กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-01-2023, 20:56
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,596
ได้ให้อนุโมทนา: 216,268
ได้รับอนุโมทนา 739,709 ครั้ง ใน 36,060 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-01-2023, 00:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,025 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ความจริงกระผม/อาตมภาพยังมีงานเปิดการอบรมบาลีก่อนสอบ แต่ว่าพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ท่านติดการเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติ จะมาทำพิธีเปิดให้ในตอน ๖ โมงเย็น

กระผม/อาตมภาพก็เลยขออนุญาตพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ขอกลับไปนำเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติที่วัดตัวเอง ก็คือทำงานมาเยอะแล้ว ขออู้บ้าง..ว่าอย่างนั้น ท่านเองก็ไม่ได้ว่าอะไร อนุญาตให้ แต่บอกให้เจ้าคณะอำเภอมาแทน..! อยู่ ๆ ก็หางานให้เจ้านายเสียอย่างนั้น..!

คราวนี้ในช่วงวันนี้กับพรุ่งนี้ ทางด้านมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยเฉพาะคณะสังคมศาสตร์ ท่านอาจารย์ รศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป ท่านจัดธุดงค์ธรรมยาตรา ซึ่งจัดทุกปี ปีแรกที่จัดคือปีที่กระผม/อาตมภาพเรียนอยู่ ท่านมีความเห็นว่าในเมื่อเรียนกันเคร่งเครียดมาทั้งปีแล้ว ช่วงก่อนปิดเทอมก็ไปธุดงค์ ผ่อนคลายกันเสียหน่อย ครั้งแรกที่จัดก็คือที่เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี ยังดีที่ไม่พาเข้าป่าลึกมาก ไม่อย่างนั้นจะโดนเสือโดนช้างไล่กระทืบไล่ฟัดหรือเปล่าก็ไม่รู้ !?

ในเรื่องของธุดงควัตรนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าป่าถึงจะทำได้ เพราะว่าหลายต่อหลายอย่าง อย่างเช่นการบิณฑบาตเป็นวัตร การใช้ผ้า ๓ ผืน การฉันมื้อเดียว เป็นเรื่องที่เราอยู่ที่ไหนก็ทำได้ การอยู่ในเสนาสนะแล้วแต่เขาจัดให้ก็เหมือนกัน


ธุดงควัตรนั้น ในส่วนที่ค่อนข้างจะเคร่งครัด อย่างเช่นว่าการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร การอยู่โคนไม้เป็นวัตร การอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร การถือการนั่งโดยไม่นอนเป็นวัตร เป็นการขัดเกลากำลังใจของตน จะได้รู้ว่าในเมื่อเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้ว จะมีความกล้าในการต่อสู้กับกิเลสสักเท่าไร

บางท่านบอกว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค แสดงว่ากำลังใจห่วยมาก..! ธุดงควัตรนั้นเหมาะสำหรับผู้ที่มีจริตนิสัยค่อนข้างดื้อ อันนี้กระผม/อาตมภาพใช้ภาษาง่าย ๆ คือบรรดาท่านที่มีจิตใจเข้มแข็งกว่าบุคคลทั่ว ๆ ไป บรรดาบทเรียนต่าง ๆ ใช้กับท่านแล้วไม่ค่อยจะเกิดผล จึงต้องใช้ธุดงควัตรเข้ามาช่วยในการขัดเกลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2023 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 29-01-2023, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,025 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านจะเห็นว่าในประเทศไทยเรานั้น ธุดงควัตรเจริญรุ่งเรืองได้ก็ด้วยหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ปรมาจารย์ใหญ่สายวัดป่า เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหลวงปู่มั่นเป็นคนภาคอีสาน ความยากลำบากในการดำรงชีวิต ความแห้งแล้ง ทำให้คนอีสานต้องปากกัดตีนถีบตั้งแต่เล็ก ในเมื่อต่อสู้ชีวิตมาหนักตั้งแต่เด็ก กำลังใจจึงค่อนข้างที่จะเข้มแข็งมาก ถ้าไม่มีหลักธรรมที่เหมาะสมด้วยกันแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้เข้าถึงได้ง่าย ในเมื่อเจอคนแข็ง เจอคนดื้อเข้า ก็ต้องมีธุดงควัตรช่วยในการขัดเกลา ดังนั้น..ในเรื่องของธุดงควัตร จึงไปรุ่งเรืองในวัดป่าสายอีสาน

