแบ่งรับแบ่งสู้ แล้วเขาก็เหมาเอาว่า "ได้" ทุกที..ใช่ไหม ? แบบนั้นก็เรียบร้อย สารพัดเรื่องยุ่งก็มาถึงตัว เดี๋ยวพวกเราสมาทานพระกรรมฐาน ปฏิบัติธรรมกันก่อนที่จะเดินทางกลับ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๘ ณ วัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ - วันพุธที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล และ นาทาม)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2025 เมื่อ 01:03 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|