ในการธุดงค์ในปัจจุบันนั้น ถ้าเป็นหลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า "ถูดงค์" ก็คือสักแต่ว่าถู ๆ ไถ ๆ ในป่าเท่านั้น แล้วร้อยละแปดเก้าสิบก็คือเดินระหว่างถนนกับเมือง ไม่ได้เข้าป่า เรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพถือว่าท่านเก่งมาก เพราะว่าการเดินบนถนนกลางแดดร้อนเปรี้ยง ๆ ตัวกระผม/อาตมภาพเองรู้ตัวเลยว่าไม่ไหว ขนาดอยู่ในป่าช่วงระหว่างเที่ยงถึงบ่ายโมงยังต้องพัก เพราะแดดร้อนมาก เดินแล้วเพลียมาก ถ้าร่างกายสูญเสียน้ำ สูญเสียเกลือแร่มาก บางทีพักวันสองวันยังไม่ฟื้นเลย เมื่อร่างกายเพลียสะสมมาก ๆ ระยะท้าย ๆ ก็จะเดินไม่ไหว แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้เดินบนถนนลาดยางได้..!

กระผม/อาตมภาพเองออกธุดงค์มา ไม่เคยเดินบนถนนลาดยางแบบนี้ เข้าป่าไปหาที่ป่าอย่างเดียวเลย ท่านใดที่บอกว่าประเทศไทยในปัจจุบันไม่มีป่าให้ธุดงค์แล้ว กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่ามีเยอแยะไป เพียงแต่ท่านไม่กล้าไปเองต่างหาก..!

ตัวอย่างก็คือพระครูหน่อย (พระครูสมุห์ธรรพ์ณธร ธมฺมทินฺโน) อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองบ้านเก่า พอธุดงค์เจอเสือเข้าไปครั้งเดียว ชวนให้ตายก็ไม่ไปอีก คือการเจอของท่าน ก็เหมือนอย่างกับเทวดาลองใจหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? เพราะปกติ ๙ โมงเช้า ๑๐ โมง เสือก็ต้องเข้าที่พักหมดแล้ว หลังจากที่หากินมาทั้งคืน

แต่เจ้าตัวนี้ไปเดินจ๊ะเอ๋กับท่านเข้า ท่านบอกว่ารู้ตัวอีกทีอยู่บนยอดไม้โน่น..! ขึ้นไปอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย..!? อกใจเต้นไม่เป็นส่ำ อยู่บนต้นไม้เป็นชั่วโมงกว่าที่จะมั่นใจว่าเสือไปแล้ว จึงค่อย ๆ ปีนลงมา ปรากฏว่าเสือเป็นสัตว์ที่ขี้สงสัยมาก สงสัยอะไรก็จะตามไปดู คงสงสัยว่าพระธุดงค์เป็นตัวอะไร ? จึงย่องแอบตามดูไปเรื่อย..!

ดังนั้น..ในการที่เข้าป่า ถ้าหากว่าท่านเจอเสือ กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า ถ้าไม่ใช่บังเอิญจริง ๆ แปลว่าเสือเห็นเราก่อนเป็นร้อยครั้งแล้ว..! พอดูจนเบื่อ เจ้าเสือก็โดดข้ามถนน วิ่งเข้าป่าไป แต่พระครูหน่อยกำลังระแวงอยู่ พอเห็นเสือโดดตัดหน้าแบบนั้นก็วิ่งสุดชีวิต ท่านบอกว่า มารู้ตัวอีกที ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า วิ่งอีกก้าวเดียวขาดใจตายแน่ หายใจไม่ทันแล้ว ถึงได้หยุด แล้วก็หอบเป็นหมาหอบแดดเป็นครึ่งค่อนชั่วโมง ตั้งแต่นั้นมาชวนท่านออกธุดงค์ ไม่ต้องชวนเลย..ไม่ไปเด็ดขาด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2023 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 29-01-2023, 01:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,025 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ท่านก็จะเห็นว่า ผู้ที่กำลังใจเข้มแข็งมาก ๆ ต่อให้เจอเหตุการณ์แบบไหนท่านก็ไป อย่างท่านที่เป็นพระรุ่นเก่า ๆ หน่อย จะเจอพระรูปหนึ่งที่ท่านโดนหมีกัดกะโหลกทะลุมา มาขอพักที่วัดเราสองรอบแล้ว ท่านเองต้องบอกว่า น่าจะเป็นเวรเป็นกรรมจริง ๆ เพราะว่าหมีนอนหลับอยู่หลังขอนไม้ แล้วขอนไม้นั้นขวางทางอยู่ ท่านก็ปีนข้ามขอนไม้ เหยียบลงไปตรงตัวหมีพอดี หมีตกใจลุกขึ้นมาตะครุบท่านได้ก็งับหัวเลย..! ปรากฏว่าท่านโดนกัดกะโหลกทะลุสลบไปเลย..!

ในเมื่อไม่มีการต่อสู้ ไม่มีการดิ้นรนอะไร เจ้าหมีก็คงคิดว่าท่านตายไปแล้ว ก็ทิ้งท่านไว้แล้วเดินจากไป ท่านบอกว่าฟื้นขึ้นมาอีกที มดตอมเต็มตัวเลย..!เพราะมดมากินเลือด ท่านก็เอาผ้าอาบพันหัวที่โดนหมีกัดทะลุไว้ แล้วก็โซซัดโซเซออกจากป่ามาหาหมอ กระผม/อาตมภาพดูแผลแล้วน่ากลัวมาก แต่ว่าหลังจากที่รักษาตัวจนหายท่านก็เข้าป่าใหม่ นักปฏิบัติที่ดีต้องอย่างนั้น ก็คือต่อให้รู้ว่าไปแล้วต้องตายก็ไป ไม่มีอะไรที่จะแลกกับธรรมะนี้ได้ แม้แต่ชีวิต ก็ยังถือว่าถ้าได้ธรรมะแล้ว การแลกด้วยชีวิตเป็นเรื่องที่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง..!

ดังนั้น..ในเรื่องของธุดงควัตร ถ้าหากว่าใครปฏิบัติไปแล้ว สิ่งที่จะได้ก็คือความมักน้อย สันโดษ ปลีกตัวออกจากหมู่ ขัดเกลากิเลสของตนเองให้เบาบางลง เพราะว่าความต้องการจะเหลือน้อยมาก อาหารก็เหลือแค่มื้อเดียว ข้าวของเครื่องใช้ก็เหลือเฉพาะที่จำเป็น อย่างเช่นว่าผ้า ๓ ผืน บาตร กระบอกน้ำ เป็นต้น

ฉะนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเห็นรูปเท่ ๆ ซึ่ง
กระผม/อาตมภาพก็เจอมาแล้ว ก็คือมีพระห่มดอง พาดสังฆาฏิ รัดอกเป็นอย่างดี แบกกลด สะพายบาตร ถือกาน้ำ กระผม/อาตมภาพไปเจอในป่ามา ๓ รูปท่านเดินมา ถอดแบบจากรูปภาพมาเลย แล้วเจอคณะของกระผม/อาตมภาพ ที่มีแต่สบงกับอังสะ จีวรอยู่ในย่าม แล้วย่ามก็ใบเล็กนิดเดียว

ท่านทั้งหลายยังทำหน้าอัศจรรย์ใจ ถามว่า "พวกท่านจะไปไหนกัน ?" กระผม/อาตมภาพตอบว่า "พวกผมมาธุดงค์ครับ" แล้วมั่นใจว่าอยู่ได้นานกว่าพวกท่านด้วย..! ของท่านนี่แบกไปเต็มที่เลย โดยที่ไม่ได้คิดว่า ภาพถ่ายสวย ๆ เหล่านั้น ครูบาอาจารย์ท่านไปถึงที่พักแล้ว ปักกลดเรียบร้อย สรงน้ำสรงท่า เสร็จแล้วลูกศิษย์ก็ขอให้ครองจีวร แบกกลด สะพายบาตร ทำท่าธุดงค์ ให้ลูกศิษย์ถ่ายรูปหน่อย ถ้าเดินไปแบบนั้นจีวรก็ขาดบรรลัยหมด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2023 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 29-01-2023, 01:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,025 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าใครอ่านพระไตรปิฎกก็จะเห็นอย่างเช่นว่า "พระเถระเดินออกจากป่าไปสู่โคจรคาม มีมืออันถือบาตรและจีวร" ไม่ได้ห่มนะครับ "เมื่อถึงโคจรคามหรือเมืองมนุษย์แล้ว จึงได้ห่มคลุม ซ่อนบาตรไว้ใต้จีวร ออกเดินบิณฑบาตเพื่อภิกษาหาร" ทราบไหมครับว่าทำไมถึงไม่ได้ห่มจีวรในป่า ? เพราะว่าหนามมีทุกมุมเลยครับ ถ้าไปห่มจีวรมีหวังโดนหนามเกี่ยวจีวรขาดบรรลัยหมด..! เพราะฉะนั้น ๓ ท่านนั้น กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านจะอยู่ป่าได้กี่วัน ? น่าจะเข้าป่าลึกไม่ได้อีกด้วย แต่ที่กระผม/อาตมภาพไป แทบจะไม่มีของติดตัวเลย นั่นอยู่กันเป็นเดือน..!

เรื่องของการธุดงค์เป็นเรื่องของประสบการณ์ ถ้าหากว่าเราเคยชินกับการเดินภาวนา อย่างที่กระผม/อาตมภาพเดิน ก็เดินวันหนึ่งประมาณ ๔๐ กิโลเมตร แต่ถ้าท่านที่ไม่เคยชินก็จะไปหาที่ที่ตนเองชอบใจแล้วก็หยุดภาวนาที่นั่น เพียงแต่ว่าอย่าพักนาน อยู่ที่ไหนถ้าพักนาน เมื่อสภาพจิตเคยชิน ความระมัดระวังจะลดลง สติปัญญาจะไม่แหลมคมเหมือนเดิมแล้ว ต้องย้ายที่ต่อไป ถ้าไปไหนแล้วนอนไม่หลับ นั่นใช้ได้เลย แสดงว่าที่ใหม่ สติต้องระมัดระวังไว้ว่าจะมีอันตรายหรือไม่ ระแวงก็เลยไม่ได้นอน

สิ่งที่นักปฏิบัติเราต้องการก็คือให้ถึงความเป็นผู้ตื่น ก็คือปฏิบัติไปแล้ว หลับหรือตื่นจะต้องรู้สึกเท่ากัน ไม่อย่างนั้นแล้ว กิเลสจะกินเราได้ในตอนหลับ เพราะว่าตอนตื่นเราระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา

การที่เราออกธุดงค์ เจอสัตว์ร้ายบ้าง เจอผี เจอเทวดาทดสอบบ้าง แล้วท้ายสุดเราก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณพระรัตนตรัย ความเคารพในพระรัตนตรัยจะค่อย ๆ มั่นคงในหัวใจของเรา ถ้าหากว่าเคารพด้วยความมั่นคง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ ความเป็นพระโสดาบันส่วนหนึ่งก็เริ่มปรากฏขึ้นในใจของเราแล้ว ก็แค่ไปควบคุมศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ถ้าหากว่าตายแล้วเราขอพระนิพพานเป็นที่ไปแห่งเดียว

ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า เป้าหมายจริง ๆ ในการธุดงค์กันแทบล้มประดาตายนั้นไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากขัดเกลาตนเองจนกระทั่งมั่นใจในคุณพระรัตนตรัยเท่านั้น

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2023 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว